รีวิว Bright - ไบรท์
บนโลกที่เต็มไปด้วยความแตกต่าง แต่สัมพันธ์ของมิตรภาพยังคงอยู่ ดูเหมือนว่าหนังเรื่องล่าสุดของผู้กำกับ Suicide Squad ต้องการจะสื่อโดยหวังว่าบนโลกที่เสื่อมสภาพในอนาคตอันใกล้ สังคมที่ถูกแบ่งแยกด้วยเผ่าพันธุ์ น่าจะยังมีเรื่องราวดีๆ เกิดขึ้นอยู่ อย่างน้อยก็ความเป็นมนุษย์ในตัวมนุษย์เอง ภาพยนตร์แอคชั่นทุนสร้างสูงเรื่องล่าสุดจาก Netflix ได้นำเข้าไปสู่โลกในอนาคตที่เต็มไปด้วยความเสื่อมโทรม การอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์และเหล่าสิ่งมีชีวิตพิศวงในโลกเทพนิยายทำให้เกิดบรรทัดฐานต่อกัน รีวิว Bright
เรื่องย่อ
หลังถูกยิงจนบาดเจ็บสาหัส ดาร์ริล วอร์ด (วิล สมิธ) จำใจต้องทำงานกับ นิค จาโคบี (โจเอล เอ็ดเกอร์ตัน) ตำรวจเผ่าออร์คนอกคอกที่ถูกกล่าวหาว่าปล่อยคนร้ายเผ่าพันธุ์ตนเองหนีไป และท่ามกลางวิกฤติศรัทธานั้นทั้งคู่จำเป็นต้องร่วมมือกันปกป้อง ทิกก้า (ลูซี่ ฟราย) และไม้กายสิทธิของเธอจาก เลย์ลาห์ (นูมิ ราพาซ) ปีศาจเอลฟ์ที่หวังใช้ไม้กายสิทธิปลุกชีพเจ้าแห่งความมืดให้กลับมาครองโลก
ภาพยนตร์แอคชั่นทุนสร้างสูงเรื่องล่าสุดจาก Netflix ได้นำเข้าไปสู่โลกในอนาคตที่เต็มไปด้วยความเสื่อมโทรม การอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์และเหล่าสิ่งมีชีวิตพิศวงในโลกเทพนิยายทำให้เกิดบรรทัดฐานต่อกัน วาร์ด (นำแสดงโดย วิล สมิธ) ตำรวจผู้มุ่งมั่นในอาชีพต้องมาเป็นคู่หูทำงานกับตำรวจสายพันธุ์ออร์ค จาโคบี (นำแสดงโดย โจล เอ็ดเกอร์ตัน) ทั้งคู่บังเอิญได้พบกับไม้เสกคาถาศักดิ์สิทธิ์ อาวุธที่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตทุกสายพันธุ์
ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่หนังบล็อกซ์บัสเตอร์ เข้าฉายตามโรงภาพยนตร์ตามปกติ แต่คุณภาพและขนาดของหนังก็ยิ่งใหญ่สมราคาคุย โปรดักชั่นต่างๆ เป็นหนังแอคชั่นทุนสูง "เดวิด เอเยอร์" ซึ่งทำหน้าที่ในการกำกับหนังเรื่องนี้ยังคงลายเซ็นเอาไว้ชัดเจน เห็นได้จากงานภาพ โทนสี หรือแม้แต่จังหวะจะโคน ยังมีกลิ่นอายมาจากผลงานเรื่องก่อนจากค่ายดีซีคอมิกส์
"วิล สมิธ" กับ "โจล เอ็ดเกอร์ตัน" เป็นคู่หูที่มีเคมีลงตัวกันอย่างเถียงไม่ได้ โดยเฉพาะรายหลังที่แปลงโฉมกลายเป็นออร์ค พร้อมให้การแสดงเป็นสิ่งมีชีวิตอื่นที่ไม่มนุษย์ได้อย่างลงตัว สร้างอารมณ์ขันและถ่ายทอดความดราม่าได้เป็นอย่างดี ขณะนี้ วิล ดูเหมือนจะมารับบทเป็นคู่หูตำรวจคู่หูอีกแล้ว ความช่ำชองทำให้การแสดงดูลื่นไหลดี แต่น่าเสียดายที่ไม่บทใหม่ๆ สำหรับเขาเลย
กลับมาเป็นตัวร้ายสุดแสบอีกครั้ง "นูมิ ราเพช" ที่รับบทเป็นเอลฟ์สาวอำมหิต มิติของบทบาทไม่มีอะไรมากนัก แต่น่าทึ่งกับการดีไซน์การแสดงในแบบฉบับส่วนตัวของเธอ ราเพชยังทำได้ดีในฉากบู๊แอคชั่น ดูแตกต่างจากหนังบู๊เรื่องก่อนๆ ของเธอ แม้จะไม่ใช่บทบาทที่ดีที่สุดก็ตาม
อีกคนที่ขโมยซีนได้อยู่ไม่น้อย "ลูซี ฟราย" เป็นเอลฟ์สาวที่หลบเลี่ยงจากภัยอันตราย การแสดงของเธอค่อนข้างน่าสนใจ ถึงจะไม่ใช่บทบาทที่โดดเด่นอะไร แต่ก็ถ่ายทอดออกมาได้น่าติดตาม เธอสามารถขับเสน่ห์ของตัวละครออกมาได้ แม้จะยังเป็นดาวรุ่งในวงการการแสดง แต่เชื่อว่าผลงานจากเรื่องนี้จะทำให้เธอมีแฟนๆ เพิ่มขึ้นแน่
เนื้อเรื่อง
หลังคว่ำไม่เป็นท่าจาก Suicide Squad (2016) หนังรวมเหล่าร้ายค่าย DC เดวิด เอเยอร์ ผู้คร่ำหวอดกับหนังตำรวจก็กลับมาหาแนวทางที่ตนคุ้นเคยเพราะแม้ BRIGHT จะถูกวางให้เป็นหนังแฟนตาซีแต่จุดศูนย์กลางของเรื่องคือเรื่องราวของตำรวจชั้นผู้น้อยที่ต้องต่อสู้กับการคอรัปชั่นขององค์กรและต่อสู้กับความต่างทางชาติพันธุ์จนได้กลิ่นอายจากงานเก่าๆ
อย่าง End of Watch (2012), Sabotage (2014) หรืองานเขียนบทสร้างชื่ออย่างTraining Day (2001) อยู่กลายๆ ซึ่งคราวนี้เอเยอร์จับมนุษย์มาทำงานกับออร์คโดยมีความหวาดระแวงทางชาติพันธุ์มาเป็นจุดขัดแย้งสำคัญซึ่งนอกจากจะทำให้เรื่องราวมีความเข้มข้นทั้งดราม่าจากตัวละครต่างขั้วแล้ว
เอเยอร์ยังถือโอกาสหยิบจับเศษเสี้ยวหนังใหม่เต็มเรื่องของวรรณกรรมแฟนตาซีอย่าง The Lord of the Rings และ Harry Potter มาดีไซน์โลกของตัวละครเพื่อเป็นการเปรียบเปรย (Allegory) กับปัญหาชาติพันธุ์ในอเมริกาได้อย่างคมคายซึ่งเผ่าพันธุ์ออร์คก็แทบไม่ต่างจากคนผิวสีที่ถูกเหยียบหยามจากคนขาวในอเมริกาที่กลายเป็นประเด็นร้อนหลังการเข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์นั่นเอง
ความสร้างสรรค์
ต้องยอมรับว่าในส่วนของความคิดสร้างสรรค์ที่ตีความออกมาเป็นบทค่อนข้างน่าประทับใจ สอดแทรกตัวละครจากเทพนิยายกับมนุษย์ได้น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อสรุปกลายเป็นประเด็นหลักของหนัง ทำให้ทุกอย่างกลายเป็นเพียงสูตรสำเร็จ ดำเนินเรื่องไปเรื่อยๆ ไม่ต่างกับเล่นวิดีโอเกมผ่านด่านต่างๆ แต่ฉากแอคชั่นที่อัดแน่นมากมาย น่าจะถูกใจคอหนังบู๊เลยทีเดียว
การนำเสนอ
แต่ในการนำเสนอของหนังยังสอดแทรกข้อคิดและปัญหาสังคมปัจจุบันเอาได้ดี นับเป็นข้อถือของหนังที่เลือกสะท้อนเรื่องนี้ออกมาได้อย่างกลมกล่อม ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการเหยียดเชื้อชาติ, ความแบ่งแยกขัดแย้งของประชาชนกับตำรวจ หรือปัญหาการกลั่นแกล้งทางสังคมที่ระบาดหนักอยู่ในสังคมโลก
โปรดักชั่นและนักแสดง
โปรดักชั่นของหนังที่ทั้งภาพและเสียงไม่ได้ด้อยไปกว่าหนังฉายโรงทั่วไปเลย มิหนำซ้ำคุณภาพอาจดีกว่าหนังบางเรื่องเสียอีกซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งก้าวที่กล้าหาญมากของเน็ตฟลิกซ์ที่ทุ่มทุนทำหนังฟอร์มใหญ่ขนาดนี้ลงสตรีมมิ่ง ไม่เพียงเท่านั้นการดีงนักแสดงเกรดเออย่าง วิล สมิธ
ที่เน้นเล่นแต่หนังบล็อคบัสเตอร์ยังช่วยเสริมภาพลักษณ์ของหนังให้ดูมีมูลค่าประหนึ่งหนังฉายฟอร์มยักษ์ส่งท้ายปีอีกด้วย ซึ่งนักแสดงแต่ละคนนอกจาก วิล สมิธ ที่ยังคงเท่ในชุดตำรวจจนภาพจากหนัง Bad Boys ทั้งสองภาคกลับมาในความทรงจำของผมแล้ว
ความทุ่มเทของ โจเอล เอ็ดเกอร์ตันในบทตำรวจออร์คที่ต้องเมคอัพหน้าก่อนถ่ายครั้งละ 3 ชั่วโมงก็เป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดีถึงความทุ่มเทของนักแสดง ส่วนนักแสดงสาวอย่าง นูมิ ราพาซ ก็ต้องขอบอกว่าเธอเป็นผู้ร้ายที่เท่และมีเสน่ห์มาก จนทำให้ตลอดการชม BRIGHT คือความบันเทิงทั้งสำหรับแฟนหนังและแฟนดารานำของเรื่องอย่างแท้จริง
เพลงจากเว็บหนัง HD เรื่องนี้ก็สร้างอารมณ์ร่วมให้กับผู้ชมได้เป็นอย่างดี การใส่เพลงสอดแทรกเข้าไปฉากต่างๆ ดูมีความความคล้ายจากเรื่อง Suicide Sqaud อยู่ไม่น้อย เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่มีเพลงซาวน์แทรกดีๆ ที่เน้นเนื้อหาที่หนักแน่นและสะท้อนปัญหาสังคม
โดยรวม
Bright เป็นหนังแอคชั่นแฟนตาซีที่มีโดดเด่นเรื่องแนวคิดและความสร้างสรรค์ แต่ยังถ่ายทอดออกมาได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก หลายส่วนดูเป็นเพียงหนังสูตรสำเร็จที่ควรจะเป็น แต่ก็สามารถบดขยี้ประเด็นสังคมได้อย่างกินใจ การแสดงของทีมนักแสดงเกือบ 2 ชั่วโมงยังไม่ได้ให้ความสดใหม่ใดๆ แต่ก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการผูกเรื่องและเสริมแต่งแนวคิดใหม่ๆ สามารถนำไปต่อยอดได้อีก
ถึงแม้หนังเรื่องจะแอบแบกรับความกดดันอยู่ไม่น้อย เพราะเป็นหนังออนไลน์จากทาง Netflix แต่ต้องยอมรับว่าวงการภาพยนตร์ต้องปรับตัวและเปลี่ยนแปลง หนังบ็อกซ์บัสเตอร์ในอนาคตไม่ได้ฉายแค่เพียงในโรงภาพยนตร์อีกต่อไป การได้เห็นความกล้าลงทุนทุ่มทุนสร้าง โดยไม่ได้คาดหวังเงินจากตารางบ็อกซ์ออฟฟิศ Bright น่าจะเป็นตัวอย่างของหนังที่ดีของหนังฟอร์มยักษ์ในช่วงทศวรรษต่อไป
สรุป
จริงๆพล็อตดีเลยแหละ น่าสนใจ เอาเรื่องเหนือธรรมชาติมาทำได้เข้ากันดี ซึ่งส่วนตัวเรามองว่าหนังใช้ประเด็นเผ่าพันธ์มาแทนประเด็นเหยียดต่างๆในสังคมรึเปล่า(สีผิว เชื้อชาติ ศาสนา) ซึ่งเนื้อแท้ของหนังพูดถึงมิตรภาพ ความเชื่อใจ และการคอรัปชั่น เราว่าประเด็นอยู่ตรงนี้นะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น