วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2563

Doctor Prisoner

 

หนังใหม่เต็มเรื่อง

รีวิว Doctor Prisoner - หมอในเรือนจำ

ซีรีส์ที่เกี่ยวกับการแพทย์ของเกาหลีมีอิทธิพลมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่น้อยหน้าพวกโรแมนซ์เลย วันนี้เลยขอหยิบมาหนึ่งเรื่องที่น่าสนใจมากๆ ซึ่งตอนนี้ก็กำลังดูอยู่เหมือนกัน มาจาก KBS ที่มีเรตติ้งดีในระดับหนึ่งเลยทีเดียว รีวิว Doctor Prisoner

Her Private Life

 

หนังใหม่เต็มเรื่อง

รีวิว Her Private Life - โลกอีกใบของยัยแฟนเกิร์ล

หรือโลกอีกใบของยัยแฟนเกิร์ล ซีรีส์โรแมนติกคอมเมดี้เรื่องนี้อ้างอิงมาจากนวนิยายออนไลน์ชื่อดัง Noona Fan Dot Com เป็นซีรีส์ปี 2019 ถือว่าพึ่งออกไม่นานนะใครยังไม่ได้ดูต้องรีบไปตามเก็บแล้ว และเรื่องนี้คงจะโดนใจใครหลาย ๆ คนที่เป็นติ่งดาราหรือศิลปิน รีวิว Her Private Life

American Vandal Season 2

 

ดูหนังฟรี

รีวิว American Vandal Season 2 - สารคดีอาชญากรรม

ใครที่คุ้นเคยกับ American Vandal ก็คงไม่แปลกใจกับพล็อตประหลาด ๆ แบบนี้ เพราะในซีซั่นแรกก็เล่นเรื่อง 'ใครวาดรูปจู๋' มาก่อน ครั้งนี้ซีรีส์ mockumentary อันเลื่องชื่อของเน็ตฟลิกซ์ได้กลับมาอีกครั้งพร้อมคดีใหม่ที่ยิ่งใหญ่และเหม็นโฉ่กว่าเดิม รีวิว American Vandal Season 2

American Vandal

 

ดูหนังฟรี

รีวิว American Vandal - สารคดีอาชญากรรม

หลาย ๆ คนที่ชอบดูภาพยนตร์หรือซีรีส์คงคุ้นเคยกับหมวด ๆ หนึ่งที่มักจะได้เห็นกันอยู่บ่อย ๆ ก็คือ ‘หมวดอาชญากรรม’ ซึ่งก็เป็นหมวดหนึ่งที่มีผลงานชวนจดจำไว้หลายเรื่อง โดย Original Series จาก Netflix จะพาผู้ชมไปเจอกับคดีที่ค่อนข้างประหลาดอยู่หน่อย ๆ ทั้งคดีนักเรียนพ่นสเปรย์รูปจู๋บนรถครูทั้งหมด 27 คัน และคดีการแกล้งกันในโรงเรียนที่เกี่ยวกับเรื่องขี้ ๆ (ขี้จริง ๆ) รีวิว American Vandal

Dynasty Season 3

 

ดูหนังออนไลน์

รีวิว Dynasty Season 3 - ไดนาสตี้ ซีซั่น 3

ซีรีส์ฝรั่ง ดราม่าน้ำเน่าชั้นดีของตระกูลไฮโซ ที่วายป่วงกว่าเดิมเรื่องราวของครอบครัวแคริงตัน เมื่อครอบครัวที่ราวกับ Dynasty สุดเพียบพร้อมนี้ กลับเต็มไปด้วยความอื้อฉาว ซึ่งซีซัน 3 ก็กลับมาฉายแล้วใน Netflix พร้อมทิศทางของเรื่องราวที่ขยายใหญ่ขึ้น พร้อมกับพัฒนาการของตัวละครหลัก รีวิว Dynasty Season 3

Arthdal Chronicles

ดูหนังออนไลน์

รีวิว Arthdal Chronicles - อาธดัล สงครามสยบบัลลังก์

ซีรีส์เกาหลีฟอร์มยักษ์ใน Netflix แนวชิงอำนาจ หักเหลี่ยมเฉือนคมในโลกยุคโบราณ ผสมแนวแฟนตาซี โปรดักชั่นสุดอลังการ ซึ่งในปัจจุบันจบแล้ว 1 ซีซัน โดยตัวเรื่องจะแบ่งเป็น 3 พาร์ท เนื้อหาเกือบทั้งหมดเน้นที่การ หักเหลี่ยมเฉือนคมช่วงชิงอำนาจ รีวิว Arthdal Chronicles

เรื่องย่อ

เรื่องราวเกี่ยวกับการกำเนิดขึ้นของอารยธรรมและรัฐชาติในยุคในตำนานซึ่งเป็นที่เล่าขานกันว่าเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรโกโชซอน โดยจะถ่ายทอดเรื่องราวความรัก ความขัดแย้ง และความปรองดองของวีรบุรุษในตำนาน ณ เมืองอาธ (Arth)


สำหรับซีรีส์เรื่อง Arthdal Chronicles อาธดัล สงครามสยบบัลลังก์ เป็นซีรีส์แนวพีเรียดที่จะบอกเล่าประวัติศาสตร์การก่อร่างสร้างอาณาจักรที่ปรากฎในประวัติศาสตร์และตำนานของเกาหลี ซึ่งในตัวซีรีส์ก็จะมีฉากหลังของเรื่องอยู่บริเวณคาบสมุทรเกาหลีในยุคก่อนประวัติศาสตร์

ซึ่งอยู่กันแบบชนเผ่า โดยซีรีส์ Arthdal Chronicles ได้เล่าเรื่องราวของการกำเนิดอารยธรรมและรัฐชาติในยุคก่อนประวัติศาสตร์ เมื่อต่างเผ่าพันธ์ุต่อสู้เพื่อเผ่าของตัวเอง ผสมผสานด้วยเรื่องความรัก ความขัดแย้ง และการปรองดองของชนเผ่าต่างๆ

โดยในซีซัน 1 ซีรีส์จะแบ่งออกเป็น 3 พาร์ต คือ พาร์ตแรก Children of Prophecy, พาร์ตสอง Turning Sky, Rising Ground และพาร์ตสาม Arth, The Prelude to All Legends

เนื้อเรื่อง

ที่จริงแล้วการแบ่งทั้ง 3 บท สามารถแบ่งเป็นแต่ละซีซันก็ว่าได้ เพราะถึงแม้ว่าเนื้อเรื่องทั้งหมดจะต่อเนื่องกัน แต่เนื้อหาใจความหลักของแต่ละบทและวิธีการเดินเรื่องไปจนถึงบรรยากาศในแต่ละ Part มีจุดแตกต่างกันพอสมควร เช่น

บทแรก ดูหนังออนไลน์เริ่มเล่าที่มาของดินแดน อาธดัล และ อิอาร์ก ไปจนถึงชนเผ่าต่างๆ โดยบทแรกเน้นบอกเล่าความขัดแย้งระหว่าง เผ่ามนุษย์และ นีแอลทัล ซึ่งเป็นกึ่งๆ อมนุษย์ที่มีพละกำลังและความสามารถเหนือกว่ามนุษย์ทุกอย่าง

แต่ปรากฏว่าเผ่ามนุษย์ที่รวมตัวกันเป็นพันธมิตรจากหลายชนเผ่านั้น กลับมีผู้กล้าหนุ่ม “ทากน” บุตรชายคนโตของนีร์ฮาซานุง ผู้นำเผ่าพันธุ์มนุษย์ในอาธดัล ที่สามารถหาวิธีกวาดล้างเผ่าพันธุ์นีแอลทัลลงได้แทบจะสูญเผ่าพันธุ์กันเลยทีเดียว

ขณะเดียวกัน เรื่องราวก็เล่าถึงความรักระหว่างคนจากเผ่ามนุษย์และนีแอลทัล ที่ทำให้กำเนิดลูกครึ่งระหว่างสองเผ่าพันธุ์ขึ้นมา ลูกผสมเหล่านี้จะถูกเรียกว่า อีกึต ซึ่งมีพลังความสามารถคล้ายนีแอนทัล แม้จะไม่แข็งแกร่งเท่า แต่ก็มีความสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้เหนือกว่ามนุษย์ทั่วไป

ซึ่งในตอนที่เผ่านีแอนทัลถูกกวาดล้าง มีหญิงสาวที่เป็นตัวแทนของกลุ่มนักบวชจากมนุษยคือ “อาซาฮน” ได้หนีไปกับคนของนีแอนทัล ทั้งสองรักกันและมีลูกชายฝาแฝดด้วยกัน แต่ด้วยสถานการณ์ที่ต้องหนีการตามล่า ปรากฏว่าเด็กคู่แฝดจึงถูกแยกจากกัน อาซาฮนพาแฝดอีกคนหนีไปยังหน้าผาที่ไปยังดินแดนอิอาร์ก

ซึ่งเชื่อว่าจะปลอดภัย และเป็นดินแดนที่ในอดีต เคยมีนักบวชในตำนานที่เป็นสายเลือดโดยตรงของผู้นำนักบวชได้หนีตามคนรักมาที่ดินแดนนี้ อาซาฮนจึงพาลูกชายของตนหนีมาอิอาร์ก แต่เธอก็เสียชีวิตลง พร้อมกับพบว่า ลูกชายของเธอแท้จริงแล้วอาจจะเป็นการกลับมาเกิดของ “อารามุน แฮซึลลา” เทพเจ้าสูงสุดของอาธดัล

ส่วนลูกชายของเธอได้อยู่อาศัยกับเผ่าวาฮัน ซึ่งเป็นหนึ่งในเผ่าเล็กๆที่สงบสุขที่อาศัยอยู่ในอิอาร์ก เด็กน้อยอีกึตที่รอดมาได้นี้ก็คือ “อึลซอม”

อึลซอมได้เกิดและเติบโตอยู่ในเผ่าวาฮัน ร่วมกับเด็กสาว “ทันยา” ผู้สืบทอดสายเลือดโดยตรงจากแม่เฒ่าของเผ่า

แต่แล้วชีวิตอันสงบสุขของ อึลซอมและทันยาก็พังทลายลง เมื่อทากน ที่ทำสงครามแผ่ขยายดินแดนไปทั่วอาธดัล สามารถหาวิธีนำทหารลงมาจากผาเพื่อเข้ามาดินแดนอิอาร์กได้ เผ่าวาฮันจึงถูกกองทัพของทากนเข้ารุกราน และอึลซอมกับทันยาก็จำต้องแยกจากกัน

แต่ตอนนั้นเองที่อึลซอมได้ค้นพบพลังความสามารถของเขาที่แตกต่างจากคนทั่วไป และเริ่มหาทางเรียนรู้ที่จะใช้มันเพื่อช่วยเหลือทันยาและคนของเผ่าที่เหลือให้ได้

การรวมตัวของบรรดาชนเผ่า

ในซีรีส์เรื่องนี้ก็ได้สอดแทรกอะไรหลายๆ ไม่ว่าการรวมตัวของบรรดาชนเผ่าต่างๆ ที่อยู่รวมตัวกันในรูปแบบของสมาพันธ์ หรือ สหพันธรัฐ ก่อนที่จะนำไปสู่การเกิดสิ่งที่เรียกว่าการปกครองแบบกษัตริย์ที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของการกำเนิดรัฐชาติ หรือการใช้เงินตราในการแลกเปลี่ยน อีกทั้งยังให้ภาพของผู้หญิงที่แตกต่างจากซีรีส์แนวประวัติศาสตร์ทั่วไปๆ ของเกาหลีเป็นอย่างมาก

เพราะในซีรีส์เรื่องนี้ได้ให้ภาพการเป็นผู้นำของผู้หญิงออกมาอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะในฐานะของหัวหน้าเผ่า หรือหัวหน้าวิหาร(คล้ายๆ กับธิดาเทพในยุคโชซอนนั้นเอง) รวมไปถึงภาพที่ผู้หญิงมีอำนาจมากพอจะต่อรองหรือบงการผู้ชายได้

ปมคำทำนาย

ตัวซีรีส์ได้ผูกปมเรื่องด้วยคำทำนายของเด็กทั้งสามคนที่เกิดในวันที่มีดาวหางสีน้ำเงินปรากฏ และตามคำทำนายนั้นเด็กที่เกิดวันนี้จะนำมาซึ่งหายนะของแผ่นดิน เด็กทั้งสามคนก็คือ อึนซอม ซายา และทันยา

ซึ่งอึนซอมกับซายาเป็นฝาแฝดลูกผสมระหว่างเผ่าพันธุ์คือ พวกนีอันทัล (มีเลือดสีฟ้าและแข็งแกร่ง ซึ่งสามารถฝันได้) กับ ซารัม (มีเลือดสีแดง หรือก็คือมนุษย์ทั่วไป ไม่สามารถฝันได้) โดยจะเรียกพวกลูกผสมนี้ว่า อิกูตู

จุดเด่น

คงต้องยกให้กับ การโยงเรื่องราวที่ดูเหมือนไม่น่าจะเกี่ยวข้องกันให้เชื่อมต่อกันได้ แม้แต่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ดูเหมือนไม่สำคัญ เช่น ท่าร่ายรำของเผ่าวาฮันที่ทันยาถูกบังคับให้ฝึกตั้งแต่เล็ก ซึ่งถูกพูดถึงในตอนที่ 2 ใครจะไปคิดว่าท่าร่ายรำนี้จะมีบทบาทสำคัญและเป็นแผนการณ์ที่ถูกวางไว้กว่า 200 ปี

นอกจากนี้ แม้แต่การกระทำของตัวละครรองๆ ที่ดูไม่สำคัญ เป็นคนตัวเล็กๆ แต่การกระทำกลับส่งผลเป็นลูกโซ่ต่อเนื่อง และสะเทือนไปถึงเหตุการณ์ใหญ่ด้วย

จุดเด่นอีกอย่างของเว็บดูหนังเรื่องก็คือ การโยนปัญหาต่างๆ เข้ามาในซ๊รีส์ให้ตัวละครเอกต้องผ่านปัญหาเหล่านี้ ซึ่งมีทั้งการวางแผนด้นสด แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปตอนๆ ไปจนถึงมีการวางแผนล่วงหน้าที่คาดไม่ถึงก็มี ซึ่งวิธีการแก้ปัญหาของตัวละครในเรื่อง มีหลายมุกที่ต้องร้องว้าวว่า “คิดได้ไง” ในขณะที่บางมุกก็เล่นง่ายเอามากๆ

ความเป็นแฟนตาซี

ด้านความเป็นแฟนตาซีของเรื่องนี้ ก็มีการนำมาผสมผสานกับตำนานความเชื่อไว้บ้าง รวมถึงตัวเองก็มีพลังพิเศษที่ไว้ใช้เอาตัวรอด แต่พลังพิเศษของตัวเอกอย่างอึลซอม เอาเข้าจริงก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก คือในช่วงแรก พลังพิเศษของตัวเอกมีประโยชน์ในการเอาตัวรอดมาก แต่พอเรื่องราวเดินหน้าไปเรื่อยๆ พลังพิเศษของตัวเองก็แทบจะไร้ประโยชน์

เพราะสุดท้ายแล้วสิ่งที่จะทำให้เขาขึ้นมาต่อสู้เอาตัวรอดในโลกที่โหดร้ายได้ ไม่ใช่ความสามารถในการต่อสู้ตัวต่อตัว (ที่มีคนเก่งกว่าเขาอยู่ด้วย) แต่เป็นความสามารถในการเกาะกุมใจผู้คน และการสร้างอำนาจขึ้นมา

รีวิว Arthdal Chronicles

จุดที่ต้องชื่นชมคือ นักแสดงตัวหลักทั้ง 4 คน (บทอึลซอมและซายาใช้คนเดียวกัน) ทำได้กินขาดมากๆ ทุกคนเมื่อรวมกันแล้วสามารถแบกทั้งซีรีส์เอาไว้ได้ โดยเฉพาะนักแสดงหนุ่ม Song Joong-ki ที่ต้องรับบทแสดงเป็นทั้งอึลซอมและซายา ซึ่งมีการแสดงออกในด้านสีหน้าท่าทาง ชนิดที่แตกต่างกันสุดขั้ว แต่เขากลับทำให้คนดูเชื่อได้ว่า “นี่คือคนละคน” ได้อย่างยอดเยี่ยมเอามากๆ

จุดด้อย

ส่วนจุดด้อย ที่ถือว่าร้ายแรงที่สุดของเรื่องคือ “ช่วงแรกเดินเรื่องช้ามาก” ใน Part แรกคือตอนที่ 1-6 กว่าเรื่องจะเข้าสู่ความสนุกจริงจัง ต้องรอผ่านพ้นตอน 3 ขึ้นไปแล้ว แถมเอาเข้าจริงๆ เนื้อหาใน 6 ตอนแรกก็ยังไม่สนุกเข้มข้นมากนัก

เนื้อหาของเรื่องจะสนุกจริงๆ คือหลังจากเปิดตัว ซายา ในท้ายตอนที่ 6 หรือก็คือเข้าสู่ Part 2 ของเรื่อง ตั้งแต่นั้นคือความสนุกระดับมาราธอนครับ อาจจะเพราะคนดูสามารถเข้าใจความเป็นไปเป็นไปภายในโลกของอาธดัล ไปจนถึงแรงขับดันในการกระทำของเหล่าตัวละคร เพราะในช่วงแรกคนดูจะไม่เข้าใจเอาซะเลยว่า ตัวร้ายอย่างทากน ทำเรื่องต่างๆ ไปเพื่ออะไร

แถมทากนเป็นตัวละครฝ่ายร้ายที่ในช่วงแรกดูไม่น่าเชียร์เอาเลย กระทั่งเราเริ่มรู้จักตัวละครนี้มากขึ้น บวกกับการเข้ามามีบทบาทของ ซายา ซึ่งเป็นตัวละครที่มีมุม “โหดและเลือดเย็นยิ่งกว่าทากน” ซึ่งก้ทำให้ทากนซึ่งเป็นตัวละครที่ดูครบเครื่องในช่วงแรกและทำอะไรก็เข้าทางไปหมด ได้เจอกับปัญหาและอุปสรรคระดับที่เกือบต้องพลาดท่าเสียทีหลายครั้งนั่นเอง เรื่องราวถึงค่อยน่าลุ้นขึ้น

ในขณะที่เนื้อหาของพระเอกอย่างอึลซอม ต้องยอมรับว่าในช่วงแรก “ไม่ค่อยสนุก” ขณะที่ช่วงกลางบทก็เปลี่ยนไปทางซายาที่ใช้นักแสดงคนเดียวกัน ทำให้เนื้อหาส่วนที่สนุกที่สุดของอึลซอม ต้องรอถึง Part 3 ที่เขาเริ่มจะเข้าใจอะไรในโลกมากขึ้นนั่นแหละครับ

จุดด้อยของเรื่องยังมีอีกคือ พล็อตโฮลแอบมีอยู่พอสมควร และบางอย่างเหมือนนึกจะใส่ก็ใส่มาเพิ่มเอาง่ายๆ ในขณะที่มีบางตัวละครที่ฉลาดและเอาตัวรอดได้เก่งสุดๆ มาตลอดทั้งเรื่อง บทจะพลาดท่าก็พลาดเสียอย่างนั้น

โดยรวม

เป็นซีรีส์แนวสงครามชิงอำนาจย้อนยุคที่สนุกอันดับต้นๆใน Netflix และดูดีมากขึ้นเรื่อยๆในทุกตอนเมื่อเรื่องราวเดินหน้าไป การโยงความสัมพันธ์ตัวละครที่ซับซ้อน แต่ก็ไม่ชวนงง ตัวละครสีเทาที่มีแรงจูงใจในการกระทำเรื่องราวต่างๆ แม้ว่าช่วงแรกจะเดินเรื่องช้าพอสมควร จุดด้อยคือบทของพระเอกอย่างอึลซอมไม่ค่อยสนุกมากนักในช่วงครึ่งแรก

ซึ่งเนื้อหาหลักไปอยู่ที่ตัวละครอื่นๆมากกว่า แต่สำหรับซีซัน 2 ที่จะมาถึง เรื่องราวก็น่าจะเริ่มไปที่สเกลการทำสงครามระหว่างสองขั้วอำนาจอย่างเต็มตัวมากขึ้น หลังจากตอนจบของซีซันแรก เหล่าตัวละครเอกได้เข้าสู่วงอำนาจสูงสุดอย่างที่ต้องการแล้ว

สรุป

วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2563

Dynasty

 

หนังใหม่เต็มเรื่อง

รีวิว Dynasty - ไดนาสตี้

พลาดมาได้ยังไงเนี่ย! "Dynasty" ซีรีย์สุดแรงบน Netflix แนวตบตี แม่เลี้ยงตัวร้าย ปะทะ ลูกเลี้ยงตัวแสบ! เพื่อนบอกว่าเรื่องนี้แรงมาก ดุเดือดยิ่งกว่าละครช่อง 7 ชั้นเชิงความร้ายเลเวลล้าน! ว่าแล้วก็ไปดู รีวิว Dynasty

Castlevania Season 3

 

หนังใหม่เต็มเรื่อง

รีวิว Castlevania Season 3 - แคสเซิลวาเนีย

ซีรีส์เกมตระกูลแส้ในตำนานที่หลายคนคงรู้จักดี ตอนนี้ได้ถูก Netflix ดัดแปลงเป็นซีรีส์อนิเมชั่นแล้ว ด้วยความร่วมมือระหว่าง Netflix และ Konami เจ้าของแฟรนไชส์ผู้สร้างแคสเซิลวาเนีย ที่มีจุดเริ่มต้นที่ Castlevania III Dracula’s Curse ซึ่งเป็นเหตุการณ์ก่อนภาค Symphony of Night ที่ตัวเอกเป็น Trevor Belmont รีวิว Castlevania Season 3

Castlevania

 

ดูหนังฟรี

รีวิว Castlevania - แคสเซิลวาเนีย

ซีรีส์เกมตระกูลแส้ในตำนานที่หลายคนคงรู้จักดี ตอนนี้ได้ถูก Netflix ดัดแปลงเป็นซีรีส์อนิเมชั่นแล้ว ด้วยความร่วมมือระหว่าง Netflix และ Konami เจ้าของแฟรนไชส์ผู้สร้างแคสเซิลวาเนีย ที่มีจุดเริ่มต้นที่ Castlevania III Dracula’s Curse ซึ่งเป็นเหตุการณ์ก่อนภาค Symphony of Night ที่ตัวเอกเป็น Trevor Belmont รีวิว Castlevania

Santa Clarita Diet

 

ดูหนังฟรี

รีวิว Santa Clarita Diet - ซานต้า คลาริต้า ไดเอต

เรียกได้ว่าเป็นซีรีส์ที่เพิ่งถูกแคนเซิลสดๆร้อนๆจาก เน็ตฟลิกซ์ ตามโมเดลสร้างแค่ 3 ซีซัน แต่อยากจะบอกว่ามีหลายสิ่งเหลือเกินที่เราคิดว่าหาก เน็ตฟลิกซ์ หรือใครหยิบยื่นโอกาสสร้างต่อน่าจะทำให้แฟนๆได้ติดตามกันอย่างต่อเนื่องทีเดียว รีวิว Santa Clarita Diet

To All the Boys I’ve Loved Before

 

ดูหนังออนไลน์

รีวิว To All the Boys I’ve Loved Before - แด่ชายทุกคนที่ฉันเคยรัก

ภาพยนต์วัยรุ่นแนวโรแมนติก น่ารัก แบบใสๆที่บรรดาคนชอบดูหนังทางสตรีมมิ่งของ Netflix ไม่ควรพลาดอีกเรื่อง ขอรับประกันความจั๊กจี้หัวใจเมื่อรับชม โดย To all the boys I’ve loved before นั้นดัดแปลงมาจากวรรณกรรมในชื่อเดียวกัน เป็นผลงานการเขียนของเจนนี่ ฮาน รีวิว To All the Boys I’ve Loved Before

Klaus

 

ดูหนังออนไลน์

รีวิว Klaus - มหัศจรรย์ตำนานคริสต์มาส

หนังแอนิเมชั่นม้ามืดมาเงียบๆ จากสเปน เรื่องราวมิตรภาพต่างวัยของคน “ไร้ตัวตน” สองคนที่มาพบเจอกันโดยบังเอิญ เนื้อหาของแอนิเมชันคือดีมากๆ เราได้มองเห็นความเมตตาของใครซักคนที่ถูกส่งต่อทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แม้อาจจะเริ่มด้วยความไม่ตั้งใจ ความบังเอิญ หรืออะไรก็ตามแต่... รีวิว Klaus

วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2563

The Kissing Booth

 หนังใหม่เต็มเรื่อง

รีวิว The Kissing Booth - เดอะ คิสซิ่ง บูธ

ภาพยนตร์รักโรแมนติกของ Netflix ที่มีความแปลกตรงเน้นเรื่องมิตรภาพของเพื่อนควบคู่ไปกับความรัก ผ่านซุ้มขายจูบที่เป็นชนวนเหตุของเรื่อง และเรื่องนี้เป็นหนังจาก Netflix ของปี 2018 นี้เอง ใครเป็นสายหนังรักวัยรุ่น แนว High School เราขอแนะนำว่าห้ามพลาดเรื่องนี้เด็ดขาดด รีวิว The Kissing Booth

37 Seconds

 

หนังใหม่เต็มเรื่อง

รีวิว 37 Seconds - 37 วินาที

" จากอวกาศ ชีวิตมนุษย์เป็นเหมือนแค่ชั่วพริบตา บางครั้งฉันก็คิดว่า…ฉันเป็นแค่หนึ่งในการทดลองของพวกเขา เหมือนกับโครงงานวิทยาศาสตร์ " นับเป็นหนึ่งในบทพูดจากฉากที่ดีที่สุดของ 37 วินาที (37 Seconds) หนังญี่ปุ่นที่ถ่ายทอดชีวิต และปัญหาของคนพิการในสังคมญี่ปุ่นได้อย่างน่าสนใจ ขณะที่ยูมะตัวเอกผู้เป็นพิการกำลังมองตึกยามค่ำคืนในมหานครโตเกียวที่เต็มไปด้วยแสงไฟน้อยใหญ่ และเธอจินตนาการมันกลายเป็นเรื่องราวของมนุษย์ต่างดาวที่เปรียบเปรยกับตนเอง รีวิว 37 Seconds

Marriage Story

 

ดูหนังฟรี

รีวิว Marriage Story - แมริเอจ สตอรี่

อีกหนึ่งหนังเต็งหวังชิงออสการ์จาก Netflix ต่อจากไอริชแมน ว่าด้วยเรื่องราวของการหย่าร้างที่เรียลสตอรี่มากๆ โดยมีจุดขายอยู่ที่ 2 ดารานำ สกาเล็ต โจแอนสัน กับ อดัม ไดรเวอร์ ซึ่งสองคนนี้คนดูคงรู้จักกันดี นี่จึงเป็นเหมือนหนังดูนำร่องในอีกบทบาทหนึ่งของการแสดงที่เรียกได้ว่าสุดยอดมากๆ รีวิว Marriage Story

Living With Yourself

 

รีวิว Living With Yourself - ชีวิตติดเซลฟ์

ซีรีส์คอมเมดี้พลอตเพี้ยน ๆ จากมันสมองของ ธีโมที กรีนเบิร์ก ที่แม้มีเพียงเครดิตเขียนบทซีรีส์ The Detour เท่านั้น ที่เหมือนเอาพลอตของ Adaptation (2002) หนังออสการ์สาขาบทยอดเยี่ยมโดย ชาร์ลี คอฟแมน มายำรวมกับพลอตคอมเมดี้ดรามาว่า รีวิว Living With Yourself

Sky Castle

 

ดูหนังออนไลน์

รีวิว Sky Castle - ตะกายฟ้า ไขว่คว้าฝัน

ซีรีส์ม้ามืดที่ได้รับคะแนนนิยมอย่างสูงในแดนกิมจิ ซึ่งซีรีส์เรื่องนี้ไม่ใช่แนวหวานแววแต๋วจ๋า หรือ เหนือจินตนาการตามสมัยนิยม แต่เป็นซีรีส์ที่ตีแผ่สังคมไฮโซของเมืองโสมได้อย่างโดนใจ เแถมเนื้อเรื่องก็มีความคล้ายคลึงกับวัฒนธรรมการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รีวิว Sky Castle

Russian Doll

 

ดูหนังออนไลน์

รีวิว Russian Doll - รัชเซียน ดอลล์

ซีรีส์ Netflix ของอเมริกันที่ไม่ได้เกี่ยวกับรัสเซีย แต่เป็นเรื่องการวนลูป ตาย เกิด วน เวียน ของโปรแกรมเมอร์สาววัยกลางคนในงานวันเกิดของตัวเอง เป็นซีรีส์ที่เล่าถึงความตายแบบซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่เหมือนกันสำหรับซีรีส์เหมือนกันนะ รีวิว Russian Doll

วันพุธที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2563

The Cloverfield Paradox

 

หนังใหม่เต็มเรื่อง

รีวิว The Cloverfield Paradox

Cloverfield เป็นหนังม้ามืดที่โปรเจ็กต์มักเป็นความลับมาเสมอตั้งแต่ภาคแรก เมื่อปี 2008 ที่มาแบบงง ๆ แล้วก็แหวกแนวกับการใช้รูปแบบ found footage อย่างหนัง The Blair Witch Project (1999) มาถ่ายทอดเรื่องราวแนวไซไฟได้อย่างน่าตื่นเต้น ยิ่งมาภาคสอง 10 Cloverfield Lane (2016) ก็เปิดตัวแบบปุ่บปั่บอย่างที่แฟน ๆ ตั้งตัวไม่ทัน และเปลี่ยนรูปแบบมาเป็นหนังไซไฟจิตวิทยาที่ชวนกดดันและน่าขนลุกกับความผิดปกติของมนุษย์ด้วยกันเอง รีวิว The Cloverfield Paradox

เรื่องย่อ

เรื่องราวถึงเหตุการณ์ในช่วงปี 2018 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่โลกถึงภาวะวิกฤตขาดแคลนพลังงาน ดังนั้นนานาประเทศมหาอำนาจทั่วโลกจึงต้องร่วมกันในการแก้ไขปัญหานี้ ก่อนที่จะเกิดสงครามแย่งชิงพลังงานไปทั่วโลก

เหล่านักวิทยาศาสตร์ระดับหัวกะทิแขนงต่างๆ จึงถูกเรียกมารวมตัวกันเพื่อทำการทดสอบเครื่องเร่งอนุภาค “เชพพาร์ด” บนสถานีอวกาศ “โคลเวอร์ฟีลด์” ซึ่งหากการทดลองการยิงอนุภาคนี้เป็นผลสำเร็จ จะช่วยให้เกิดพลังงานอนัต์ที่นำมาใช้ได้ไม่มีวันหมด

สำหรับภารกิจนี้ ทีมนักวิทยาศาสตร์ทุกคนต้องเดินทางขึ้นไปประจำการและทำการทดลองบนสถานีอวกาศ “โคลเวอร์ฟีลด์” ที่โคจรอยู่เหนือชั้นบรรยากาศของโลก และในระหว่างการทดลองยิงเครื่องเร่งอนุภาคนี้ ก็ได้เกิดข้อผิดพลาดขึ้น ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อโครงสร้างของมิติเวลา จนทำให้เกิด Time Paradox ขึ้น และนั่นเอง คือสาเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องราวสยองขวัญที่เกิดขึ้นตามมามากมาย


เกริ่นกันเล็กน้อยสำหรับซีรียส์ Cloverfield โดยผลงานโปรดิวซ์ของ J.J. Abrams นี้ จุดเริ่มต้นมาจากภาพยนตร์ Cloverfield ในปี 2008 ซึ่งเป็นแนว found-footage horror (เล่าเรื่องผ่านกล้องวิดีโอแบบบ้านๆ) ที่ได้รับคำชมอย่างมาก เพราะค่อนข้างแปลกใหม่ + นำเสนอออกมาเรียลๆ ผ่านมุมมองของคนทั่วไปที่ประสบมหันตภัยระยะใกล้ชิดกับ ‘สัตว์ประหลาด’ บางอย่างที่มารุกราน

เป็นอีกหนึ่งจักรวาลภาพยนตร์ที่ “ความลับ” เยอะแยะเต็มไปหมด ตั้งแต่เริ่มต้นในหนังภาคแรกอย่าง Cloverfield ในปี 2008 ที่เปิดกระแสหนังสัตว์ประหลาดกล้องสั่นไหว จนหลายคนเดินออกมาอาเจียนนอกโรงหนัง แต่ความสนุกยิ่งกว่าการดูหนัง คือการทำมาร์เกตติ้งของหนังเรื่องนี้ที่หยิบจับเอา Easter Egg หรือ จุดเชื่อมโยงในจักรวาลเดียวกันซึ่งถูกแอบซ่อนอยู่ในฉากต่างๆ ในเรื่อง จนบรรดาแฟนหนังทำเว็บไซต์แฟนคลับของหนังเรื่องนี้ออกตามกันมาเลยทีเดียว

8 ปีผ่านไปกว่าที่หนังภาคที่เกี่ยวข้อง (เราไม่สามารถเรียกว่าภาคต่อได้เนื่องจากไม่ทราบหนังเกิดขึ้นในช่วงเวลาไหนของไทม์ไลน์นี้กันแน่) กับ 10 Cloverfield Lane ที่เล่าเรื่องราวฉุกละหุกที่เกิดขึ้นในบังเกอร์หลบภัยใต้ดิน ก่อนที่นางเอกของเรื่องจะหนีรอดออกมาและค้นพบความจริงเกี่ยวกับเอเลี่ยนที่น่าตื่นตระหนก

มาภาคนี้โปรดิวเซอร์ใหญ่อย่างพ่อมดฮอลลีวู้ดคนใหม่ เจ.เจ. อับรามห์ส ได้เลือกผู้กำกับเล็ก ๆ แต่มีแววมาลองปั้นเช่นเดียวกับที่เคยเลือก แมตต์ รีฟส์ มาทำภาคแรกจนตอนนี้เป็นผู้กำกับชั้นนำอีกคนของวงการที่กำลังมีโปรเจ็กต์อย่าง The Batman ในมือ รอบนี้เป็นผู้กำกับที่มีผลงานหนังสั้นมานับครั้งไม่ถ้วนอย่าง จูเลียส โอนาห์ มาลองทำหนังใหญ่ดู

นอกจากจะเป็นการมาหนังใหม่เต็มเรื่องแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียงเช่นเคยแล้ว ยังช็อกใหญ่ด้วยการฉายทางบริการสตรีมมิ่งวิดีโออย่าง เน็ตฟลิกซ์ เท่านั้นด้วย แล้วปล่อยตอนไหน ตอนที่โฆษณาเปิดตัวในช่วงการแข่งกีฬาซูเปอร์โบรลว์ของอเมริกาปุ๊บ ก็ลงจอให้ชมกันเลย คือเซอร์ไพร้สสุด ๆ

เหมือนว่า ความคาดเดาไม่ได้ นอกจากจะเป็นลายเซ็นของโปรดิวเซอร์ที่กุมทุกอย่างเป็นความลับขั้นสุดอย่าง เจ.เจ. แล้ว ยังกลายเป็นแนวทางของหนังชุดนี้ที่เล่นกับความสงสัยของคนดูแบบไม่สิ้นสุดเลยด้วย

เนื้อเรื่อง

หนังเล่าเรื่องของทีมนักวิทยาศาสตร์ ที่ถูกรวมตัวจากทั่วโลกขึ้นไปทำภารกิจบนดาวเทียมเพื่อทดลองยิงอนุภาคฮิกโบซอนกำเนิดพลังงานอนันต์ ซึ่งจะช่วยยับยั้งสงครามจากความขาดแคลนพลังงานที่เกิดทุกหย่อมหญ้าบนพื้นโลก โดยแต่ละคนก็จะมาจากประเทศมหาอำนาจของโลกเพื่อคานอำนาจกัน

โดยมีตัวแทนจากอเมริกาทำหน้าที่เหมือนหัวหน้าชุด ส่วนตัวเอกที่เป็นสายตาแทนผู้ชมนั้นเป็นนักวิทยาศาสตร์สาวจากอังกฤษ หลังการทดลองล้มเหลวมากว่า 2 ปี บนอวกาศ เรื่องราวก็เริ่มต้นขึ้นเมื่อมีการทดลองครั้งล่าสุดนั้นเอง เราคงเล่าได้เพียงเท่านี้เพราะการดุแบบไม่ต้องรู้อะไรเลยน่าจะเป็นมนตร์เสน่ห์ของหนังชุดนี้อย่างหนึ่งเลยครับ แต่คงบอกได้เพียงว่า หนังเซอร์ไพร้สเราได้ทุกจังหวะการเล่าเลย คิดว่าจะไม่มีอะไรแล้ว ก็มีอะไรเจ๋ง ๆ มายั่วความสงสัยและระเบิดสมองเราไปพร้อมกันทีเดียว

การดำเนินเรื่อง(สปอยล์)

หนังน่าจะเล่าย้อนไปก่อนเหตุการณ์ในภาคแรก ที่ตอนแรกเราคิดว่าสัตว์ประหลาดเกิดจากการทดลองบางอย่างของญี่ปุ่น มาภาคนี้ก็เฉลยแล้วว่าเกิดจากการทดลองยิงอนุภาคเพื่อกู้วิกฤตพลังงานนี้นั่นเอง เหตุการณ์ประหลาดทั้งหลายเกิดจากการชนกันของมิติ 2 มิติ เนื่องจากเจ้าเครื่องยิงอนุภาคไปเปิดรอยต่อเข้า

ผลที่เกิดบนโลกคือเกิดสัตว์ประหลาดจากมิติอื่นเข้ามาอยู่บนโลกตามที่ดูมาในภาคแรก (ส่วนเอเลี่ยนในภาค 2 นั้นน่าจะเกิดหลังจากนี้ไปอีก หรือเป็นอีกมิติหนึ่งไปเลย) ส่วนผลที่เกิดบนยานคือตัวตนที่ซ้ำกัน ฝั่งหนึ่งตายเกลี้ยง อีกฝั่งรอด นี่คือเหตุผลว่าทำไมเจนเซ่นถึงรอดมาจากยานตกได้ เพราะเธอกับแทมเป็นคู่เดียวที่เป็นความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างสองทีมนี้

ผลที่เกิดขึ้นอีกอย่างคือบางตัวตนเกิดการกลืนกัน อย่างที่เกิดกับตัวละครโวลคอฟที่มีความทรงจำของอีกโลกหนึ่งเข้ามาแทรกจนทำให้เขาพยายามสังหารชมิดท์ ในขณะที่ตัวตนอีกโลกของโวลคอฟเองอาจจะทำอะไรบางอย่างกับหนอนและบอลไจโรไว้ ทำให้แขนของมันดี้จากอีกโลกจึงเขียนบอกที่อยู่ของลูกบอลที่หายไปได้อย่างถูกต้อง

และความลักลั่นไม่ใช่เพียงกายภาพที่เกิดขึ้นเท่านั้น ในด้านของจริยธรรมก็ท้าทายพอ ๆ กับฉากเรือสองลำในหนัง The Dark Knight เลยทีเดียว ว่าสุดท้ายการทอดทิ้งโลกใบใดใบหนึ่งจะเป็นสิ่งที่ควรกระทำหรือไม่ และถ้าต้องเลือกเราจะช่วยโลกใบไหนกัน ซึ่งตรงนี้คือความหมายของชื่อเรื่องที่เป็นความลักลั่นอย่างแท้จริง

ภาค Cloverfield Paradox และภาคแรก Cloverfield เชื่อมโยงกันอย่างไร?

เรื่องราวใน Cloverfield Paradox นับเป็นทั้งภาคต้นและภาคต่อของ Cloverfield ภาคแรก เพราะแม้เหตุการณ์ในหนังที่เป็นเวลา "ปัจจุบัน" จะเกิดขึ้นในปี 2028 แต่ข้อผิดพลาดจากการใช้เครื่องเร่งอนุภาคที่ทำให้เกิดความสับสนของช่วงเวลานั้นก็ส่งผลกระทบโดยตรงถึงเหตุการณ์ใน "อดีต" ของภาคก่อนอย่าง Cloverfied เช่นกัน

ในจุดนี้ ถือว่า Cloverfield Paradox สามารถไขปริศนาที่มาของเหล่าสัตว์ประหลาดและเอเลี่ยนบุกโลกมนุษย์ในภาค Cloverfied ที่แฟน ๆ เคยตั้งคำถามเอาไว้ได้อย่างดีเยี่ยม

แล้วภาคต่อ Cloverfield Paradox กับภาคสอง 10 Cloverfield Lane มีจุดเชื่อมโยงหรือไม่ ?

แม้เรื่องราวในหนังทั้งสองภาคอาจจะไม่ได้ดูเกี่ยวข้องกันโดยตรง แต่ก็เป็นที่น่าสังเกตว่าหนึ่งในตัวละครหลักของทั้งสองภาคนั้นใช้นามสกุลเดียวกันอย่าง โฮวาร์ด สแตมเบลอร์ จาก 10 Cloverfield Lane และ มาร์ค สแตมเบลอร์ จาก Cloverfield Paradox โดยมีผู้สังเกตว่าที่หลบภัยของ มาร์ค สแตมเบลอร์

รีวิว The Cloverfield Paradox

ในตอนท้ายเรื่อง Cloverfield Paradox มีแนวโน้มว่าอยู่ในบริเวณเดียวกับที่หลบภัยของ โฮวาร์ด สแตมเบลอร์ เมื่อวันโลกาวินาศใน 10 Cloverfield Lane ทั้งนี้ ก็ไม่แน่ว่า ปีเตอร์ เจ้าของที่หลบภัยของ มาร์ค สแตมเบลอร์ ใน Cloverfield Paradox อาจเป็นร่างในโลกคู่ขนานอีกมิติหนึ่งของ โฮวาร์ด สแตมเบลอร์ ที่วิกฤตความสับสนของช่วงเวลาได้พาให้ทั้งสองได้มาพบกันในภาคนี้ก็เป็นได้

ด้านนักแสดง

หนังมีดาราหน้าคุ้นเคยมาสมทบกันมากมาย แม้จะไม่มีดาราใหญ่จริง ๆ เลยสักคน ที่เราคุ้นหน้าสุดก็คงเป็นดาราจีนอย่าง จางซิยี่ จากนั้นก็เป็น ดาเนียล บรูห์ล หรือ บาราอนซีโม่ จากหนัง Captain America 3: Civil War นอกนั้นก็เป็นดาราที่คุ้น ๆ หน้าจากบทตัวประกอบในหนังดัง ๆ เสียมากกว่า

ซึ่งก็เป็นข้อดีที่ทำให้เราเชื่อในตัวละครได้เร็วเพราะไม่ติดภาพเดิม และยังสามารถปิดความลับการมีอยู่ของโปรเจ็กต์หนังออนไลน์ได้ง่ายด้วย ซึ่งต้องบอกว่านักแสดงเล่นกันได้ดีสมกับชื่อชั้นที่คร่ำหวอดกันมานาน แม้บทหนังจะเด่นนำไปมาก แต่ก็สามารถพยุงตัวให้มีซีนที่น่าจดจำของตนเองได้ การกำกับของโอนาห์ก็ถือว่าคุมหนังสเกลใหญ่ได้ดีพอควร

แต่ถ้าเทียบกับงานธริลเลอร์ชั้นยอดในภาค 2 ของผู้กำกับ แดน ทราชเทนเบิร์ก แล้วก็ยังห่างชั้นในการสร้างความกดดันสุดกู่ให้กับคนดูอยู่มาก ความประทับใจจึงไม่ได้อยู่ที่วิธีการเล่าเท่าหนังภาค 2 และไม่ได้โชว์วิช่วลแบบไซไฟได้อลังเท่าภาคแรก ทำให้ภาค 3 นี้เป็นงานที่ดีพอดีตัวอยู่กลาง ๆ เป็นหนังบันเทิงที่ชวนให้ขบคิดตาม และสร้างข้อสนทนาหลังการดูได้พอสมควรครับ

โดยรวม

ทั้งนี้ Cloverfield Paradox ถือเป็นภาคต่อที่สามารถไขปริศนาเชื่อมโยงเรื่องราวในจักรวาลพิศวงให้เป็นหนึ่งได้อย่างดี แต่ทีมผู้สร้างก็ยังคงเดินหน้าสร้างภาคต่อถัดไปขยายห้วงมิติเวลาอื่นอย่างไม่รอช้า โดยประกาศเตรียมฉายภาคสี่ Overload ในเดือนตุลาคม 2018 ซึ่งคราวนี้เหตุการณ์ในหนังจะเกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในวันก่อนวัน D-Day แต่ก็ไม่แน่ว่าภาคต่อ Overload อาจมีเซอร์ไพรส์ออกฉายเร็วกว่ากำหนดเช่นเดียวกับภาค Cloverfield Paradox

ถ้าถามในแง่ของความแปลกใหม่หรือโดดเด่นสำหรับ The Cloverfield Paradox ค่อนข้างจะเป็นหนังที่ดู “ธรรมดา” เกินไปหน่อยในจักรวาลนี้ แต่ถ้าถามว่าหนังเลวร้ายจนดูไม่ได้หรือเปล่า ก็ต้องตอบว่าไม่ เพียงแค่เหมือนเป็นหนัง “คั่นเวลา” ที่โผล่เข้ามาเพื่อทำให้มีประเด็นต่างๆ ในจักรวาลนี้มากขึ้นเท่านั้นเอง

สรุป

ถึงจะไม่ใช่ภาคที่พีคสุดของหนังชุด Cloverfield แต่ก็ดูสนุกใช้ได้โดยเฉพาะช่วงต้นเรื่องถึงกลางเรื่องที่ชวนให้สบถ wtf กับการคาดเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยสักอย่าง ทั้งยังเป็นตัวต่อสำคัญในการทำความเข้าใจหนังทั้งชุดนี้ด้วย ใครมีเน็ตฟลิกซ์อยู่ห้ามพลาดเลยครับ ส่วนใครยังไม่มีแนะนำกดทดลองฟรีเลยแล้วคุณจะติดใจ

Bright

หนังใหม่เต็มเรื่อง

รีวิว Bright - ไบรท์

บนโลกที่เต็มไปด้วยความแตกต่าง แต่สัมพันธ์ของมิตรภาพยังคงอยู่ ดูเหมือนว่าหนังเรื่องล่าสุดของผู้กำกับ Suicide Squad ต้องการจะสื่อโดยหวังว่าบนโลกที่เสื่อมสภาพในอนาคตอันใกล้ สังคมที่ถูกแบ่งแยกด้วยเผ่าพันธุ์ น่าจะยังมีเรื่องราวดีๆ เกิดขึ้นอยู่ อย่างน้อยก็ความเป็นมนุษย์ในตัวมนุษย์เอง ภาพยนตร์แอคชั่นทุนสร้างสูงเรื่องล่าสุดจาก Netflix ได้นำเข้าไปสู่โลกในอนาคตที่เต็มไปด้วยความเสื่อมโทรม การอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์และเหล่าสิ่งมีชีวิตพิศวงในโลกเทพนิยายทำให้เกิดบรรทัดฐานต่อกัน รีวิว Bright

เรื่องย่อ

หลังถูกยิงจนบาดเจ็บสาหัส ดาร์ริล วอร์ด (วิล สมิธ) จำใจต้องทำงานกับ นิค จาโคบี (โจเอล เอ็ดเกอร์ตัน) ตำรวจเผ่าออร์คนอกคอกที่ถูกกล่าวหาว่าปล่อยคนร้ายเผ่าพันธุ์ตนเองหนีไป และท่ามกลางวิกฤติศรัทธานั้นทั้งคู่จำเป็นต้องร่วมมือกันปกป้อง ทิกก้า (ลูซี่ ฟราย) และไม้กายสิทธิของเธอจาก เลย์ลาห์ (นูมิ ราพาซ) ปีศาจเอลฟ์ที่หวังใช้ไม้กายสิทธิปลุกชีพเจ้าแห่งความมืดให้กลับมาครองโลก


ภาพยนตร์แอคชั่นทุนสร้างสูงเรื่องล่าสุดจาก Netflix ได้นำเข้าไปสู่โลกในอนาคตที่เต็มไปด้วยความเสื่อมโทรม การอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์และเหล่าสิ่งมีชีวิตพิศวงในโลกเทพนิยายทำให้เกิดบรรทัดฐานต่อกัน วาร์ด (นำแสดงโดย วิล สมิธ) ตำรวจผู้มุ่งมั่นในอาชีพต้องมาเป็นคู่หูทำงานกับตำรวจสายพันธุ์ออร์ค จาโคบี (นำแสดงโดย โจล เอ็ดเกอร์ตัน) ทั้งคู่บังเอิญได้พบกับไม้เสกคาถาศักดิ์สิทธิ์ อาวุธที่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตทุกสายพันธุ์

ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่หนังบล็อกซ์บัสเตอร์ เข้าฉายตามโรงภาพยนตร์ตามปกติ แต่คุณภาพและขนาดของหนังก็ยิ่งใหญ่สมราคาคุย โปรดักชั่นต่างๆ เป็นหนังแอคชั่นทุนสูง "เดวิด เอเยอร์" ซึ่งทำหน้าที่ในการกำกับหนังเรื่องนี้ยังคงลายเซ็นเอาไว้ชัดเจน เห็นได้จากงานภาพ โทนสี หรือแม้แต่จังหวะจะโคน ยังมีกลิ่นอายมาจากผลงานเรื่องก่อนจากค่ายดีซีคอมิกส์

"วิล สมิธ" กับ "โจล เอ็ดเกอร์ตัน" เป็นคู่หูที่มีเคมีลงตัวกันอย่างเถียงไม่ได้ โดยเฉพาะรายหลังที่แปลงโฉมกลายเป็นออร์ค พร้อมให้การแสดงเป็นสิ่งมีชีวิตอื่นที่ไม่มนุษย์ได้อย่างลงตัว สร้างอารมณ์ขันและถ่ายทอดความดราม่าได้เป็นอย่างดี ขณะนี้ วิล ดูเหมือนจะมารับบทเป็นคู่หูตำรวจคู่หูอีกแล้ว ความช่ำชองทำให้การแสดงดูลื่นไหลดี แต่น่าเสียดายที่ไม่บทใหม่ๆ สำหรับเขาเลย

กลับมาเป็นตัวร้ายสุดแสบอีกครั้ง "นูมิ ราเพช" ที่รับบทเป็นเอลฟ์สาวอำมหิต มิติของบทบาทไม่มีอะไรมากนัก แต่น่าทึ่งกับการดีไซน์การแสดงในแบบฉบับส่วนตัวของเธอ ราเพชยังทำได้ดีในฉากบู๊แอคชั่น ดูแตกต่างจากหนังบู๊เรื่องก่อนๆ ของเธอ แม้จะไม่ใช่บทบาทที่ดีที่สุดก็ตาม

อีกคนที่ขโมยซีนได้อยู่ไม่น้อย "ลูซี ฟราย" เป็นเอลฟ์สาวที่หลบเลี่ยงจากภัยอันตราย การแสดงของเธอค่อนข้างน่าสนใจ ถึงจะไม่ใช่บทบาทที่โดดเด่นอะไร แต่ก็ถ่ายทอดออกมาได้น่าติดตาม เธอสามารถขับเสน่ห์ของตัวละครออกมาได้ แม้จะยังเป็นดาวรุ่งในวงการการแสดง แต่เชื่อว่าผลงานจากเรื่องนี้จะทำให้เธอมีแฟนๆ เพิ่มขึ้นแน่

เนื้อเรื่อง

หลังคว่ำไม่เป็นท่าจาก Suicide Squad (2016) หนังรวมเหล่าร้ายค่าย DC เดวิด เอเยอร์ ผู้คร่ำหวอดกับหนังตำรวจก็กลับมาหาแนวทางที่ตนคุ้นเคยเพราะแม้ BRIGHT จะถูกวางให้เป็นหนังแฟนตาซีแต่จุดศูนย์กลางของเรื่องคือเรื่องราวของตำรวจชั้นผู้น้อยที่ต้องต่อสู้กับการคอรัปชั่นขององค์กรและต่อสู้กับความต่างทางชาติพันธุ์จนได้กลิ่นอายจากงานเก่าๆ

อย่าง End of Watch (2012), Sabotage (2014) หรืองานเขียนบทสร้างชื่ออย่างTraining Day (2001) อยู่กลายๆ ซึ่งคราวนี้เอเยอร์จับมนุษย์มาทำงานกับออร์คโดยมีความหวาดระแวงทางชาติพันธุ์มาเป็นจุดขัดแย้งสำคัญซึ่งนอกจากจะทำให้เรื่องราวมีความเข้มข้นทั้งดราม่าจากตัวละครต่างขั้วแล้ว

เอเยอร์ยังถือโอกาสหยิบจับเศษเสี้ยวหนังใหม่เต็มเรื่องของวรรณกรรมแฟนตาซีอย่าง The Lord of the Rings และ Harry Potter มาดีไซน์โลกของตัวละครเพื่อเป็นการเปรียบเปรย (Allegory) กับปัญหาชาติพันธุ์ในอเมริกาได้อย่างคมคายซึ่งเผ่าพันธุ์ออร์คก็แทบไม่ต่างจากคนผิวสีที่ถูกเหยียบหยามจากคนขาวในอเมริกาที่กลายเป็นประเด็นร้อนหลังการเข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์นั่นเอง

ความสร้างสรรค์

ต้องยอมรับว่าในส่วนของความคิดสร้างสรรค์ที่ตีความออกมาเป็นบทค่อนข้างน่าประทับใจ สอดแทรกตัวละครจากเทพนิยายกับมนุษย์ได้น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อสรุปกลายเป็นประเด็นหลักของหนัง ทำให้ทุกอย่างกลายเป็นเพียงสูตรสำเร็จ ดำเนินเรื่องไปเรื่อยๆ ไม่ต่างกับเล่นวิดีโอเกมผ่านด่านต่างๆ แต่ฉากแอคชั่นที่อัดแน่นมากมาย น่าจะถูกใจคอหนังบู๊เลยทีเดียว

การนำเสนอ

แต่ในการนำเสนอของหนังยังสอดแทรกข้อคิดและปัญหาสังคมปัจจุบันเอาได้ดี นับเป็นข้อถือของหนังที่เลือกสะท้อนเรื่องนี้ออกมาได้อย่างกลมกล่อม ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการเหยียดเชื้อชาติ, ความแบ่งแยกขัดแย้งของประชาชนกับตำรวจ หรือปัญหาการกลั่นแกล้งทางสังคมที่ระบาดหนักอยู่ในสังคมโลก

โปรดักชั่นและนักแสดง

โปรดักชั่นของหนังที่ทั้งภาพและเสียงไม่ได้ด้อยไปกว่าหนังฉายโรงทั่วไปเลย มิหนำซ้ำคุณภาพอาจดีกว่าหนังบางเรื่องเสียอีกซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งก้าวที่กล้าหาญมากของเน็ตฟลิกซ์ที่ทุ่มทุนทำหนังฟอร์มใหญ่ขนาดนี้ลงสตรีมมิ่ง ไม่เพียงเท่านั้นการดีงนักแสดงเกรดเออย่าง วิล สมิธ

ที่เน้นเล่นแต่หนังบล็อคบัสเตอร์ยังช่วยเสริมภาพลักษณ์ของหนังให้ดูมีมูลค่าประหนึ่งหนังฉายฟอร์มยักษ์ส่งท้ายปีอีกด้วย ซึ่งนักแสดงแต่ละคนนอกจาก วิล สมิธ ที่ยังคงเท่ในชุดตำรวจจนภาพจากหนัง Bad Boys ทั้งสองภาคกลับมาในความทรงจำของผมแล้ว

ความทุ่มเทของ โจเอล เอ็ดเกอร์ตันในบทตำรวจออร์คที่ต้องเมคอัพหน้าก่อนถ่ายครั้งละ 3 ชั่วโมงก็เป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดีถึงความทุ่มเทของนักแสดง ส่วนนักแสดงสาวอย่าง นูมิ ราพาซ ก็ต้องขอบอกว่าเธอเป็นผู้ร้ายที่เท่และมีเสน่ห์มาก จนทำให้ตลอดการชม BRIGHT คือความบันเทิงทั้งสำหรับแฟนหนังและแฟนดารานำของเรื่องอย่างแท้จริง

เพลงจากเว็บหนัง HD เรื่องนี้ก็สร้างอารมณ์ร่วมให้กับผู้ชมได้เป็นอย่างดี การใส่เพลงสอดแทรกเข้าไปฉากต่างๆ ดูมีความความคล้ายจากเรื่อง Suicide Sqaud อยู่ไม่น้อย เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่มีเพลงซาวน์แทรกดีๆ ที่เน้นเนื้อหาที่หนักแน่นและสะท้อนปัญหาสังคม

รีวิว Bright

โดยรวม

Bright เป็นหนังแอคชั่นแฟนตาซีที่มีโดดเด่นเรื่องแนวคิดและความสร้างสรรค์ แต่ยังถ่ายทอดออกมาได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก หลายส่วนดูเป็นเพียงหนังสูตรสำเร็จที่ควรจะเป็น แต่ก็สามารถบดขยี้ประเด็นสังคมได้อย่างกินใจ การแสดงของทีมนักแสดงเกือบ 2 ชั่วโมงยังไม่ได้ให้ความสดใหม่ใดๆ แต่ก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการผูกเรื่องและเสริมแต่งแนวคิดใหม่ๆ สามารถนำไปต่อยอดได้อีก

ถึงแม้หนังเรื่องจะแอบแบกรับความกดดันอยู่ไม่น้อย เพราะเป็นหนังออนไลน์จากทาง Netflix แต่ต้องยอมรับว่าวงการภาพยนตร์ต้องปรับตัวและเปลี่ยนแปลง หนังบ็อกซ์บัสเตอร์ในอนาคตไม่ได้ฉายแค่เพียงในโรงภาพยนตร์อีกต่อไป การได้เห็นความกล้าลงทุนทุ่มทุนสร้าง โดยไม่ได้คาดหวังเงินจากตารางบ็อกซ์ออฟฟิศ Bright น่าจะเป็นตัวอย่างของหนังที่ดีของหนังฟอร์มยักษ์ในช่วงทศวรรษต่อไป

สรุป

จริงๆพล็อตดีเลยแหละ น่าสนใจ เอาเรื่องเหนือธรรมชาติมาทำได้เข้ากันดี ซึ่งส่วนตัวเรามองว่าหนังใช้ประเด็นเผ่าพันธ์มาแทนประเด็นเหยียดต่างๆในสังคมรึเปล่า(สีผิว เชื้อชาติ ศาสนา) ซึ่งเนื้อแท้ของหนังพูดถึงมิตรภาพ ความเชื่อใจ และการคอรัปชั่น เราว่าประเด็นอยู่ตรงนี้นะ

The Umbrella Academy Season 2

ดูหนังฟรี

รีวิว The Umbrella Academy Season 2

ซีรีส์ซุปเปอร์ฮีโร่ อ้างอิงจากคอมิกในชื่อเดียวกันของทีมซุปเปอร์ฮีโร่นอกคอกกลุ่มนี้ ซึ่งตัวละครและเนื้อหาอ้างอิงมาจาก Comic ในชื่อเดียวกันที่ออกโดย Dark Horse Comics ตั้งแต่เปี 2007 แล้วหลังจากนั้นจึงถูกพัฒนามาเป็นซีรีส์ โดยซีซันแรกเข้าฉายทางช่อง Netflix เมื่อปี 2019 และล่าสุดซีซันสองก็เข้ามาฉายเรียบร้อย รีวิว The Umbrella Academy Season 2

เรื่องย่อ

กลุ่มซุปเปอร์ฮีโร่ที่มาจากการรวมตัวกันของเด็กหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งที่เกิดในวันและเวลาเดียวกันคือวันที่ 1 ตุลาคม ปี 1989 แล้วทั้งหมดถูกค้นหาและนำมารวมตัวกันโดย เซอร์เรจินัลด์ ฮากรีฟฟ์ อภิมหาเศรษฐีและนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องนิสัยพิลึก ที่ได้ออกเดินทางไปทั่วโลกแล้วรวมตัวพวกเขาไว้ ทั้งสถาปนาตนกลายเป็นพ่อของพวกเขา จากนั้นก็ฝึกฝนและให้พวกเขาตั้งทีมซุปเปอร์ฮีโร่ขึ้นมาเพื่อภารกิจช่วยโลก

สำหรับตอนจบในซีซันแรก สมาชิกทั้ง 6+1 ของทีม อัมเบรล่า ได้ออกสืบหาและเผชิญหน้ากับหน่วยงานพิทักษ์เวลาที่เรียกตัวเองว่า เดอะคอมมิชชั่นเนอร์ รวมถึงหาต้นตอที่ทำให้เกิดวันสิ้นโลก แล้วก็พบว่าต้นเหตุจริงๆก็มาจากหนึ่งในสมาชิกของพวกเขา นั่นคือ หมายเลข 7 หรือ วานญา ที่เคยถูกพ่อบอกว่า ไม่ได้มีพลังพิเศษอะไร แต่ที่จริงแล้ว เธอถูกเปลี่ยนความทรงจำ เพราะพลังพิเศษของเธออันตรายเกินไปและไม่สามารถควบคุมได้ จนถึงขนาดที่ส่งผลทำให้เกิดวันสิ้นโลก

โดยในตอนจบซีซันแรก สมาชิกทีมอัมเบรล่าเลือกแก้ไขด้วยการพาตัววาลญาและทุกคนย้อนเวลากลับไปอดีต แต่กลายเป็นว่าย้อนไกลไปหน่อย ทำให้ไปอยู่ในปี 1963 ที่เมืองดัลลัส รัฐเท็กซัส เพียงแต่ว่าทุกคนย้อนมาในช่วงเวลาที่เหลื่อมล้ำกันหมด ทำให้ทุกคนต้องหาหนทางเอาชีวิตรอดในยุคอดีตที่ตนไม่คุ้นเคยและก็ต้องหาทางกลับมารวมตัวกันเพื่อทำภารกิจแก้ไขวันสิ้นโลกที่ถูกทำให้ร่นเวลากลับมาในปี 1963 ซะอย่างนั้น


ก่อแฟนคลับแบบเงียบ ๆ หลังจบซีซันแรกของ The Umbrella Academy ที่ทาง Netflix ทุ่มทุนสร้างจากคอมิกต้นฉบับของ Dark Horse Comic โดยมี เจอร์ราด เวย์ เป็นคนแต่งเรื่องราวของเหล่าฮีโรนอกคอกและมีปัญหาครอบครัว ด้วยความแปลกใหม่ของเนื้อหาที่ผสมผสานทั้งการเมือง ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมพอปต่าง ๆ เข้าไปก็ทำให้ตัวซีรีส์ประสบความสำเร็จจนได้มีซีซัน 2 ออกมาในวันนี้

เนื้อเรื่องในซีซั่นนี้

สำหรับตอนจบในซีซันแรก สมาชิกทั้ง 6+1 ของทีม อัมเบรล่า ได้ออกสืบหาและเผชิญหน้ากับหน่วยงานพิทักษ์เวลาที่เรียกตัวเองว่า เดอะคอมมิชชั่นเนอร์ รวมถึงหาต้นตอที่ทำให้เกิดวันสิ้นโลก แล้วก็พบว่าต้นเหตุจริงๆก็มาจากหนึ่งในสมาชิกของพวกเขา นั่นคือ หมายเลข 7 หรือ วานญา ที่เคยถูกพ่อบอกว่า ไม่ได้มีพลังพิเศษอะไร แต่ที่จริงแล้ว เธอถูกเปลี่ยนความทรงจำ เพราะพลังพิเศษของเธออันตรายเกินไปและไม่สามารถควบคุมได้ จนถึงขนาดที่ส่งผลทำให้เกิดวันสิ้นโลก

โดยในตอนจบซีซันแรก สมาชิกทีมอัมเบรล่าเลือกแก้ไขด้วยการพาตัววาลญาและทุกคนย้อนเวลากลับไปอดีต แต่กลายเป็นว่าย้อนไกลไปหน่อย ทำให้ไปอยู่ในปี 1963 ที่เมืองดัลลัส รัฐเท็กซัส เพียงแต่ว่าทุกคนย้อนมาในช่วงเวลาที่เหลื่อมล้ำกันหมด ทำให้ทุกคนต้องหาหนทางเอาชีวิตรอดในยุคอดีตที่ตนไม่คุ้นเคยและก็ต้องหาทางกลับมารวมตัวกันเพื่อทำภารกิจแก้ไขวันสิ้นโลกที่ถูกทำให้ร่นเวลากลับมาในปี 1963 ซะอย่างนั้น

ส่วนในซีซันสอง การเดินเรื่องมีความกระชับฉับไวมากขึ้น ทั้งที่ปมดราม่าจะหนักหน่วงกว่าในซีซันแรก แถมขยายจากปัญหาส่วนตัวของแต่ละคนมาเป็นปัญหาดูหนังฟรีที่เชื่อมโยงกับผู้คนในสังคม ซึ่งมันกลายเป็นว่าเรื่องราวดูน่าติดตามกว่าในซีซันแรก เพราะตัวละครหลักทั้งหมดมีวุฒิภาวะเพิ่มขึ้น ความดราม่าจิตตกในปัญหาส่วนตัวของแต่ละคนลดลง แล้วไปเชื่อมโยงกับผู้คนที่อยู่รอบข้างมากขึ้นแทน

ในตอนแรก เปิดเรื่องมาด้วยการที่แต่ละคนย้อนเวลากลับมาในปี 1963 เพียงแต่มากันคนละช่วงเวลา ในขณะที่หมายเลขห้า ที่มีพลังย้อนเวลาและเป็นความหวังที่จะกลับบ้านของทุกคนกลับย้อนไปช่วงเวลาที่เกิดวันสิ้นโลก (อีกแล้ว!!!) เพียงแต่คราวนี้มันเกิดขึ้นในปี 1963 จากการที่สหรัฐอเมริกาและโซเวียตเปิดฉากยิงนิวเคลียร์ใส่กัน

นั่นทำให้หมายเลขห้าต้องย้อนเวลากลับไปเพื่อตามหาสมาชิกทั้งหมดที่กระจายกันอยู่ในเมืองดัลลัสปี 1963 เพื่อรวมทีมฮีโร่ หาทางยับยั้งวันสิ้นโลก ซึ่งจุดเริ่มต้นมีความเกี่ยวข้องกับการลอบสังหารประธานาธิบดี เจ เอฟ เคเนดี้ หรือ JFK ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ แต่มันมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดบางอย่างที่ดันส่งผลให้เกิดวันสิ้นโลกจากนิวเคลียร์ซะอย่างนั้น

ความน่าสนใจของซีซันนี้

อยู่ที่ “การเล่นกับประวัติศาสตร์อเมริกา” มีการจิกกัดสังคมอเมริกาในยุค 60 ที่หลายอย่างก็ยังเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงสังคมยุคปัจจุบันด้วย แล้วก็ไม่รู้ว่าตัวหนังจงใจแค่ไหน แต่มันช่างเข้ากับสถานการณ์ Black Live Matter ที่ทำให้คนผิวสีออกมาประท้วงในสหรัฐตอนนี้ด้วย

นอกจากนี้รายละเอียดอื่นๆในตัวซีรีส์ก็น่าจะถูกใจคนที่ชอบประวัติศาสตร์อเมริกาในช่วงนั้น เพราะมีการลากโยงมาเชื่อมต่อกัน และการตีแผ่ทางสังคมต่างๆด้วย

การดำเนินเรื่อง

ในแง่ของการเดินเรื่อง เดิมในซีซันแรก การเล่าเรื่องหนังออนไลน์จะแบ่งออกไปตามพี่น้องทั้ง 6 คน ในซีซันนี้ก็ใช้วิธีเล่าเรื่องแบบเดียวกัน เพียงแต่รอบนี้มีการวาง “ธีมด้านสังคม” ที่ค่อนข้างชัดเจนและน่าสนใจอย่างมากสำหรับเส้นเรื่องของทุกคน ซึ่งต้องยอมรับว่า ทุกตัวละครมการเปลี่ยนลุคจากซีซันแรกแล้วดูดีขึ้นกว่าเดิมพอสมควรเลย

หมายเลยหนึ่ง – เส้นเรื่องที่มีการเชื่อกับเรื่องสังคมใต้ดินของอเมริกา แต่แตะแค่ผิวๆ ไปเน้นธีมของการเป็นฮีโร่ที่ล้มแล้วชีวิตเป๋

หมายเลยสอง – รอบนี้เปลี่ยนลุค มารับบทนักสืบและคนรักชาติเต็มที่ และยังมีเรื่องราวแบบโรมานซ์กับสาวหน้าใหม่ด้วย

หมายเลยสาม – ความเหลื่อมล้ำของคนผิวสี เล่นประเด็นนี้เต็มที่ น่าเสียดายที่ตอนท้ายไม่ได้วกมาเคลียร์บทสรุปเท่าไหร่

หมายเลยสี่และหก – เส้นเรื่องที่กัดพวก ฮิปปี้ บุปผาชน และ LGBT อาจจะดูน่ารำคาญบ้างในบางตอน แต่การแสดงกินขาด

หมายเลยห้า – ยังคงเป็นตัวเดินเรื่องด้านการสืบหาความจริงและการย้อนเวลา การแสดงของเขาเป็นตัวแบกเรื่องที่ยอดเยี่ยมมาก

หมายเลยเจ็ด – คราวนี้พลิกคาแรคเตอร์จากภาคแรกเลย ลดความดราม่าส่วนตัวลงไปมากๆ แถมยังมาเล่นมุม LGBT ด้วย

ด้านนักแสดง

สำหรับซีซันนี้นักแสดงที่โดดเด่นที่สุดยังคงเป็น โรเบิร์ต ชีฮาน เช่นเคยเพราะบทเคลาส์ให้โอกาสเขาได้เล่นอะไรสนุก ๆ เยอะมากทั้งอาการเมา ๆ แฮง ๆ แบบกัปตันแจ๊ก สแปร์โรว์ หรือบทดรามาที่ตัวเองพยายามไม่ให้คนรักต้องไปร่วมรบในสงครามเวียดนามเขาก็ยังทำได้ดีเช่นเคย

ส่วน ไอแดน กัลลาเกอร์ ก็น่าจะแจ้งเกิดได้ไม่ยากเลยทีเดียว เพราะคราวนี้เขาไม่ได้มีบทบาทแค่หลังตอน 5 เหมือนซีซันแรกแล้ว แต่คราวนี้ย้ายมาเป็นกระดูกสันหลังของเรื่องราวในฐานะพี่ชายในร่างเด็กมัธยมที่พยายามพาครอบครัวกลับบ้านที่ทั้งโหด บ้าดีเดือด แต่ก็เท่ไม่หยอกเลย

น่าเสียดายที่สุดคงหนีไม่พ้นคนที่ได้บทดี ๆ อย่าง เอลเลน เพจ, เอมมี เรเวอร์ แลมป์แมน และ เดวิด คาสตาเนดา ที่รายแรกอุตส่าห์มีบท LGBTQ ที่เด่นกว่าตัวละคร เคลาส์ แต่ด้วยบุคลิกที่ดูแล้วยังไม่เชื่อว่าเธอเป็นเด็กสาวอินโนเซนต์ที่เพิ่งรู้จักรักครั้งแรกจากสาววัยกลางคนเลยทำให้ดรามาในส่วนของเธอกลายเป็นช่วงเวลาที่ค่อนข้างอืดอาด

ส่วน เอมมี เรเวอร์ แลมป์แมน แม้จะถูกบิลต์จากซีรีส์มาตั้งแต่ซีซันแรกว่าเธอคือคนสวยเราก็ดันยังไม่เตะตากับลุคเธอเท่าไหร่ ยิ่งมาซีซันนี้มาแต่งเป็นสาวยุคโมทาวน์แบบไม่เข้ากับทรงหน้าเธอยิ่งแล้วใหญ่ ส่วนการแสดงแม้จะได้เป็นหนึ่งในตัวละครที่มีบทบาทกับประวัติศาสตร์คนผิวสีแต่เรากลับไม่รู้สึกตามเธอเท่าไหร่ด้วยแอ็กติงที่ยังไปไม่สุดและไม่โดดเด่นในฐานะตัวละครนำเท่าที่ควร

ส่วน เดวิด คาสตาเนดา นี่มีทั้งหน้าหล่อ ๆ แบบหนุ่มละตินและสกิลปามีด แต่เสน่ห์เวลาเข้าคู่กับ ลิลา (ริตู อาร์ยา) สาวอินเดียหน้าคมสุดอันตรายแล้วคือไม่เกิดเลยกลับหมองไปในทุกซีนที่เข้าคู่กัน เป็น ทอม ฮอปเปอร์ กับ จัสติน เอช มัน ซะอีกที่น่าสงสารเพราะพวกเขาได้มีบทบาทเป็นแค่บทประกอบแบบสำคัญไม่เท่าคนอื่นแต่มีการแสดงที่น่าสนใจทีเดียว โดยเฉพาะคนหลังที่หน้าตี๋ ๆ หล่อ ๆ น่าจะสร้างแฟนคลับสาว ๆ ได้ไม่ยากเลย

รีวิว The Umbrella Academy Season 2

และยิ่งไปกว่านั้น ในซีซันที่ 2 ยังมีตัวละครที่น่าสนใจอีกเพียบทั้งพี่น้องสวีเดน 3 เกลอที่โหดจัดและบ้าบอคอแตกมาก หรือจะเป็นตัวละครประธานกลุ่มเดอะ คอมมิชชัน ที่หัวเป็นโหลปลาทอง ไปจนถึงตัวละครแสบ ๆ ทั้ง ลิลา ที่ได้สาว ริตู อาร์ยา สาวอินเดียหน้าคมเสน่ห์ร้ายที่น่าจะทำให้หนุ่ม ๆ หลงไหลได้ไม่ยาก

ไปจนถึง MVP ประจำซีซันอย่างเดอะแฮนด์เลอร์ ที่ได้ เคต วอล์ช นักแสดงตัวแม่จากซีรีส์ Grey Anatomy มารับบทผู้จ้างวานตายยากแสบสารพัดพิษได้แซ่บถึงพริกถึงขิงว่าขนาดคอสตูมนางว่าเวอร์วังแล้ว แต่แอ็กติงคือชนะเลิศและฆ่าเพื่อนร่วมจอตายหมดจริง ๆ

จุดด้อย

สำหรับจุดด้อย ที่ก็ยังเป็นจุดอ่อนจากภาคแรกเช่นเดิมก็คือ ฉากแอ็กชั่น ที่ยังทำออกมาไม่ดีเท่าไหร่นัก ที่แม้ว่าด้าน CG กราฟฟิกจะทำออกมาได้ดี และสามารถการประยุกต์พลังพิเศษของแต่ละคนให้ใช้ในการต่อสู้จะสร้างสรรค์และมีความครีเอทไม่น้อย แต่ในแง่ของฉากต่อสู้ด้วยมือเปล่าและการใช้อาวุธที่ดูสมจริงกลับทำออกมาไม่ดีนัก

จำเป็นต้องใช้เทคนิกสโลว์โมชั่นเข้าช่วยแบบเห็นได้ชัดอย่างมาก ถือว่าเป็นจุดด้อยเลยก็ว่าได้สำหรับใครที่อยากดูบทแอ็กชั่นฉับไว ดุดัน สมจริง นอกจากนี้ความแรงของเรื่องถือว่าอยู่ในระดับเรต 18+ เพราะมีฉากเลือดสาดแทรกอยู่ อาจจะไม่เหมาะสำหรับเด็ก

อีกจุดที่ยังทำได้ไม่ค่อยดีแต่มีความพยายามที่จะพัฒนาจากซีซันแรก ก็คือไดอาล็อคตัวละคร ที่ทุกคนพร้อมจะดราม่ากับตัวเองตลอดเวลา แถมปุปปัปอารมณ์ก็พร้อมเปลี่ยนแปลงอีก เพียงแต่ภาคนี้ความน่ารำคาญของหลายตัวละครลดลงไป ทำให้เรื่องดูสนุกขึ้นมาก

ตัวร้าย

ส่วนตัวร้าย ภาคนี้ต้องยอมรับว่าบทของพวกสามพี่น้องนักฆ่าสวีเดน ทำออกมาไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่ ในขณะที่ผู้จัดหา ซึ่งเป็นตัวร้ายหลักที่ออกมาตั้งแต่ภาคแรก ก็เสียท่าง่ายเกินไป ทั้งที่เจ้าตัวอุตส่าห์วางแผนมาอย่างดี อีกทั้งบางมุกในตอนท้ายก็ออกจะเป็นแนวสูตรสำเร็จไปหน่อย ชนิดที่คนดูหนังมาเยอะมากพอจะเดาได้ไม่ยาก แต่ก็ถือว่าเป็นความพยายามในการหาทางลงสำหรับบทสรุปได้ดีเท่าที่จะทำได้แล้วเหมือนกัน

โดยรวม

โดยภาพรวมต้องยอมรับว่าตัวซีรีส์ในซีซัน 2 ดูสนุกและลื่นไหลกว่าซีซันแรกมาก ทั้งที่ต้องปูประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ของอเมริกาทั้งการลอบสังหารจอห์น เอฟ เคนเนดี ในปี 1963 การเรียกร้องสิทธิความเท่าเทียมของคนผิวสีในช่วงเริ่มต้น ไปจนถึงสงครามเวียดนามและลัทธิประหลาดที่เกิดขึ้นในยุคดังกล่าว แต่พอซีรีส์ไม่จำเป็นต้องปูพื้นหรือบอกเล่านิสัยใจคอของตัวละครแล้ว คนดูก็จะได้เห็นพวกเขาท่องไปในช่วงเวลาประวัติศาสตร์พร้อมบุคลิกแบบป่วน ๆ กวนประสาทของพวกเขาก็ทำให้ตัวซีรีส์ดูสนุกไม่น้อยเลยทีเดียว

สรุป

ก็ถือว่า The Umbrella Academy Season 2 มีดีให้ติดตามและดูง่ายกว่าซีซันแรก แถมยังปูพื้นตอนท้ายว่าอาจมีซีซัน 3 ได้แบบยั่วความอยากดูสุด ๆ คงไม่ต้องลังเลแล้วสำหรับใครที่ยังไม่ได้ดูหาเวลาสุดสัปดาห์นี้ไล่ดูยาว ๆ ได้เลย

The Umbrella Academy

ดูหนังฟรี

รีวิว The Umbrella Academy - ดิ อัมเบรลลา อคาเดมี่

ซีรีส์สายดาร์กเน้นพูดคุยเป็นส่วนใหญ่ ดำเนินเรื่องไปอย่างช้าๆค่อยๆปล่อยความสนุกออกมาให้คนดูได้รับรู้ทีละนิด ฉากต่อสู้ไม่ค่อยเยอะ ซีซั่น 1 มีทั้งหมด 10 ตอน สามารถดูวันเดียวจบได้ และเป็นอีก 1 ซีรีส์ที่มีความเป็นเอกลักษณ์สูงมาก ชอบก็ชอบมาก ไม่ชอบก็เกลียดไปเลย รีวิว The Umbrella Academy

เรื่องย่อ

1 ตุลาคม 1989 เกิดเหตุการณ์ประหลาดเมื่อสาวบริสุทธิ์ให้กำเนิดบุตรและธิดารวม 43 คน โดยเด็กทุกคนจะมีพลังพิเศษแอบแฝงอยู่แต่มีเด็ก 7 คนที่ เซอร์ เรจินัลด์ ฮาร์กรีฟส์ (คอล์ม ฟิออร์) ได้อุปถัมภ์และก่อตั้ง อัมเบรลลา อคาเดมี เพื่อฝึกให้พวกเขากลายเป็นฮีโร่พิทักษ์โลกได้แก่ อาร์เธอร์ (ทอม ฮอปเปอร์) หรือหมายเลข 1 นักบินอวกาศผู้มีพละกำลังอันแข็งแกร่ง ,ดิเอโก (เดวิด แคสตานีดา)

หรือหมายเลข 2 มือมีด, อลิสัน (เอมี เลเวอร์ แลมป์แมน) หรือหมายเลข 3 ดาราดังผู้สามารถบิดเบือนความจริงด้วยคำโกหก, เคลาส์ (โรเบิร์ต ชีฮาน) หรือหมายเลข 4 ผู้สามารถสื่อสารกับวิญญาณได้, หมายเลข 5 (ไอแดน กัลลาเกอร์) เด็กชายไร้ชื่อผู้สามารถเดินทางข้ามเวลาได้ และวานย่า (เอลเลน เพจ)

หรือหมายเลข 7 ผู้ถูกตีตราว่าไร้พลังแต่คอยบันทึกประวัติศาสตร์ของพวกเขาเป็นหนังสือ และด้วยบาดแผลในวัยเด็กของพวกเขาก็ทำให้แต่ละคนแยกย้ายไปตามทาง แต่หลังการตายของ เซอร์เรจินัลด์ พวกเขาก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้งเพื่อหาสาเหตุการตายของพ่ออุปถัมภ์และต้องร่วมมือกันหยุดยั้งหายนะโลกที่ถูกบงการโดย เดอะคอมมิชชั่น


The Umbrella Academy เดิมทีเป็นคอมิกในค่าย ดาร์ค ฮอร์ส คอมิก ที่มีซูปเปอร์ฮีโร่ดังอย่างเด็กนรก Hellboy และ The Mask หน้ากากเทวดา เป็นหัวหอกของค่าย ซึ่งคอมิกค่ายนี้มักเน้นเรื่องราวของตัวละครเอกที่มีด้านมืดหรือเกิดจากผลกระทบบางอย่างจากสังคมเป็นสำคัญ ซึ่งก็ไม่เว้น The Umbrella Academy ผลงานการสร้างสรรค์เรื่องราวโดย เจอร์ราด เวย์ ผ่านลายเส้นของ แกเบรียล บาร์

โดยแรกเริ่มเป็น คอมิกแบบ 6 ฉบับจบระหว่างปี 2007 2008 และได้รับรางวัล ไอส์เนอร์อวอร์ด สาขาลิมิเต็ดซีรีส์คอมิกยอดเยี่ยม และคอมิกซีรีส์ที่ 2 ก็เพิ่งวางแผงเล่มแรกจาก 3 ฉบับไปเมื่อปี 2018 ที่ผ่านมา โดยโครงการดัดแปลงคอมิกชุดนี้เป็นซีรีส์ได้เริ่มต้นในปี 2015 หลังจากล้มเหลวในการดัดแปลงเป็นฉบับภาพยนตร์มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน และในที่สุดมันก็ได้กลายเป็นซีรีส์ของทาง Netflix และเริ่มสตรีมมิง 10 ตอนไปเมื่อวันที 15 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมานั่นเอง

เนื้อเรื่อง

ปี 1989 จู่ๆผู้หญิงทั่วโลกตั้งท้องแล้วคลอดลูกพร้อมกันในวันเดียวกัน 43 คน คืออยู่ดีๆ ก็ท้องป่องปุ๊บ คลอดปั๊บ แบบไม่มีสาเหตุ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องหลัก

มีเศรษฐีชื่อว่า เรจินัลด์ ฮาร์กรีฟ ได้รับอุปถัมป์ เป็นพ่อเด็กที่เกิดอย่างปริศนาพวกนั้นได้ 7 คน แต่ละคนมีหมายเลขประจำตัวคือ 1-7 และเด็กพวกนั้นมีพลังพิเศษต่างกันออกไป เรจินัลด์ได้ตั้ง The umbrella academy ขึ้นมาเพื่อฝึกเหล่าเด็กๆที่มีพลังพิเศษให้ช่วยเหลือโลก และนั่นก็ยังไม่ใช่พล็อตเรื่องหลัก

ด้วยสาเหตุหลายๆอย่าง พอเด็กๆพวกนั้นโตขึ้น ก็ได้แยกย้ายกันไปใช้ชีวิตของตัวเอง เรียกง่ายๆคือ บ้านแตก ครอบครัวแตก เป็นเวลากว่า 17 ปี แต่แล้ววันหนึ่ง ทั้ง “5” คนก็ได้ข่าวการตายของพ่อ จึงได้กลับมารวมตัวกันที่บ้านอีกครั้ง เพื่อร่วมงานศพ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องหลัก (ห้ะ?)

ที่บอกว่าทั้ง 5 ได้กลับบ้าน แต่จริงๆแล้วมี 7 คน ก็เพราะว่า หมายเลข 6 ได้เสียชีวิต และหมายเลข 5 ได้หายตัวไปตั้งแต่ 17 ปีก่อนการตายของพ่อ (หมายเลข 5 มีพลังกระโดดวาปไปมาระว่างที่ได้ และสามารถกระโดดวาปข้ามเวลาได้ด้วย) แต่แล้วในระหว่างที่กำลังไว้อาลัยให้คุณพ่อ จู่ๆ หมายเลข 5 ก็หล่นตุ้บลงมาจากฟ้า พร้อมกับบอกว่า จะถึงคราวอวสานของโลก

การดำเนินเรื่อง

สำหรับการดำเนินเรื่องในซีรีส์ต้องยอมรับว่า คนดูอาจต้องปรับตัวเข้ากับสไตล์การเล่าเรื่องไปพอสมควร และยิ่งบทสร้างปมไว้เยอะเหลือเกินทั้งปมใครฆ่าพ่อของเหล่าเด็กกำพร้าซูเปอร์ฮีโร่แล้ว ยังมีปมที่หมายเลข 5 พยายามหาทางหยุดยั้งวันสิ้นโลกตามที่เขาได้เดินทางข้ามเวลาไปพบเจอให้ได้ ซึ่งการแบ่งเนื้อหาใน 10 ตอน ขอสารภาพว่าตัวซีรีส์ไม่ได้ช่วยให้คนดูเข้าใจเรื่องราวได้ง่ายขึ้นเลย

เพราะดูหนังฟรีมันเต็มไปด้วยเหตุการณ์ยิบย่อยมากมาย แถม 10 ตอนที่ถูกปล่อยมาตอนนี้ เราก็ยังไม่ได้รับรู้เรื่องราวที่มาของพลังจากเหล่าฮีโร่แต่ละตัวมากนัก แต่จะเน้นไปที่บาดแผลทางจิตใจที่เซอร์ เรจินัลด์ ฮาร์กรีฟส์ ได้ทิ้งไว้ในใจพวกเขา โดยเหตุการณ์ใน 10 ตอนนี้มีการบอกเล่าถึงตัวละครหลัก 6 ตัวได้แบบกระท่อนกระแท่นและอาจไม่ปะติดปะต่อนัก เดาว่าคงพยายามคุมโทนของคอมิกเอาไว้ซึ่งก็อาจไม่ถูกใจคนดูในวงกว้างมากนัก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุการณ์ใน 5 ตอนแรกที่ซีรีส์เอาเวลาไปบอกเล่าเรื่องราวยิบย่อยมากกว่าประเด็นหลัก โดยเฉพาะ 2 ปมหลักอย่างการหาสาเหตุการตายของเซอร์ เรจินัลด์ ก็ดันมีแค่ สเปซบอย คนเดียวที่ให้ความสำคัญและปมนี้ก็จบลงอย่างง่ายดายทั้งที่มันเป็นปมเปิดซีรีส์ ก่อนที่ตอนท้ายเราจะได้พบปมที่แท้จริงได้แก่ ปมที่หมายเลข 5 พยายามหยุดยั้งหายนะโลก

ที่กว่าซีรีส์จะทำให้ปมนี้กลายเป็นปมที่รวมเหล่าตัวละครฮีโร่ก็ปาไปตอนที่ 4 แล้ว แถมเมื่อถึงตอนที่ 6 ซีรีส์ก็ดันใช้พลอตเดินทางข้ามเวลามาหักล้างทุกอย่างที่ปูไว้ใน 5 ตอนแรกแบบแทบไม่มีปมสำคัญอะไรมาสานต่ออีกแล้วนอกจากแค่แนะนำตัวละครว่าใครเป็นใครเท่านั้นเอง เพราะผ่านมา 5 ตอนเราก็ยังไม่ค่อยรู้จักตัวละครแต่ละตัวเท่าไหร่นักเลย

ลำพังแค่ข้อมูลพื้นฐานอย่างพลังแต่ละคน บางทีก็ยังไม่ชัดเจนนัก เช่น ทำไมหมายเลข 1 ถึงต้องเรียกว่าสเปซบอย นอกจากแค่เรื่องที่เขาถูกพ่อส่งไปอยู่บนดวงจันทร์ แถมยังถูกฉีดเซรุ่มที่ทำให้เขามีขนรุงรังกลายเป็นลิงกอริลล่าอีก และที่หนักสุดคือหมายเลข 3 ดาราดังที่สามารถใช้คำโกหกของตัวเองบิดเบือนความเป็นจริง

ซึ่งซีรีส์ก็ไม่ได้ทำให้เห็นชัดเจนนัก ว่ามันส่งผลกับเรื่องราวยังไง เช่นเดียวกับ เคลาส์ ที่กว่าเราจะได้เห็นประโยชน์ของการคุยกับวิญญาณได้ก็ปาไปเกือบจบซีซันแล้ว ที่สำคัญคือการที่ซีรีส์ไม่ได้ปูปมความคับแค้นใจของ วานย่า หรือหมายเลข 7 มาตั้งแต่ต้นและให้ความสำคัญกับการค่อยๆถักทอความขัดแย้งกับเหล่าพี่น้องให้เป็นรูปธรรมจนมาไปถึงตอนที่ 8

ที่พอซีรีส์จะหาปมสนุกๆอะไรให้เราติดตามได้ก็เกือบหมดซีซันแล้ว จึงกลายเป็นว่าตัวซีรีส์หมดเวลาไปกับการสร้างฉากกวนๆพยายามให้ขำเพื่อสร้างเสน่ห์ให้ตัวละคร แต่กลับแป๊ก แทนที่จะเอาเวลามาปูปมสำคัญให้เราสามารถเอาใจช่วยหรือรู้สึกร่วมไปกับตัวละครจนอยากเอาใจช่วยไปอย่างน่าเสียดาย

ฉากแอ็คชั่น

แต่กระนั้นก็ใช่ว่า The Umbrella Academy จะไร้ซึ่งความสนุกไปเสียทีเดียว เพราะพอเรื่องราวถูกปูมาดีแล้ว ตอนที่ 7 เป็นต้นไป ซีรีส์หนังใหม่ชนโรงก็เสิร์ฟฉากแอ็คชั่น และความโหดเลือดสาดกันแบบบึ้มบั้มไม่เกรงใจใครดีเหมือนกัน แถมยังโชว์สเปเชียล เอฟเฟกต์ เจ๋งๆได้แบบไม่น้อยหน้าหนังซูเปอร์ฮีโร่ฟอร์มยักษ์ฉายโรงเลย แม้ว่าจะมีบางจุดที่เอฟเฟกต์ดู บ๊ง บ๊ง ไปหน่อยก็ตาม

รีวิว The Umbrella Academy

ตัวร้ายที่ไม่ได้อยากจะครองโลก?

ซีรีส์นี้มีตัวร้ายหลักๆอยู่ 3 ตัวละคร ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นตัวละครจากองค์กรหนึ่งที่คอยดูให้สิ่งต่างๆนั้นเกิดขึ้นตามที่มันควรจะเกิด ซึ่งองค์กรนี้ได้ส่งนักฆ่ามาตามล่า หมายเลข 5 ซึ่งเขาก็เคยเป็นอดีตสมาชิกในองค์กรนี้เช่นกัน หากสงสัยว่าทำไมต้องตามฆ่าหมายเลข 5 เพราะหมายเลข 5 กำลังจะเปลี่ยนแปลงอนาคตของโลกนั้นเอง

มุขตลกต่างๆ

ซีรีส์มีการแทรกมุขตลกให้คนดูได้ขำเหมือนกัน เพราะถ้าหากจะดาร์กอย่างเดียวคนดูก็คงจะหดหู่กันพอดี โดยเราจะได้เห็นฉากขำๆอยู่ไม่เยอะแต่ก็ไม่น้อย โดยฉากที่ผมชอบที่สุดคือ หมายเลข 1 ที่สู้กับ หมายเลข 5 แล้วบอกว่าฉันทำแบบนี้ได้ทั้งวัน เหมือนเป็นการล้อเลียน กัปตันอเมริกา จากค่าย Marvel ซึ่งมันทำให้ผมหลุดขำออกมาคนเดียวเลยละ

นักแสดง

ส่วนนักแสดงต้องขอชื่นชมที่สุดเห็นจะเป็น เอลเลน เพจ ที่ยังคงฝีไม้ลายมือในการแสดงบทดราม่าได้ดีมาก ส่วน โรเบิร์ต ชีฮาน ก็รับบทตัวละคร LGBTQ อย่างเคลาส์ได้อย่างมีเสน่ห์น่าชื่นชม ต่างจากตอนได้ดูหนังใหญ่อย่าง Mortal Engine (2018) ที่ไม่ส่งเสริมภาพลักษณ์ของเขาเท่าบท เคลาส์ เด็กจิตสัมผัสที่โตมาแล้วต้องพึ่งพายาเสพย์ติดเพื่อไม่ให้เห็นภาพน่ากลัวติดตาจนเราอดเห็นใจตัวละครไม่ได้

โดยรวม

โดยรวมแล้วมันเป็นซีรีส์ฮีโร่เรื่องนึงที่แปลก แบบ แปลกมากๆ ไม่รู้จะเอาไปเทียบกับเรื่องไหน หรือจัดมันอยู่ในหมวดอะไร เพราะว่าเรื่องนี้สามารถเอาเข้าไปอยู่ในหมวด ฮีโร่/ดราม่าครอบครัว/เดินทางข้ามเวลา/องค์กรลับ/นักฆ่า/คดีปริศนา/วันสิ้นโลก/พลังพิเศษ/ตลกร้าย อีกสารพัด ก็เลยต้องขอบอกว่า มันมีเสน่ห์ในแบบของตัวมันเอง

สรุป

เป็นซีรีส์สายดาร์กเน้นพูดคุยเป็นส่วนใหญ่ ดำเนินเรื่องไปอย่างช้าๆค่อยๆปล่อยความสนุกออกมาให้คนดูได้รับรู้ทีละนิด ฉากต่อสู้ไม่ค่อยเยอะ ซีซั่น 1 มีทั้งหมด 10 ตอน สามารถดูวันเดียวจบได้ และเป็นอีก 1 ซีรีส์ที่มีความเป็นเอกลักษณ์สูงมาก ชอบก็ชอบมาก ไม่ชอบก็เกลียดไปเลย

The Untamed

ดูหนังออนไลน์

รีวิว The Untamed - ปรมาจารย์ลัทธิมาร

ซีรีส์จีน เรื่องดังที่ขึ้นชื่อในเรื่องกระแสวาย แต่ด้วยความสนุกเข้มข้นของเนื้อเรื่องและตัวละคร ก็ทำให้มียอดวิวถล่มทลายในประเทศจีนและในหลายประเทศที่ออกฉาย ได้เข้ามาฉายใน Netflix พร้อมมีซับไทยเรียบร้อยแล้ว รีวิว The Untamed

เรื่องย่อ

‘เว่ยอู๋เซี่ยน’ เด็กหนุ่มกำพร้าที่ได้รับการเลี้ยงดูจากบ้านสกุลเจียง หนึ่งในตระกูลที่ยึดถือปฏิบัติตนเป็นนักพรต ประกอบด้วยสกุลใหญ่ 5 สกุล คือ เจียง, หลาน, จิน, เนี่ยและเวิน โดยเว่ยอู๋เซี่ยนได้ไปฝึกวิชากับบ้านสกุลหลานและได้พบกับ ‘หลานวั่งจี’ ซึ่งทั้งคู่มีนิสัยที่แตกต่างกันมาก หลานวั่งจีจะนิ่งๆ อยู่ในกฏระเบียบ แต่เว่ยอู๋เซี่ยนจะคิดต่าง มีความคิดใหม่ๆ อาจจะฝ่าฝืนกฎบ้าง แต่ทั้งคู่ก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันและร่วมฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ด้วยกันหลายต่อหลายครั้ง ต่อมาตระกูลเวินต้องการที่จะเป็นผู้นำในบรรดา 5 สกุล ทำให้เกิดเรื่องราวต่างๆ มากมายขึ้น ซึ่งเป็นเหตุการณ์ครั้งใหญ่ที่จะเปลี่ยนชีวิตของเว่ยอู๋เซี่ยนไปตลอดกาล


เป็นซีรีส์ที่ไม่ได้รีวิวเพราะมัวแต่หลงอยู่ในกูซูไม่จบไม่สิ้น จนบัดนี้ล่วงเลยมาถึงปี 2020 เชื่อว่ามีหลายคนวนกลับเข้าไปในกูซูอยู่บ่อย ๆ เดือนหน้าก็จะครบรอบ 1 ปีที่ซีรีส์เรื่องนี้ออกอากาศแล้ว ไม่พูดถึงก็เกรงว่าจะผิดบาป แต่ก่อนอื่นขอแสดงความยินดีกับ ปรมาจารย์ลัทธิมาร อีกครั้งค่ะ ที่นอกจากจะเป็นซีรีส์ที่ทำให้ Tencent เติบโตถึง 250% จากซีรีส์เรื่องนี้แค่เรื่องเดียวแล้ว

จนถึงปัจจุบันยังมียอดการรับชมใน แอป Tencent มากกว่า 8 พันล้านครั้ง ไม่นับรวม WeTV ของประเทศต่าง ๆ ด้วยนะ (ข้อมูลวันที่ 20 พฤษภาคม) และได้ข่าวว่าผู้ที่เข้ากูซูหลังสุดอย่างญี่ปุ่น ถึงกับปล่อย Blu-Ray ออกมาวางจำหน่ายกันด้วย สนนราคาชุดละ 6,000 บาท​+ มีทั้งหมด 3 ชุด ซึ่งจะวางจำหน่ายในอีก 3 เดือนข้างหน้า เปรี้ยงแค่ไหนถามใจดู

เกริ่นเล็กน้อยสำหรับใครที่ยังไม่เคยดูซีรีส์จากจีนแผ่นดินใหญ่เรื่องนี้นะคะ ปรมาจารย์ลัทธิมาร ดัดแปลงมาจากนิยาย boy love ที่แต่งโดย โม่เซียงถงซิ่ว ซึ่งก็นำมาทำทั้งมังงะและอนิเมะจนถึงซีรีส์ที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่ เห็นคำว่า boy love หลายท่านอาจจะร้อง อุ๊ย!!! นี่มันซีรีส์สาย Y รึเปล่า ก็ใช่เลย แต่ก็สามารถที่จะไม่ใช่ในเวลาเดียวกัน

ปรมาจารย์ลัทธิมาร ชื่อเรื่องดูหนังออนไลน์แปลตรงตัวมาจากต้นฉบับนิยายเรื่อง ม๋อเต้าจู่ซือ (Mo Dao Zu Shi) เป็นผลงานเขียนโดย โม่เซียงถงซิ่ว นักเขียนชาวจีนที่เขียนนิยายทางออนไลน์ แล้วประสบความสำเร็จมาก จึงได้ตีพิมพ์แล้วกลายเป็นนิยายขายดี ส่วนในประเทศไทยได้ลิทสิทธิ์ฉบับแปลไทยแล้วโดย สนพ.เบเกอรี่บุ๊คส์ ทั้งหมด 5 เล่มจบ

เนื้อเรื่อง

เรื่องราวเกี่ยวกับตำนานความรักและความแค้นของเหล่าเซียน โดยเน้นที่ ปรมาจารย์อี๋หลิง เว่ยอู๋เซี่ยน ซึ่งถูกเรียกว่าเป็น ปรมาจารย์ลัทธิมาร แต่ว่าเดิมทีเขาเป็นชายหนุ่มกำพร้าที่ถูกรับเลี้ยงจากตระกูลเจียง ซึ่งเป็น 1 ใน 5 ตระกูลใหญ่ที่สืบทอดวิชาแนวทางพรตเต๋า ได้แก่ เจียง หลาน จิน เนี่ย เวิน ซึ่งตัวของเว่ยอู๋เซี่ยนถูกส่งไปฝึกวิชาที่ตระกูลหลาน แล้วเขาก็ได้พบกับ หลานวั่งจี (หลานจ้าน) ผู้ซึ่งจะกลายเป็น “คู่ทางวิญญาณ” ที่ผูกพันกันไปตลอดชีวิต

แต่แล้วชะตาชีวิตของเว่ยอู๋เซี่ยนก็ต้องพบจุดพลิกผัน เมื่อเขาได้คิดแนวทางการใช้พลังจากจิตคลั่งแค้นของเหล่าวิญญาณอาฆาต เพื่อนำพลังด้านลบเหล่านั้นมาใช้ประโยชน์ แต่แนวคิดนี้ทำให้เขาถูกมองว่าเป็นวิชานอกรีต ซึ่งต่อมา สกุลเวิน ก็ได้เริ่มขยายอำนาจขึ้นมาครองความเป็นใหญ่ บีบให้สกุลอื่นต้องยอมจำนน นำไปสู่สงครามและแผนการมากมาย

เว่ยอู๋เซี่ยนซึ่งรับพลังของเหล่าวิญญาณอาฆาตก็ได้สิ้นชีพลง จากนั้น 13 ปีต่อมา โม่เสวียนอวี่ ชายหนุ่มซึ่งกดขี่ข่มเหงมาตลอด และพกพาความแค้น ก็ได้พบชะตาพลิกผันเมื่อเขาได้อัญเชิญวิญญาณร้ายเข้าสู่ร่างตนเองเพื่อทำเป้าหมายให้ วิญญาณของเว่ยอู๋เซี่ยนจึงถูกเรียกกลับคืนมาในร่างโม่เสวียนอวี่ เพื่อกลับมาสะสางเรื่องราวต่าง ๆ อีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้เขาต้องหาทางเอาตัวรอดและปิดบังตัวตนเอาไว้ รวมถึงคู่รักคู่แค้นอย่าง หลานวั่งจี

การดำเนินเรื่อง

ซีรีส์ดำเนินไปในลักษณะตัวเอกคู่ เล่าเรื่องราวของ เว่ยอิง หรือ เว่ยอู๋เซียน (เซียวจ้าน 肖战 ) จากตระกูลเจียง แห่ง อวิ๋นเมิ่ง หนุ่มรูปงาม ยอดอัจฉริยะและจิตใจดี กับ หลานจ้าน หรือ หลานวั่งจี (หวังอี้ป๋อ 王一博) จากตระกูลหลาน แห่ง กูซู หนุ่มรูปงามที่แสนเย็นชาและเคร่งครัดกฎระเบียบ เป็นคู่หูตระกูลเซียน ที่มีปณิธานเดียวกันตั้งแต่รุ่นหนุ่มคือ “กำจัดคนชั่ว ช่วยเหลือผู้อ่อนแอ ไร้เรื่องละอายใจ”

งานกำจัดคนชั่วช่วยผู้อ่อนแอของสองคนนี้ เริ่มจากการตามหาชิ้นส่วนของเหล็กทมิฬ เพื่อผนึกมันไว้ให้ห่างไกลจากเงื้อมือของ เวินรั่วหาน ประมุขตระกูลเวินที่พยายามจะรวมเหล็กทมิฬเพื่อหวังจะครอบงำเหล่าตระกูลเซียนอื่น ๆ ซึ่งมีตระกูลใหญ่ที่เป็นตระกูลสำคัญในเรื่องคือ หลาน เจียง จิน เนี่ย เวิน ทั้งสองคนผ่านอุปสรรคมากมายมาด้วยกัน

จนเป็น สหายสนิท แต่แล้ววันหนึ่ง เว่ยอิง มีเหตุให้ต้องไปฝึกวิชาพิสดารที่เขาคิดค้นขึ้นเองและสร้าง ตราพยัคฆ์ทมิฬ ขึ้นมาเพื่อหวังจะจัดการกับศัตรู ทำให้ผู้คนกล่าวขานและตั้งสมญาให้ว่า ปรมาจารย์อี๋หลิง (อี๋หลิงเหลาจู่)

เขาถูกใส่ร้ายและต้องพบกับเรื่องราวที่ทำให้ บุรุษหนุ่มต้องจบชีวิตตัวเองอย่างระทมทุกข์ที่ ปู่เย่เทียน สร้างความเสียอกเสียใจให้ หลานจ้าน เป็นอย่างมาก 16 ปีผ่านไป (ตามไทม์ไลน์ซีรีส์) โม่เสวียนอี่ ใช้อาคมสละชีพแลกวิญญาณกับ เว่ยอิง ให้ฟื้นคืนชีพเพื่อมาแก้แค้นและไขปมปริศนา

การรอคอยสหายสนิทเป็นเวลาสิบกว่าปีของหลานจ้าน ก็สมหวัง สองคนจับมือกันร่วมแก้ไขสถาณการณ์ต่าง ๆ ปมปริศนาฆาตกรรมคลายออก คนร้ายตัวจริงถูกเปิดเผย จบจ้ะ…จริง ๆ แล้วเนื้อหามันก็คือ ซีรีส์กำลังภายในท่องยุทธจักร มีฝ่ายธรรมะลวงโลกและฝ่ายอธรรมจำเป็น แต่ทำไมซีรีส์เรื่องนี้ถึงดังเปรี้ยงจนทำเอาเด็กหนุ่มสองคนเป็นที่รู้จักทั่วเอเชียในพริบตา

การเขียนบท

เมื่อนำนิยายมาทำเป็นละครโทรทัศน์ แน่นอนว่าการเขียนบทให้ถ่ายทอดออกมาได้กินใจผู้ชมและไม่กระทบกับบทประพันธ์ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าละครเรื่องนั้นนำมาจากนิยาย Boy Love ที่โด่งดัง มิหนำซ้ำประเทศผู้ผลิตยังไม่เปิดกว้างให้ทำออกมาอย่างเสรี บทที่เขียนออกมาจึงมีการบิดบทประพันธ์ให้เป็นไปในทางท่องยุทธจักรของสองเพื่อนซี้

มีการตัดทอนความเป็น Y ออกไปและแทนที่ด้วยมิตรภาพแน่นแฟ้น แบบฉบับลูกผู้ชายที่เพียงมองตาก็รู้ใจ และข้อจำกัดที่ว่าก็นำไปถึงการสร้างงานศิลปะชั้นละเมียดด้านอื่น ๆ

เมื่อเราต้องอยู่ในกรอบเราก็ต้องสวยที่สุด เหมือนภาพวาดสวยงามที่ศิลปินสร้างขึ้นจริงไหมคะ บทจึงมีการปูความสัมพันธ์หลากหลายรูปแบบ ซีรี่ย์ Netflixนำเสนอมุมมองความรักในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ในครอบครัวของแต่ละตระกูล มิตรภาพที่เป็นรักแท้แบบไม่มีอะไรกั้น (แต่ไม่หยุด) ของเว่ยอิงและหลานจ้าน

ที่ต่างคนต่างเชื่อในความดีซึ่งกันและกัน โดยยึดถือคุณธรรมเป็นหลักและไม่ทรยศต่อตนเอง นอกจากนี้ยังผูกปมต่าง ๆ ได้แน่นขนัด ดราม่ากันกระจัดกระจายน้ำตาท่วมจอ (ดิฉันเสียน้ำตาให้กับตระกูลเจียงไป 2 ไห)

ตัวละครทุกตัวมีเหตุและผลของการกระทำที่เป็นไปได้ ไม่มีการกระทำของตัวละครตัวไหนไร้เหตุผล ทุกคนมีบทบาทความสำคัญที่จะโยงใยไปถึงเหตุอันน่าจะเป็นภายในเรื่อง ที่จะเปิดเผยที่มาที่ไปของตัวละครตัวอื่นในฉากต่อ ๆ ไป จนถึงกับเรียกได้ว่าเราจะข้ามซีนไหนไปไม่ได้เลย

ศิลปะแห่งการสื่อสาร

ชมจริงจังกับการถ่ายทอดในซีนต่าง ๆ ของผู้กำกับ การแสดงออกทางสีหน้า ท่าทางและแววตาของตัวละครอยู่ในขั้นละเมียด กลมกลืน เป็นศิลปะการนำเสนอที่หลีกเลี่ยงความ Y ไปอย่างไร้ข้อกังขา แปรเปลี่ยนเป็นมิตรภาพความรักระหว่างสหาย เล่นแร่แปรธาตุจาก Y กลายเป็นความสัมพันธ์ละมุนละม่อมจนเราเผลอยิ้มให้กับมิตรภาพที่อยู่ตรงหน้าบ่อย ๆ

เป็นการใช้ภาษากายที่สุภาพและสื่อความหมายทางอ้อมได้อย่างไม่ขัดสายตา ติดใจมากกับฉากหลานจ้านบรรเลงกู่ฉินและเว่ยอิงเป่าขลุ่ย ช่วยกันสะกดวิญญาณดาบ สายตาที่ส่งให้กันมันซ่อนความหมายเอาไว้อย่างพรั่งพรู

ซีรีส์มีการซ่อนความหมายแฝงไว้อย่างมากมาย โดยใช้หลักความเชื่อ ประเพณี วัฒนธรรมของจีนโบราณในเชิงสัญลักษณ์ แบบให้คนดูเดาทางและตีความหมายแบบจิ้น ๆ กันเอาเองกับฉาก หลานจ้านจับไก่ ปีระกากับความเชื่อของชาวจีน

การเผยแพร่วัฒนธรรม

เรื่องนี้กล่าวถึงจีนโบราณ อุปโลกขึ้นมาให้เป็นยุคที่มีเซียนขี่กระบี่ เซียนในที่นี้คือคนที่ฝึกวิชาจนเป็นมนุษย์พิเศษที่สามารถปราบภูตผี เขียนยันต์ มีลมปราณขั้นสูงสุดที่เรียกว่า จินตาน ขับเคลื่อนพลังวิญญาณ ใช้กระบี่และเครื่องดนตรีคือ กู่ฉิน 7 สายและขลุ่ยในการต่อสู้ เป็นการนำความเชื่อเดิมของจีนโบราณที่เชื่อว่าการฟังหรือบรรเลง กู่ฉิน จะสามารถเข้าไปสัมผัสในส่วนจิตของผู้ฟัง มากกว่านั้นยังสามารถรักษาและทำลายได้แบบต่างกรรมต่างวาระ คือจะใช้มันเพื่ออะไรก็บิดไปได้ตามสันดาน

ซึ่งผู้บุกเบิกอาวุธระรื่นหูชนิดนี้คงหนีไม่พ้น จูกัดเหลียง หรือ ขงเบ้ง แห่ง สามก๊ก หากใครเคยอ่านวรรณกรรมเพชรน้ำเอกของโลกชิ้นนี้จะจำได้ว่า ขงเบ้งก็ใช้กู่ฉินบรรเลงบนกำแพงเมืองเพื่อลวงสุมาอี้จนสำเร็จมาแล้ว (มีผลงานวิจัยเรื่องสามก๊ก กู่ฉิน ในสายธารแห่งอารยธรรมมังกร วิจัยมาแล้วว่าเครื่องดนตรีที่ขงเบ้งใช้ คือ กู่ฉิน)

รีวิว The Untamed

ในซีรีส์จีนโบราณเรื่องอื่น ๆ อย่าง มังกรหยก ของ กิมย้ง เราจะเห็นฉินเป็นตัวทำลายล้างซะมากกว่า แต่ปรมาจารย์ลัทธิมารสามารถทำให้เราเห็นอีกด้านของฉินที่หลานจ้านบรรเลงบทเพลงชิงซิน (ชำระใจ) เพื่อรักษาอาการเจ็บป่วยหรือสงบจิต แม้กระทั้ง ขลุ่ย ที่เว่ยอิงใช้ ก็ยังเป็นสัญลักษณ์แสดงตัวตนถึงความเรียบง่ายของตัวละครตัวนี้ได้อย่างตรงไปตรงมา ถือเป็นการเผยแพร่วัฒนธรรมจีนออกสู่สายตาชาวโลกได้อย่างแยบยล

ด้านอุปกรณ์และเพลงประกอบ

ถือเป็นแง่งามอีกมุมหนึ่งที่ขอใช้คำว่า งามหยดย้อย การดูเบื้องหลังการถ่ายทำของซีรีส์เรื่องนี้ ในส่วนของอุปกรณ์ประกอบฉากทำให้เกิดความรู้สึกอิ่มสุข นี่เรากำลังดูการสร้างสรรค์งานศิลปะอยู่ชัด ๆ ไม่เสียแรงที่ประเทศจีน เป็นประเทศอันดับต้น ๆ ของวงการศิลปะโลก และซีรีส์เรื่องนี้ทำให้เราประจักษ์ได้ว่าคำกล่าวนั้นไม่เคยเกินจริง

งานฝีมือต่าง ๆ ที่ปรากฎอยู่ในซีรีส์เรื่องนี้ไม่มีจุดไหนที่ปล่อยผ่าน แม้แต่จุดที่เราไม่น่าจะสังเกตเห็น ยิ่งพอได้เห็นกับตาว่าแต่ละชิ้นงานที่ทำออกมามากกว่า 50% ล้วนทำด้วยมือ บวกกับ CG อลังการ เนียนตา ก็รู้สึกว่าคุ้มค่าทุกนาทีที่ได้ดูซีรีส์เรื่องนี้

เพลงประกอบภาพยนตร์ เพลงประกอบละครต่าง ๆ แน่นอนว่าจะบอกเล่าเรื่องราวนั้น ๆ ให้ครอบคลุมเนื้อเรื่อง หรือเจาะเข้าไปกลางใจของตัวแสดงเอก แต่ปรมาจารย์ลัทธิมารทำให้เพลงประกอบมีความหมายลึกซึ้งมากขึ้นไปอีก เพราะนอกจากจะมีเพลง อู๋จี ที่เป็น Theme Song ของเรื่องแล้ว

ยังแยกย่อยเป็นเพลง Character Song อธิบายความรู้สึกภายในใจของตัวแสดงหลักทุกตัวเอาไว้อีกด้วย เรียกว่าดูซีรีส์จบแล้ว มาฟังเพลง แปลความหมายก็จะทำให้เราเข้าใจบริบทต่าง ๆ ของตัวละครได้มากขึ้นไปอีก ดูซีรีส์ว่าน้ำตาท่วมแล้ว ฟังเพลง อ่านความหมายก็ร้องไห้เหมือนหมามากกว่าเดิม

สรุป

สมกับซีรีส์จีนมาแรงแห่งปี โปรดักชั่นอลังการ นักแสดงหลักเคมีเข้ากันดีมาก สาย Y จะรักเรื่องนี้ ส่วนผู้ชายแมนๆสามารถดูได้ ถ้าทำใจรับฉากจิ้น Y ตรงๆได้ เพราะเนื้อเรื่องดีมาก

Annihilation


ดูหนังออนไลน์

รีวิว Annihilation - แดนทำลายล้าง

ชื่อของหนังมีความหมายว่า ‘การทำลายล้าง’ ที่ก็ตรงกับชื่อไทยอยู่แล้ว เรื่องราวที่เกี่ยวเนื่องกับมนุษย์ต่างดาว พวกเขามาเยือนโลก สร้างความฉงนให้กับมวลมนุษย์ และเมื่อดูหนังไปเพียงไม่กี่สิบนาทีก็พอเข้าใจได้ว่าหนังมีอะไรบางอย่างที่เหมาะกับคนไทยบางกลุ่มเท่านั้น รีวิว Annihilation

เรื่องย่อ

เลน่า (พอร์ตแมน) อาจารย์ด้านชีววิทยาที่ได้พบกับ จ่าเคน (ไอแซก) สามีซึ่งเป็นทหารอีกครั้ง หลังจากเขาไปทำภารกิจลับและหายตัวไปร่วม 1 ปี แต่ทว่าการกลับมาครั้งนี้เขาดูแปลกไป แต่ก่อนจะสืบถามได้ความเขาก็กลับทรุดป่วยขั้นโคม่าและมีทหารเข้ามาชิงตัวเขาไป เธอถูกควบคุมตัวไปพบกับ ดร.เวนเทรส (ลีห์) ซึ่งเป็นหัวหน้าสั่งการของเคน และนั่นเธอได้พบกับปริศนาลึกลับที่เรียกว่า “ม่านรุ้ง” ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติที่ปกคลุมรอบอุทยานแห่งชาติและกำลังขยายตัวมากขึ้น เพื่อช่วยสามีเธอ เลน่าตัดสินใจเข้าร่วมกับ ดร.เวนเทรสและนักวิทยาศาสตร์สาวอีก 4 คน เพื่อเข้าไปสำรวจในม่านรุ้งเพื่อหาความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นข้างในกันแน่ และทำไมนอกจากสามีเธอถึงไม่เคยมีใครกลับออกมาอีกเลย


Annihilation หนังเอ็กคลูซีฟบน เน็ตฟลิกซ์ เรื่องล่าสุด เป็นหนังที่เราขอพูดได้เต็มปากว่า สมกับเป็นหนังเอ็กคลูซีฟที่ดึงจุดเด่นของความเป็นเน็ตฟลิกซ์ได้สำเร็จอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งไม่ได้มีบ่อย ๆ นะ จุดเด่นที่เราพูดถึงคืออะไร คือการที่สามารถดึงผู้กำกับที่มีฝีมือและมีโปรเจ็กต์เจ๋ง ๆ แต่ยังไม่เบอร์ใหญ่มาก มาถ่ายทอดเรื่องราวในแบบฉบับตนเองได้ โดยไม่ต้องโดนการทำให้สมบูรณ์จากผู้บริหารสตูดิโออีกต่อหนึ่งอย่างเช่นผู้กำกับชื่อชั้นกลาง ๆ ของหนังโรงมักต้องเผชิญ

แต่การไม่โดนคุมจากสตูดิโอที่เชี่ยวชาญในเรื่องของ “ผู้ชม” เลย บ่อยครั้งก็ทำให้หนังออกมาป้อแป้และดู “หลุด” ไปได้เหมือนกัน เช่นที่เราเจอในหนังอย่าง Death Note ของ อดัม วินการ์ด หรือ Bright ของ เดวิด เอเยอร์ เป็นต้น ดังนั้นจึงเป็นเหตผลที่เราบอกว่าจุดลงตัวที่หนังจะออกมาดูดีนั้นไม่ได้มีมากหรือบ่อยนัก

และ Annihilation ก็เป็นหนังที่ดึงศักยภาพของผู้กำกับออกมาได้อย่างดีเยี่ยม เพราะ อเล็กซ์ การ์แลนด์ คือผู้กำกับหนังไซไฟอินดี้สุดม้ามืดแห่งปี 2014 อย่าง Ex Machina และยังเป็นผู้เขียนบทหนังไซไฟตัวกลั่นคู่บุญของ แดนนี่ บอยล์ ใน 28 Days Later (2002) และ Sunshine (2007)

นอกจากนั้นยังเขียนบทให้ Dredd (2012) ด้วย คือว่าสไตล์ดูหนังออนไลน์แบบไซไฟผสมปรัชญาที่ค่อย ๆ หลอนด้วยบรรยากาศแล้ว ต้องยกให้พี่การ์แลนด์แกเลยล่ะ ที่สำคัญนี่ยังเป็นการร่วมงานกับดาราระดับแม่เหล็กที่คงเห็นในหนังเน็ตฟลิกซ์ไม่ได้บ่อย ๆ อย่าง นาตาลี พอร์ตแมน, ออสการ์ ไอแซก, เทสซ่า ธอมป์สัน (วัลคีรี จาก Thor: Ragnarok) และ เจนนิเฟอร์ เจสัน ลีห์ (จาก The Hateful Eight (2015) ด้วย

โดยหนังเป็นโปรเจ็กต์ที่นำนิยายไซไฟยอดเยี่ยมเจ้าของรางวัล Nebula Award และ Shirley Jackson Award เมื่อปี 2014 ของนักเขียนดาวรุ่งอย่าง เจฟ แวนเดอร์เมียร์ มาทำ ซึ่ง Annihilation เป็นเล่มแรกในชุดไตรภาคนิยายที่เรียกว่า Southern Reach Trilogy ของแวนเดอร์เมียร์

เนื้อเรื่อง

เรื่องราวของ Lena (รับบทโดย Natalie Portman) ศาสตราจารย์ด้านชีววิทยาของมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ ซึ่งใช้ชีวิตส่วนตัวหลังการสอนอยู่กับอารมณ์ที่ดำดิ่งลงในความเศร้าเนื่องจากการหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยขณะออกปฏิบัติการลับของ Kane (รับบทโดย Oscar Isaac) นายทหารประจำกองกำลังสหรัฐฯ ผู้เป็นสามีของเธอ

เป็นระยะเวลากว่า 1 ปีที่ เคน ได้หายตัวไป และทุกคนก็เชื่อว่าเขาได้เสียชีวิตไปแล้ว ปรากฎว่าในวันหนึ่งอยู่ๆ เคน ก็ได้กลับมาหา ลีน่า ที่บ้านพร้อมกับอาการผิดปรกติทางร่างกาย และในขณะที่กำลังนำตัว เคน ส่งโรงพยาบาลนั้น หน่วยปฏิบัติการทางทหารของรัฐบาลก็ได้เข้ามาควบคุมตัว เคน และ ลีน่า ไปยังฐานปฏิบัติการแห่งหนึ่งซึ่งมี Dr. Ventress (รับบทโดย Jennifer Jason Leigh) เป็นผู้ควบคุมอยู่

ที่นั่นเอง ลีน่า จึงได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของเขตกักกันที่ถูกเรียกว่า The Shimmer ซึ่งเป็นพื้นที่บริเวณประภาคารในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งชาติเซนต์มาร์คในฟลอริดาที่ถูกอุกาบาตพุ่งเข้าชนแล้วส่งผลในเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างประหลาดไปทั่วบริเวณนั้น และยังมีการขยายขอบเขตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในอัตราการขยายตัวที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ซึ่งทางรัฐบาลได้ส่งหน่วยทหารเข้าไปสำรวจยังพื้นที่ดังกล่าวจำนวนหลายชุด แต่ยังไม่เคยมีใครสามารถกลับออกมาจากพื้นที่ดังกล่าวได้เลย ยกเว้น เคน เพียงคนเดียวที่สามารถรอดชีวิตกลับออกมาได้

เพื่อเป็นการค้นหาปริศนาต่างๆ ดร.เวนเทรส จึงได้มีการตั้งทีมสำรวจขึ้นมาใหม่อีกครั้ง โดยในครั้งนี้จะเป็นการคัดเลือกผู้ร่วมทีมที่เป็นนักวิทยาศาสตร์สาขาต่างๆ เข้าไปสำรวจแทนภารกิจที่ใช้ทหารเข้าไป เมื่อ ลีน่า ได้รับรู้ถึงภารกิจในครั้งนี้ จึงขออาสาเข้าร่วมในภารกิจครั้งนี้ด้วย เพื่อที่จะหาวิธีในการรักษา เคน ให้ได้

และแล้วการเดินทางเข้าไปสำรวจยังพื้นที่ลึกลับแห่งนี้จึงได้เริ่มต้นขึ้น พร้อมกับความสยดสยองที่กำลังจะตามมาในไม่ช้า

การนำเสนอทฤษฎีต่างๆ

หนังใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่เกี่ยวกับทฤษฎีว่าด้วยเรื่องของเซลล์และการก่อเกิดชีวิตแรกในจักรวาล ตลอดจนการกลายพันธุ์ของเซลล์ การเกิดเซลล์มะเร็ง และการทำลายตัวเองของสิ่งมีชีวิต ซึ่งทั้งหมดถูกหยอดโปรยอยู่ตลอดเรื่อง แถมเว็บดูหนังถูกใช้อย่างละเอียดทั้งในแง่ดราม่าความสัมพันธ์ระหว่าง เลน่า และจ่าเคน ตลอดจนบุคลิกและชะตาของตัวละครอย่าง ดร.เวนเทรส และคนอื่น ๆ ด้วย ตรงนี้ทำให้หนังมีแง่มุมที่พูดถึงได้มากเหมาะกับคนที่ชอบดูหนังแล้วคิดตามคิดต่อยอด

รีวิว Annihilation

มนุษย์ต่างดาวในมุมมองใหม่ อารมณ์ใหม่ๆ

พวกเขาไม่สื่อสาร ไม่มีเจตนาอะไรที่ชัดแจ้ง ไม่ได้มาเป็นตัวเป็นตน สิ่งที่พวกเขาทำคือสร้างอาณาเขตของตัวเองอย่างช้าๆ ทุกสิ่งเกิดขึ้นภายในม่านรุ้งที่ชวนให้มนุษย์กระหายใคร่รู้

จุดเด่นของตัวหนัง

จุดเด่นที่สำคัญที่สุด ที่ทำให้ประทับใจก็คือ “บรรยากาศของหนัง” ซึ่งทั้งวิธีการเล่าเรื่อง การใช้ซาวด์ประกอบ ตัวเพลงประกอบ และการตัดต่อ ทำให้หลายๆซีนกลายเป็นความน่าพรั่นพรึงได้อย่างน่าประหลาด อย่างเช่น ซีนสยองขวัญที่กลุ่มของลีนาได้ดูวิดีโอของกลุ่มที่เข้ามาก่อนหน้านี้, ซีนที่กลุ่มของลีนาเผชิญหน้ากับ “หมี”

โดยรวม

ในส่วนของความบันเทิงสำหรับคอหนังทั่วไป หนังจะให้อารมณ์ค่อย ๆ เย็น ๆ ใครเคยดู Ex Machina น่าจะพอเข้าใจ แต่ถ้าไม่เคยหนังจะใกล้ ๆ อารมณ์แบบ Arrival (2017) แต่ไม่ยืดเท่า ทั้งยังมีความประหลาดชวนให้ติดตามทั้งด้านปริศนาที่ยิ่งเดินลึกยิ่งเจอความสับสน และภาพป่าที่ถูกย้อมด้วยม่านรุ้งจนกลายพันธุ์ มีพืชแปลก ๆ สิ่งมีชีวิตแปลก ๆ และซากศพที่ทั้งสยดสยองแต่ดูสวยงามในเวลาเดียวกันอย่างประหลาด

หรือแม้แต่ช็อตชวนช็อกที่ใครไม่ชอบภาพแหวะ ๆ อาจส่ายหน้าได้ก็มีกระตุ้นผู้ชมอยู่เป็นระยะ นั่นจึงทำให้หนังไม่น่าเบื่อ ทั้งน่ามองและไม่น่ามองในเวลาเดียวกัน สวยสยอง เป็นนิยามที่ถูกต้องเลยสำหรับหนังเรื่องนี้ และความสวยสยองก็ยังพิงไปถึงด้านเสียงประกอบสุดแนวที่ได้อารมณ์สุด ๆ และโปรดักชั่นด้านอื่น ๆ ที่ต้องยกนิ้วให้เลยด้วย

วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2563

Dracula

หนังใหม่เต็มเรื่อง

รีวิว Dracula - แดร็กคูลา

นิยายแนวสยองขวัญ Horror แบบคลาสสิกชื่อดังของ บราห์ม สโต็ก นักเขียนชาวไอริช ซึ่งต่อมาได้มีการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์แบบขาวดำเมื่อปี 1931 ถือว่าเป็นการเริ่มต้นการสร้างตำนานความสยองขวัญอันลือลั่นของแดร็กคิวล่าบนสื่อบันเทิงครั้งแรก และล่าสุดของ Netflix ปี 2020 ที่เพิ่งเข้าฉาย เป็นผลงานของทีมงานที่เคยสร้างลิมิเต็ดซีรีส์ชื่อดังอย่าง Sherlock ที่เคยฉายทางช่อง BBC มาก่อน ซึ่งก็ได้รับคำชื่นชมทั้งจากนักวิจารณ์และคนดูทั่วไปอย่างมาก มีคะแนนเฉลี่ยในเว็บ IMDb สูงกว่า 9.1 รีวิว Dracula

เรื่องย่อ

หลัง โจนาธาน ฮาร์เกอร์ (จอห์น เฮฟเฟอร์นาน) ทนายอังกฤษดวงกุดหนีออกมาจากปราสาทของ เคาต์แดร็กคูลา (แคลส แบง) เจ้าชายผีดิบรูปงามที่เปลี่ยนเขาให้กลายเป็นสมุนอมนุษย์ เขาได้บอกเล่าเรื่องราวสุดสยองที่ได้พบเจอให้แก่ ซิสเตอร์อกาธา (ดอลลี เวลส์) แม่ชีนักล่าแวมไพร์ตระกูล แวน เฮลซิง แต่เมื่อเรื่องราวบรรจบกับเวลาราตรีปัจจุบัน สำนักชีที่เหมือนปราการของพระเจ้าก็ต้องเผชิญศึกจาก เคาต์แดร็กคูลา ผู้หมายมาเอาตัว มีนา ฮาร์เกอร์ (มอร์ฟีดด์ คลาร์ก) คู่หมั้นของโจนาธานเพื่อเอาไปเป็นเจ้าสาวแห่งรัตติกาลของเขาต่อไป งานนี้ซิสเตอร์อกาธาจะกำราบปีศาจร้ายอย่างแดร็กคูลาและปกป้องทุกคนจากความตายได้หรือไม่


Dracula เดิมเป็นนิยายแนวสยองขวัญ Horror แบบคลาสสิกชื่อดังของ บราห์ม สโต็ก นักเขียนชาวไอริช ซึ่งต่อมาได้มีการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์แบบขาวดำเมื่อปี 1931 ถือว่าเป็นการเริ่มต้นการสร้างตำนานความสยองขวัญอันลือลั่นของแดร็กคิวล่าบนสื่อบันเทิงครั้งแรก แล้วหลังจากนั้นก็มีนักสร้างหนังและนักเขียนที่ดัดแปลง ต่อยอด เรื่องราวของแดร็กคิวล่าออกไปตามสื่อต่างๆทั่วโลก

สำหรับฉบับล่าสุดของ Netflix ปี 2020 ที่เพิ่งเข้าฉาย เป็นผลงานของทีมงานที่เคยสร้างลิมิเต็ดซีรีส์ชื่อดังอย่าง Sherlock ที่เคยฉายทางช่อง BBC มาก่อน ซึ่งก็ได้รับคำชื่นชมทั้งจากนักวิจารณ์และคนดูทั่วไปอย่างมาก มีคะแนนเฉลี่ยในเว็บ IMDb สูงกว่า 9.1

ดังนั้นการกลับมาสร้างผลงานอีกครั้งของทีมสร้างชุดนี้สำหรับลิมิเต็ดซีรีส์เรื่องล่าสุดคือ แดร็กคิวล่า กับทางช่อง BBC จึงนับว่าเป็นผลงานที่ได้รับความคาดหวังและถูกโปรโมทไว้มากพอสมควรครับ แล้วล่าสุดก็เข้าฉายครบทั้ง 3 ตอนใน Netflix เรียบร้อย

สิ่งหนึ่งที่ต้องขอบอกไว้ก่อนจะตัดสิน มินิซีรีส์ 3 ตอนจบนี้ว่าเป็นเพียงเหล้าเก่าในขวดใหม่ก็คือ เรื่องย่อที่เราเพิ่งเล่าไปเป็นเพียงแค่เรื่องย่อของตอนแรกเท่านั้น ! ใช่ครับ เพราะอีก 2 ตอนที่เหลือล้วนเต็มไปด้วยการดำเนินเรื่องที่เกินคาดเดา ด้วยว่า Dracula ฉบับนี้เป็นไอเดียของ มาร์ค เกทิสส์ และ สตีเฟน มอฟแฟตต์ สองครีเอเตอร์ที่เคยกุมบังเหียน Sherlock ซีรีส์เชอร์ล็อค โฮมส์ สุดฮิตของ BBC

ที่คราวนี้ก็มาจับมือกับ Netflix และดึงพวกเขามาคิดมาเขย่าไอเดียเล่าเรื่องแดร็กคูลาในมุมมองใหม่ ซึ่งเอาเข้าจริงเราก็ผ่านหนัง-ซีรีส์แวมไพร์กันมาจนเฝือแล้ว และส่วนใหญ่ก็หนีไม่ค่อยพ้นสิ่งที่ บราม สโตเกอร์ ผู้ประพันธ์นิยาย Dracula กล่าวไว้สักเท่าไหร่ด้วยกฎเกณฑ์ซ้ำ ๆ ซาก ๆ ทั้งเรื่องกลัวแสงแดด แพ้ไม้กางเขน สร้างสมุน และตามหาเจ้าสาวรัตติกาล

ซึ่ง Dracula ฉบับมินิซีรีส์หนังออนไลน์นี้ก็ยังนำเอาแนวคิดดังกล่าวมาปรับใช้ แต่ที่โดดเด่นมาก และไม่มีหนังแดร็กคูลาเรื่องไหนเคยทำคือการตั้งคำถาม ดังนั้นเราเลยเห็นการเล่าเรื่องในมุมมองของ ซิสเตอร์อกาธา ซึ่งโดยปกติตัวละครแม่ชีมักเป็นแค่ตัวประกอบ

แต่ Dracula ก็เพิ่มรายละเอียดเข้าไปว่าเธอสืบเชื้อสายมาจากตระกูล แวน เฮลซิง หรือผู้ที่ปราบเคาต์ วลาด แดร็กคูลา ได้สำเร็จนั้นแหละครับ ซึ่งซีรีส์ก็เล่นกับชื่อ นามสกุล ตัวละครในนิยายฉบับ บราม สโตเกอร์ อย่างสนุกสนานทีเดียว

การเล่าเรื่องใหม่

โดยการเล่าเรื่องที่เราพอบอกได้แบบไม่สปอยล์คือ 3 ตอนของมินิซีรีส์ Dracula แทบจะเป็นหนังคนละแนว โดยตอนแรกเป็นการปูพื้นและทวนภาพจำของผู้คนที่มีต่อเรื่องราวของแดร็กคูลาในแนวโกธิค-สยองขวัญ เราจะได้เห็นสิ่งที่คุ้นเคยทั้งปราสาทบนภูเขารวมไปถึงตัวละครที่เราคุ้นเคยตั้งแต่ฉบับนิยายทั้ง ฮาร์เกอร์ แดร็กคูลา แวน เฮลซิง เรื่อยไปจนถึงการปูพื้นเรื่องกลัวแสงแดด แพ้ไม้กางเขน และภารกิจตามหาเจ้าสาวรัตติกาล

โดยมีสมุนอย่าง โจนาธาน ฮาร์เกอร์ ทนายหนุ่มผู้โชคร้ายจากเกาะอังกฤษที่ถูกขอให้อยู่เพื่อสอนภาษาอังกฤษและมารยาทพื้นฐานก่อนเคาต์ แดร็กคูลา มีแผนจะย้ายไปอยู่ยังลอนดอน.. ใช่แล้วครับ เป้าหมายของแดร็กคูลาคราวนี้คือนอกจากการตามหาเจ้าสาวแล้ว ยังเป็นการไปหาแหล่งที่อยู่ใหม่

และเขาก็เลือกลอนดอน ประเทศอังกฤษ ด้วยหวังจะใช้ชีวิตและดูดเลือดจากเหล่าปัญญาชน ส่วนตอนที่ 2 คือจุดเริ่มของเซอร์ไพรส์ เพราะคราวนี้โทนการเล่าเรื่องเริ่มขยับมายังหนังแนวเอาตัวรอดในเรือโดยสาร เพราะคราวนี้ผู้โดยสารแปลกหน้าแต่ละคนจะต้องหนีการตามล่าของผีดิบดูดเลือด และตอนนี้ยังเล่นกับการวิพากษ์เรื่องชนชั้น เรื่องรสนิยมทางเพศ

ส่วนตอนสุดท้ายนี่แหละไฮไลต์เด็ด..เพราะมันเล่าเรื่องเป็นหนังไซไฟ-สยองขวัญที่ไม่ได้อยู่แค่ปี 1896 เหมือน 2 ตอนแรกแล้ว มิหนำซ้ำยังวิพากษ์สังคมได้อย่างเจ็บแสบ เปรียบเทียบการเสพย์ติดวัตถุกับเลือด ได้อย่างคมคายแบบไม่คิดว่าหนังหรือซีรีส์ แดร็กคูลา จะมาได้ไกลขนาดนี้เลยแหละ

การตีความใหม่เรื่องความกลัวของแดร็กคิวล่า

เนื่องจากในซีรีส์ของ Netflix ค่อนข้างเน้นหนักเกี่ยวกับการตีความในมุมความเชื่อเกี่ยวกับแวมไพร์ และเรื่องที่ว่า “ทำไมแดร็กคิวล่าถึงกลัวไม้กางเขน แพ้แสงอาทิตย์ และไม่สามารถเข้าไปในสถานที่ต่างๆได้หากไม่ถูกเชิญเข้าไป”

ซึ่งเรื่องส่วนนี้ก็จะถูกบอกเล่าและวิเคราะห์ผ่านทางตัวละครสำคัญคือ แม่ชีอากาธ่า รวมถึงทายาทรุ่นหลังอย่างโซอี้ ว่าทำไมอสุรกายที่มีชีวิตอยู่มา 500 ปี แถมมีพลังมากแบบนี้ ถึงกลัวและแพ้อะไรที่มันแปลกประหลาด และดูขัดกับอำนาจที่มันมีอยู่ รวมถึงการตีความแดร็กคิวล่าในมุมของความกลัวที่เขามีต่อไม้กางเขนในแง่มุมทางจิตวิทยาที่น่าสนใจ

จุดนี้ทำให้เรื่องราวของแดร็กคิวล่าในเวอร์ชั่น Netfix ดูมีมีติมากขึ้น (แบบแปลกๆ) ซึ่งก็อาจจะเป็นทั้งข้อดีและข้อด้อยสำหรับคนที่เคยรับชมในเวอร์ชั่นเก่ามาก่อน แต่ก็ถือว่าเป็นความพยายามที่จะไม่ทำให้เรื่องของแดร็กคิวล่าดูซ้ำซากจำเจครับ

แล้วอีกจุดหนึ่งที่ทีมสร้างหนังใหม่เต็มเรื่องทำออกมาสนุกๆ นั่นคือมีการทำ Easter Egg อ้างอิงไปถึงเรื่อง Sherlock เล็กน้อยด้วยครับ จากบทพูดของแม่ชีอกาธ่า ที่เธออ้างอิงว่า ได้ขอให้นักสืบที่รู้จักกันซึ่งอยู่ในลอนดอนช่วยสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับมีน่าและโจนาธาน รวมถึงเชื่อมโยงไปถึงเคาน์แดร็กคิวล่าด้วย

รีวิว Dracula

จุดเด่น

อีกจุดที่เจ๋งมากคือการสร้างคาแรกเตอร์ แดร็กคูลา และ ซิสเตอร์อกาธา ในซีรีส์นี้ ที่ไปไกลกว่าแค่การเป็นเรื่องของความดีชนะความชั่วน่าเบื่อ ๆ อย่างที่ผ่านมา เพราะคราวนี้การได้ แคลส แบง นักแสดงหนุ่มหล่อชาวเดนมาร์กได้ทำให้แดร็กคูลาฉบับนี่กลายเป็นหนุ่มหล่อเสน่ห์แรง ฉลาดและแสนอันตราย มากกว่าการเป็นปีศาจหลอกหลอนสร้างความน่ากลัวแบบฉบับอื่น ๆ

จนทำให้ตัวละครแดร็กคูลาฉบับนี้ดูน่าจดจำและน่ามองกว่าฉบับอื่นเยอะเลย และอีกตัวละครที่ทำได้ดีมากคือ ซิสเตอร์อกาธา ที่ได้ ดอลลี เวลส์ มาเติมบุคลิกแบบนักวิทยาศาสตร์ที่มองแดร็กคูลาเป็นทั้งศัตรูและผลงานทดลองความเชื่อของตัวเอง เรียกได้ว่าบทซีรีส์สามารถพลิกให้ตัวละครที่เหมือนจะเป็นตัวประกอบกลายเป็นไฮไลต์สำคัญที่ทำให้ซีรีส์ดูสนุกทีเดียว

จุดด้อย

แต่จุดที่อาจจะมองว่าด้อยสำหรับซีรีส์เรื่องนี้ก็มีอยู่เหมือนกัน เช่น การดัดแปลงบทบาทของตัวละครจากในต้นฉบับดั้งเดิมจนทำให้ตัวละครหลักบางคนในต้นฉบับมีบทน้อยลงมาก ตัวอย่างเช่น มีน่า รวมถึงการตัดบทของโจนาธานให้ตายตั้งแต่ตอนแรก แต่ตรงนี้ก็เข้าใจได้ว่าเพราะทีมสร้างขุดใหม่ต้องการสร้างความแตกต่าง แล้วปรับบทของแวนเฮลซิ่งให้มากขึ้นแทนนั่นเอง

อีกจุดที่เป็นทั้งข้อเด่นและด้อยก็คือ สไตล์การเดินเรื่อง เพราะการปราบแวมไพร์ในเรื่องนี้อาจจะไม่เหมือนกับในรูปแบบที่ฮอลลีวูดเคยสร้างเอาไว้ แต่เป็นการวางแผนหาทางต่อสู้กับแดร็กคิวล่าด้วยมันสมอง บทพูด กลทางจิตวิทยา ซึ่งตัวละครประเคนใส่กัน แล้วก็ทำให้เราได้แดร็กคิวล่าที่มีสมองเฉลียวฉลาดมากตนหนึ่งเข้ามาในโลกบันเทิงจนได้ครับ

โดยรวม

โดยรวมแล้วเป็นมินิซีรีส์ที่แนะนำสำหรับคอหนังสยองขวัญและคนที่อยากดูซีรีส์ไอเดียแปลก ๆ มาก เพราะคราวนี้มันไม่ได้เล่าเรื่องแดร็กคูลาซ้ำรอยทางกับเรื่องอื่น แถมเนื้อหายังดูสนุกและชวนคิดอีกด้วย แถมสเปเชียลเอฟเฟกต์ก็เนี๊ยบมากทั้งการเมคอัปคนให้ดูเละ ๆ หรือคอมพิวเตอร์กราฟิกที่บอกเลยว่าไม่แพ้หนังใหญ่เลย และส่วนตัวใครคิดถึงเพลง Angels ของรอบบี วิลเลียมส์ มันได้ถูกนำมาประกอบอย่างช่างคิดในซีรีส์เรื่องนี้

สรุป

ส่วนในตอนจบของเรื่อง หลายคนอาจจะรู้สึกว่า จบแบบห้วนไปไหม หรือว่าตัดจบ ที่จริงแล้วมันก็เป็นบทสรุปของแดร็กคิวล่าในแนวใหม่ที่น่าสนใจครับ เพราะมุ่งเจาะและสำรวจตัวละครแดร็กคิวลงไปลึกจนถึงความปรารถนาในการดำรงอยู่ของตัวเขาเอง ตรงนี้แนะนำว่าลองดูกันให้จบ ซึ่งแต่ละคนอาจจะมีความเห็นที่แตกต่างกันไป