วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

The Kid Who Would Be King – หนุ่มน้อยสู่จอมราชันย์

หนัง HD


รีวิว The Kid Who Would Be King – หนุ่มน้อยสู่จอมราชันย์

The Kid Who Would Be King หนังที่น่าดูตั้งแต่โปสเตอร์ยันตัวอย่าง กับเรื่องราวของ เด็กน้อยที่ไปบังเอิญเจอดาบของคิงอาเธอร์ปักอยู่ แล้วเขาก็ดั๊นหยิบมันขึ้นมาได้ ทำให้ต้องแบกความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่งปกป้องโลกจากอันตรายจากแม่มดร้ายมอร์กานา จริงๆ มันก็คือเรื่องของคิงอาเธอร์ที่เราคุ้นเคยกัน ถูกเล่าแล้วเล่าอีก เพียงแต่ในคราวนี้มันลดทอนความรุนแรง ดราม่า และเป็นตำนานคิงอาเธอร์ในเวอร์ชั่นเหมาะสำหรับเด็กแทน รีวิว The Kid Who Would Be King

เรื่องย่อ

ชีวิตลูสเซอร์ของ อเล็กซ์ (หลุยส์ แอชบอร์น เซอร์คิส) หนุ่มน้อยตุ้ยนุ้ยกำลังจะเปลี่ยนไป หลังดึงดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์ออกจากศิลาในไซต์ก่อสร้าง ทำให้มอร์กานา (รีเบคกา เฟอร์กูสัน) แม่มดร้ายกลับคืนสู่โลกหวังแย่งชิงดาบและสังหารกษัตริย์องค์ใหม่ งานนี้ อเล็กซ์จึงต้องร่วมพลังทั้ง เมอร์ลิน (แองกัส อิมรี) พ่อมดวิเศษที่แฝงตัวมาในคราบเด็กวัยรุ่น, เบดเดอส์ (ดีน เชามู) เพื่อนสนิทขี้กลัวของอเล็กซ์, แลนซ์ (ทอม เทย์เลอร์) และ เคย์ (เรียอานา ดอริส) หัวโจกที่เคยแกล้งอเล็กซ์ทุกวัน เพื่อหยุดยั้งหายนะทำลายโลกจากแม่มดผู้ชั่วร้าย
บอกตามตรงว่านี่คือหนังอันมีองค์ประกอบให้เรายี้ได้ทุกอย่างตั้งแต่ชื่อเรื่องที่ ทื่อมะลื่อได้อี๊ก! อะไรเข้าฝันให้เอาประโยคเฉิ่มเชยอย่าง The Kid Who Would Be King เด็กที่จะขึ้นเป็นกษัตริย์ เนี่ยนะ! แต่พอได้เห็นชื่อผู้กำกับอย่าง โจ คอร์นิช ซึ่งก็ไม่ได้โด่งดังอะไรมากมายแต่มีเครดิตเขียนบท ANT-MAN (2015) หนังฮีโร่มดตัวน้อยตัวนิดสุดเมากาว
ก็พอใจชื้นว่าหนังต้องมีอะไรเกิดคาดแน่ๆ ซึ่งก็จริงดังคาดและเหมือนเราจะถูกชื่อเรื่องสุดเฉิ่มเชยนี่แหละหลอกทางมาแต่ต้น เพราะการนำตำนาน คิงอาเธอร์และอัศวินโต๊ะกลมมาดัดแปลงพันธุกรรมของมันด้วยการทำเป็นหนังเด็ก ที่สำคัญคือแอบใส่ตัวละครเด็กไว้หลากเชื้อชาตินี่แหละที่สามารถวิพากษ์สังคมอังกฤษได้อย่างเจ็บแสบ ผ่านการเขียนบทของ โจ คอร์นิช เองที่มองเรื่องที่ตนจะเล่าได้ขาดมาก ที่สำคัญทั้งงานสเปเชียลเอฟเฟกต์ต่างๆและอารมณ์ขันของหนังก็ทำงานสอดคล้องในประเด็นที่จะเล่าได้เป็นอย่างดี จนเกิดหนังครอบครัวที่คนดูทั่วไปก็สนุกกับมันได้
สำหรับความล้ำลึกของบทหนังก็ตั้งแต่ตัวละครอเล็กซ์ ที่หนังจงใจแคส หลุยส์ แอชบอร์น เซอร์คิส ทายาทแท้ๆของนักแสดงโมแค็ปชื่อดังอย่าง แอนดี เซอร์คิส ด้วยรูปร่างตุ้ยนุ้ยผิดจากพระเอกหนังเด็กที่มักเลือกเด็กตัวเล็กผอมๆน่ารักมารับบทฮีโร่ ก็ทำให้เราเชื่อในความเป็นลูสเซอร์ได้ตั้งแต่ต้นแล้ว
ที่สำคัญการให้ภาพคนขาวเป็นลูสเซอร์มันยังนัยยะของประเทศที่กำลังย่ำแย่ได้เห็นภาพมาก ซึ่งหนังก็ยังกำหนดให้เพื่อนๆของอเล็กซ์เป็นเยาวชนที่ถูกมองเป็นพลเมืองชั้นสอง ทั้ง เบดเดอส์ เด็กอินเดียนบริติชที่ต้องเอาชนะความกลัวของตัวเอง ส่วนแลนซ์ อาจดูเป็นหนุ่มผิวขาวอันธพาลที่ได้แรงบันดาลใจมาจากพวกฮูลิแกน
แต่ก็ยังถือเป็นเด็กที่สังคมอังกฤษทอดทิ้ง ส่วน เคย์ ก็เป็นสาวอังกฤษผิวสีให้ภาพอดีตชนชั้นทาสในประวัติศาสตร์ เมื่อเอาตัวละครทั้งหมดมาจับใส่ตำนานกษัตริย์ อาเธอร์ เราก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงอุดมการณ์หนังที่เชิดชูพลังเยาวชนที่แฝงในเรื่องได้อย่างแยบยล เพราะหากตำนานเดิมถูกบอกเล่าแบบอนุรักษ์นิยมโดยให้ภาพคนผิวขาวรูปร่างกำยำเป็นคนกอบกู้บ้านเมือง
อังกฤษในยุควิกฤติจากปรากฎการณ์ เบร็กซิตที่พวกอนุรักษ์นิยมคร่ำครึ นำโดยนายกรัฐมนตรีหญิงอย่าง มอร์กานา เอ้ย! เทเรซา เมย์ ที่นำพาประเทศมาสู่ทางตันจากแนวคิดชาตินิยมสุดโต่ง ก็ต้องพึ่งพาเยาวชนหลากเชื่อชาติและสีผิวนี่แหละในการกอบกู้และพัฒนาประเทศ ซึ่งตรงนี้มันฟ้องถึงความตั้งใจและใส่ใจของ โจ คอร์นิช มากในการถักทอเหตุการณ์บ้านเมืองแฝงการวิพากษ์สังคมใส่ล้อไปกับตำนานแบบเปรียบเปรย (Allegory) ได้อย่างล้ำลึกแบบนี้
อ่านพารากราฟบนดูจริงจังแต่ก็ใช่ว่าหนังจะมาทางซีเรียสนะครับ ตรงกันข้ามหนัง HDเลยหนังเต็มไปด้วยอารมณ์ขันที่โดนใจและบางมุกก็หน้าด้านมาก ฮ่าาาา  ทั้งมุกอัศวินโต๊ะกลมที่เห็นในตัวอย่างหนังไปจนถึงมุกที่ส่วนตัวชอบมากอย่าง เลดี้ออฟเดอะเลค หรือ เทพีแห่งสายน้ำ ที่นางโผล่ได้ตั้งแต่ทะเลสาบไปยันอ่างอาบน้ำเด็กถือว่าเพิ่มเปอร์เซ็นต์ความเมากาวให้หนังได้สนุกและฮาขึ้นได้เป็นอย่างดี

เรื่องงานสร้าง

นอกเหนือจากบทหนังที่ถักทอมาเป็นอย่างดีแล้ว ด้านงานสร้างของหนังก็อยู่ในเกณฑ์ดีมาก สเปเชี่ยลเอฟเฟกต์ในเรื่องแม้จะไม่ใหม่มากแต่ก็ทำได้มาตรฐานไม่มีส่วนโป๊ะแตก ซีจีลาละลอยแบบเดอะทอยแต่อย่างใด เรื่องเสื้อผ้าหน้าผมก็ครีเอตดีซึ่งคราวนี้พอให้เมอร์ลินมาเป็นเด็กหนุ่มที่แฝงกายมาในยุคปัจจุบันด้านคอสตูมก็เล่นสนุกกับชุดกันอย่างเต็มที่โดยเฉพาะมุกเสื้อ เล็ดเซปพลิน ที่มาพ้องเสียงกับ เมอร์ลิน ก็เอาใจคนช่างสังเกตได้เป็นอย่างดี หรือชุดเกราะโบราณที่ถูกดัดแปลงให้เข้ากับไซส์เด็กมัธยมและเสื้อพละของโรงเรียนก็ทำให้เห็นความครีเอตของคนออกแบบเสื้อผ้าได้เป็นอย่างดี
ส่วนนักแสดงเด็กๆทั้งหลายก็มีดูหนังผ่านเน็ตเสน่ห์ต่างกันไป หลุยส์ แอชบอร์น เซอร์คิส ฉายแววหล่อแต่เด็กแม้จะตุ้ยนุ้ยแต่น้องก็แบกหน้าที่บทนำได้อย่างน่าชื่นชมทั้งบทคอเมดี้และบทดราม่าที่หนังปูได้หนักแน่นทีเดียว ส่วนบรรดาเด็กๆที่รับบทอัศวินโต๊ะกลมทั้ง ดีน เชามู, ทอม เทเลอร์ และ เรียอานา ดอริส ก็มีส่วนเสริมให้เรื่องราวดูสนุกขึ้น
และบทเมอร์ลินจอมขโมยซีนยังน่าจะแจ้งเกิดให้ แองกัส อิมรี ที่เชื่อว่าใครดูหนังแล้วน่าจะอยากเลียนแบบท่าร่ายมนต์ที่โคตรคูลเกินหน้าเกินตาหนังเรื่องอื่นเลยล่ะ นอกจากนี้หนังยังได้นักแสดงดังทั้งแพตริก สจ๊วร์ต หรือโปรเฟสเซอร์เอ็กซ์ จากไตรภาค X-Men แรกมารับบทเมอร์ลินตอนชรา และได้ รีเบคกา เฟอร์กูสัน จาก Mission Impossible : Fallout (2018) มารับบทมอร์กานา แม่มดผู้ชั่วร้ายอีกด้วย
รีวิว The Kid Who Would Be King

วิจารณ์

จริงๆ เราอาจจะคาดหวังมันไว้สูงไป หรือเราอาจจะโตไปสำหรับหนังอะไรพวกนี้แล้วก็ได้ – -” หนังมันค่อนข้างดำเนินเรื่องเรื่อยๆ เชยๆ คาดเดาได้ การแสดงก็ไม่ได้โดดเด่น พาร์ทดราม่าก็ไม่อิน กับเรื่องราวของลูสเซอร์ เด็กเนิร์ดของโรงเรียนที่ถูกกลั่นแกล้งตลอด จนกลายมาเป็นฮีโร่ คือมันไม่มีอะไรแปลกใหม่ แล้วตลอดทั้งเรื่องหนังก็ทำให้เราว้าวไม่ได้เลยสักฉาก แม้กระทั่งฉากสู้กันที่ฝึกคนทั้งโรงเรียนจากในตัวอย่าง มันก็ยังเฉยๆ มากเลย รวมทั้งมุกในเรื่องมันก็พอยิ้มได้ ฮาบ้าง แต่ส่วนใหญ่มันจะแป้กซะมากกว่า
สิ่งที่น่าชื่นชมของหนังคือการวางตัวละคร ต่างวัย ต่างเชื้อชาติ ต่างนิสัย ไม่ว่าจะเป็นอันธพาล เด็กผิวสี เด็กอินเดียน ซึ่งมันเป็นการสอดแทรกประเด็นความสามัคคี ปลูกฝังให้แก่คนได้แบบเล็กๆ น้อยๆ แต่น่าชื่นชมแบบสุดๆ อีกอย่างนึงที่ไม่พูดถึงเลยก็คงไม่ได้ มันคือ CG ซึ่งในเรื่องนี้ต้องยอมรับว่าทำออกมาได้ดี เนียนตา และสวยเลยทีเดียว
ปกติเนี่ยหนังแนวๆ นี้พอดูจบแล้วมันจะสร้างอะไรในใจ และทำงานกับเราในบางอย่าง แต่เรื่องนี้กลับไม่ทำให้เรารู้สึกอะไรเลยหลังดูจบ จบแล้วก็จบไปงั้นๆ เฉยมากจริงๆ อย่างที่บอกไปตอนแรกว่า “เราอาจจะโตไปสำหรับหนังแบบนี้ก็ได้” แต่มันอาจจะเหมาะสำหรับเด็ก และก็ครอบครัวที่พาลูกหลานมาดู คงจะเอ็นจอยกับหนังเรื่องนี้ไม่ใช่น้อย

สิ่งที่น่าชื่นชม

ต้องชื่นชมตัวผู้กำกับ ที่สามารถหากึ่งกลางระหว่างหนังผจญภัยเด็กกับการส่งสารได้อย่างลงตัว คือในพาร์ทของความเป็นแฟนตาซี ผจญภัย มันก็อาจจะไม่ได้ซับซ้อนมาก แต่ก็ให้ความรู้สึกที่แปลกดี อีกทั้งยังรู้สึกชอบการที่หนังยังแฝงถึงประเด็น ความคาดหวัง (ความจูนิเบียว) ของเด็กที่รู้สึกว่าตัวเองสำคัญและเป็นฮีโร่ได้อย่างน่าสนใจ
แต่ที่ชอบมากเลยคือตัวละครเมอร์ลิน ที่รับบทโดย Angus Imrie และตัว Alex ที่รับบทโดย Louis Ashbourne Serkis ลูกชายของ Andy Serkis ที่ทำให้ตัวละครในหนังดูมีมิติขึ้นมาบ้าง เพราะตัวละครอื่นๆ ในเรื่องก็แอบแบนไปนิดเหมือนกัน แต่หนังได้สองคนนี้แหละที่ให้ความรู้สึกว่าเล่นดี (โดยเฉพาะไอ้คาถามือของเมอร์ลินนี่ก็น่าจดจำแล้ว แม้ว่าจะจำไม่ได้ว่าทำยังไงก็ตาม)

สรุป

โดยรวมแล้ว The Kid Who Would Be King ก็เป็นอีกเรื่องที่ดูได้เพลินๆ มีอะไรซ่อนไว้มากกว่าการเป็นหนังกลุ่มเด็กผจญภัยธรรมดา เพียงแต่ว่าด้วยธรรมชาติการเล่าเรื่องสไตล์หนังอังกฤษอาจจะดูแห้งไปบ้าง ถ้าหลายคนไม่ชอบก็พอจะเข้าใจได้ เพียงแต่ข้อความที่เขาซ่อนไว้ในหนังมันดีงามจนไม่อยากให้มองข้ามเลย

Cadaver – ห้องเก็บศพ

หนัง HD


รีวิว Cadaver – ห้องเก็บศพ

หนังสยองขวัญฟอร์มเล็ก แต่ความน่ากลัวไม่เล็ก หนังออกฉายในบ้านเราและแถบอเมริกาใต้ด้วยชื่อ Cadaver ซึ่งเป็นชื่อดั้งเดิมในตอนถ่ายทำ แต่ในตลาดวงกว้างออกฉายในชื่อ The Possession of Hannah Grace ซึ่งตั้งตามชื่อหญิงสาวที่เป็นศพ และเป็นจุดเริ่มต้นความสยองของเรื่องนั่นเอง รีวิว Cadaver

เรื่องย่อ

เรื่องราวของอดีตตำรวจสาว ที่จับพลัดจับพลูได้มาทำงานเป็นพนักงานในห้องเก็บศพ แต่แล้วเธอก็ต้องพบกับศพที่ไม่ธรรมดา เพราะศพนั้นคือปีศาจในร่างหญิงสาว นั่นทำให้ค่ำคืนในห้องเก็บศพของเธอจะถูกจดจำไปจนวันตาย เธอต้องเผชิญหน้ากับความอันตรายอย่างคาดเดาไม่ได้
หนังผีที่ถูกเลื่อนแล้วเลื่อนอีก แถมยังถูกเปลี่ยนชื่อจาก The Possession of Hannah Grace เป็น Cadaver (ที่แปลว่าซากศพ) ซึ่งนั่นมันก็ดีแล้ว ถ้ายังใช้ชื่อเดิมฉายจะโกรธมาก คะแนนมันจะน้อยกว่านี้มาก! หนังว่าด้วยเรื่องของอดีตตำรวจหญิงที่ประสบปัญหาบางอย่างจึงจำเป็นต้องลาออกจากตำรวจมาทำงานกลางคืนด้วยการเป็นคนดูแลห้องเก็บศพ ที่มีอยู่คืนหนึ่งมีบังเอิญมีศพที่ถูกสิงด้วยปีศาจ
พูดถึงชื่อเรื่องก่อนเลย จริงๆ เนี่ย หนังมันไม่ควรใช้ชื่อเรื่องว่า The Possession of Hannah Grace เลยสักนิดเดียว เพราะไอ้เจ้าตัวละคร Hannah Grace เนี่ยมันคือใคร มาจากไหน ต้องการอะไรก็ไม่รู้ รู้แต่เป็นตัวละครที่ถูกสิง ซึ่งมันก็ไม่ได้ปูเรื่องราวภูมิหลังของตัวละครนี้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมโดนสิง โกรธไรนักอะ คือไม่ต้องมีชื่อก็ได้อะ มันไม่จำเป็นต่อเรื่องเลย ดีและที่มันเปลี่ยนชื่อ
หนังมีตัวอย่างที่น่ากลัวและหลอนมาก แต่มันเริ่มระแคะระคายตรงที่มันถูกเลื่อนบ่อยเนี่ยแหละ จริงๆ หนังมีการเปิดเรื่องที่ดีเลยนะกับพิธีไล่ผี และน่าสนใจไม่ใช่เล่น แต่หลังจากนั้นเหมือนหนังจะดร๊อปสเกลความน่ากลัวจากจุดนั้นลงมาซะเยอะเลย

เนื้อเรื่อง

เรื่องราวถูกเซ็ตขึ้นในชั้นห้องเก็บศพ ที่ใช้เปิดไฟด้วยเซนเซอร์ ต้องผ่านประตูด้วยบัตร ในใจนี่นึกละ “เห้ย ไอเดียดี มันต้องมีฉากหลอนๆ เล่นกับอะไรพวกนี้แน่นอน” ด้วยองค์ประกอบและบรรยากาศมันก็ชวนหลอนอยู่นะ แต่หนังกลับเอาองค์ประกอบกับบรรยากาศเหล่านั้นมาเล่นน้อยมาก คือใช้พื้นที่ซะเสียของว่างั้นเถอะ
คำว่าหนังผีเนี่ย มันต้องมีน่ากลัว มีจังหวะการหลอกที่ค่อยๆ บีบคั้นคนดูถึงความไม่ปลอดภัย ใต่ระดับความหลอนไปเรื่อยๆ แต่หนังเรื่องนี้เหมือน “รีบ” จนเกินไป เมื่อหนังไม่ค่อยมีฉากหลอนประสาทคนดู จริงอยู่ที่มันมีฉากให้ตกใจหรือจั้มสแกร์อยู่บ้าง แต่มันก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด สิ่งที่น่าเสียดายคือตัวผีในเรื่อง คือมันจะออกแนวเป็นผีหักกระดูกอย่างที่เราเห็นในตัวอย่างนั่นแหละ มันทั้งดูน่าเกลียดน่ากลัว แต่มันกลายเป็นความว่าความน่ากลัวหรือความหลอนทั้งหมดจะเห็นได้เกือบหมดแล้วในตัวอย่าง
ตามธรรมเนียมของหนังสยองขวัญมักจะไม่ยาวนัก Cadaver ก็มาด้วยความยาวของหนังเพียง 1 ชั่วโมง 26 นาที ไม่ถึงชั่วโมงครึ่งด้วยซ้ำ แต่นั่นก็เพียงพอกับช่วงเวลาตึงเครียดที่ลากกันยาว ๆ ของหนัง ที่กำหนดให้เหตุการณ์เกิดขึ้นภายในเวลาแค่คืนเดียวที่เมแกน รีด ต้องเผชิญกับความน่ากลัวของฮันนาห์ เกรซ , เมแกน เป็นอดีตตำรวจสาวที่พบกับความสะเทือนใจรุนแรงระหว่างปฏิบัติหน้าที่กับการต้องเสียคู่หูไปต่อหน้าต่อตา
เธอทำใจไม่ได้ออกจากตำรวจแล้วก็หันเข้าหาเหล้าและยา ติดหนักจนต้องเลิกกับแฟนที่เป็นตำรวจ เมื่อเข้าบำบัดจนเลิกติดยาและเหล้าจึงหันกลับมาหางานทำ เมแกนอยากได้งานที่ไม่ต้องพบปะผู้คนมากนัก ผู้ให้คำปรึกษาส่วนตัวเลยแนะนำให้เธอมาทำงานพนักงานกะดึกประจำห้องเก็บศพโรงพยาบาลบอสตัน
คืนแรกผ่านไปด้วยดี แต่แล้วคืนที่ 2 ศพที่ส่งเข้ามากลางดึก ก็เป็นศพของฮันนาห์ เกรซ สาวที่ตายระหว่างพิธีไล่ผี ร่างของเธอมาในท่าคุดงอ มีแผลฉกรรจ์ที่คอ และเอว ผิวหนังครึ่งร่างถูกเผาไหม้ และตั้งแต่ร่างของฮันนาห์มาถึง เหตุการณ์ชวนขนลุกที่หาคำอธิบายไม่ได้ก็เกิดขึ้นมากมาย
cadaver เป็นหนังที่ชวนขนลุกตั้งแต่ได้เห็นตัวอย่างหนัง ก็ถือว่าเลือกตัดฉากสยองมารวมเป็นตัวอย่างได้น่าสนใจถึงดูดความสนใขคอหนังผีได้เป็นอย่างดี แต่สิ่งที่มากกว่าตัวอย่างหนังก็คือตัวละครที่มากขึ้น ทั้งพนักงานขับรถ รปภ. กะดึก และ แอนดรูว์ อดีตแฟนของเมแกน ล้วนใส่เข้ามาให้เป็นเป้าหมายสนุกของฮันนาห์ทั้งนั้น หนังก็เลยไม่ได้มีแค่เมแกน และ ฮันนาห์ อย่างที่ตัวอย่างหนังทำให้เข้าใจ
หนังมีองค์ประกอบที่ชวนขนหัวลุกมากมาย การออกแบบห้องเก็บศพที่หม่นมาก ทั้งสีผนังและการตกแต่งที่เน้นสีเข้มช่วยให้บรรยากาศดูสยองมากขึ้น บวกกับไอเดียผู้กำกับที่อยากให้ห้องเก็บศพดูว่าง ๆ เวิ้งว้างจะช่วยเล่นกับบรรยากาศสยองได้มากขึ้น และองค์ประกอบที่ทำให้น่ากลัวขึ้นไปอีกคือระบบไฟอัตโนมัติตามทางเดินยาว ๆ ที่จะติดขึ้นเองเมื่อมีคนเดินผ่าน
ก็เลยกลายเป็นจุดที่เอามาขยายเล่นในฉากสยองได้อีกหลายครั้ง ทำให้ห้องเก็บศพนี้กลายเป็นอีกตัวละครสำคัญของหนังเลย และหัวใจหลักของเรื่องก็คือตัว ฮันนาห์ เกรซ นั่นเอง ที่ได้เคอร์บี้ จอห์นสัน สาววัย 23 ที่มาแคสต์บทนี้เอง แม้ประสบการณ์แสดงจะไม่มากแต่ด้วยความสามารถพิเศษของเธอนั่นล่ะ
ที่ทำให้เธอเหมาะกับบทฮันนาห์ ที่สุดแล้ว เพราะเคอร์บี้เป็นทั้งนักเต้น นักยิมนาสติก และนักกายกรรมดัดตน การได้เคอร์บี้มาร่วมงานทำให้กองถ่ายลดต้นทุนในการทำซีจีไปได้มาก เพราะหนัง HDทุกการปรากฏตัวของฮันนาห์ เกรซ ที่คลานไปมาทำท่าทางบิด ๆ งอ ๆ ทำแขนขาผิดรูปนั้นล้วนเป็นความสามารถของเธอล้วน ๆ ไม่ต้องใช้ซีจีช่วย ดูแววแล้วน่าจะมีงานรองรับเธออีกมากในอนาคต
หนังได้ ดีเดอริค แวน รูเจ็น ผู้กำกับจากเนเธอร์แลนด์ มารับหน้าที่ หลังจากที่เคยมี TAPED ผลงานสร้างชื่อในประเทศเมื่อปี 2012 ดีเดอริค ก็ย้ายครอบครัวมาเอาดีในฮอลลีวู้ดเลย แล้วก็ได้ประเดิมงานกำกับแรกกับ cadaver นี่ล่ะ ที่เขาเอาชนะคู่แข่งอีก 24 คนได้ ด้วยการได้นำเสนอผลงานเป็นคนแรก
และทำหนังตัวอย่างมาเสนอเพียงแค่ 5 นาที แต่เว็บสตรีมหนังได้ใจทีมงานมาก ผสมกับบทของไบรอัน ซีฟ ที่เล่าเรื่องราวได้ครบถ้วนในเวลาสั้น ๆ เริ่มจากบทความในหนังสือพิมพ์ที่เล่าเรื่อง หญิงสาวที่โดนคำสั่งศาลให้ไปทำงานในห้องเก็บศพ แล้วก็ถูกขยายมาเป็นบทของ cadaver นี่ล่ะ
ความสยองของ cadaver ไม่ได้มาในแบบตุ้งแช่ แต่นั้นบรรยากาศตึงเครียดเสียมาก กับความน่ากลัวของห้องเก็บศพในยามวิกาล ที่เมแกน ต้องอยู่เพียงคนเดียวในชั้นใต้ดิน หนังไต่ระดับความน่ากลัวขึ้นทีละนิด จากอิทธิฤทธิ์ที่ค่อยเผยมาเล็กน้อยของฮันนาห์ แล้วลงเอยด้วยการแผลงฤทธิ์แบบเต็มร้อย
ที่ผิดคาดมากคือผีฮันนาห์ไม่ใช่ผีธรรมดาแต่เปรียบเสมือนวิญญาณที่ร้ายอันดับต้น ๆ จากนรก ที่พยายามใช้ร่างของฮันนาห์เป็นประตูมาสู่โลกมนุษย์ก็เลยมีอิทธิฤทธิ์มากกว่าผีธรรมดาที่โผล่มาให้ตกใจกลัว แต่ผีฮันนาห์ดุถึงขั้นเอาชีวิต หนังเล่าเรื่องราวแบบมีชั้นเชิงด้วยการเล่าเหตุการณ์ปัจจุบัน แล้วก็หาช่องในการสอดแทรกอดีตของเมแกน ขณะเดียวกันก็ค่อย ๆ เผยความเป็นมาของฮันนาห์เช่นกัน
รีวิว Cadaver

สิ่งที่เสียดาย

สิ่งที่น่าผิดหวังก็คือแทนที่จะเป็นเกมสงครามประสาทระหว่างเมแกน กับ ฮันนาห์ แต่สุดท้ายหนังก็ลงเอยในแนว “หนังเชือด” ที่ค่อย ๆ ใส่บรรดาตัวประกอบดวงซวยเข้ามาให้ทยอยเป็นเหยื่อของฮันนาห์ และการปรากฏตัวของฮันนาห์ที่ก้าวกระโดนพอควร จากที่โผล่มาหลอกแบบแวบ ๆ ให้คอยลุ้นสะดุ้ง แต่แล้วอยู่ดี ๆ ก็ออกมายืนโล่ง ๆ ให้เห็นกันจะจะไปเลย ถ้าให้ความสำคัญกับฉากเผยตัวตนได้เท่ ได้น่ากลัวกว่านี้จะน่าจดจำมาก
หนังออกฉายหลายประเทศไปเมื่อปลายปีที่แล้ว ด้วยทุนสร้างเพียงแค่ 7.7 ล้านเหรียญ ทำเงินไปแล้ว 42 ล้านเหรียญ ด้วยกำไรขนาดนี้ ก็มีแววว่าเราจะได้ดูภาค 2 กันนะ พอดูได้นะครับ ตอบโจทย์คอหนังผีได้ดี ได้ทั้งลุ้น ทั้งสะดุ้ง และที่สำคัญคืออยากให้ได้ชมความสามารถพิเศษของน้องเคอร์บี้ จอห์นสัน ผู้รับบทฮันนาห์ เกรซ เพราะเธอนี่ล่ะที่ทำให้ฮันนาห์มีดีกรีความน่ากลัวขึ้นเยอะเลย น่าสงสารที่ต้องเปลือยกายเล่นทั้งเรื่องเลยล่ะ

สรุป

Cadaver เป็นหนังผีเรื่องนึงที่ผิดหวังจริงๆ คือเห็นจากตัวอย่างมันควรจะน่ากลัวและหลอนแบบนั้น หนังใช้วัตถุดิบในหนังได้ไม่คุ้มเอาซะเลย มีฉากหลอนนิดๆ น่ากลัวหน่อยๆ ถ้าเทียบกับเรื่องอื่นๆ การหลอกของผีตนนี้สอบตกเลย แถมบทยังมีช่องโหว่เต็มไปหมดเลย แต่ถึงยังไงก็ตามอยากให้ลองไปพิสูจน์ด้วยตาตัวเองจ้าาา
ปล.ขึ้นต้นเหมือนจะมาแนวสาวที่ติดอยู่กับผีในห้องเก็บศพ แต่ลงเอยเป็นหนังเชือด

Cold Pursuit – แค้นลั่นนรก

ดูหนัง HD


รีวิว Cold Pursuit – แค้นลั่นนรก

Cold Pursuit หนังแอ็คชั่นที่โปสเตอร์ฉาบหน้าด้วยป๋า Liam Neeson มาพร้อมกับเนื้อเรื่องทวงแค้นที่คุ้นเคย ด้วยความที่โปสเตอร์ดูธรรมด๊าธรรมดา บวกกับตัวอย่างที่ไม่ต่างกัน ทำให้หลายคนนึกไปแล้วว่า “อีกละ” แค่เห็นป๋า Liam กับพล็อตเรื่องทวงแค้นที่ลูกตาย ก็ชวนเอือมกันแล้ว แต่พอได้ดูหารู้ไม่ว่ามันดีกว่านั้นเยอะ! รีวิว Cold Pursuit

เรื่องย่อ

หลังลูกชายถูกแก๊งค้ายาสังหารโหด นีล ค็อกซ์แมน (เลียม นีสัน) คุณพ่อวัยดึกขอทิ้งชีวิตสงบสุขในเมืองอันหนาวเหน็บ เพื่อมุ่งตามล้างแค้นให้ลูกชาย แต่ยิ่งเขาตามเช็คบิลเหล่าเดนสังคมก็กลับพบความฟอนเฟะที่ซุกในเมืองหิมะหนาเตอะแห่งนี้ทั้งธุรกิจยาเสพติดและอาชญากรรมที่เกิดขึ้นเหมือนกฎหมายไม่มีอยู่จริง งานนี้ นีล จะแก้แค้นให้ลูกชายสำเร็จหรือไม่ต้องติดตาม
หลายคนอ่านพล็อตแล้วคงถอนหายใจว่า เฮ้อ! หนังเลียมล้างแค้นอีกแล้วสินะ.. แต่อยากบอกตรงนี้เลยว่า เฮ้ย! หนังมันไม่ธรรมดาจริงๆ เพราะมันคือหนังที่ ฮานส์ ปีเตอร์ โมแลนด์ รีเมคจาก In order of disappearance หนังนอร์เวย์ปี 2014 ที่ทั้งโหด แหวะ และเต็มไปด้วยมุกตลกร้ายยากเกินคาดเดา
ตัวละครในหนังทุกตัวอยู่ๆก็ตายแบบเราเดาทางไม่ถูก มันเล่นกระทั่งการสวิตช์ สับเปลี่ยนแนวของหนัง จากล้างแค้น ไปเป็นตลกเสียดสีได้แบบหน้าตาเฉย และแม้จะมีกลิ่นอายของหนังพี่น้องโคเอนอย่าง No country for old men แบบติดปลายจมูก แต่ก็ยังมีเอกลักษณ์ในจังหวะการเล่าเรื่องแบบหาตัวจับยากอยู่ดี จนได้หนังบันเทิงที่ไม่คลีเช่ซ้ำซาก เต็มไปด้วยลูกเล่นแสนบันเทิงมากมายเลยเชียวแหละ 

เนื้อเรื่อง

หลังจากที่ลูกของ เนลส์ ค็อกซ์แมน (เลียม นีสัน) ถูกฆาตกรรม เนลส์ก็ได้พบต้นตอของฆาตกรรม และได้ไปล้างแค้นให้ลูกชาย ผมสรุปเนื้อเรื่องเท่านี้ครับหลายคนอาจจะคิดว่าพลอตเรื่องก็คล้ายๆ หนังแอคชั่นเรื่องอืนๆ หรือพลอตเรื่องก็คล้ายๆ ที่เลียม เคยเล่นอยู่แล้ว แต่จริงๆ แล้วหนังมันมีความตลกร้ายมาก ไม่คิดว่าจะดำเนินเรื่องในแนวนี้ แต่ผมชอบมากเลยครับ
พูดถึงเนื้อเรื่อง ช่วงต้นของหนังนี่เป็นหนังที่ธรรมดามากๆ แต่พอกลางเรื่องจนถึงตอนจบมันแปลกมาก มีความตลกร้ายสูงมาก ดำเนินเรื่องต่างจากหนังแอคชั่นอื่นๆ ไปเลย ตรงนี้อาจจะมีทั้งคนชอบและไม่ชอบครับ อีกอย่าตัวหนังผูกเรื่องเก่งมาก คุมตัวละครที่มีอยู่ในหนังได้แบบเอาอยู่ทั้งๆ ที่ตัวละครเยอะ แต่หนังค่อยๆ ลำดับจนเรารู้สึกได้ว่าตัวละครทุกตัวในหนังมีความสำคัญ
เมื่อเรามาพิจารณาชื่อเรื่อง Cold Pursuit นอกจากการพูดถึงการล่าอันแสนเยือกเย็น เย็นชาแล้ว หนังยังเล่นกับสภาพแวดล้อม หิมะ ธารน้ำแข็ง ที่มาเปรียบเปรยกับสัญชาตญาณ-สันดานของมนุษย์ที่มันค่อยๆเปิดเปลือยตัวละครออกมา ตั้งแต่ตัวนีลเองที่กลบความรุนแรงไว้ใต้หิมะหนาขาวโพลนจนกระทั่งการตายของลูกชายได้ทำหน้าที่ไม่ต่างจากรถเลื่อนไถน้ำแข็งเผยสันดานดิบของเขาแบบถึงแก่น
ซึ่งหนังวางคาแรกเตอร์ของนีลได้อย่างแยบยลตั้งแต่ต้นเรื่องที่ภรรยาต้องแค่นให้เขาคิดคำกล่าวสุนทรพจน์ขอบคุณในงานมอบรางวัลพลเมืองดีเด่นซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสุขุมประหย้ัดคำพูดของนีลได้เป็นอย่างดี จนกระทั่งความแค้นเริ่มเพิ่มความเลือดเย็นให้เขาเข้าไปอีก ซึ่งด้วยการที่นีลไม่ใช่คนช่างพูดนี้เองที่ช่วยให้เราเชื่อได้สนิทใจกับการแก้แค้นอันแสนสุดจะโหดและบ้าคลั่งของเขา (แต่กระนั้นก็ยังไม่ทิ้งความเป็นพลเมืองดีมีรางวัลการันตีด้วยการห่อศพด้วยตาข่ายแล้วทิ้งธารน้ำแข็งไม่ให้เป็นขยะรกสภาพแวดล้อมต่อไป 555)
หรือแม้แต่ระดับมหภาคอย่างอาชญากรรมเรื่องยาเสพติดที่แม้แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจยังทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่อาวุโสข้าราชการที่ทำงานเช้าชามเย็นชาม และพยายามปรามลูกน้องไฟแรงให้ยอมอะลุ่มอะหล่วยหวังให้หิมะมาปกปิดคราบความโสมมของสังคมเอง
จนเราเองเริ่มสัมผัสโลกเฉพาะตัวของหนังที่แทบไม่มีที่ยืนให้คนดีได้อย่างชัดเจน และทีละน้อยมันก็ทำให้เราเข้าใจว่าทำไมนีลถึงต้องออกโรงตามล่าล้างแค้นให้ลูกชายเอง เพราะตั้งแต่ต้นเรื่องเขาก็หมดศรัทธากับระบบยุติธรรมตั้งแต่เจ้าหน้าที่สืบสานสรุปคดีลูกชายของเขาว่าเป็นการเสพย์ยาเกินขนาดแบบไม่มีการไต่สวนอะไรเพิ่มเติมแล้ว
การแคสป๋าเลียม นีสัน มารับบทตามล่าล้างแค้นตามหลังหนังดังอย่าง Taken คงโดนแซะว่าแกคงเพลย์เซฟเล่นเหมือนเดิม ขายภาพเป็นดาราแอ็คชั่นวัยชรา ทั้งที่จริงบท นีล ไม่ได้ถูกปูว่าเป็นอดีตซีไอเอ หรือ เก่ง ด้านบู๊มาจากไหน ตรงกันข้ามแกแค่รู้จักการยิงปืนในระยะใกล้ๆ ต่อยด้วยหมัดอันหนักหน่วงเพราะทำงานใช้แรงงานและมีความชราเป็นอุปสรรคสำคัญแบบต่อยๆอยู่ หอบรับประทานซะงั้นน่ะ555 เลยทำคาแรกเตอร์แกเป็นที่จดจำและชวนเอาใจช่วยได้เป็นอย่างดี
แถมทีมนักแสดงสมทบหนังก็สามารถใช้ประโยชน์จากคาแรกเตอร์แปลกๆมาสร้างความวายป่วงจนหนังไม่มีช่วงน่าเบื่อเลยไม่ว่าจะเป็นเอมมี รอสซัม ที่ขอสลัดคราบแบ้วสาวน้อยบอบบางจาก Phantom of the Opera มาเป็นตำรวจสาวแกร่งได้อย่างน่าเชื่อถือ หรือจะเป็น จูเลีย โจนส์ อดีตสาวอินเดียนแดงหมาป่าจากหนังชุด Twilight มารับบทภรรยาอินเดียนแดงสุดแสบของพ่อค้ายาตัวเอ้ได้แบบมีเซอร์ไพร์สตลอดอีกด้วย

วิจารณ์

ใช่แหละ มันคือหนังทวงแค้นอย่างที่หลายคนคิด แต่มันเพิ่มเติมไปด้วยการดำเนินเรื่องแบบตลกร้าย กวนตีนๆ ไม่บันยะบันยันทั้งเรื่อง ไม่ว่าจะด้วยตัวบท ตัวละคร บทสนทนา ฉาก คือทุกอย่างมันล้วนแต่บันเทิงทั้งสิ้น มันไม่ใช่ตลกแบบ Comedy แต่มันคือตลกร้ายแบบกวนตีน ตลกหน้าตาย ตลกด้วยคำพูด ตลกด้วยการกระทำ การตัดสินใจของตัวละครต่างๆ มุกแบบเฉียบ! ตลอดทั้งเรื่องคุณจะเดาไม่ได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น ใครจะรอดใครจะตาย หนังมีลูกล่อลูกชนที่ดีงามมาก ถึงไม่ใช่หนังตลก แต่เรื่องนี้มันทำให้เราฮาได้ทั้งเรื่องจริงๆ (ฮายัน Post Credit อะ)
หนังวางตัวละครของ Liam Neeson ในบทของ Nels Coxman ไว้อย่างฉลาดมาก เราจะเห็นตัวตนของตัวละครนี้ตั้งแต่เริ่มเรื่องจนถึงการเปลี่ยนแปลง กับตัวละครพูดน้อย พลเมืองดี แต่ต้องมาตามไล่เช็คบิลพวกมาเฟีย คิดดูว่าเขาแค้นขนาดไหน แน่นอนว่าในเรื่องนี้มีฉากแอ็คชั่น แต่ดูหนัง HDเลิกคาดหวังความเทพแบบใน Taken ได้เลย เพราะนี่คือ Liam จริงๆ ตามล้างแค้นแบบคนแก่ (ต่อยๆ มีเหนื่อยอะไรทำนองนั้น 555) ที่ดูโหด ดูดิบ ดูจริง และน่าเชื่อสุดๆ แถมการจัดการแต่ละศพของตัวละครนี้ ยังสะท้อนภาพลักษณ์ความเป็นพลเมืองดี แบบเป็นตลกร้ายได้อย่างฮาเลย
นอกจากตัวละครของ Liam แล้ว ตัวละครอื่นๆ ในเรื่องคือโคตรดี ดีทั้งการแสดง บทบาท บทพูด เห้ยมันดีงามจริงๆ คือองค์ประกอบของเรื่องนี้มันดีทุกภาคส่วนเลยจริงๆ มีเซอร์ไพรส์ให้เราได้เห็นทุกตัวละครจริงๆ
รีวิว Cold Pursuit

นักแสดง

แน่นอนครับเลียมแบกหนังทั้งหนังออนไลน์เรื่องนี้เอาไว้ และก็แสดงได้ดีมากๆ ไม่ว่าจะการสื่อสาร สีหน้า คือดีหมดเลย ชอบลุงแกมากจริงๆ คนอะไรเท่มากๆ ส่วนอีกตัวละครนึงที่ชอบก็คือ ผู้นำองค์กรไวกิ้ง แสดงโดย Tom Bateman จริงๆ ตอนเปิดเรื่องมารู้สึกว่าตัวละครนี้ตลกเอามากๆ แต่พอดูไปจนถึงกลางเรื่องเราถึงเข้าใจในตัวละครนี้ และรู้สึกว่าโอเคมากๆ บุคลิกเหมาะกับตัวละครนี้มากๆ เลยครับ

ภาพ

ฉากในเรื่องเป็นหิมะทั้งเรื่อง เอาจริงๆชอบการนำเสนอนะ ภาพโอเค มีฉากวิวสวยๆ ฉากเมืองสวยๆ เยอะเลยครับ

สิ่งที่ชอบมากๆ

ความตลกร้ายของหนังครับ เป็นการนำเสนอที่แปลกกว่าชาวบ้านเค้า และก็แปลกใจไม่คิดว่าหนังจะนำเสนอในรูปแบบนี้ แถมยังเห็นเลียมได้เล่นบทแปลกๆ ก็คุ้มสุดๆละครับ

สรุป

คอหนังแอคชั่นอาจจะต้องทำใจสักนิดนึงนะครับ มันแทบจะไม่มีอะไรให้ลุ้นในฉากแอคชั่นเลย แต่ถ้าใครชอบการแสดงตลกร้ายผสมแอคชั่นนิดๆ เรื่องนี้มันโอเคจริงๆครับ คือฉากแอ็คชั่นตอนจบของหนังที่ไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่ แต่นอกนั้นคือดีย์ หากใครคาดหวังจะไปดูป๋าบู๊แบบ Taken อาจจะต้องผิดหวังสักหน่อย แต่ถ้าใครอยากได้ความรู้สึกมันส์ สนุก สะใจ ฮา เซอร์ไพรส์ โอ้ยไม่รู้จะบรรยายยังไง เรียกว่าโหดมันส์ฮาแบบสุดๆ ลองไปดู รับรองว่าจะไม่ผิดหวังแน่นอน

City Hunter Nicky Larson

ดูหนัง HD


รีวิว City Hunter Nicky Larson – สายลับคาสโนเวอร์

City Hunter Nicky Larson คือหนังฝรั่งเศสที่ดัดแปลงมาจากมังงะชื่อดังในชื่อ City Hunter ซึ่งนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มังงะเรื่องนี้ถูกดัดแปลงมาเป็นหนัง เพราะเฉินหลงได้เคยนำมาทำแล้วครั้งนึงแล้วฮาบ้ารั่วแบบสุดๆ รวมถึงทางเกาหลีก็เคยนำมาทำในฉบับซีรีส์ที่มีความดราม่าเข้ามาด้วย แต่ในฉบับฝรั่งเศสนี้เรียกได้ว่าถอดแบบ และเคารพความเป็นต้นฉบับที่สุดแล้ว รีวิว City Hunter Nicky Larson รีวิว City Hunter Nicky Larson

เรื่องย่อ

พบปฏิบัติการโคตรมันส์ฮาใส่กระสุนความเกรียน 18+ ดัดแปลงจากการ์ตูนญี่ปุ่นยอดฮิต “CITY HUNTER” นิกกี้ ลาร์สัน (ฟิลลิเป้ ลาโชว์) นักสืบเอกชนขั้นเทพที่ไขคดีปริศนามานักต่อนัก แต่จุดอ่อนอย่างเดียวที่ทำให้เขาต้องปวกเปียกทุกครั้งที่เจอคือ สาวสุดเอ็กซ์! ลาร์สันต้องผจญภัยฝ่าภารกิจสุดป่วง โดยหนึ่งในเป้าหมายสำคัญคือการชิงเอาน้ำหอมกามเทพ น้ำหอมที่ทำให้ทุกคนที่ได้กลิ่นต้องหลงใหลหมดตัวหมดใจ
หนังดัดแปลงจากมังงะมาอีกแล้ว แต่ความพิเศษคือรอบนี้เป็นฝั่งหนังฝรั่งเศสที่ซื้อสิทธิ์มาทำบ้าง หลังปล่อยฮอลลีวู้ดและญี่ปุ่นทำมาตลอด และจะว่าไปมังงะ ซิตี้ฮันเตอร์ นั้นจัดเป็นผลงานภาพจำของยุค 90 เรื่องหนึ่งเลยทีเดียว โดยผลงานของอาจารย์ โฮโจ ทซึคาสะ นี้ เคยได้รับการนำไปทำฉบับคนแสดงมาแล้วหลายครั้ง
ทั้งฉบับ เฉินหลง ซึ่งนำต้นฉบับมาใส่สีตีไข่ได้มันมาก เมื่อปี 1993 (แต่ฉากที่ติดตาดันเป็นฉากเฉินหลงใส่ชุดชุนหลีจากเกม Street Fighter ซะงั้น) ต่อมาปี 2011 เกาหลีก็นำไปทำฉบับทีวีซีรีส์ มี อีมินโฮ แสดงนำ ก็เพิ่มความดราม่านำคอมเมดี้ซึ่งเป็นทางถนัดของเกาหลี และมาถึงฉบับล่าสุดนี้ที่ต้องบอกว่าคารวะต้นตำหรับมังงะได้เป๊ะมากถึงมากที่สุด ไม่ใช่แง่ของการทำคอสเพลย์ได้เหมือนเด๊ะ แต่เป็นการนำอารมณ์กลิ่นมู้ดโทนของมังงะมาใช้ได้ 100% อย่างแนบเนียนจริง ๆ
นี่เป็นงานทั้งแสดงนำและกำกับ พ่วงร่วมเขียนบทเองอีกของ ฟิลลิปเป้ ลาโชว์  ที่สร้างผลงานมาแนวคอมเมดี้ตลอด เรียกว่าเลือกคนถูกงานเลยทีเดียว เพราะพี่แกทั้งหน้าตาทั้งแนวการแสดงมันคือ จิม แครี่ แห่งเมืองน้ำหอมของจริงเลย หน้าตาหล่อ ๆ ที่เล่นฮาได้ทุกแบบ ทั้งหน้าตาย หน้าทะเล้น ทะลึ่ง คือไม่หน้าหมั่นไส้แต่กลับทำให้หลงรักความเว่อความหื่นของตัวละครอย่าง นิคกี้ ลาร์สัน (ซาเอบะ เรียว ในมังงะ)ได้
นี่คงเป็นความเก่งและต้องยกเครดิตให้นักแสดงนำนี่เอง ซึ่งเมื่อว่าการแสดงแล้วก็ต้องชมตัวละครอื่น ๆ ที่มาสร้างสีสันทุกตัวเลย ทั้งตัวละครดั้งเดิมจากมังงะ อย่าง ลอร่า (คาโอริ ในมังงะ) และ แมมมอธ (อุมิโบสึ ในมังงะ) หรือจะเป็นตัวละครใหม่อย่าง ปันโช และ สกิปปี้ ที่ออกแบบมาได้เหมาะเจากับแนวเรื่องมาก คือเขียนบทคิดตัวละครได้กลมกลืนขนาดนี้ ต้องบอกว่าศึกษาและเข้าใจตัวมังงะมาดีมาก แฟนมังงะเดิมคือหลงรักเลย
และสำหรับคนทั่วไปที่ไม่ใช่แฟนมังงะ ไม่รู้จักมาก่อน ดูหนัง HDมันก็คือหนังบู๊ตลกสไตล์เฉินหลง (ฉากบู๊ผสมความขบขัน) ผนวกกับสไตล์โจวชิงฉือ (พวกลูกเล่นการตัดต่อ กลวิธีแพรวพราวที่หลอกล่อคนดู) อย่างงั้นเลย คือตลกมากหลายฉากเลย ฉากที่ตลกน้อยก็ยังรู้สึกว่าไม่มีคำว่าแป้กสักนิด ติดอยู่ข้อเดียวว่าหนังฝรั่งเศสเขานู้ดกันปกติ
ดังนั้นเครื่องทรงเครื่องเพศนี่เห็นกันเต็มตาเต็มจอนะจ๊ะ บวกกับหนังถ่ายทอดสดลูกหื่นของลาร์สันนี่ก็หื่นตลอดเวย์จริง ๆ ก็ไม่ใช่พฤติกรรมเอาเยี่ยงอย่างได้ล่ะ ก็ต้องสอนเด็กว่าเป็นเพียงเรื่องแต่งเท่านั้น ใครจูงลูกพาหลานไปดูก็นะระวังนิดอย่างนึกว่าหนังจากมังงะแล้วเด็กดูง่ายล่ะ
แต่ถ้าอายุถึง-คิดถูกผิดได้ บอกเลย โคตรมันโคตรตลกเลยเรื่องนี้ ยิ่งได้เสียงพากย์จากน้าต๋อย เซมเบ้ ผสานกำลังแก๊งพันธมิตร ต้องบอกเลยจากหนังฮา 100 กลายเป็น 200 ทันที แถมใส่มุกกันยับไม่เว้นแม่แต่จอดำช่วงข้ามฉากเลยทีเดียว คือคุ้มเลยนะกับการดูพากย์ไทยเรื่องนี้ และคงหาโอกาสได้หนังตลกดี ๆ มีนักพากย์ชั้นเซียนครบทีมแบบนี้ดูยากขึ้นเรื่อย ๆ แน่ ทุกนาทีของการดูและฟังหนังเรื่องนี้จึงคือความสุขและรอยยิ้มตลอดเวลาจริง ๆ
รีวิว City Hunter Nicky Larson

วิจารณ์

หนังเรื่องนี้ว่าด้วยเรื่องของน้ำหอมกามเทพ น้ำหอมที่ใครได้ฉีดก็จะทำให้ทุกคนที่ได้กลิ่นต้องหลงรักอย่างโงหัวไม่ขึ้น ทำให้นักสืบหน้าหล่อสุดหื่น Nicky Larson (ซาเอบะ เรียว) พร้อมด้วยคู่หู Laura (มากิมูระ คาโอริ) ต้องออกโรงมาชิงน้ำหอมคืนมา ก่อนที่เหล่าวายร้ายจะได้ไป
ถ้าใครเป็นแฟนคลับ City Hunter มีกรี๊ดแน่นอน ส่วนใหญ่หนังที่ดัดแปลงมาจากมังงะทีไรจะเจอปัญหาที่ตัวละครไม่เหมือนในมังงะเลย แต่เรื่องนี้ไม่เป็นแบบนั้น เพราะหนังถอดแบบมาจากต้นฉบับเป๊ะมาก ทั้งเสื้อผ้าหน้าผม การแสดงออก คำพูดคำจาของตัวละคร นิสัยใจคอ ยังกะหลุดมาจากมังงะยังไงยังงั้น ทั้ง ซาเอบะ เรียว หรือในหนังเรื่องนี้ใช้ชื่อว่า Nicky Larson ที่ตัวผู้กำกับทั้งแสดงเอง และเขียนบทเองอีกด้วย และอีกทุกตัวละคร ไล่ไปตั้งแต่ Laura (มากิมูระ คาโอริ), Mammouth (อุมิโบสึ) รวมไปถึงบทของ โนงามิ ซาเอโกะ และ มากิมูระ ฮิเดยูกิ คือเรียกได้ว่าแค่เห็นหน้าก็รู้แล้วว่าพวกเขาคือใครในมังงะ ซึ่งเป็นข้อดีที่แฟนๆ ต้องชอบมากๆ

จุดเด่น

จุดเด่นอีกอย่างของหนังเรื่องนี้คือมันเต็มไปด้วยมุกตลกแทบจะตลอดเวลา ทั้ง 1 ชั่วโมงครึ่ง คุณจะได้พบกับมุกตลกแทบจะทุกรูปแบบ อย่างกับนั่งดูซิทคอม คือเรียกว่าพอจะดราม่าก็ดันมีตลกเข้ามาหักอารมณ์ซะงั้น และเหตุผลที่มันตลกได้มากขนาดนี้ต้องชมเสียงพากย์ไทยที่หลายคนคุ้นเคยและคิดถึง รู้สึกดีที่ได้ยินเสียงนี้อีกครั้ง กับ น้าต๋อย เซมเบ้ ที่มาขยี้ความฮาให้ทวีคูณขึ้นไปอีก เลยทำให้หนังมันยิ่งตลกเข้าไปใหญ่
ถึงแม้ว่าหนังจะดัดแปลงมาจากมังงะได้ดีและตลกแค่ไหนก็ตาม แต่ส่วนตัวแล้วในแง่ของความเป็นหนังถือว่าเรื่องนี้ทำออกมาได้ไม่ดีเลย มันเป็นเหมือนหนังตลกเกรด B ที่ทั้งเรื่องก็แค่ดูไปเรื่อยๆ บทง่ายๆ ไม่ซับซ้อน เดาทางได้ทั้งเรื่อง ดูตัวละครยิงมุกใส่กัน พอจะมีฉากเท่ๆ เทคนิคการถ่ายเจ๋งๆ ให้ดูอยู่บ้าง แต่นอกเหนือจากนั้นมันเป็นหนังที่ไม่มีอะไรเลย ถ้าไม่ได้ชื่อ City Hunter มันก็จะเป็นหนังธรรมด๊าธรรมดาทั่วไปที่ไม่มีความน่าสนใจ

สรุป

City Hunter เวอร์ชั่นเมืองน้ำหอมนี้คงถูกใจแฟนคลับมังงะเรื่องนี้หลายๆ คน แน่นอน มันดูง่าย ตลกทั้งเรื่อง สอดแทรกด้วยฉากเท่ๆ ของตัวละคร ใครไม่ใช่แฟนคลับก็สนุกกับมันได้และเข้าใจตัวละครได้ไม่ยาก โดยความเห็นส่วนตัว เราคิดว่ามันเฉยๆ เกินไปสำหรับเรา แต่ก็ดีกว่าหนังดัดแปลงจากมังงะหลายๆ เรื่องแหละนะ
ปล. เรื่องนี้มีฉากโป๊เปลือย 18+ ไม่เหมาะกับเด็กนะจ๊ะ

แสงกระสือ – Inhuman Kiss

ดูหนัง


รีวิว แสงกระสือ – Inhuman Kiss

ไม่รู้ว่าช่วงนี้เป็นวันครบรอบกระสือไทยหรืออย่างไร ถึงได้มีหนังกระสือเข้าติดๆ กันถึงสองเรื่องเลยทีเดียว นั่นคือเรื่องนี้ “แสงกระสือ” และอีกเรื่อง “กระสือสยาม” ซึ่งการโปรโมทต่างกันอย่างเห็นได้ชัด จะเห็นได้ว่า กระสือสยามโปรโมทได้เยอะมาก อาจจะเพราะได้ มิวนิค BNK ในใจก็เลยหวั่นๆ ว่าเรื่องแสงกระสือกระแสเงียบๆ อาจจะเป็ยแค่หนังผีธรรมดาเรื่องนึง แต่พอได้ดูแล้วน่าปรบมือให้กับหนังไทยเรื่องนี้จริงๆ รีวิว แสงกระสือ

เรื่องย่อ

จำ “จูบแรก” ของคุณได้ไหม? เด็กสาวแรกรุ่นในหมู่บ้านอันห่างไกล ค้นพบว่าแท้จริงแล้วเธอไม่ใช่มนุษย์เหมือนคนอื่น แต่สืบเชื้อสายมาจากเผ่าพันธุ์เก่าแก่ในตำนานที่ถ่ายทอดกันผ่านทางน้ำลาย มีเพียงเด็กหนุ่มคนเดียวในหมู่บ้านที่รู้ความจริง และพยายามปกป้องเธอจากการไล่ล่าของชาวบ้านที่หวาดกลัวผีกระสือ ความใกล้ชิดของทั้งสองเริ่มก่อตัวขึ้นเป็นความรัก ขณะที่อสูรกายอีกสายพันธุ์หนึ่งก็ต้องการหัวใจของเธอเพื่อความเป็นอมตะ หนทางที่เธอจะอยู่รอดคือหนีออกจากหมู่บ้าน หรือการเผชิญหน้ากับศัตรูที่ตามล่า… แล้วเขาจะปกป้องเธอได้หรือไม่
ลืมหนังกระสือเก่าๆ ที่เคยดูไปได้เลย หนังไม่ได้เสียเวลาเล่าเรื่องต้นกำเนิดของกระสืออย่างที่ผ่านๆ มา ไม่ได้น่ากลัว หนังดำเนินเรื่องให้คนดูสนใจและน่าติดตาม มีปริศนาให้ขบคิดนิดหน่อยอยู่ตั้งแต่ต้นเรื่อง แต่ดำเนินเรื่องเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน และจังหวะหนังดีมาก หนังฉลาดที่ไม่ต้องให้คนดูเสียเวลาเดาให้ยากว่าใครเป็นกระสือ มันไม่ได้โฟกัสที่การตามหาตัวจริงว่า “กระสือเป็นใคร”
แต่จะเน้นหนักไปพาร์ทดราม่ามากกว่าว่าจะ “ใช้ชีวิตยังไงในฐานะกระสือ” พร้อมๆ ไปกับเรื่องราวความรักสามเศร้า ที่ก่อนดูก็คิดนะว่าหนังจะทำยังไงให้เราอินกับเรื่องราวความรักของคนกับกระสือ แต่หนังมันทำได้! ถึงแม้หนังจะมีซัพพล็อตเยอะ แต่ก็แบ่งสัดส่วนมาได้พอดี มีน้ำหนักกับทุกส่วนที่หนังใส่มาได้ลงตัวสุดๆ อีกทั้งบรรยากาศในเรื่องนี้มีเสน่ห์มาก ทั้งการจัดไฟ แสง สี เรียกได้ว่าคุมโทนและมูดของหนังได้เป็นอย่างดี
หนังไทยแนวแฟนตาซีเฮอร์เรอร์ที่โปรดักชั่นน่าดูมากถึงมากที่สุดเรื่องหนึ่งของปีนี้เลย  สำหรับหนังผีกระสือ ผีโบราณที่แปลกแหวกความรู้สึกคนยุคใหม่ แต่ก็ทำออกมาได้รสชาติสากลแต่มีความขลังในแบบไทยสูงมาก ใครเด็กยุค 90 น่าจะจำละครช่อง 7 ที่มีกระสือยายสายและเนื้อเพลง “กระสือกลางวันมันเป็นหญิง มีทุกสิ่งธรรมด๊า ธรรมดา” ได้เป็นอย่างดี เรียกว่าเป็นอีกผีที่คู่ขวัญชาวไทยมาตลอดเช่นกัน
รอบนี้ค่าย ทรานสฟอร์เมชั่น ได้นำผู้กำกับ โดม-สิทธิศิริ มงคลศิริ ผู้กำกับ Last Summer ฤดูร้อนนั้น ฉันตาย มาถ่ายทอดจินตนาการเหนือจริง พร้อมด้วยดารานักแสดงรุ่นใหม่ในบทนำทั้ง โอบ-โอบนิธิ วิวรรธนวรางค์, มินนี่-ภัณฑิรา พิพิธยากร และ เกรท-สพล อัศวมั่นคง และยังเป็นการคืนจออีกครั้งของดารารุ่นใหญ่อย่าง เอ็ม-สุรศักดิ์ วงษ์ไทย ด้วย เรียกว่าทั้งโปรดักชั่น ซีจี ดารา น่าตื่นตาตื่นใจไปหมดทีเดียวเชียว
สิ่งที่ต้องชื่นชมอย่างมากคือความพิถีพิถันระดับงานคราฟต์ ของผู้สร้างหนัง คือ การถ่ายภาพ ไลท์ติ้ง โลเกชั่น อาร์ตไดฯ คอสตูม แต่งหน้า เทคนิคพิเศษ รวมถึงซีจี คือเนี้ยบมาก ทำดีต้องชมครับ ความตั้งใจนี่ถ่ายทอดมาให้เห็นในทุกเม็ดทุกดอกของหนังเลย และส่วนที่สำคัญมากคือ รสนิยมดี ดีตั้งแต่เริ่มคิดโปรเจ็กต์ พูดถึงกระสือเราก็ติดภาพเก่า ๆ แต่ผู้กำกับโดมกลับมองต่างออกไป ผีกระสือไม่ใช่ความแหวะ แต่มันคือความงดงามในแบบหนึ่ง แสงของกระสือคือแสงแห่งความยวนใจ ไม่ใช่ความสยอง
ผู้กำกับชี้ให้เห็นความต่างของเวอร์ชั่นนี้กับที่ผ่านมาว่า “ในฐานะคนดูหนังพอนึกถึงกระสือเรามักจะยึดติดกับผีสาวที่มีหัวกับไส้และกินอาจม แต่ทางทรานส์ฟอร์เมชั่นพูดขึ้นมาว่า แล้วทำไมเราไม่ทำออกมาให้มันดีล่ะ คำนี้ท้าทายผมมาก โจทย์ในหัวของผมก็คือจะทำยังไงให้ออกมาเป็นกระสือสวยงาม”
คำว่าสวยงามนี้สำคัญมากเหมือนเป็นคีย์ของโปรดักชั่นโดยรวมเลยทีเดียว และก็ตอบโจทย์การผสานงานอาร์ตกับงานบันเทิงที่ลงตัว นี่น่าจะเป็นปัจจัยความสำเร็จของหนังในตลาดเมืองนอกแน่ ๆ
สิ่งที่ต้องชมต่อมาคือ การแสดง คือเราต้องไม่ลืมว่า บทนำ 3 คนนั้น มีถึง 2 คนที่จัดได้ว่าหน้าใหม่เลย และอีก 1 คนอย่างโอบ-นิธิ ก็ยังอยู่ในช่วงของการพิสูจน์ตัวเอง ทว่าการแสดงของทั้งสาม คือเอาอยู่ ไม่ใช่เอาอยู่ธรรมดามันรีดเร้นพลังตั้งแต่หัวใจมาถึงสายตาในการแสดงทีเดียว ต้องยอมรับว่า เราไม่ค่อยเห็นหนังไทยที่ดึงพลังการแสดงด้วยสายตามากนัก
ในขณะที่ดูหนังต่างชาติเขาทำเป็นเรื่องปกติ การที่หนังเรื่องนี้ทั้งให้จังหวะเวลาที่พอดี ให้การกำกับการแสดงที่ถูกต้อง และได้การแสดงที่ตรงโจทย์สื่อความอย่างสร้างสรรค์ จึงเป็นพลังด้านการแสดงที่ทำให้เราตราตรึงมากเช่นกัน นี่ยังไม่นับมาตรฐานการแสดงของดารารุ่นเก่าทั้งหลายที่มาช่วยขับเคลื่อนเรื่องซึ่งดีเป็นทุนแล้ว และการแสดงของตัวประกอบที่ชัดเจนว่าไม่ได้คัดมาแบบขอไปที แต่ตัวประกอบทุกตัวมีเรื่องราวมีการแสดงที่ส่งหนังได้อย่างน่าสะพรึง
ในด้านเนื้อหา หนังได้มะเดี่ยว-ชูเกียรติ มาเขียนบท ซึ่งเป็นผู้กำกับที่มีวิสัยทัศน์ดีในฐานะคนเขียนบทด้วย และแน่นอนเมื่อหนังขับมาทางความรักสามเส้า ความคิดจิตใจแบบมนุษย์ที่มิติซับซ้อน รวมถึงความเป็นดราม่าแบบย้อนยุค ก็เรียกว่าลงตัว ดึงศักยภาพของมะเดี่ยวออกมาได้เต็มที่ สิ่งหนึ่งที่โปรแกรมหนังบทของมะเดี่ยวทำได้ดีมากคือการไม่ทำให้ผู้ชมเบื่อแม้กราฟหนังจะเล่าไปแบบไม่มีจุดลุ้นนัก เพราะบทจะสอดแทรกจุดหักมุมมากให้ช็อกคนดูอยู่ทุกระยะอย่างชำนาญมือ
แล้วผู้กำกับหนังก็ไม่พลาดที่จะใช้บทที่ดีในการสร้างหนังที่ดี นี่จึงคือความสมบูรณ์ที่เราบอกได้ว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ดีและดูสนุก ไม่ได้สนุกในแบบหนังบันเทิงจ๋า แต่มันคือความสนุกของการดื่มด่ำไปกับรสทางอารมณ์ทั้งสุขเศร้า รักหวานซึ้ง การเสียสละ ความรันทดใจ อย่างยิ่งยวด ซึ่งคู่ควรกับคำว่า คลาสสิก จริง ๆ
รีวิว แสงกระสือ

ในอีกด้านเราอาจมองได้ว่านี่คือหนังแนวก้าวพ้นวัยในรูปแบบหนึ่ง เด็กสาวที่วันหนึ่งเธอต้องพบว่าชีวิตเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือจะรับมืออย่างไร หากเปรียบเปรยการเป็นกระสือก็อาจเหมือนการเติบโตด้านร่างกาย มีประจำเดือน ร่างกายเปลี่ยนแปลง ทำให้เกิดความเขินอายต้องหลบซ่อน แต่สุดท้ายเรื่องราวของกระสือก็เป็นการสอนว่าเราไม่อาจต่อต้านธรรมชาติของการเติบโตได้ ไม่ว่าทั้งด้านดีหรือด้านร้าย แค่ต้องเรียนรู้และยอมรับ ทั้งการเปลี่ยนแปลงของตนเอง และผู้อื่น ความรู้และการเปิดใจกว้างคือหนทางชนะสิ่งที่ไม่รู้และความกลัว หนังเรื่องนี้จึงให้คุณค่าในหลายระดับ ทั้งความงาม ปัญญา และอารมณ์

วิจารณ์

อิ่มเอม…กำลังดีเลย ทุกคนนำพาหนังไปได้อย่างสมูทมากๆ ไม่ขาดไม่เกิน ส่วนตัวคิดว่าแคสนักแสดงมาดีมาก นักแสดงนำทั้งสามดูงามกำลังดีเลย การแสดงก็เป็นการแสดงภาพยตร์ ไม่เยอะไป ไม่น้อยไป นำพากระสือมาสิงร่างได้อารมณ์จริงๆ ฉากรักดูรักจริง เศร้าดูเศร้าจริง เป็นห่วงกันจนรับรู้ได้ราวกับไปเป็นสักคนในนั้นด้วยเองเลยจริงๆ

งานสร้าง

ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคืองานภาพและแสง เป็นอะไรที่เหนือมาตรฐานหนังไทยหลายๆ เรื่องเลย คืองานภาพสวยมาก ดีมากๆ สื่อสารเรื่องราวและอารมณ์ได้ดีมากๆ ดูแล้วสุนทรีย์กับภาพประมาณนึงเลย นอกจากงานภาพงานซีจีก็เป็นอะไรที่เรียกว่าเป็นจานหลัก แทบเป็นพระเอกเลย หนังดีไม่ดี ซีจีมีผลมากเลย แต่เรื่องนี้งานดีมาก ผีดูลุคอินเตอร์มาก ออกแบบมาได้ดีมาก (ไม่แพ้นาคีเลย) แลดูให้อารมณ์เหมือนดูหนังผีฝรั่งพวกคอนเจอริ่งที่มีซีจีคุณภาพนั้นเลย
งานฉากและเสื้อผ้าดูสมูทกับเรื่องมาก ไม่ขัดหูขัดตา มีความมานะมานีปิติชูใจ ให้อารมณ์นั้นเลย บ้านเรือนร่องสวนไร่นาก็ดูน่าเชื่อถือว่าเป็นสถานที่ที่เหล่าตัวละครอยู่อาศัยจริง ไม่ได้ดูเป็นฉากแห้งๆ ดูมีรายละเอียดมีดีเทล ที่เห็นจะไม่โดดเด่นออกมาจะเห็นจะมีแค่เพลงที่ผสมผสานกลมกลืนแต่ไม่โดดเด้งออกมา แต่ก็ไม่ได้แปลว่าแย่อะไรเลย ทุกอย่างล้วนผสมผสานออกมาสมบูรณ์แบบมากๆ

สรุป

เราชอบเลยแหละ เป็นหนังผีไทยเรื่องนึงที่น่าประทับใจ และไม่ผิดหวังเลย ชอบในความกล้าเล่น กล้าคิด กล้าทำ ของเรื่องนี้มาก หมายรวมไปถึงซาวด์ประกอบที่ยอดเยี่ยมด้วย อยากให้ลองไปดูกันนะครับ หนังไทยไม่ได้แย่เสมอไปนะ
เป็นหนังที่เหมาะกับทุกคนจริงๆ วัยรุ่น แฟนกันพากันไปดู ตอนไปดูเห็นผู้ใหญ่ก็ไปดูด้วยหลายคน แต่ก็ยังเห็นโรงหนังยังโล่งๆอยู่ก็แอบหวั่นๆ อยากให้มาสนับสนุนเรื่องนี้กันเยอะๆ หนังไทยดีๆแบบนี้เหมาะอย่างยิ่งที่จะสนับสนุน คนดูได้ความบันเทิงไปเต็มๆ คนสร้างได้กำลังทุนกำลังใจที่จะทำหนังดีๆไว้อีกต่อไป ยังไงขอฝากแสงกระสือไว้ในอ้อมอกอ้อมใจคนไทยด้วยจริงๆ

Captain Marvel – กัปตันมาร์เวล

ดูหนัง


รีวิว Captain Marvel – กัปตันมาร์เวล

Captain Marvel หนังฮีโร่หญิงเดี่ยวเต็มๆ เรื่องแรกของค่าย Marvel แถมยังเป็นตัวละครหลักที่สำคัญ และมีบทบาทมากๆ ใน Avengers: Endgame ที่จะมาปราบมันม่วง Thanos ด้วย หลังจากที่เขาได้ล้างบางไปครึ่งจักรวาล แน่นอนว่าใครหลายคน (รวมถึงเรา) ก็ต่างอยากรู้ว่าฮีโร่หญิงคนนี้จะเจ๋งยังไง มีพลังมากแค่ไหน แถม Kevin Feige ยังบอกอีกว่า เธอจะเป็นตัวละครที่ทรงพลังมากที่สุดในจักรวาล MCU แน่นอนว่าสร้างความน่าอยากดูเต็มไปหมด! รีวิว Captain Marvel

เรื่องย่อ

ในระหว่างการสู้รบกับเผ่าสครัลล์ เวียส สตาร์ฟอร์ซ (บรี ลาร์สัน) นักรบสาวแห่งเผ่าครี เพลี่ยงพล้ำถูกข้าศึกจับตัวไปค้นความทรงจำจนได้พบภาพชีวิตตอนเธออยู่บนโลกในนาม แครอล เดนเวอร์ เมื่อสบโอกาสหนีเธอจึงขโมยกระสวยแล้วดิ่งตรงไปยังโลก เพื่อหนีเหล่าสครัลล์ จนได้พบกับ นิค ฟิวรี่ (แซมมวล แอล แจ็คสัน) เจ้าหน้าที่หน่วยชีลด์ ที่ร่วมค้นหาตัวตนของเธอ ซึ่งเกี่ยวพันกับใครบางคนในอดีตที่กุมความลับเครื่องสร้างพลังงานมหาศาลที่อาจยุติสงครามทั้งมวลได้ งานนี้ เธอและนิคจำต้องร่วมมือกันค้นหามันก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป
แม้ตัวหนังจะดัดแปลงจากคอมิก Kree-Skrull War ปี 1971 ของ รอย โธมัส แต่ต้องบอกไว้ก่อนเลยว่า Captain Marvel  เลือกที่จะเซ็ตเรื่องราวของตัวเองขึ้นใหม่และที่สำคัญมันยังตอบสนองกับแนวคิดเฟมินิสต์ที่ข้นขลั่กทั้งเรื่อง ทั้งที่มาของพลังพิเศษ หรือ เรื่องราวภูมิหลังที่อย่างกับหลุดมาจากโฆษณาเพื่อนหญิงพลังหญิง
ไปจนรายละเอียดเล็กๆน้อยอย่างการแอบใส่ฉากที่ เวียส หรือ คารอล เดนเวอร์ ปล่อยพลังทำลายสแตนดี้หนัง True Lies ของเจมส์ คาเมรอน ในร้านบล็อคบัสเตอร์ที่เธอเดินผ่านแผงวีดีโอที่มีแต่หนังบู๊ผู้ชายๆ  ซี่งก็คล้ายเป็นการการันตีว่าหนังทีมีผู้หญิงเป็นตัวนำจะออกมาสนุกไม่แพ้กัน ซึ่ง Captain Marvel ก็ทำได้จริงๆนั่นแหละ
คือมันมีฉากบู๊ดีๆและมีดราม่าที่ทำถึงไม่แพ้ Black Panther ที่สำคัญคือหนังปูเรื่องให้ตัวละครตัวนี้แยกเดี่ยวๆเลยไม่ต้องไปพึ่งพาหนังเรื่องอื่นในจักรวาลนัก เหมาะกับคนที่ขี้เกียจจำรายละเอียดอย่างผมมากเลยดูแบบเอ็นจอยได้ทั้งเรื่องแบบไม่ต้องเครียดนึกรายละเอียดนี่นั่นมากนัก
สำหรับการแสดงของบรี ลาร์สันก็ถือว่าไม่ได้เสียยี่ห้อดาราออสการ์นะครับ เธอสามารถทำให้เราเชื่อได้ทั้งด้านที่แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ความดิบเถื่อน ไปจนถึงด้านที่เปราะบางเมื่อเธอพบความจริงที่สั่นสะเทืิอนความเชื่อของเธอไปตลอดกาล
ยิ่งได้ แซมมวล แอล แจ็คสัน ที่ช่วยเพิ่มสีสันให้เรื่องราวได้เป็นอย่างดีมาคอยรับส่งมุกกับเธอก็ยิ่งทำให้หนังดูสนุกโดยแทบไม่ต้องพึ่งพาฉากแอ็คชั่นมาคอยปลุกคนดูมากนัก รวมถึงนักแสดงสมทบทุกคนก็ทำหน้าที่ได้ดีจนกลายเป็นหนังมาร์เวลที่ภาพรวมทางการแสดงค่อนข้างแข๋็งแรงเรื่องหนึ่งในจักรวาลของหนังเลยทีเดียว
สิ่งที่ดูจะถูกใจและแอบดักแก่ผมอยู่มิใช่น้อยคงหนีไม่พ้นการเล่นกับเซ็ตติ้งในปี 1995 ตั้งแต่ซีนบนโลกซีนแรกที่จงใจให้แครอล ตกลงมากลางร้านบล็อคบัสเตอร์แล้วเดินผ่านเชลฟ์หนังแอ็คชั่นดังที่กล่าวมาแล้ว ซึ่งนับๆดูก็แอบมีหลายเรืื่องในความทรงจำอยู่นะครับ ฮ่าาาา  แต่โดยนัยยะแฝงแล้วการที่ Captain Marvel จะเป็นหนังเรื่องแรกของตระกูล Disney ที่ไม่ได้ลงสตรีมมิงทาง Netflix ยังเป็นการเสียดสีคู่แข่งตัวเองในอนาคตอย่างมีนัยยะสำคัญ
เพราะหากจำกันได้ดูหนัง Netflix นี่แหละที่เริ่มบริการเช่าดีวีดีออนไลน์จนทำให้บล็อคบัสเตอร์อยู่ไม่ได้ และการที่หนังไปเซ็ตเริ่มที่บล็อคบัสเตอร์เองก็เหมือนเป็นเทียบเชิญศึกไปถึง Netflix ว่าตัวเองพร้อมลงแข่งในนามดิสนีย์พลัสไม่นานเกินรอ หรือการเล่นตลอกกับยุคสมัย ทั้งอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ในยุคโมเด็มที่ทั้งอืด ทั้งไม่เสถียร
หรือการปรากฎตัวของเครื่องมือสื่อสารยุคก่อนทั้งเพจเจอร์และโทรศัพท์หยอดเหรียญก็เรียกความทรงจำวัยหวานได้เป็นอย่างดี แุถมยังทำให้เรารู้สึกเลยว่าเทคโนโลยีต่างๆมาไกลเหลือเกินจนบางครั้งเราก็หลงลืมสิ่งเหล่านี้ไม่ต่างจากนางเอกที่หลงลืมตัวเองในนามแครอล เดนเวอร์ไปหมดสิ้น นั่นทำให้การเซ็ตติ้งดังกล่าวไม่ได้ไร้ความหมายแต่กลับส่งเสริมการเล่าเรื่องได้เป็นอย่างดี
และเป็นธรรมเนียมที่เว็บดูหนังมาร์เวลจะแยกการเมืองไม่ออก และแน่นอนว่าศัตรูหมายเลขหนึ่งก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล โดนัลด์ ทรัมป์ นั่นเองโดยคราวนี้ ประเด็นผู้อพยพที่กลายเป็นจุดพลิกผันของหนังยังทำให้เราสืบย้อนไปมองประวัติศาสตร์อเมริกาว่าด้วย อารยะชนกับเผ่าพื้นเมือง
ซึ่งหนังทำตรงนี้ออกมาได้เข้มข้นมาก มันสามารถกินความไปถึงความหมายหรือผลพวงของสงครามต่างๆได้เป็นอย่างดี หรือแม้แต่ตัวละครซูพรีมอินเทลลิเจนต์ที่ถอดแบบมาจากคนที่ แครอล นับถือเองก็ยังมีแนวคิดเหมือน อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ที่พยายามคิดค้นอาวุธที่จะหยุดทุกสงครามก่อนจะพบว่าเหรียญมีสองด้านเสมอ จนทำให้หนัง Captain Marvel กลายเป็นหนังที่อิงการเมือง และประวัติศาสตร์มากที่สุดในจักรวาลมาร์เวลแล้วล่ะครับ
รีวิว Captain Marvel

ความรู้สึก

หนังเรื่อง Captain Marvel ฟิลลิ่งเหมือนดู Guardian of The Galaxy ภาคแรกผสมๆ Captain America ภาคแรก เป็นเป็นแนวปูเรื่อง set up ตัวละครและเชื่อมจักรวาลของซุปเปอร์ฮีโร่หลายๆ เรื่องไว้ในเรื่องนี้ หนังจะไม่ได้ตลกฮาเกรียนอะไรมากแบบ Guardian of The Galaxy เพราะตัวกัปตันมาร์เวลไม่ได้เกรียนๆ ฮาๆ แบบสตาร์ลอร์ด จะออกแนวจริงจังบู๊แอคชั่นแบบกัปตันอเมริกามากกว่า เนื้อเรื่องจะดูเป็นหนังข้อมูลผสมหนังแอคชั่นมากกว่า หนังบันเทิงเอาฮาขำกร๊ากแบบหนังมาเวลหลายเรื่องในช่วงหลัง (เช่น Ant Man, Gardian of The Galaxy, Thor Raknarok, Deadpool)

งานสร้าง

ภาพสวยมาก… เอฟเฟกต์ซีจีก็ยังเพลิดเพลินชวนว้าวไม่ตกมาตรฐาน งานสร้าง (Production) เช่นอลังการแม้จะไม่เท่า Black Pather แต่ก็อยู่ประมาณๆ Captain America, Ant Man เทือกๆ นั้นได้ ก็เป็นอะไรที่ตื่นตาตื่นใจอยู่ดี งานเพลงก็เร้าอารมณ์ได้ดีอยู่ แถมใช้เพลงเก่าๆรีโทรๆคล้ายๆ Guardian of The Galaxy หน่อยๆ ด้วย เป็นที่โดดเด่นออกมาเลยทางด้านเพลง
อีกจุดที่เชื่อได้เลยว่าเหล่าทาสแมวจะต้องเสียอาการคงหนีไม่พ้นการปรากฎตัวของน้องกู๊ส ซึ่งจากตัวอย่างเราจะเห็นน้องกู๊สโผล่มาเหมือนตัวประกอบผ่านๆ แต่บอกเลยว่านางแอบขโมยซีน และโปรยเสน่ห์ให้คอหนังได้หลงไหลกับความลำไยบีมของนางกันแบบไม่ได้พักไม่ได้ผ่อน ก่อนที่หนังจะเฉลยว่าแท้จริงแล้วความอันตรายของนางค่ืออะไรเท่านั้นแหละ โอ้โหทั้งโหด มันส์ ฮา แบบไม่กล้าสปอยล์เลย ที่สำคัญนางยังเป็นไฮไลต์เด็ดสำหรับช่วงเอนด์เครดิตด้วยน้าาาาา
สิ่งเดียวที่ขอเตือนแฟนๆหนังมาร์เวลไม่มีอะไรมากแค่อย่าดื่มน้ำเยอะก็พอ เพราะตามธรรมเนียมแล้วเราจำเป็นมากที่จะต้องดูเอนด์เครดิต 2 ตัวให้หมด ซึ่งหนังมีความยาวถึง 2 ชั่วโมง 4 นาที โดยส่วนตัวมองว่าเอนด์เครดิตคราวนี้ทำไม่ยืดเยื้อเท่าไหร่ รอไม่นานมาก ส่วนใครเป็นแฟนมาร์เวล เชื่อว่าอาจจะต้องดูเกิน 1 รอบเพราะหนังซ่อนอีสเตอร์เอ็กไว้เต็มไปหมด ส่วนใครคิดถึงคุณปู่ สแตน ลี หนัง Captain Marvel จะพิสูจน์ให้เราเห็นว่า คุณปู่ไม่ได้จากเราไปไหนจริงๆ

สิ่งที่ชอบมากๆ

Brie Larson ครับแสดงได้เท่สุดๆ ใครบอกว่าไม่เหมาะกับ Captain Marvel นี่ผมขอเถียงเลยครับ เพราะ Brie เหมาะมากๆๆๆๆๆๆ และอีกตัวละครหนึ่งคือ แมว Goose นี่ถือว่าเป็นนักแสดงหลักในเรื่องเลยนะ น่ารักมาก และตลกมากอีกด้วย แย่งซีนคนอื่นแทบทุกฉากที่โผล่มา 555 สุดท้ายคือระบบ IMAX3D ที่ดีงามมากๆ ไปเปย์ได้เลยครับ

สรุป

Captain Marvel ก็เป็นหนังฮีโร่ที่ดูง่ายตามสูตรหนัง Marvel ทั่วๆ ไปแหละ เพียงแต่เรื่องนี้เราหาจุด Climax หรือจุดพีคของเรื่องไม่เจอจริงๆ แต่ถ้าถามว่าจำเป็นไหมที่จะไปดู ก็คงต้องตอบว่าจำเป็นแหละ มันมีการปูเรื่องราว ผูกโยงกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลกของ MCU ไว้ด้วย แต่ถ้าถามว่าผิดหวังไหม ก็นิดนึงอะนะ ถึงอย่างไรก็ตาม หลังจากดูจบแล้ว มันก็ยังส่งผลให้เราอยากดู Avengers: Endgame ต่ออยู่ดีนั่นแหละ
ปล. เจ้า Goose น่ารักมากกกกกก เรียกเสียงฮือฮาได้ทุกฉากที่ออกมาเลย
ปล2. ย้ำอีกครั้งนะ มีฉาก Post Credit สองตัวนะ หลัง Mid และ End Credits เลยจ้าาาา