วันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

The Unthinkable - อุบัติการณ์ลับถล่มโลก


ดูหนัง

รีวิว The Unthinkable - อุบัติการณ์ลับถล่มโลก

หนังจากฝั่งสวีเดนที่นาน ๆ จะมีมาให้ชม ยิ่งถ้าไม่ใช่หนังสายอาร์ตสายรางวัลด้วยแล้วยิ่งน่าจะเป็นอะไรที่พิเศษมากขึ้นด้วย ซึ่งเรื่องนี้เราก็ได้รับเชิญจากทางค่ายสหมงคลฯ ได้มารับชมก่อนใครกันเลย และหนังที่ทางค่ายมั่นใจเปิดรอบพิเศษแบบนี้ก็มักจะมี “ของ” ไม่ธรรมดาในทางใดทางหนึ่งเสมอ อย่างเรื่อง Green Book ที่ได้ออสการ์ปีล่าสุดทางค่ายสหมงคลฯ ก็มั่นใจจัดรอบพิเศษแบบนี้ให้เช่นกัน รีวิว The Unthinkable

เรื่องย่อ

อเล็กซ์ (คริสตอฟเฟอร์ นอร์เดนรอต) นักเปียโนหนุ่มที่ต้องเอาตัวรอดจากการถูกโจมตีลึกลับทั่วทั้งกรุงสต็อคโฮล์ม เพื่อกลับไปพบกับพ่อผู้ให้กำเนิด และแอนนา (ลิซ่า เฮนนี) คนรักของตนอีกครั้ง ขณะเดียวกันกลับต้องหาคำตอบว่าใครหรือสิ่งใดเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์วิปโยคในครั้งนี้
เป็นหนังที่ฟอร์มไม่ใหญ่มาก แต่พอเราได้เห็นตัวอย่างและเนื้อหาเรื่องย่อบางส่วน ก็น่าสนใจและอยากดูอยู่เหมือนกัน เป็นหนังสัญชาติสวีเดน ที่คำวิจารณ์ออกมาดีจนอยากไปพิสูจน์เลย

The Unthinkable หนังจะว่าได้เรื่องของหนุ่มคนหนึ่ง ที่เอาตัวรอดจากการโจมตีปริศนาทั่ว กรุงสตอกโฮล์ม เพื่อให้รอดกลับไปพบกับคู่รักของตนเองอีกครั้ง โดยต้องการหาคำตอบให้ได้ว่า ใครคือผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์วิปโยคครั้งนี้ ไปพร้อมกันดูหนังเรื่องนี้ เป็นแบบหนังของฝรั่งสวีเดน ที่นานๆ ทีเราจะได้ชมกัน ยิ่งถ้าไม่ใช่หนังสายลับสายรางวัลด้วยแล้ว ยิ่งน่าจะเป็นอะไรที่พิเศษมากขึ้นด้วย ต้องบอกได้เลยว่าเรื่องนี้ มันเป็นหนังสวีเดน สายแมส เป็นสายแอคชั่นที่การันตีรางวัล จากหลากหลายเทศกาล โดยเฉพาะเทศกาลหนังแฟนตาซี ทั้งยังได้รับการเสนอ ชื่อเข้าชิงภาพยนตร์ยอดเยี่ยมอีกหลายเวทีอีกด้วย ซึ่งคงต้องบอกด้วย นะว่าการันตีได้ว่าหนังตัวนี้นั้น เป็นอีกหนึ่งหนังความหวัง ของประเทศสวีเดนเลยก็ว่าได้

หลังจากที่หนังเปิดมาเกือบชั่วโมงด้วย การเล่าที่มาที่ไปของครอบครัว ที่พ่อของอดีตทหารสายข่าวกรองสุดเข้มงวด และแม่ผู้ใจดีแต่ต้องทนกับความรุนแรง ของพ่อไม่ไหวส่วนตัวเอกก็โตมา แบบเด็กมีปัญหาเขารักดนตรีแต่ไม่ได้รับ การสนับสนุนอย่างเท่าที่ควร และชอบพอกับเพื่อนข้างบ้าน แต่ต้องจากกันไปเพราะเธอต้องย้ายบ้าน ตามแม่ไปดูที่ทำงานสุดท้าย ก็เลือกที่จะหนีทุกอย่างไปเช่นนั้น มันกลายเป็นหนังที่เปิดด้วยประเด็นดราม่า และปรับความคิดค้นดูใหม่ให้ชวนจุก อยู่บ้างว่านี่คือเรื่องราว ของคนธรรมดาที่มีปัญหาในชีวิต ที่เห็นได้ทั่วไปมีทั้งสุขและเศร้าเคล้าน้ำตา

เรื่องราวประหลาดๆ เกิดขึ้นเมื่อเมืองเล็กๆแห่งหนึ่งเกิดวิบัติการณ์ถล่มโดยไม่คาดคิด และไม่ทราบสาเหตุ “ อเล็กซ์ (Christoffer Nordenrot) “ จึงหาทางกลับไปหา “ แอนนา (Lisa Henni) “ คนรักที่เขากำลังพยายามสานสัมพันธ์ตั้งแต่วัยเด็ก ทว่าวิกฤตินี้ ก็ทำให้เขาได้เจอพ่อที่ไม่ได้เจอกันหลายปีด้วย
ตัวหนังเล่าเรื่องได้ดีในระดับที่น่าพอใจ และค่อยเป็นค่อยไปมากเลยทีเดียว ปูเรื่องราวได้ค่อนข้างที่จะละเอียดมาก เริ่มตั้งแต่วันเด็กกันเลยก็ว่าได้ จนกระทั่งเราต้องฉุดคิดในหัวเลยว่า “ นี่เราดูหนังผิดเรื่องหรือเปล่า “ เพราะตลอดทางตั้งแต่เริ่มมา หนังมาทางดราม่าที่แน่นไปหมด กับเรื่องราวชีวิตของตัวละคร “ อเล็กซ์ “ ที่มีแต่ความหม่นมาตลอด แต่ถามว่าหนังทำในส่วนของความดราม่าได้ดีมั้ย ตอบเลยว่าดีมาก พาคนดูค่อยๆดำดิ่งสู่ห้วงอารมณ์ และความรู้สึกต่างๆของตัวละครได้ดีเลยทีเดียว

แม้ดูหนังจะเน้นความดราม่าเต็มเหนี่ยว แต่ก็ยังแทรกซึมความหายนะเข้ามาให้ดูระทึก ตื่นเต้น และชวนลึกลับ พร้อมให้คนดูชวนขบคิดถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นว่า มันคืออะไรกันแน่ ซึ่งหนังทำออกมาได้ดี ไม่เล่นใหญ่มาก แต่จัดแต่ละฉากมาก็เอาเรื่องไม่น้อยเลยก็ว่าได้

ด้านนักแสดงทุกคนทำหน้าที่ดีมากๆ สวมบทบาทและส่งอารมณ์กันได้เข้าถึงแบบถึงจริงๆอะ ทำให้อินไปกับทุกๆอารมณ์ และความรู้สึกต่างๆ กับสถานการณ์และเหตุการณ์ที่พวกเขาเผชิญ เพราะหนังปูเรื่องราวนานและขยี้ได้ทุกจุดไม่น้อย จึงทำให้เรารู้สึกจดจำและมีส่วนร่วมไปกับเหล่าตัวละครและเรื่องรางได้อย่างไม่น่าเบื่อ แม้บางส่วนก็ยืดเยื้อหรือน่ารำคาญไปบ้างก็ตาม

เปิดเรื่องมา ด้วยการปูเรื่อง ความเป็นมาของอเล็กซ์พระเอกของเรื่อง ที่อาศัยอยู่กับ ครอบครัวที่พ่อทหารปลดประจำการ เคร่งในกฎระเบียบ และคุ้นชินการ สั่งการและมองว่าผู้ชายที่หาเงินเข้าบ้านจะมีอำนาจเพียงผู้เดียว อเล็กซ์ หลงใหลการเล่นดนตรี จนพบรักกับสาวข้างบ้าน และเธอ จำต้องย้ายตามครอบครัวไปยังเมืองอื่น

หนังปูเรื่องเสียจนถอดใจว่าเข้าโรงผิดหรือไร เพราะตั้งใจมาดูหนังแนวแอคชั่น กลับมาต้องดูหนังดราม่าซะงั้นหรือ แต่อาจเป็น กลยุทธ์ การรบของผู้กำกับ วิคเตอร์ ดาร์เนล ที่ต้องให้ผู้ชมเดาทิศทางไม่ออกว่า เรื่องจะเดินไปในทิศทางใด อะไรจะเกิดต่อจากนี้ และเรื่องราวจะเริ่มเข้มขึ้น เรื่อยๆ คนดูก็จะลุ้นไป ว่าหายนะลึกลับ และต้องหาคำตอบว่าใครหรือสิ่งใดเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์วิปโยคในครั้งนี้

คือเข้าไปพร้อมความคาดหวังเต็มเปี่ยม จากเรื่องย่อและตัวอย่าง จริงๆ ความระทึกใจ อุบัติการณ์หรือเรื่องระทึกๆ มันอยู้ในตัวอย่างแทบจะทั้งหมดแล้วจริงๆ คือนอกเหนือจากนั้นไม่มีอะไรเลย หนังดำเนินตั้งแต่พระเอกยังเป็นวัยรุ่นได้อย่างโคตรน่าเบื่อ อะไรหลายๆ อย่างมันสามารถเล่าให้กระชับกว่านี้ได้ ตัดมาตอนโตเลยก็ได้ คือหนังจะปูเรื่องความสัมพันธ์ของครอบครัว คนรัก บลาๆ แต่มันยืดไปมากๆ คือครึ่งชั่วโมงแรกเสียเวลาปูไปกับความสัมพันธ์ของพระเอกนานเกินความจำเป็นมากๆ

พอมากลางเรื่องถึงท้ายเรื่อง เหมือนหนังจะมีอะไรมากขึ้น เริ่มมีความหายนะเกิดขึ้น (ต้องบอกก่อนว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่การกระทำของเอเลี่ยนนะ) แต่มันก็ไม่ได้ทำให้หนังสนุกขึ้นมากกว่าเดิมแต่อย่างใด หนังยังคงวนเวียนเกี่ยวกับความเวิ่นเว้อของพระเอกในความรักของเขา คือหลายๆ อย่างในเรื่องนี้ การกระทำของหลายตัวละครดูไร้เหตุผล และไม่เข้าใจเลยจริงๆ โดยเฉพาะพระเอก ดูแล้วก็ได้แต่หงุดหงิด อะไรทำให้เขาตัดสินใจแบบนั้นว๊าาา

หนังไม่ได้ให้เหตุผลและโฟกัสมากพอว่าเหตุการณ์นั้นมันเกิดมาได้ยังไง และเหตุผลเพราะอะไร เราอาจจะรู้เพียงแต่ว่าใครอยู่เบื้องหลัง เหมือนหนังทำมาเพื่อกัดแซะกลุ่มคนเบื้องหลังนั้นแหละ เพียงแต่มันไม่ได้เอาจุดนี้มาชูเรื่องไง หนังมันดันไปให้ความสำคัญของความสัมพันธ์พระเอกมากเกินไป มันจึงเกิดความน่าเบื่อซะส่วนใหญ่ ถ้าหนังจะเล่นประเด็นเหตุการณ์ถล่มสวีเดนนั้น หนังมันน่าจะสนุกกว่านี้มาก
นักแสดงแต่ละคนในเรื่องก็ถือว่าทำหน้าที่ในบทบาทของตัวเองได้พอใช้ได้ ไม่ถึงกับแย่ แต่ก็ไม่น่าประทับใจสักเท่าไหร่ คนที่เล่นดีสุดในเรื่องก็คงจะเป็นบทพ่อของพระเอก ในซีนอารมณ์ต่างๆ ที่ดีแบบโดดเด่นจากคนอื่นแบบสุดๆ อีกหนึ่งจุดที่น่าชื่นชมคือพวก ฉาก เอฟเฟคและการถ่ายทำต่างๆ หนังเรื่องนี้โดยภาพรวมทำออกมาได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว

เรื่องนี้จัดเป็นหนังสวีเดนสายแมส สายแอคชั่นที่การันตีด้วยรางวัลจากหลายเทศกาล โดยเฉพาะ จูรี่ไพรซ์ จากเทศกาลหนังแฟนตาซีอย่าง Screamfest 2018 ทั้งยังได้รับการเสนอชื่อชิงภาพยนตร์ยอดเยี่ยมอีกหลายเวทีเลยด้วย ซึ่งคงต้องจับตาดูชื่อผู้กำกับอย่าง วิกเตอร์ ดอเนลล์ และ นักแสดงนำที่มาร่วมเขียนบทด้วยอย่างคริสโตเฟอร์ นอร์เดนรอท ว่าจะได้เปิดตัวกับหนังฮอลลีวู้ดในอนาคตหรือไม่ ซึ่ง The Unthinkable ก็เป็นก้าวแรกที่น่าสนใจในการทำความรู้จักทั้งคู่ไว้ก่อนมาก ๆ

หน้าหนังนั้นค่อนข้างหลอกเราพอสมควรทั้งเรื่องที่ว่าหนังเป็นแนว หายนะภัย หรือแนวแอคชั่น โลกาวินาศ ทั้งปริศนาว่าเกิดอะไรขึ้นนั้นก็ราวกับจะให้เข้าใจว่าเป็นฝีมือของพลังนอกโลกก็ไม่ปาน ซึ่งอาจเพราะติดกับภาพหนังฮอลลีวู้ดของเราเองมากไปด้วยมั้ง พอได้ดูตัวหนังจริงก็ทำเอาอ้าปากค้างอยู่หลายห้วงเวลาเหมือนกัน

อ้าปากค้างแรก หนังเปิดเรื่องเกือบชั่วโมงด้วยการเล่าที่มาที่ไปของครอบครัวอเล็กซ์ ที่พ่อเป็นอดีตทหารสายข่าวกรองสุดเข้มงวด แม่นั้นใจดีแต่ก็ทนรับความรุนแรงของพ่อไม่ไหว ส่วนตัวอเล็กซ์ก็โตมาแบบเด็กมีปัญหาเขารักดนตรีแต่ก็ไม่ได้รับการสนับสนุน เขารักชอบพอกับแอนนาเพื่อนข้างบ้านแต่ก็ต้องจากกันไปเพราะเธอต้องย้ายบ้านตามแม่ที่ทำงานการเมืองไปสต็อกโฮล์ม

รีวิว The Unthinkable

สุดท้ายอเล็กซ์ก็เลือกหนีทุกอย่างไปเช่นกัน มันกลายเป็นว่าหนังเปิดด้วยดราม่าและปรับการคิดของคนดูใหม่ได้อย่างชวนจุก ว่านี่คือเรื่องราวของคนธรรมดา มีปัญหาในชีวิตที่เห็นได้ทั่วไปทั้งสุขเศร้ารักหลง สับสนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตตนเอง และยังต้องผจญกับวิกฤตการล่มสลายในชีวิตซ้ำแล้วซ้ำเล่า และหนึ่งในนั้นคือการที่ประเทศถูกโจมตีจากบางสิ่งจนแทบสิ้นบ้านสิ้นแผ่นดิน

ต้องยอมรับว่าตัวละครอเล็กซ์เป็นตัวละครที่น่าหงุดหงิดมากสำหรับคอหนังฮีโร่ แต่หนังก็ทำให้เราเข้าใจได้ดีว่านี่คือคนธรรมดามีปัญหาในชีวิต และเลือกกระทำแบบที่ไม่ใช่ เดอะร็อก หรือพลพรรคมาร์เวลจะทำแน่นอน ซึ่งมันก็เป็นข้อดีเพราะเราไม่รู้ว่าอเล็กซ์จะทำอะไร จะคุ้มดีหรือคุ้มร้ายกับการตัดสินใจในช่วงไหนบ้าง

อ้าปากสอง ถึงจะบอกว่าแอคชั่นไม่เน้น แต่เว็บดูหนังก็มีความระทึกขวัญในแบบที่น่าจดจำเข้ามาชดเชยหลายฉากจัดว่าออกแบบมาสวยและน่ากลัวมาก อย่างฉากที่ตัวละครหนึ่งกำลังหนีจากการไล่ล่าของบางอย่างไปตามถนน แล้วต้องเจอกับรถที่ไร้การควบคุมหลายต่อหลายคัน มันเป็นการชนกันที่สวยมาก ๆ สมจริงมาก ๆ ฉากหนึ่งเลย

มันทำให้เรารู้สึกว่าผุ้กำกับดอเนลล์เป็นคนมีของคนหนึ่ง ที่ผสมอาร์ตกับแมสได้อย่างน่าสนใจทีเดียว ยังไม่รวมถึงการดีไซน์การเล่าเรื่องที่ขยี้ยังกับหนังญี่ปุ่น ที่ทำเอาเราต้องถอนหายใจด้วยความเศร้าและเสียดายไปกับตัวละครอีกหลายครั้ง หนึ่งในนั้นคือฉากสั้น ๆ ที่กระทบใจเราไปแทบทั้งเรื่องเพียงแค่การไม่ได้รับสายโทรศัพท์ก็ทำเอาจุกไปหลายระดับได้เลยทีเดียว

สรุป

นี่เป็นหนังสายดราม่าคุณภาพที่มีฉากหลังเป็นเรื่องราวระทึกขวัญหาพร้อมกับการแก้ไขความผิดพลาดในชีวิตของตัวละครแต่ละตัว ทั้งยังมีประเด็นเสียดสีสังคมและการเมืองได้น่าจุกพอกัน เป็นหนังสวีเดนที่คงไม่ได้เจอบ่อย ๆ คนดูสายแอคชันอาจไม่ประทับนัก

เป็นหนังที่เซอร์ไพร์สสุดสำหรับเรา เพราะหนังมาแบบผิดคาดมากจริงๆ ใส่ดราม่ามาแน่นมาก และทำได้ดีอีกด้วย ประเด็นก็ค่อยข้างหลากหลาย และไม่ซับซ้อน แม้หลายฉากหลายส่วนจะดูยืดเยื้อและน่ารำคาญไปบ้างก็ตาม แต่ยังไงก็เชื่อว่าใครที่ชอบอะไรที่ดราม่าและบวกกับการเอาตัวรอดแล้วละก็ น่าจะชอบเรื่องได้ไม่ยาก หนังจัดเต็มในทุกด้าน และจะทำให้เราอินตามได้จนจบเลย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น