รีวิว The Kid Who Would Be King – หนุ่มน้อยสู่จอมราชันย์
The Kid Who Would Be King หนังที่น่าดูตั้งแต่โปสเตอร์ยันตัวอย่าง กับเรื่องราวของ เด็กน้อยที่ไปบังเอิญเจอดาบของคิงอาเธอร์ปักอยู่ แล้วเขาก็ดั๊นหยิบมันขึ้นมาได้ ทำให้ต้องแบกความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่งปกป้องโลกจากอันตรายจากแม่มดร้ายมอร์กานา จริงๆ มันก็คือเรื่องของคิงอาเธอร์ที่เราคุ้นเคยกัน ถูกเล่าแล้วเล่าอีก เพียงแต่ในคราวนี้มันลดทอนความรุนแรง ดราม่า และเป็นตำนานคิงอาเธอร์ในเวอร์ชั่นเหมาะสำหรับเด็กแทน รีวิว The Kid Who Would Be King
เรื่องย่อ
ชีวิตลูสเซอร์ของ อเล็กซ์ (หลุยส์ แอชบอร์น เซอร์คิส) หนุ่มน้อยตุ้ยนุ้ยกำลังจะเปลี่ยนไป หลังดึงดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์ออกจากศิลาในไซต์ก่อสร้าง ทำให้มอร์กานา (รีเบคกา เฟอร์กูสัน) แม่มดร้ายกลับคืนสู่โลกหวังแย่งชิงดาบและสังหารกษัตริย์องค์ใหม่ งานนี้ อเล็กซ์จึงต้องร่วมพลังทั้ง เมอร์ลิน (แองกัส อิมรี) พ่อมดวิเศษที่แฝงตัวมาในคราบเด็กวัยรุ่น, เบดเดอส์ (ดีน เชามู) เพื่อนสนิทขี้กลัวของอเล็กซ์, แลนซ์ (ทอม เทย์เลอร์) และ เคย์ (เรียอานา ดอริส) หัวโจกที่เคยแกล้งอเล็กซ์ทุกวัน เพื่อหยุดยั้งหายนะทำลายโลกจากแม่มดผู้ชั่วร้าย
บอกตามตรงว่านี่คือหนังอันมีองค์ประกอบให้เรายี้ได้ทุกอย่างตั้งแต่ชื่อเรื่องที่ ทื่อมะลื่อได้อี๊ก! อะไรเข้าฝันให้เอาประโยคเฉิ่มเชยอย่าง The Kid Who Would Be King เด็กที่จะขึ้นเป็นกษัตริย์ เนี่ยนะ! แต่พอได้เห็นชื่อผู้กำกับอย่าง โจ คอร์นิช ซึ่งก็ไม่ได้โด่งดังอะไรมากมายแต่มีเครดิตเขียนบท ANT-MAN (2015) หนังฮีโร่มดตัวน้อยตัวนิดสุดเมากาว
ก็พอใจชื้นว่าหนังต้องมีอะไรเกิดคาดแน่ๆ ซึ่งก็จริงดังคาดและเหมือนเราจะถูกชื่อเรื่องสุดเฉิ่มเชยนี่แหละหลอกทางมาแต่ต้น เพราะการนำตำนาน คิงอาเธอร์และอัศวินโต๊ะกลมมาดัดแปลงพันธุกรรมของมันด้วยการทำเป็นหนังเด็ก ที่สำคัญคือแอบใส่ตัวละครเด็กไว้หลากเชื้อชาตินี่แหละที่สามารถวิพากษ์สังคมอังกฤษได้อย่างเจ็บแสบ ผ่านการเขียนบทของ โจ คอร์นิช เองที่มองเรื่องที่ตนจะเล่าได้ขาดมาก ที่สำคัญทั้งงานสเปเชียลเอฟเฟกต์ต่างๆและอารมณ์ขันของหนังก็ทำงานสอดคล้องในประเด็นที่จะเล่าได้เป็นอย่างดี จนเกิดหนังครอบครัวที่คนดูทั่วไปก็สนุกกับมันได้
สำหรับความล้ำลึกของบทหนังก็ตั้งแต่ตัวละครอเล็กซ์ ที่หนังจงใจแคส หลุยส์ แอชบอร์น เซอร์คิส ทายาทแท้ๆของนักแสดงโมแค็ปชื่อดังอย่าง แอนดี เซอร์คิส ด้วยรูปร่างตุ้ยนุ้ยผิดจากพระเอกหนังเด็กที่มักเลือกเด็กตัวเล็กผอมๆน่ารักมารับบทฮีโร่ ก็ทำให้เราเชื่อในความเป็นลูสเซอร์ได้ตั้งแต่ต้นแล้ว
ที่สำคัญการให้ภาพคนขาวเป็นลูสเซอร์มันยังนัยยะของประเทศที่กำลังย่ำแย่ได้เห็นภาพมาก ซึ่งหนังก็ยังกำหนดให้เพื่อนๆของอเล็กซ์เป็นเยาวชนที่ถูกมองเป็นพลเมืองชั้นสอง ทั้ง เบดเดอส์ เด็กอินเดียนบริติชที่ต้องเอาชนะความกลัวของตัวเอง ส่วนแลนซ์ อาจดูเป็นหนุ่มผิวขาวอันธพาลที่ได้แรงบันดาลใจมาจากพวกฮูลิแกน
แต่ก็ยังถือเป็นเด็กที่สังคมอังกฤษทอดทิ้ง ส่วน เคย์ ก็เป็นสาวอังกฤษผิวสีให้ภาพอดีตชนชั้นทาสในประวัติศาสตร์ เมื่อเอาตัวละครทั้งหมดมาจับใส่ตำนานกษัตริย์ อาเธอร์ เราก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงอุดมการณ์หนังที่เชิดชูพลังเยาวชนที่แฝงในเรื่องได้อย่างแยบยล เพราะหากตำนานเดิมถูกบอกเล่าแบบอนุรักษ์นิยมโดยให้ภาพคนผิวขาวรูปร่างกำยำเป็นคนกอบกู้บ้านเมือง
อังกฤษในยุควิกฤติจากปรากฎการณ์ เบร็กซิตที่พวกอนุรักษ์นิยมคร่ำครึ นำโดยนายกรัฐมนตรีหญิงอย่าง มอร์กานา เอ้ย! เทเรซา เมย์ ที่นำพาประเทศมาสู่ทางตันจากแนวคิดชาตินิยมสุดโต่ง ก็ต้องพึ่งพาเยาวชนหลากเชื่อชาติและสีผิวนี่แหละในการกอบกู้และพัฒนาประเทศ ซึ่งตรงนี้มันฟ้องถึงความตั้งใจและใส่ใจของ โจ คอร์นิช มากในการถักทอเหตุการณ์บ้านเมืองแฝงการวิพากษ์สังคมใส่ล้อไปกับตำนานแบบเปรียบเปรย (Allegory) ได้อย่างล้ำลึกแบบนี้
อ่านพารากราฟบนดูจริงจังแต่ก็ใช่ว่าหนังจะมาทางซีเรียสนะครับ ตรงกันข้ามหนัง HDเลยหนังเต็มไปด้วยอารมณ์ขันที่โดนใจและบางมุกก็หน้าด้านมาก ฮ่าาาา ทั้งมุกอัศวินโต๊ะกลมที่เห็นในตัวอย่างหนังไปจนถึงมุกที่ส่วนตัวชอบมากอย่าง เลดี้ออฟเดอะเลค หรือ เทพีแห่งสายน้ำ ที่นางโผล่ได้ตั้งแต่ทะเลสาบไปยันอ่างอาบน้ำเด็กถือว่าเพิ่มเปอร์เซ็นต์ความเมากาวให้หนังได้สนุกและฮาขึ้นได้เป็นอย่างดี
เรื่องงานสร้าง
นอกเหนือจากบทหนังที่ถักทอมาเป็นอย่างดีแล้ว ด้านงานสร้างของหนังก็อยู่ในเกณฑ์ดีมาก สเปเชี่ยลเอฟเฟกต์ในเรื่องแม้จะไม่ใหม่มากแต่ก็ทำได้มาตรฐานไม่มีส่วนโป๊ะแตก ซีจีลาละลอยแบบเดอะทอยแต่อย่างใด เรื่องเสื้อผ้าหน้าผมก็ครีเอตดีซึ่งคราวนี้พอให้เมอร์ลินมาเป็นเด็กหนุ่มที่แฝงกายมาในยุคปัจจุบันด้านคอสตูมก็เล่นสนุกกับชุดกันอย่างเต็มที่โดยเฉพาะมุกเสื้อ เล็ดเซปพลิน ที่มาพ้องเสียงกับ เมอร์ลิน ก็เอาใจคนช่างสังเกตได้เป็นอย่างดี หรือชุดเกราะโบราณที่ถูกดัดแปลงให้เข้ากับไซส์เด็กมัธยมและเสื้อพละของโรงเรียนก็ทำให้เห็นความครีเอตของคนออกแบบเสื้อผ้าได้เป็นอย่างดี
ส่วนนักแสดงเด็กๆทั้งหลายก็มีดูหนังผ่านเน็ตเสน่ห์ต่างกันไป หลุยส์ แอชบอร์น เซอร์คิส ฉายแววหล่อแต่เด็กแม้จะตุ้ยนุ้ยแต่น้องก็แบกหน้าที่บทนำได้อย่างน่าชื่นชมทั้งบทคอเมดี้และบทดราม่าที่หนังปูได้หนักแน่นทีเดียว ส่วนบรรดาเด็กๆที่รับบทอัศวินโต๊ะกลมทั้ง ดีน เชามู, ทอม เทเลอร์ และ เรียอานา ดอริส ก็มีส่วนเสริมให้เรื่องราวดูสนุกขึ้น
และบทเมอร์ลินจอมขโมยซีนยังน่าจะแจ้งเกิดให้ แองกัส อิมรี ที่เชื่อว่าใครดูหนังแล้วน่าจะอยากเลียนแบบท่าร่ายมนต์ที่โคตรคูลเกินหน้าเกินตาหนังเรื่องอื่นเลยล่ะ นอกจากนี้หนังยังได้นักแสดงดังทั้งแพตริก สจ๊วร์ต หรือโปรเฟสเซอร์เอ็กซ์ จากไตรภาค X-Men แรกมารับบทเมอร์ลินตอนชรา และได้ รีเบคกา เฟอร์กูสัน จาก Mission Impossible : Fallout (2018) มารับบทมอร์กานา แม่มดผู้ชั่วร้ายอีกด้วย
วิจารณ์
จริงๆ เราอาจจะคาดหวังมันไว้สูงไป หรือเราอาจจะโตไปสำหรับหนังอะไรพวกนี้แล้วก็ได้ – -” หนังมันค่อนข้างดำเนินเรื่องเรื่อยๆ เชยๆ คาดเดาได้ การแสดงก็ไม่ได้โดดเด่น พาร์ทดราม่าก็ไม่อิน กับเรื่องราวของลูสเซอร์ เด็กเนิร์ดของโรงเรียนที่ถูกกลั่นแกล้งตลอด จนกลายมาเป็นฮีโร่ คือมันไม่มีอะไรแปลกใหม่ แล้วตลอดทั้งเรื่องหนังก็ทำให้เราว้าวไม่ได้เลยสักฉาก แม้กระทั่งฉากสู้กันที่ฝึกคนทั้งโรงเรียนจากในตัวอย่าง มันก็ยังเฉยๆ มากเลย รวมทั้งมุกในเรื่องมันก็พอยิ้มได้ ฮาบ้าง แต่ส่วนใหญ่มันจะแป้กซะมากกว่า
สิ่งที่น่าชื่นชมของหนังคือการวางตัวละคร ต่างวัย ต่างเชื้อชาติ ต่างนิสัย ไม่ว่าจะเป็นอันธพาล เด็กผิวสี เด็กอินเดียน ซึ่งมันเป็นการสอดแทรกประเด็นความสามัคคี ปลูกฝังให้แก่คนได้แบบเล็กๆ น้อยๆ แต่น่าชื่นชมแบบสุดๆ อีกอย่างนึงที่ไม่พูดถึงเลยก็คงไม่ได้ มันคือ CG ซึ่งในเรื่องนี้ต้องยอมรับว่าทำออกมาได้ดี เนียนตา และสวยเลยทีเดียว
ปกติเนี่ยหนังแนวๆ นี้พอดูจบแล้วมันจะสร้างอะไรในใจ และทำงานกับเราในบางอย่าง แต่เรื่องนี้กลับไม่ทำให้เรารู้สึกอะไรเลยหลังดูจบ จบแล้วก็จบไปงั้นๆ เฉยมากจริงๆ อย่างที่บอกไปตอนแรกว่า “เราอาจจะโตไปสำหรับหนังแบบนี้ก็ได้” แต่มันอาจจะเหมาะสำหรับเด็ก และก็ครอบครัวที่พาลูกหลานมาดู คงจะเอ็นจอยกับหนังเรื่องนี้ไม่ใช่น้อย
สิ่งที่น่าชื่นชม
ต้องชื่นชมตัวผู้กำกับ ที่สามารถหากึ่งกลางระหว่างหนังผจญภัยเด็กกับการส่งสารได้อย่างลงตัว คือในพาร์ทของความเป็นแฟนตาซี ผจญภัย มันก็อาจจะไม่ได้ซับซ้อนมาก แต่ก็ให้ความรู้สึกที่แปลกดี อีกทั้งยังรู้สึกชอบการที่หนังยังแฝงถึงประเด็น ความคาดหวัง (ความจูนิเบียว) ของเด็กที่รู้สึกว่าตัวเองสำคัญและเป็นฮีโร่ได้อย่างน่าสนใจ
แต่ที่ชอบมากเลยคือตัวละครเมอร์ลิน ที่รับบทโดย Angus Imrie และตัว Alex ที่รับบทโดย Louis Ashbourne Serkis ลูกชายของ Andy Serkis ที่ทำให้ตัวละครในหนังดูมีมิติขึ้นมาบ้าง เพราะตัวละครอื่นๆ ในเรื่องก็แอบแบนไปนิดเหมือนกัน แต่หนังได้สองคนนี้แหละที่ให้ความรู้สึกว่าเล่นดี (โดยเฉพาะไอ้คาถามือของเมอร์ลินนี่ก็น่าจดจำแล้ว แม้ว่าจะจำไม่ได้ว่าทำยังไงก็ตาม)
สรุป
โดยรวมแล้ว The Kid Who Would Be King ก็เป็นอีกเรื่องที่ดูได้เพลินๆ มีอะไรซ่อนไว้มากกว่าการเป็นหนังกลุ่มเด็กผจญภัยธรรมดา เพียงแต่ว่าด้วยธรรมชาติการเล่าเรื่องสไตล์หนังอังกฤษอาจจะดูแห้งไปบ้าง ถ้าหลายคนไม่ชอบก็พอจะเข้าใจได้ เพียงแต่ข้อความที่เขาซ่อนไว้ในหนังมันดีงามจนไม่อยากให้มองข้ามเลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น