วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2563

Russian Doll

 

ดูหนังออนไลน์

รีวิว Russian Doll - รัชเซียน ดอลล์

ซีรีส์ Netflix ของอเมริกันที่ไม่ได้เกี่ยวกับรัสเซีย แต่เป็นเรื่องการวนลูป ตาย เกิด วน เวียน ของโปรแกรมเมอร์สาววัยกลางคนในงานวันเกิดของตัวเอง เป็นซีรีส์ที่เล่าถึงความตายแบบซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่เหมือนกันสำหรับซีรีส์เหมือนกันนะ รีวิว Russian Doll

เรื่องย่อ

นาเดีย (นาตาชา ลีโอนน์) พบตัวเองใช้ชีวิตวนลูปกลับมาที่งานปาร์ตี้วันเกิดของเธอแบบไม่มีวันสิ้นสุด ไม่ว่าเธอจะพยายามแค่ไหนก็ไม่มีทางหนีพ้นความตายที่พาเธอกลับมายังกระจกบานเดิมได้เช่นเดียวกับ อลัน (ชาร์ลี บาร์เน็ตต์) ชายหนุ่มที่ต้องผจญกับวันขอแต่งงานแฟนสาวที่แอบนอกใจ จนความตายพาเขากลับมายังกระจกห้องน้ำบานเดิมที่บ้าน เขาและเธอจำต้องหาทางออกจากวังวนเกิด ตาย วนเวียนก่อนจะไม่มีพรุ่งนี้สำหรับพวกเขาอีกต่อไป


พล็อตหนังแนวลูปตายเกิดวนเวียนใหม่ซ้ำๆ ที่มีออกมาหลายเรื่องหลายแนวแล้ว แต่เรื่องนี้ก็ยังได้รับคะแนนวิจารณ์สูงมาก และเป็นซีรีส์ติดท็อปลิสต์ควรดูของปี 2019 ซึ่งพอได้ดูแล้วก็เข้าใจได้ว่าทำไมถึงติดลิสต์ซีรีส์แนะนำกันครับ

ขออธิบายก่อนว่าหนังมีชื่อเรื่องมาจาก “ตุ๊กตาแม่ลูกดก” ของรัสเซีย ที่เป็นตุ๊กตาซ้อนๆ กันหลายตัวจนเป็นเอกลักษณ์ มาแทนความหมายของเรื่องลูปตายเกิดใหม่ในเรื่อง และเรื่องนี้ได้นางเอก Natasha Lyonne ที่หน้าตาอาจจะไม่ได้สวยนักมาเป็นครีเอเตอร์ผู้สร้างด้วย (ร่วมเขียนบทเองเล่นเอง)

โดยทำออกมาเป็นซีรีส์ 8 ตอน ตอนละ 25 นาที จุดเด่นของเรื่องนี้ที่แตกต่างจากการวนลูปเรื่องอื่นๆ คือ วิธีการคิดและมองโลกในเรื่องที่ยังมีความแปลกแตกต่างจากเรื่องอื่นได้ ซึ่งทำออกมาแนวตลก WTF กับเหตุการณ์ตายพิสดารของนางเอก ที่เธอพยายามหาทางไปยังเส้นทางใหม่ๆ ของลูป แต่แล้วกลับพบว่าตัวเองต้องตายพิสดารตอนจบได้ทุกที

เนื้อเรื่อง

ความจริงพลอตชีวิตวนลูปแบบนี้เราสืบย้อนไปได้ถึง Groundhog Day (1993) หนังตลกชื่อดังที่ตัวละครต้องติดลูปวันเดิมๆ ซึ่งต่อมามันกลับส่งอิทธิพลต่อหนังหลายแนวทั้ง หนังไซไฟอย่าง Source Code (2011) หนังแอ็คชั่นอย่าง Edge of Tomorrow (2014) หนังดราม่าอย่าง Before I Fall (2017) หรือกระทั่งหนังสยองขวัญที่จะมีภาคต่อฉายปีนี้อย่าง Happy Death Day (2017)

แต่กระนั้นสำหรับซีรีส์ Russian Doll กลับท้าทายความยากในการคิดพลอตและดำเนินเรื่องแบบวนลูป แถมยังไม่ได้จบในเวลาชั่วโมงครึ่งเหมือนหนังได้อย่างมั่นอกมั่นใจ ซึ่งต้องยอมรับว่าการคิดคาแรกเตอร์ นาเดีย ที่เป็นผู้หญิงไม่ได้ดีพร้อม มีดีมีเลวในตัวเอง ทำให้เราเข้าถึงตัวละครได้ง่ายขึ้น

และการเลือกเหตุการณ์ที่ชีวิตติดลูปเป็นวันเกิดก็ยิ่งทำให้เราได้เรียนรู้สัจธรรมชีวิตที่แฝงอยู่ในการวนลูปได้ชัดเจนขึ้นด้วย เช่นเดียวกับชะตากรรมของอลันที่ทำให้เราได้ใคร่ครวญทางเลือกเมื่อต้องผิดหวังในความรักหรือเรื่องใดก็ตามได้เป็นอย่างดี

ความชาญฉลาดของบทยังรวมถึงการใช้ดูหนังออนไลน์ สัญญะต่างๆมาเป็น โมทีฟ หรือสิ่งที่เกิดซ้ำๆให้คนดูจดจำและสังเกตทั้งกระจกที่ทั้งคู่มักกลับมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ก็แทนการสะท้อนให้เห็นทางเลือกในชีวิตที่ส่งผลต่อชะตากรรมของตัวละคร และที่โดดเด่นมากๆคงหนีไม่พ้นการใช้เพลง Gotta Get Up ของ แฮรี นิลสัน ทุกครั้งที่นาเดียกลับมาเริ่มชีวิตใหม่ก็ยังแฝงความหมายถึงการตื่นรู้ได้เป็นอย่างดี

หรือแม้กระทั่งรายละเอียดเล็กๆน้อยๆอย่างการตามหาแมวของนางเอกก็ดูเป็นเป้าหมายชีวิตที่แม้จะดู แอบเซิร์ด หรือ ไร้เหตุผลแต่ท้ายที่สุดมันกลับกลายเป็นกลไกในการขมวดเรื่องราวที่ถูกปูไว้ตั้งแต่ต้นได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญมันสามารถหาทางลงให้เรื่องราวอย่างสมเหตุสมผลในทุกจุดพลิกผันของเรื่องราวอีกด้วย

การดำเนินเรื่อง

เรื่องราวเน้นไปที่การสำรวจในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตที่น่าสงสัยของนางเอก “นาเดีย” แล้วนำมาปะติดปะต่อให้เป็นจิ๊กซอว์ไขปริศนาหาทางหลุดจากลูป ซึ่งเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ นี้ก็แบบตามหาแมวที่หายไปหลายวัน การอึ๊บกับชายแปลกหน้า ตึกต้องคำสาป การพี้ยาสูบสูตรใหม่ ซึ่งนางเอกพยายามคาดการณ์ว่าอะไรกันแน่ที่ทำให้เกิดลูป ตาย เกิด วน เวียน โผล่มาในห้องน้ำที่จัดงานวันเกิดของเธอทุกคืน หนังไล่สำรวจชีวิตเธอละเอียดยิบจนกระทั่งถึงไอเดียที่ว่านางเอกบ้าไปเองหรือเปล่า

และก็ไม่ใช่มีแค่นางเอกคนเดียวที่ติดลูปนี้ ในเรื่องยังมีตัวละครชายหนุ่ม “อลัน” ที่มีนิสัยใจคอและการดำเนินชีวิตเป็นระเบียบ แตกต่างจากนางเอกทุกด้านมาติดในลูปส่วนตัวแยกกันอีกด้วย ซึ่งอลันก็มีการมองโลกที่แปลกออกไปจากพล็อตหนังแนวนี้เลยคือ เขารู้สึกว่าควบคุมโลกนี้ได้ ไม่อยากให้อะไรผิดเพี้ยนไป คือเป็นคนที่ไม่ได้คิดออกจากลูปแตกต่างกับนางเอกที่ประสาทแดกกับการติดลูปตายซ้ำๆ แบบคาดเดาไม่ได้

ซึ่งพอสองคนนี้มาร่วมกันติดลูป หนังก็มีลูกเล่นความเชื่อมโยง 2 ลูปมาเป็นปริศนาให้ตามคาดเดากันว่าทั้ง 2 คนนี้มีอะไรที่เหมือนกันจนเป็นจุดร่วมให้ติดลูป และก็มีเป็นการเล่นเรื่องราว 2 ทางแยกกันเป็นแบบพาราเรลเวิลด์ (โลกคู่ขนาน) ที่ปกติไม่มีหนังเรื่องไหนทำมาก่อน (เท่าที่ทราบนะครับ) ซึ่งทั้ง 2 คนนี้ก็จะได้ตายแปลกแตกต่างกันไปเรื่อยๆ แต่ก็ค่อยๆ พบความเชื่อมโยงของทั้งคู่มากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับนำเสนอ 2 ทฤษฎีการเกิดลูปที่แตกต่างกัน ของนางเอกจะออกแนวไซไฟ แต่ของอลันจะเป็นแนวความเชื่อเรื่องผลกรรม ทำให้เราได้ชวนคิดว่าแบบไหนกันแน่?

นอกจากการวนลูปเห็นตัวละครเดิมๆ แล้ว เรื่องราวเว็บดูหนังยังมีการนำเสนอโลกล่มสลาย ซึ่งเป็นหนึ่งในปริศนาที่ทั้งสองคนต้องแก้ไขว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หลังผู้คนหรือสิ่งต่างๆ ในลูปเดิมๆ เริ่มหายไปเรื่อยๆ จนดูเหมือนกลายเป็นจุดจบ End of the World ของโลกที่ทั้งคู่ติดอยู่ได้เช่นกัน

ด้านนักแสดง

และสำหรับหัวใจของเรื่องราวคงหนีไม่พ้น นาตาชา ลีโอนน์ ที่นอกจากรับบท นาเดีย แล้ว เธอยังเป็นมันสมองสำคัญในฐานะผู้สร้างสรรค์เรื่องราวและร่วมเขียนบทที่ได้รับความไว้วางใจจากทาง เน็ตฟลิกซ์ หลังร่วมงานใน Orange is a new black มาต่อเนื่องกันถึง 6 ซีซัน

ก็นับว่าเธอมาไกลจากแค่ตัวประกอบในหนังชุด American Pie มากเลยทีเดียว เพราะแม้รูปลักษณ์ภายนอกของเธอจะไม่ได้ถึงขั้นสวยโดดเด่นอะไรนัก แต่เสน่ห์ในการแสดงของเธอก็มากพอจะดึงเราให้อยู่กับตัวละครและเรื่องราวที่เธอจะเล่าได้เป็นอย่างดีจนน่าจะได้เข้าชิงรางวัลด้านรายการโทรทัศน์ในปีหน้าแน่ๆ

รีวิว Russian Doll

เพราะเรื่องราวใน Russian Doll ไม่เพียงนำไอเดียสุดโต่งอย่างการวนลูปชีวิตมาสร้างจุดขายเท่านั้น ตรงกันข้ามมันกลับทำให้เราเห็นว่าในเหตุการณ์เดียวกันมีทางเลือกหลายด้าน หากเราเลือกทางผิดก็มีแต่ทำร้ายตัวเองและผู้อื่นได้อย่างเห็นภาพเพราะแต่ละตอนไม่ได้มีแต่วนไปมาซ้ำๆเพราะทุกการตัดสินใจของ นาเดียและอลัน จะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมทั้งคู่ไปอีกทางหนึ่งโดยสิ้นเชิง ซึ่งขอบอกว่าตอนสุดท้ายของซีรีส์สามารถทำให้คนดูเสียน้ำตาและเอาใจช่วยทั้งคู่แบบสุดลิ่มทิ่มประตูจริงๆ

โดยรวม

เนื้อเรื่องแปลกใหม่ น่าติดตาม ใครจะไปคิดว่าซีรีส์ที่หยิบเอาความตายซ้ำแล้วซ้ำเล่ามันจะออกมาได้ลงตัวขนาดนี้ ในตอนแรกๆซีรีส์ก็จะเป็นแนวสืบสวนตามหาว่าทำไมเธอถึงตายซ้ำไปซ้ำมา จนมาถึงช่วงกลางๆซีรีส์ที่เธอเจอคนแบบเดียวกันและเธอต้องหาวิธีแก้ปัญหานี้ โดยเริ่มช่วยกันตามสืบหาความจริง

ซึ่งซีรีส์เรื่องนี้มีการพูดถึงทฤษฏีของไอสไตน์ เกี่ยวกับมิติที่ 4 ซึ่งผมชอบการเล่าเรื่องใน Ep สุดท้ายมากๆ มันทำให้ภาพทฤษฏีของไอสไตน์ นั้นชัดเจนมากๆ

สรุป

นี่เป็นซีรีส์แนวอินดี้ไม่ได้ลงทุนสูง ไม่ได้มีสเปเชี่ลเอฟเฟ็กต์อะไรให้เห็นนัก แต่ใช้การเดินเรื่องแปลกแตกต่างฉีกจากแนววนลูปปกติได้อย่างน่าสนใจ แต่อาจจะไม่ได้ถึงกับสดใหม่อะไรนัก หนังไม่ได้ดูแล้วสนุกแบบติดหนึบ แต่ดูแล้วชวนคิดไปกับทฤษฎีเพี้ยนๆ ในเรื่องที่นางเอกพยายามตั้งมาเพื่อหาคำตอบ พร้อมกับตลกกับการตายเพี้ยนๆ ของนางเอกที่พิสดารไม่คาดคิดจริงๆ

ถึงเรื่องราวจะจบได้เคลียร์เรื่องราวไม่คาใจอะไร แต่ตอนนี้ได้รับไฟเขียวให้ไปต่อซีซั่น 2 แล้ว ก็ต้องรอดูว่าจะพยายามฉีกออกไปได้ยังไงครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น