วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

The Haunting of Hill House

หนัง HD

รีวิว The Haunting of Hill House - ความหลอนของความหลัง

The Haunting of Hill House ถือเป็นซีรีส์สยองขวัญกระแสแรงที่สุดแล้วสำหรับปี 2018 นี้ ด้วยกระแสปากต่อปากถึงความน่ากลัวในแต่ละตอนที่ไม่เน้นตุ้งแช่แต่หลอนลึกถึงขั้วอารมณ์ ซึ่งต้องชม ไมค์ ฟลานาแกน ผู้กำกับ-อำนวยการสร้างซีรีส์ชุดนี้ที่สามารถคุมทิศทางของเรื่องได้อย่างแม่นยำทั้งบทที่แข็งแรงผูกโยงเรื่องราวในครอบครัวให้เข้ากับอารมณ์สยองขวัญได้อย่างลงตัว และงานเทคนิคที่เชื่อว่าจะได้รับการพูดถึงไปอีกนาน รีวิว The Haunting of Hill House

เรื่องย่อ

หลังครอบครัวเครนได้ย้ายเข้าไปอยู่ในบ้าน ฮิลเฮาส์ ชีวิตของพวกเขาก็เปลี่ยนไปตลอดกาล เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่อธิบายไม่ได้หลายครั้งจนกระทั่งคืนสุดท้ายที่ ฮิวจ์ (ธีโมที ฮัตตัน) ตัดสินใจพาลูกๆหนีออกจากบ้าน ทิ้ง โอลิเวีย (คาร์ลา กูจิโน) แม่ของลูกๆทั้ง 5 ไว้ลำพัง เหตุการณ์ผ่านไปจนกระทั่งการตายของ เนล (วิคตอเรีย เพดเรตติ) น้องสาวคนสุดท้องที่พบศพในบ้านฮิลเฮาส์ ได้พาทุกคนกลับมารวมตัวกันเพื่อไขปริศนาก่อนสิ่งลึกลับในบ้านฮิลเฮาส์จะพรากชีวิตใครไปอีก.


นิยายเรื่องนี้ เคยสร้างเป็นหนังสำหรับฉายตามโรงมาแล้ว 2 ครั้ง (ในชื่อเรื่องว่า The Haunt) หนแรกเมื่อปี 1963 กำกับโดยโรเบิร์ต ไวส์ ซึ่งมีผลงานเด่นที่นักดูหนังรู้จักกันดีอย่าง West Side Story และ The Sound of Music และครั้งต่อมาในปี 1999 โดย แจน เดอ บองท์ อดีตผู้กำกับภาพที่เลื่อนขั้นมาเป็นผู้กำกับ และประสบความสำเร็จจากหนังแอ็คชันอย่าง Speed และ Twister

ฉบับของโรเบิร์ต ไวส์ ได้รับคำชมว่าดัดแปลงออกมาได้ใกล้เคียงกับต้นฉบับ มีคุณภาพอยู่ในเกณฑ์ดี ขณะที่ฉบับของแจน เดอ บองท์ล้มเหลวเละเทะ และโดนถล่มยับเยิน

พล็อตคร่าวๆ ในฉบับนิยาย เล่าถึงผู้คนกลุ่มหนึ่ง เดินทางเข้าไปพำนักอาศัยในบ้านเก่าแก่โบราณอายุร่วมๆ ร้อยปีชื่อ Hill House (สร้างโดยฮิวจ์ เครนผู้ล่วงลับ) ซึ่งมีประวัติและคำร่ำลือสยดสยองมากมาย เพื่อทำการพิสูจน์ว่าผีและวิญญาณมีจริงหรือไม่ แล้วก็ประสบกับเรื่องราวเหตุการณ์ไม่ชอบมาพากล แบบเจอดีไปตามๆ กัน

ฉบับซีรีส์ ผูกเรื่องสร้างเหตุการณ์ใหม่เกือบหมด ที่ยังคงไว้ตามเดิมคือรายละเอียดเกี่ยวกับฉากสยองขวัญ บรรยากาศหลอกหลอนภายในบ้านผีสิง รวมทั้งบรรดาตัวละครหลักที่ยังใช้ชื่อและมีบุคลิกนิสัยใจคอเหมือนกัน (แต่เปลี่ยนอาชีพการงานเสียใหม่และสร้างความเกี่ยวโยงให้ทุกคนเป็นสมาชิกในครอบครัวเดียวกัน)

ตามขนบทั่วไปของหนัง-นิยายประเภทบ้านผีสิง (หรือที่มีศัพท์เรียกขานว่า Gothic Horror) มักจะเน้นรายละเอียดเกี่ยวกับประสบการณ์ขนหัวลุกที่ตัวละครต้องพบพาน ตั้งแต่แรกเริ่มโยกย้ายเข้ามาอยู่ด้วยความหวังเต็มเปี่ยมถึงชีวิตที่สดใสสวยงาม ไม่นานต่อมาก็ค่อยๆ เจอะเจอเหตุการณ์ประหลาดชวนสงสัยที่ไม่แน่ชัดในเบื้องต้น แล้วก็จะแจ้งหนักหน่วงดุร้ายขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งนำไปสู่จุดแตกหัก ซึ่งอาจเป็นการเผชิญหน้าต่อสู้กัน หรือการไล่ล่าและหลบหนีอันลุ้นระทึกระหว่างเจ้าถิ่นกับผู้มาเยือน โดยท้ายที่สุดตัวละครก็สามารถหลุดพ้นออกจากบ้านผีสิงได้สำเร็จ

ข้อสังเกต

ตรงนี้ผมมีข้อสังเกตเพิ่มเติมเล็กน้อยว่า หนังบ้านผีสิงตามขนบ เมื่อดูจบแล้ว ความรู้สึกหนึ่งที่มักจะเกิดขึ้นกับผู้ชมหนัง HD โดยปริยายก็คือ โล่งอก ปลอดภัย รวมทั้งเกิดความเชื่อและตีความนอกเหนือตัวหนัง คิดเผื่อบรรดาตัวละครว่าจะปลอดภัย พ้นเคราะห์หมดโศก เรื่องสยองต่างๆ ที่เกิดขึ้น เป็นแค่ ‘ ฝันร้าย’ ที่ผ่านพ้นไปแล้ว และจะกลายเป็น ‘ความหลัง’ ที่ค่อยๆ รางเลือนไปตามกาลเวลา

จริงเท็จประการใดไม่ยืนยันนะครับ ไม่ใช่กฎหรือหลักเกณฑ์ เป็นเพียงข้อสังเกตกว้างๆ ที่วัดจากความรู้สึกของผมเป็นที่ตั้ง รวมทั้งเป็นเรื่องที่เพิ่งมานึกขึ้นได้หลังจากดูซีรีส์เรื่องนี้จบลง

ที่ผมนึกเช่นนี้ ส่วนหนึ่งก็เนื่องมาจาก The Haunting of Hill House ตั้งใจจะเล่นกับช่วงเวลาและเหตุการณ์หลังจากตัวละครผ่านพ้นบ้านผีสิงไปแล้ว

พูดง่ายๆ คือ เรื่องสยองขวัญยังไม่ได้ยุติจบลงหลังตัวละครหลบหนีได้สำเร็จ ตรงกันข้าม เคราะห์ร้ายหายนะสารพัดสารพันเพิ่งจะเริ่มต้น

เนื้อเรื่อง

เรื่องราวคร่าวๆ ของ The Haunting Hill House แบ่งเหตุการณ์ออกเป็น 2 ช่วงเวลา คือ ปี 1992 และปี 2018

ในปี 1992 ครอบครัวเครนประกอบไปด้วย ฮิวจ์ (พ่อ) โอลิเวียร์ (แม่) และลูกๆ ทั้ง 5 คือ สตีเวน, เชอร์ลีย์, ธีโอดอรา, ลุค และเนล (2 คนหลังนี้เป็นคู่ฝาแฝด) โยกย้ายมาพำนักชั่วคราวที่บ้านฮิลเฮ้าส์ (ซึ่งโดยขนาดและสภาพแล้ว ควรเรียกว่าคฤหาสน์จะตรงกับความจริงมากกว่า)

ครอบครัวเครนทำธุรกิจซื้อบ้านเก่าหรือบ้านร้างในราคาถูก แล้วเข้าไปดำเนินการซ่อมแซมปรับปรุงจนสภาพดี แล้วจึงปล่อยขายทำกำไร

ส่วนเรื่องราวในปัจจุบันปี 2018 (หรือ 26 ปีต่อมาหลังผ่านเหตุการณ์ฝันร้ายในบ้านผีสิง) เล่าถึงชีวิตและความเป็นไปของสมาชิกครอบครัวเครน ซึ่งบรรดาเด็กๆ ต่างเติบเป็นผู้ใหญ่ มีสภาพเหมือน ‘บ้านแตก’ ต่างแยกย้ายกระจัดกระจายไปตามวิถีทางของตนเอง มีความสัมพันธ์ต่อกันค่อนข้างเหินห่าง (และแฝงด้วยความขัดแย้งไม่ลงรอยกันอยู่ลึกๆ)

ที่สำคัญคือ พี่น้องครอบครัวเครนทั้ง 5 คน ต่างมีปัญหาและพบกับวิกฤตหนักหน่วงในชีวิตที่ยากจะสะสางคลี่คลายกันทั่วหน้า เป็นปัญหาที่ผิดแผกแตกต่างกัน แต่สืบเนื่องมาจากต้นตอที่มาเดียวกัน คืออดีตหนหลังช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ฮิลเฮ้าส์

โครงสร้างหลักในการดำเนินเรื่อง ใช้วิธีเล่าตัดสลับไปมาระหว่างอดีตกับปัจจุบัน และเพียงแค่ไม่กี่นาทีใน episode 1 หนังก็บอกเล่าต่อผู้ชมเสร็จสรรพ ถึงความเฮี้ยนแบบจัดหนักเต็มอัตราที่เกิดขึ้นในบ้านเก่าแก่หลังนั้น รวมถึงเหตุการณ์ในค่ำคืนสำคัญที่ฮิวจ์ผู้เป็นพ่อ ปลุกลูกๆ ตื่นขึ้นมากลางดึก เพื่อหนีตายออกจากบ้านอย่างฉุกละหุกฉับพลัน ทิ้งคำถามข้อใหญ่ไว้ว่า เกิดอะไรขึ้นในค่ำคืนดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับโอลิเวียผู้เป็นแม่ ซึ่งเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่ได้หลบหนีออกมาด้วย

เส้นเรื่องหลักๆ ถัดจากนั้นคือ การเล่าสลับชีวิตของแต่ละคน เทียบเคียงกับเหตุการณ์อดีตอยู่เป็นระยะๆ เพื่อนำไปสู่การเปิดเผยความลับทีละเปลาะ

The Haunting of Hill House มีความลับ (ซึ่งเป็นไคลแม็กซ์) อยู่หลายช่วง แรกสุด เกี่ยวโยงกับชะตากรรมของตัวละครสำคัญคนหนึ่งในปัจจุบัน ซึ่งชักนำให้คนอื่นๆ ที่เหลือต้องเข้าไปเกี่ยวโยงพัวพันกับบ้านผีสิงที่ทุกคนอยากลืมอีกครั้ง จนกระทั่งนำไปสู่การเฉลยความลับสำคัญเมื่อครั้งอดีต (นั่นคือ เกิดอะไรขึ้นในค่ำคืนที่ทุกคนหลบหนี) รวมถึงการเผชิญหน้ากับวิญญาณร้ายในปัจจุบัน

เรื่องคร่าวๆ ที่ผมเล่ามา เป็นแนวโน้มทิศทางกว้างๆ ที่ผู้ชมสามารถคาดคะเนได้ไม่ยาก หลังจากเริ่มติดตามดูไปสักตอนสองตอน ส่วนที่เป็นความลับอันไม่พึงแพร่งพรายคือ รายละเอียดตามรายทางในทุกๆ ตอน (ซีรีส์เรื่องนี้มีทั้งหมด 10 ตอน) ซึ่งเต็มไปด้วยความลับและการล่อหลอกเพื่อสร้างความประหลาดใจอยู่เกือบตลอดเวลา

ปัจจัยเบื้องต้นที่ทำให้ The Haunting of Hill House ประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง ทั้งความเป็นที่นิยมในหมู่ผู้ชมวงกว้าง และคำยกย่องชื่นชมจากนักวิจารณ์ก็คือ ความสดและแปลกใหม่

ความใหม่นี้เห็นได้ปรากฏชัดใน 2 ส่วน คือ วิธีการเล่าเรื่อง และอารมณ์หลักๆ โดยรวม

นอกเหนือจากการเปลี่ยนมาเน้นและให้น้ำหนักความสำคัญกับตัวละครในช่วงหลังผ่านเหตุการณ์ในบ้านผีสิง ซึ่งเป็นการเล่าสถานการณ์ในแง่มุมที่แตกต่างจากหนังบ้านผีสิงส่วนใหญ่แล้ว วิธีการเล่าเรื่องโดยตัดสลับระหว่างอดีตกับปัจจุบัน (ที่เหนือชั้นกว่านั้นคือ ทั้งในส่วนของอดีตและปัจจุบัน ยังเล่าแบบไม่เรียงลำดับก่อนหลังตามลำดับเวลาอีกต่างหาก) ก็มีผลอย่างมาก ในการเร่งเร้าสร้างปมให้ชวนติดตาม ทำให้พล็อตอันคุ้นเคยที่มีเค้าโครงตามกรอบหรือท่าบังคับแน่ชัดตายตัว มีความเป็นอิสระ ทำให้ยากแก่การที่ผู้ชมจะคาดเดา

สิ่งที่ชอบ

ที่ผมชอบมากและติดใจเป็นพิเศษ คือช่วง 5 ตอนแรก ใช้วิธีเล่าเรื่องผ่านมุมมองแบบบุคคลที่ 1 (คือ ตัวละครพี่น้องครอบครัวเครนทั้ง 5 แต่ละตอนคือเรื่องเล่าของแต่ละคน ถ้าเป็นนิยาย มุมมองแบบนี้มักจะนิยมและพบเห็นบ่อย โดยเล่าผ่านตัวละคร ‘ผม’ หรือ ‘ฉัน’ หรือเล่าผ่านโดยระบุชื่อตัวละครอย่างเจาะจง เช่น ในนิยายชุด A Song of Ice and Fire ของจอร์จ อาร์. อาร์. มาร์ติน ซึ่งใช้มุมมองบุคคลที่ 1 ตลอดทั้งหมด ผ่านตัวละครจำนวนมาก)

ในหนังหรือนิยายโดยทั่วไป นิยมใช้มุมมองการเล่าเรื่องแบบบุคคลที่ 3 นะครับ พูดอีกอย่างคือ เป็นมุมมองที่ไม่ระบุชัดว่าคือใคร (หรืออีกนัยหนึ่งคือ เป็นมุมมองของผู้ชมในฐานะผู้สังเกตการณ์) episode ที่ 6 อันลือลั่นใน The Haunting of Hill House เป็นการเล่าด้วยมุมมองนี้ ตอนอื่นๆ ถัดจากนั้นไปจนจบ เป็นการเล่าผสมปนระหว่างมุมมองทั้ง 2 แบบ

ถึงตรงนี้ อาจมีคนสงสัยว่า มีมุมมองการเล่าแบบบุคคลที่ 2 หรือไม่? คำตอบคือ มีนะครับ แต่ไม่ค่อยได้พบเห็นบ่อยนัก เท่าที่ผมนึกออกคือ นิยายเรื่อง ‘หมาเน่าลอยน้ำ’ ของชาติ กอบจิตติ และหลายๆ บทใน ‘ขุนเขาแห่งจิตวิญญาณ’ ของเกาสิงเจี้ยน

มุมมองการเล่าแบบบุคคลที่ 2 โดยมาก คือ การเล่าผ่านตัวละครที่ระบุสรรพนามว่า ‘คุณ’ ทำให้ผู้ชมมีสถานะกลายเป็นตัวละครในเรื่องเล่าโดยปริยาย

ประโยชน์หน้าที่ของการใช้มุมมองแบบบุคคลที่ 1 ใน The Haunting of Hill House ก็คือ ช่วยจำแนกแยกแยะว่าใครเป็นใครในช่วงเกริ่นปูเรื่อง ทำให้ผู้ชมดูหนังผ่านเน็ต รู้สึกใกล้ชิดผูกพันกับตัวละครที่เป็นเจ้าของเรื่องเล่านั้นๆ รวมถึงผลลัพธ์พิเศษคือ บางเหตุการณ์เมื่อเล่าผ่านมุมมองของตัวละครหนึ่ง ให้ความรู้สึกอย่างหนึ่ง แต่เหตุการณ์เดียวกัน เมื่อเล่าผ่านมุมมองของอีกตัวละคร กลับกลายเป็นความแตกต่างไปได้ไกล

มีฉากเหตุการณ์เดิมที่เล่าผ่านมุมมองของหลายตัวละครในซีรีส์เรื่องนี้อยู่หลายครั้ง และออกมาดีทุกครั้ง

มุมมองการเล่าเรื่องของ The Haunting of Hill House เป็นตัวอย่างที่ดี เด่นชัด จนสามารถนำไปใช้สอนในชั้นเรียนวิชาภาพยนตร์ได้สบายๆ เลยนะครับ

ความแปลกใหม่ต่อมาของ The Haunting of Hill House ก็คือ อารมณ์หลักๆ โดยรวมซึ่งมุ่งไปทางดรามาอย่างเต็มที่ เต็มไปด้วยความเศร้าสะเทือนใจ ความหดหู่หม่นหมอง ความกดดันตึงเครียด

พูดง่ายๆ ว่า เป็นการใช้พล็อตเรื่องแบบบ้านผีสิงบังหน้า แต่เนื้อแท้แล้วเป็นหนังชีวิตเข้มข้น สะท้อนถึงปัญหาต่างๆ นานาของตัวละคร การพูดถึงปัญหารอยร้าวในความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกครอบครัว การสะสางคลี่คลายข้อยุ่งยากในชีวิตของแต่ละคน รวมทั้งแง่มุมให้อ่านความหมายกันในทางจิตวิทยา

รีวิว The Haunting of Hill House

รวมความแล้วมีฉากดรามาดีๆ อยู่มากมายเต็มไปหมด ตั้งแต่ต้นจนจบ

อาจกล่าวได้ว่า นี่เป็นหนังผีที่เน้นความสำคัญไปยังอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของตัวละครอย่างถี่ถ้วน ต่างจากงานแนวเดียวกันส่วนใหญ่ที่มุ่งเป้าหมายในการเร่งเร้าผู้ชมให้เกิดความรู้สึกสะพรึงกลัว (จนบ่อยครั้งก็กลายเป็นละเลยมองข้าม ความมีชีวิตเลือดเนื้อของตัวละคร)

ฉากผีหลอกและการเล่นงานผู้ชมใน The Haunting of Hill House ยังคงมีในปริมาณหนาแน่นชุกชุมนะครับ แต่ผลลัพธ์นั้นไม่เป็นเอกฉันท์ หลายคนที่ผมรู้จัก ดูจบลงด้วยความรู้สึกว่าไม่มีอะไรน่ากลัวเลย ขณะที่อีกฟากหนึ่งก็ยืนกรานว่าน่ากลัวมาก

ความน่ากลัว

ผมอยู่ในฝั่งที่รู้สึกว่า ‘น่ากลัวมาก’ แต่ก็เข้าใจได้ไม่ยากว่า เพราะเหตุใด ความเห็นในประเด็นนี้จึงผิดแผกแตกต่างกันไกล

เหตุผลแรกคือ ฉากสยองขวัญทั้งหลายประดามีในงานชิ้นนี้ เลือกใช้วิธีการที่แตกต่างจากที่ผู้ชมคุ้นเคย ไม่มีจังหวะล่อหลอกให้ตายใจ แล้วก็จู่โจมเล่นงานฉับพลันให้สะดุ้งเฮือก (จริงๆ แล้วมีอยู่แค่ครั้งเดียว และได้ผลเอามากๆ ด้วยครับ) ไม่มีการออกแบบเพื่อสร้างภาพน่ากลัวติดตา ตลอดจนไม่พยายามเร้าอารมณ์ไปในทิศทางน่ากลัว (ส่วนใหญ่จะเน้นไปทางตื่นเต้นเร้าใจเสียมากกว่า)

วิธีที่ใช้กับฉากผีหลอกในงานชิ้นนี้ สาธยายรายละเอียดค่อนข้างยาก เนื่องจากใช้วิธีหลากหลายไม่ค่อยซ้ำกัน แต่อาจสรุปรวมๆ ได้ว่า ความน่ากลัวนั้นอยู่ที่ตัวเรื่องเหตุการณ์ รวมทั้งปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นกับตัวละครเสียมากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการข่มขู่คุกคามจนสัมผัสได้ไม่ยากว่าผีดุมาก

ความกลัวของผมนั้น ไม่ได้เกิดจากผีหลอกสยองขวัญโดยตรง แต่เป็นผลมาจากการถูกโน้มน้าวให้ผูกพันเอาใจช่วยตัวละคร และผลพวงหนักหน่วงสาหัสที่เกิดขึ้นกับทุกคน จนกระทั่งรู้สึกอยู่ทุกชั่วขณะ ว่าไม่มีตัวละครรายใดมีความมั่นคงปลอดภัย  พร้อมที่จะเกิดเรื่องราวเหตุการณ์ไม่คาดฝันในทางร้ายได้ทุกเมื่อ

อาจกล่าวได้ว่า เป็นความน่ากลัวโดยวิธีทางอ้อม ไม่ได้ทำให้ผู้ชมหวาดหวั่นขวัญผวาตรงๆ แต่ทำให้เชื่อสนิทใจ ว่าเป็นฉากผีหลอกที่สร้างความกลัวขั้นสติแตกกับตัวละคร แล้วจึงเผื่อแผ่แบ่งปันความหลอนลงรากลึกมาสู่ผู้ชมอีกทอดหนึ่ง

สรุป

ฉากสยองขวัญทั้งหมดใน The Haunting of Hill House ไม่เพียงแต่จะทำงานตามบทบาทหน้าที่อันควรสำหรับหนังผีเท่านั้น ทว่ายังเป็นส่วนเสริมอุ้มชูให้ฉากดรามาต่างๆ ทวีความโดดเด่น ช่วยขยายความปมปัญหาทั้งหลายทั้งปวงของตัวละครจนกระจ่างชัด


ตรงนี้ทำให้ The Haunting of Hill House ได้รับคำยกย่องชื่นชมจากนักวิจารณ์จำนวนมาก ว่าเป็นหนึ่งในงานแนวทางสยองขวัญที่โดดเด่นมากสุดในรอบปี (หรือหลายปี) อีกทั้งยังสยองขวัญอย่างมีคลาส เปี่ยมไปด้วยชั้นเชิง

วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

Titans Season 2

หนัง HD

รีวิว Titans Season 2 - โหดและดาร์กมากกว่าเดิม เพิ่มเติมตัวละครใหม่

ต้นฉบับของซีรีส์เรื่องนี้ดัดแปลงจากการ์ตูน Teens Titans แต่รอบนี้เล่าเรื่องแบบโคตรดาร์ก โหด ดิบ เถื่อน 18+ และเรื่องราวก็ยิ่งเพิ่มความดราม่ามากขึ้นในซีซัน 2 นี้ รีวิว Titans Season 2

เรื่องย่อ

เหล่าไททันส์ต้องเผชิญภัยครั้งใหม่จาก เดธสโตรค (อีไซ มอราเลส) ทหารรับจ้างเมตาฮิวแมนที่กลับมาชำระบัญชีแค้นกับ ดิ๊ก เกรสัน หรือ โรบิน (เบรนตัน เทวตส์) และพวก มิหนำซ้ำบริษัทแคตมัสยังอุตริโคลนนิงเมตาฮิวแมนนาม คอนเนอร์​(โจชัว ออร์พิน)ที่ผสมยีนของซูเปอร์แมนและเล็กซ์ ลูเธอร์เข้าด้วยกันที่ไม่อาจรู้ได้เลยว่าเขาจะเป็นมิตรหรือศัตรูกับเหล่าไททันส์ ในขณะที่ เรเชล (ทีแกน ครอฟต์) ก็ต้องหัดควบคุมพลังอันมหาศาลของตัวเองให้ได้ก่อนโลกจะวิบัติ ส่วน คอรี (แอนนา ดิออป) ก็ต้องตัดสินใจครั้งสำคัญเมื่อคนรักเก่ามาตามเธอกลับบ้านถึงโลก รวมไปถึงการเข้ามาของ โรส (เชลซี จาง)เด็กสาวเมตาฮิวแมนเร่ร่อนที่ดันเป็นลูกสาวแท้ ๆ ของสเลด วิลสัน หรือ เดธสโสตรค ที่อาจทำให้ชะตากรรมของไททันส์ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

หลังจากซีซันแรกได้ปูพื้นตัวละครในจักรวาลดีซีได้อย่างน่าสนใจรวมถึงความโหดของซีรีส์ที่มาคนละเบอร์กับซีรีส์ฮีโรดีซีเรื่องอื่นที่ฉายทางช่อง CWมาในซีซัน 2 นี้ก็ดูว่าทาง เกร็ก เบอลานติ โชว์รันเนอร์ของซีรีส์ต้องการขยายจักรวาลของซีรีส์ไปให้ไกลกว่าเดิม ที่สำคัญยังกล้าเสี่ยงเอาตัวละครอย่างบรูซ เวย์น หรือ แบทแมน เข้ามาสู่จักรวาลด้วย

ซึ่งแน่นอนล่ะว่าพอจะพยายามโยงแบทแมนเข้ามาจากซีซันเดิมที่เราได้ดูวีรกรรมและชะตาชีวิตของเหล่า  “ผู้ช่วยฮีโร” หรือ “ฮีโรนอกคอก”ที่พยายามเดินออกมาจากเงาฮีโรคนดัง ก็กลายเป็นว่าซีซันนี้เรากำลังมาดูเส้นทางฮีโรของตัวละครในซีซันก่อนที่ยังหลุดไม่พ้นเงาของแบทแมนอยู่ดี

มิหนำซ้ำการดึงสเลด วิลสัน หรือ เดธ สโตรค มาคราวนี้ยังทำให้เห็นถึงทางตันของความคิดสร้างสรรค์ของทีมเกร็ก เบอร์ลานติ เพราะดันใช้ผู้ร้ายรีไซเคิลจากซีรีส์ Arrow อีกแล้ว ซ้ำร้ายการพยายามโยงซูเปอร์แมนเข้ามาในจักรวาลยังดูแถ ๆ ยังไงชอบกลด้วย แต่ก็อย่างว่าข้อดีหลักของซีรีส์เลยคือการสร้างสถานการณ์ชวนติดตามและฉากบู๊ที่พยายามดีไซน์ให้ดูโหดสะใจคอหนังแอ็กชัน

เนื้อเรื่อง

โดยโครงเรื่องหลักของซีรีส์ซีซันนี้แล้วอาจแบ่งเส้นเรื่องสำคัญได้ 3 เส้นเรื่อง โดยโครงใหญ่สุดหนีไม่พ้นอดีตแค้นกับ เดธสโตรค ที่มาเกี่ยวพันกับตัวละครอีก 2 ตัวทั้ง เจริโค (เชลลา แมน) ลูกชายคนโตเชื้อสายละตินที่พูดไม่ได้เพราะถูกล้างแค้นถึงบ้าน ซึ่งด้วยชะตากรรมอันน่าเศร้าของเจริโคได้ทิ้งทั้งรอยแค้นให้กับสเลด วิลสัน และสร้างความแตกแยกให้กับกลุ่มไททันส์เดิมทั้ง ดิ๊ก แฮงค์ ดอว์น และ ดอนน่า
จากการสูญเสียเพื่อนร่วมรบไปในศึกของพวกเขากับเดธสโตรค ซึ่งซีรีส์ใช้เวลากับฉากย้อนอดีตนี้ไปถึง 2 ตอนแต่ก็ถือว่าเล่าเรื่องได้ดีและช่วยให้เราเข้าใจปมรอยร้าวในไททันส์เดิมได้ดีขึ้น ส่วนเรื่องราวในปัจจุบันเมื่อ ไททันส์ ได้อ้าแขนต้อนรับ โรส วิลสัน เข้ามาโดยไม่รู้เจตนาที่แท้จริงเพื่อให้เรื่องราวเข้มข้นและเดาทางไม่ถูกซึ่งแนวทางการเล่าเรื่องในตอนแรกก็ทำได้น่าสนใจดีนะ เพราะโรสถูกแนะนำตัวเป็นตัวละครนิรนามก่อนเผยว่าที่แท้เป็นลูกสาวเดธสโตรค

และถูกฝึกให้กลายเป็นนักฆ่าเมตาฮิวแมนนาม เรเวเจอร์ ก่อนที่เธอดันไปมีสัมพันธ์โรแมนติกกับ เจสัน ทอดด์ (เคอแรน วอลเธอร์ส)หรือโรบินรุ่นสองนั่นแหละที่ทำให้เรื่องราวดูซับซ้อนเกินความจำเป็นจนแทนที่จะมาปูเรื่องอื่น ๆ ให้หนักแน่นซีรีส์ก็เสียเวลาไปมากพอสมควร ยังดีที่บท โรส ได้ เชลซี จาง หรือ น้องหมวยจากซีรีส์ Daybreak ที่น่ามองไปซะทุกซีนโดยเฉพาะซีนน้องนุ่งบีกีนีนี่แซ่บจนลืมความไม่สมเหตุสมผลของตัวละครไปเลย ฮ่าาาา

เส้นเรื่องที่สองคือเรื่องของ คอนเนอร์ ที่ดูแล้วทางเบอลานติดูจะพยายามโยง “ความเป็นซูเปอร์แมน” เข้ามาให้ TITANS น่าสนใจยิ่งขึ้นโดยเริ่มจากการตามหาตัวตนของตัวเอง จนนำไปสู่การแนะนำให้ผู้ชมรู้จักแคตมัสบริษัทของเล็กซ์ ลูเธอร์ คู่ปรับตลอดกาลของซูเปอร์แมนที่ทำการโคลนนิ่งคอนเนอร์ขึ้นมา

ซึ่งความน่าสนใจของตัวละครคอนเนอร์คือการที่ตัวละครต้องเรียนรู้ทั้งด้านมืดและด้านสว่างซึ่งแปรผันไปตามสภาพแวดล้อมจนเขามาอยู่กับไททันส์ในระยะเวลาสั้น ๆ ก่อนจะสร้างความโกลาหลเมื่อ คอนเนอร์ ถูกทิ้งให้อยู่กับ การ์ (ไรอัน พอตเตอร์)จนถูกทางแคตมัสจับตัวไปพร้อมกัน เพื่อตอกย้ำความผิดของดิ๊กที่ทิ้งให้ทีมต้องสู้กันลำพัง ก็ถือว่าเรื่องราวในส่วนนี้ทำให้เราเห็นใจดิ๊กมากขึ้นแต่ก็น่าเสียดายที่ยังปูพื้นตัวละครคอนเนอร์ยังไม่น่าสนใจเท่าไหร่เลยกลายเป็นตัวละครที่ยังไม่น่าจดจำนัก

ส่วนเส้นเรื่องที่ 3 เป็นของคอรี หลังซีซันที่แล้วทิ้งไว้ว่าเหตุผลที่เธอเดินทางมาโลกก็เพื่อสังหาร เรเชล ก็ทำให้เราต้องเอาใจช่วยให้คอรีเอาชนะด้านมืดของชาติกำเนิดเดิมเธอให้ได้ จนเมื่อคนรักเก่าเดินทางมายังโลกเพื่อตามเธอกลับบ้านนั่นแหละที่ทำให้เรื่องราวพลิกผันและมีเหตุให้เธอต้องแยกจากกลุ่มไททันส์อยู่เรื่อย ๆ ตลอดซีซัน

เอาจริง ๆ ถ้าว่าถึงพาร์ตโรแมนติกในส่วนของคอรีทำได้ดีเลยนะ ทั้งการกำกับการแสดงและเสน่ห์ของนักแสดง และที่สำคัญคือเรื่องราวของคอรียังกลายเป็นไพ่สำคัญที่ตอนท้ายของซีซัน 2 นี้ทิ้งไว้ให้เราตามต่อในซีซันถัดไปด้วยจะเสียดายก็แค่ว่าเราหวังว่าจะเห็นกองทัพที่ แบล็กไฟร์ พี่สาวตัวร้ายของเธอส่งมาถล่มโลกแต่ดันไม่มี ซึ่งก็ต้องตามต่อในซีซันถัดไปซึ่งเชื่อว่าจะยิ่งใหญ่และน่าติดตามมากกว่าเดธสโตรคแน่นอน

พ้นจากเรื่องราวที่เข้มข้นพอสมควรแล้ว ฉากแอ็กชันก็ถือเป็นหนึ่งในจุดขายหลักของซีรีส์ TITANS โดยเฉพาะซีซันนี้ที่ดูจะอัดฉากบู๊มามากเป็นพิเศษ เมื่อมีตัวละครอย่างโรสเข้ามา ซึ่งการได้ดูสาวสวยมาเตะต่อยในมาดอีสาวตาเดียวสุดฮอตก็ทำให้ซีรีส์มีอะไรน่ามองดีเหมือนกัน นอกเหนือจากคิวบู๊ของ เบรนตัน ทเวตที่เป็นโรบินแล้ว

แต่ก็ต้องยอมรับว่าการที่ซีรีส์ 1 ซีซันมีผู้กำกับหลายคนก็ทำให้คุมคุณภาพฉากบู๊ได้ยากเหมือนกันแต่ตอนที่เลวร้ายที่สุดคือตอนที่กำกับโดย เควิน ตันเจริญ ผู้กำกับชาวไทยที่กำกับเว็บสตรีมหนังซีรีส์ให้ DC และ เบอลานติ มาแล้วทุกเรื่อง ซึ่งก็ถือว่าน่าเสียดายไม่น้อยที่เควินซึ่งทำผลงานดีมาตลอดกลับมาเสียชื่อด้วยซีรีส์ตอนเดียวเท่านั้นเอง เพราะภาพที่ออกมาเหมือนนักแสดงยังซ้อมคิวบู๊ไม่เสร็จ ดูออกเลยว่าเป็นคิว ต่อย หลบ สวน ชัดเจนมาก ถือว่าน่าเสียดายไม่น้อยเลยทีเดียว

ตัวละครที่เพิ่มเข้ามา

คอร์นเนอร์ คลาร์ก หรือ ซุปเปอร์บอย Superboy

เด็กหนุ่มปริศนาที่ตื่นขึ้นมาในหลอดแคปซูล เขาถูกโคลนนิ่งจากยีนส์ของซุปเปอร์แมนและเล็กซ์ลูเธอร์ ทำให้มีพลังของซุปเปอรแมนและสติปัญญาของลูเธอร์ แต่ด้านจิตใจและความคิดอ่านเป็นผ้าขาวเหมือนเด็กไม่กี่ขวบ การปรากฏตัวของเขาถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญอีกหนึ่งของเรื่องราวที่ถูกขยายให้ยิ่งใหญ่ขึ้น

เดธสโตรก Deathstroke

นักฆ่าอันดับต้นๆของโลก เป็นอดีตทหารผ่านศึก เชี่ยวชาญการใช้อาวุธแทบทุกประเภท รับจ้างทำงานเพื่อเงินเป็นหลัก เขามีความแค้นแบบฝังรากลึกของทีมไททันส์ชนิดที่ถือว่าเป็นต้นเหตุหลักที่ทำให้ไททันส์รุ่นแรกถูกยุบ

สำหรับในต้นฉบับคอมิค DC เดธสโตรกถือว่าเป็นตัวร้ายที่มีบทบาทและความสามารถอันดับต้นๆในบรรดาศัตรูของ Batman ซึ่งเคยต่อสู้ประมือกันหลายครั้ง

รีวิว Titans Season 2
ข้อเสีย
ข้อเสียของซีซันสองนี้ก็มี แถมสำคัญด้วย ข้อเสียอันแรกก็คือ การดำเนินเรื่องที่ “จะดราม่าไปไหน” ทำให้บางตอนเดินเรื่องช้าและยืดพอสมควร แต่ก็พอจะเข้าใจได้สำหรับคอนเซปต์ที่เน้นความดราม่าขนาดนี้ เพราะนี่คือเรื่องของ “ทีมซุปเปอร์ฮีโร่วัยรุ่น” ที่ตัวละครทั้งหมดยังขาดวุฒิภาวะและความคิดอ่านที่มากพอ

แม้ว่าจะมีตัวละครประเภทฮีโร่พลังสมบูรณ์แบบอยู่ในเรื่องด้วย แต่จิตใจ ประสบการณ์ชีวิต ความคิดต่างๆของพวกเขาก็ยังเป็นเพียงวัยรุ่นและผู้ใหญ่ที่เพิ่งจะกลายเป็นผู้ใหญ่ธรรมดา อย่างเช่น ดิ๊ก ซึ่งแม้ว่าจะเติบโตขึ้น แล้วพยายามสลัดคราบของโรบินที่อยู่ใต้เงาของแบทแมนผู้ยิ่งใหญ่ออกไป แต่ด้วยความที่ความคิดอ่านของก็ยังมีไม่มากพอ ก็ทำให้เขาตัดสินใจผิดพลาดในเรื่องหลายครั้ง แม้ว่าจุดเริ่มต้นจะมาจากเจตนาดีก็ตามที ซึ่งในเรื่องนี้เน้นประเด็นความไม่สมบูรณ์แบบหลายครั้งมาก แล้วตัวดิ๊กเองก็เป็นต้นเหตุของปมปัญหาใหญ่ในเรื่องด้วย จากการที่เขาไม่ยอมเปิดปากพูดความจริงหรือเปิดปากพูดในเรื่องที่ควรจะพูดมากพอ

ข้อเสียอีกจุดคือ ฉากต่อสู้ที่บางฉากยังดูทำไม่ถึงเท่าไหร่ คือพอดูก็รู้เลยว่างบประมาณในฉากสู้บางซีนใช้ทุนต่ำ (ทำใจ) ด้าน CG มีบางตอนดูลอยเห็นได้ชัด แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายมากนัก อีกทั้งในภาพรวมก็ถือว่าทำฉากแอ็กชั่นแนวฮีโร่ได้ดีเท่าที่ได้งบสำหรับทำลงซีรีส์ได้แล้ว เพราะมีบางฉากต่อสู้ที่ถือว่าทำได้ดูดีกว่าในบางฉากแอ็กชั่นของซีรีส์ฮีโร่จากมาร์เวลอย่าง Daredevil ที่ค่อนข้างเด่นในเรื่องนี้ด้วยซ้ำ

ส่วนจุดเสียอีกจุด ที่ถือว่าเป็นจุดด่างพร้อยของซีรีส์นี้เลยก็ว่าได้ นั่นคือซีนสำคัญฉากหนึ่งในตอนจบของซีซัน 2 หรือในตอนที่ 12 นี่เอง ซึ่งเพียงแค่ 4-5 นาทีในซีนนี้ กลับทำให้ความยอดเยี่ยมทุกอย่างของซีรีส์แทบจะพังทลายเลย

ภาพรวมแล้ว นี่ก็ยังคงเป็นซีรีส์แนวฮีโร่ที่ไปได้ไกลเกินกว่าแค่การเป็นซีรีส์ฮีโร่ทั่วไป ไม่เพียงแต่กล้าเล่าเรื่องในแบบโคตรดาร์ก โคตรดิบ 18+ แล้วยังกล้าที่จะเลือกเล่าเรื่องราวของฮีโร่ที่มีภาพลักษณ์ขาวสะอาดว่าแท้จริงแล้วทุกคนก็ยังเป็นเพียงมนุษย์ หรือแม้แต่ตัวละครลูกครึ่งเทพหรือมนุษย์ต่างดาว สุดท้ายแล้วก็เป็นเพียงคนที่มีทั้งเทพปีศาจร้ายอยู่ในตัวเอง อยู่ที่ว่าเราจะเลือกเดินทางไหน หรือเมื่อทำผิดพลาดไปแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว เราจะเลือกหนีหรือยอมรับมันแล้วเดินหน้าต่อครับ

สรุป

TITANS ซีซัน 2 ก็คือความพยายามที่เบอลานติจะขยายจักรวาลของไททันส์ให้กว้างขึ้นและอาศัยชื่อเสียงของฮีโรดัง ๆ มาแจ้งเกิดฮีโรหน้าใหม่ ซึ่งข้อดีก็ทำให้ได้คาแรกเตอร์หลากหลายมากขึ้นและเรื่องราวขยายไปเล่าในจักรวาลที่กว้างขึ้น แต่ช่องโหว่ที่ซีรีส์ทิ้งไว้เต็ม ๆ คือการปูพื้นฐานหรือให้เวลากับการปูความผูกพันกับคนดูไม่มากพอ ยิ่งตอนจบพยายามให้มีโศกนาฏกรรมก็ทำให้อารมณ์ดราม่าที่ควรจะพีคในตอนสุดท้ายกลายเป็นซีนที่ดูผ่าน ๆ และตัวละครที่ต้องลาโลกไปก็ถูกลืมไปง่าย ๆ อย่างน่าเสียดาย

Titans

ดูหนัง HD

รีวิว Titans - ซีรีส์ที่ดัดแปลงจากการ์ตูน Teens Titans

Teen Titans นับว่าเป็นกลุ่มซูเปอร์ฮีโร่ที่มีประวัติยาวนานหลายสิบปี เริ่มปรากฏตัวครั้งแรกในช่วงปี 60s ในซีรีส์ Brave and the Bold เล่มที่ 54 โดยมีสมาชิกในทีมเพียงแค่ 3 คน ได้แก่ โรบิน คิดแฟลช และอควาแลด และเริ่มใช้ชื่อ Teen Titans เป็นครั้งแรกใน Brave and the Bold เล่มที่ 60 โดยมีสมาชิกในทีมเพิ่มมาอีก 1 คน คือ วันเดอร์เกิร์ล แล้วหลังจากนั้นก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงสมาชิกในทีมอยู่เรื่อยๆ ในแต่ละยุคสมัย พอเป็นเวอร์ชันซีรีส์ ก็ถึงเวลาแล้วที่ทีมงาน DC ได้ปลดเปลื้องข้อจำกัดของเนื้อหาที่ต้องเอาใจเด็กๆ ออกไปเกือบทั้งหมด ที่พอจะเดาได้ตั้งแต่การตัดคำว่า Teen ออกไปจากชื่อเดิม เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราจะได้เห็นกันแน่ๆ จากเวอร์ชันนี้คือ ตัวละครที่มีความคิดเติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น และนั่นรวมไปถึงเนื้อหา คำพูด และฉากต่อสู้ที่มีความดาร์ก ความรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รีวิว Titans

เรื่องย่อ

ดิ๊ก เกรย์สัน หรือ โรบิน ผู้ช่วยชื่อดังของ แบทแมน เมื่อเติบโตขึ้นได้แยกตัวมาทำงานเป็นนายตำรวจสืบสวนที่เมืองดีทรอยต์ เพื่อหวังลืมอดีตที่เจ็บปวด รวมถึงความขัดแย้งบางอย่างกับแบทแมน
แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็ได้เข้ามาพัวพันกับคดีปริศนา เมื่อเด็กสาวแรกรุ่นที่ชื่อ เรเชล มาขอความช่วยเหลือจากเขาถึงสถานีตำรวจ แล้วสิ่งที่ตามเธอมายังมีพลังมืดอันชั่วร้ายที่ยากหยั่งถึง นอกจากนี้เรเชลยังถูกตามหาตัวโดย คอรี่ หญิงสาวผิวคล้ำปริศนาที่ไม่มีความทรงจำของตัวเอง แต่กลับมีพลังและความสามารถพิเศษที่น่าเหลือเชื่อติดตัวมาด้วย นอกจากนี้ยังมีเด็กหนุ่มปริศนา การ์ ที่ได้เข้ามาช่วยเหลือเรเชลเอาไว้โดยบังเอิญ

ซึ่งการพบกันระหว่างคนทั้งสี่ กลับนำไปสู่การรวมพลังแบบเฉพาะกิจของผู้มีพลังและความสามารถพิเศษที่ลี้ลับและเต็มไปด้วยปริศนา ซึ่งมีชะตาที่จะต้องเข้าต่อสู้กับพลังมืดและความชั่วร้ายที่ย่างกรายเข้ามาหาพวกเขาแบบคาดไม่ถึง

เดิมทีคอมิก Teen Titans จะมุ่งให้โรบินเป็นพระเอกโดยมีเหล่าบรรดาฮีโร่วัยรุ่นร่วมทีมเพื่อหวังขายกลุ่มเป้าหมายเด็กไฮสคูลเป็นหลัก แต่การดัดแปลงครั้งนี้เมื่อมาอยู่ในมือเขียนบทที่ดีที่สุดคนหนึ่งในฮอลลีวูดอย่าง อกิวา โกลด์สแมน เจ้าของหลายรางวัลออสการ์ ก็เลือกปรับโทนเรื่องได้ชาญฉลาดมาก
ต้้งแต่การปูให้โรบิน มีอาการคล้าย PTSD จากการต้องร่วมต่อสู้และใช้ความรุนแรงเมื่อต้องออกปฏิบัติการกับแบทแมน รวมไปถึงการคิดตัวละครแวดล้อมที่ดูมีเลือดมีเนื้อจริงๆ ทั้ง เรเชล ที่แม้จะมีพลังมหาศาลแต่เรากลับสัมผัสได้ถึงความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว หรือกระทั่งตัวละครอย่าง การ์ และ สตาร์ไฟร์ แม้จะมีบทบาทที่มาที่ไปไม่มากก็ยังน่าสนใจตั้งแต่ต้นจนจบซีซัน

รวมถึงการปรับโทนให้มีความดิบเถื่อนทั้งภาษาที่มาหมดทั้งฟักแฟง และฉากบู๊แบบถึงเลือดถึงเนื้อ ไม่เหลือพื้นที่ให้เด็กและเยาวชนได้ดูเลยก็ยิ่งน่าจะเซอร์วิสคอซีรีส์สายโหดได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

และสิ่งที่กรี๊ดที่สุดสำหรับสาวก DC คงหนีไม่พ้นการตอดๆไปเล่าเรื่องราวของฮีโร่เบอร์ใหญ่ๆ เช่น แบตแมน เราก็ยังได้เห็นเงาของบรูซ เวย์น หรือเสียงของอัลเฟรด ไม่แค่นั้นซีรีส์ยังใช้ประโยชน์เรื่องเล่าในคอมิกมาเสริมดราม่าได้อีก อย่างการปรากฎตัวของ เจสัน ท็อดด์ ในบทโรบิน คนใหม่ก็ทำให้ ดิ๊ก ยิ่งรู้สึกว่าตนเองเป็นคนที่ถูกแทนที่ได้และยิ่งสร้างบาดแผลให้ความสำคัญระหว่างเขากับบรูซ และที่ขาดไม่ได้คือ ดอนน่า ทรอย ที่ตอนแรกก็งงๆว่าจะใส่มาทำไม

แต่พอดูหนัง HDเปิดเผยว่าเธอคือ ลูกเลี้ยงของ วันเดอร์วูแมน และยังมีฉายา วันเดอร์เกิร์ล อีกทีนี้ห้ามใจไม่ให้กรี๊ดเธอก็ยากแล้วล่ะ แม้ฉากบู๊จะน้อยแต่ความสวยของ คอร์เนอร์ เลสลี่ ก็คงทำให้หนุ่มๆละสายตาจากเธอไม่ได้เลยแหละ ยังไม่พอผู้สร้างประกาศแล้วว่าซีซัน 2 เราจะได้พบกับ ซูเปอร์บอย ด้วยนะ เรียกได้ว่าเป็นซีรีส์ฮีโร่จากดีซีที่สามารถดูควบคู่กับหนังโรงไปได้แบบมีลุ้นว่าในอนาคดจะนำมาครอสโอเวอร์กันหรือเปล่าได้อย่างน่าลุ้นทีเดียว

และที่ต้องยอมรับเลยคือ TITANS น่าจะถือเป็นซีรีส์ฮีโร่ที่รวมบรรดานักแสดงหน้าตาดีไว้มากที่สุดแล้วตั้งแต่ เบรนตัน เทวตส์ หรือ พี่ณเดชย์จาก God of Egypt ก็มาโชว์แผงหน้าล่ำๆขาวๆให้สาวน้ำลายหก รวมถึง ไรอัน พอตเตอร์ ก็พาหน้าตี๋ๆมาเก็บสกอร์สาวๆที่โปรดหนุ่มเอเซียอีก ส่วนหนุ่มๆงานนี้เพลินเลยทั้ง ทีแกน ครอฟต์ ที่รับบทเรเชลได้อย่างน่ารักแต่ก็แอบน่ากลัวอยู่ในที รวมถึง คอร์เนอร์ เลสลี ในบทวันเดอร์เกิร์ลที่กล่าวไปแล้ว และ มินกา เคลลี ในบท โดฟ อดีตนักบัลเลต์และคนรักเก่าของ ดิ๊ก ที่เซ็กซี่ทั้งหน้าตาและรูปร่างเลยแหละ

ตัวละคน

ดิ๊ก เกรย์สัน (Richard Dick Grayson) หรือ โรบิน Robin
ผู้เคยมีอดีตฝังใจในวัยเด็ก พ่อและแม่เป็นอดีตนักแสดงละครสัตว์ที่เสียชีวิตระหว่างการแสดง ดิ๊กได้เห็นภาพที่พวกเขาเสียชีวิตเมื่อวัยเด็กจึงเกิดความฝังใจ จึงกลายเป็นเด็กกำพร้า แล้วก็ถูกรับเลี้ยงโดย บรู๊ซ เวย์น หรือ แบทแมน จากนั้นจึงได้ร่วมงานเป็นผู้ช่วยในฐานะของโรบิน เพื่อปราบเหล่าอาชญากรในเมืองก็อทแธม

แต่ดิ๊กเมื่อเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ก็เริ่มมีความขัดแย้งกับรู๊ซเวย์น จึงแยกตัวออกมาทำภารกิจในฐานะศาลเตี้ยด้วยตนเอง แล้วได้พบกับเพื่อนฮีโร่ร่วมหน้ากากคนอื่นๆจึงเริ่มตั้งทีมเป็นของตัวเองขึ้น แต่ภายหลังเขาก็แยกตัวมาทำงานเป็นนายตำรวจสืบสวนที่ดีทรอยต์ ระหว่างนั้นเขายังคงสวมหน้ากากโรบินออกมาจัดการเหล่าร้ายในยามวิกาลเพื่อระบายความอัดอั้น กระทั่งเขาต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับการสืบสวนคดีของเด็กสาวลึกลับคนหนึ่งซึ่งก็คือ เรเชล นี่จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการรวมพลังฮีโร่วัยรุ่นชุดใหม่ที่จะสะท้านเหล่าวายร้ายอย่างคาดไม่ถึง

เรเชล หรือ เรเวน Raven

เด็กสาววัยแรกรุ่นที่มีพลังลี้ลับพร้อมปริศนาดำมืดยากที่จะหยั่งถึง เธอใช้ชีวิตอยู่กับแม่เพียงลำพัง แต่แล้วแม่ของเธอกลับถูกคนฆ่า ทำให้เธอต้องหนีเอาตัวรอด ด้วยการนำทางจากพลังของเธอทำให้เธอเดินทางมาขอความช่วยเหลือจาก ดิ๊ก ซึ่งการพบกันของคนทั้งสองก็นำไปสู่จุดเริ่มต้นของการต่อสู้ครั้งใหญ่
ภายนอก เรเชลเป็นเด็กสาวแรกรุ่นทั่วไป แต่เธอรู้ว่าตัวเองมีอะไรบางอย่างที่แตกต่างจากคนอื่น และก็พยายามที่จะค้นหาให้ได้ว่ามันคืออะไรกันแน่ เธอมีความรักให้ดิ๊กเสมือนเขาเป็นผู้ปกครองที่พึ่งพิงคนใหม่ และทั้งรักกับนับถือคอรี่เสมือนเป็นพี่สาวคนหนึ่ง

คอรี่ หรือ สตาร์ไฟเออร์ Starfire

สาวผิวสีเข้ม ผู้มาพร้อมกับพลังเพลิงแรงสูงที่สามารถเผาศัตรูให้เป็นจุลได้ คอรี่ไม่มีความทรงจำใดๆก่อนหน้านี้ รู้แต่เพียงว่าตนกำลังออกตามหาเรเชล จึงทำให้เธอได้เข้ามาเชื่อมโยงกับทั้งดิ๊กและเรเชลในที่สุด
ที่จริงแล้วในต้นฉบับ Teen Titans โรบินและสตาร์ไฟเออร์จะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกัน เรียกว่าเป็นหนึ่งในคู่จิ้นหลักของเรื่องเลยก็ว่าได้ ซึ่ในซีรีส์เองก็เลือกเดินตามนั้น แม้จะยังไม่ได้ชัดเจนว่าสุดท้ายแล้วทั้งสองคนจะได้คู่กันหรือไม่ก็ตาม

การ์ หรือ บีสต์ Beast เด็กหนุ่มผู้ร่าเริง ที่มีพลังพิเศษสามารถแปลงร่างเป็นสัตว์ป่าได้ แต่แล้วเขาก็ได้เข้ามาช่วยเหลือเรเชลโดยบังเอิญ แล้วก็เกิดเป็นมิตรภาพและความผูกพันดีๆให้กัน

ดอว์น เกรนเจอร์ หรือ Dove

สาวสวยที่ทำงานเป็นฮีโร่สวมหน้ากาก เป็นคู่หูของแฮงค์ แต่ในอดีตเคยมีความสัมพันธ์กับดิ๊ก ซึ่งลึกๆก็ยังมีความรู้สึกดีๆให้อยู่เสมอ

แฮงค์ ฮอล์ หรือ Hawk

อดีตเพื่อนร่วมทีมของดิ๊ก และเป็นคนรักของดอว์น เป็นคนรักความยุติธรรม หลายครั้งเขามักหึงหวงความรู้สึกที่ดอว์นเคยมีให้กับดิ๊กเสมอ

ดอนน่า ทรอย หรือ Wonder Girl

สาวสวยผู้ทำงานด้านศิลปะ ตัวจริงคือ Wonder Girl อดีตผู้ช่วยของ ไดอ่าน่า หรือ Wonder Woman สมัยเป็นวัยรุ่นเคยได้ติดตามไดอาน่ามาร่วมงานกับแบทแมนและโรบินเป็นระยะ เป็นหญิงสาวที่ฉลาด ทรงพลัง มีพลังพิเศษคล้ายกับไดอาน่า เธอสนิทสนมและห่วงใยดิ๊กเสมือนเป็นพี่สาว เธอยังเป็นเพียงไม่กี่คนที่ดิ๊กยอมมาเปิดใจด้วยหลังจากแยกตัวจากแบทแมนแล้ว

ข้อเสียนิดหน่อย

ส่วนข้อติงก็มีอยู่บ้างครับ คือถ้าเป็นคนที่ไม่รู้เรื่องราวของตัวละครในจักรวาล DC หรือ Teens Titans มาบ้าง อาจจะรู้สึกงงๆกับการเปิดตัวละครต่างๆในซีรีส์เรื่องนี้ (โดยเฉพาะดอนน่า) รวมถึงความสัมพันธ์ต่างๆที่ดิ๊กพูดถึงกับตัวละครในเรื่องแบทแมน แต่ตรงนี้ก็เข้าใจได้ว่า เพราะมันเป็นซีรีส์ที่ดัดแปลงจากการ์ตูนชื่อดังที่คนสหรัฐและแฟน DC ส่วนมากรู้จักอยู่แล้ว ดังนั้นเรื่องนี้จึงเลือกที่จะไปให้น้ำหนักที่การเล่าเรื่องราวของตัวละครหลักทั้ง 4 คน โดยเฉพาะการเจาะไปที่ ดิ๊ก เรเชล คอรี่ เป็นหลัก แต่ในเรื่องก็ยังมีการเจาะไปที่เรื่องของคู่แฮงค์และดอว์น มากพอสมควรครับ

รีวิว Titans

Titans น่าดูแค่ไหน

Titans เป็นซีรีส์รวมพลฮีโร่ ที่ดัดแปลงมาจากการ์ตูนชื่อดังอย่างหนังออนไลน์ Teens Titans ซึ่งคอนเซปต์คือการรวมกลุ่มฮีโร่รุ่นเยาว์ และเหล่าผู้ช่วยของฮีโร่ โดยมีตัวหลักคือ โรบิน ในฐานะผู้นำทีม ซึ่งก็จะมีสมาชิกมาเข้าทีมมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งในฉบับการ์ตูน ตัวละครสำคัญก็คือ สตาร์ไฟเออร์ เรเวน บีสต์ ไซบอร์ก แล้วต่อมาก็จะมีตัวสำคัญอย่าง ซุปเปอร์บอย มาเข้าร่วมด้วย

ส่วนในซีรีส์ที่ฉายทาง Netflix ชุดนี้ มีการดัดแปลงและตีความ ไททันส์ ได้อย่างน่าสนใจ คือแทนที่จะทำออกมาในธีมวัยรุ่น สดใส พลังมิตรภาพ แฟนตาซี Coming of Age ที่ต้นฉบับทำไว้ แล้วก็สามารถตีตลาดคนดูรุ่นเยาว์ในยุคหนึ่งได้ ซีรีส์กลับเลือกทางตรงกันข้ามเลยครับ โดยเน้นนำเสนอเรื่องราวในธีมจริงจัง มืดหม่น ชนิดที่เรียกว่า “โคตรดาร์ก” มีการตีแผ่และเจาะปมจิตวิทยาของเหล่าตัวละคร และน่าจะเป็นเรื่องแรกเลยก็ว่าได้ที่เข้าไปสำรวจภายในตัวตนของ โรบิน ผู้ช่วยฮีโร่ชื่อดังที่ถูกสร้างมาหลายทศวรรษให้ยืนเคียงคู่กับแบทแมน ซึ่งซีรีส์ก็ใส่ประเด็น Coming of Age ที่ตัวละครดิ๊กต้องการหลุดพ้นจากเงาอันยิ่งใหญ่ของแบทแมน และกลายเป็นฮีโร่ที่แตกต่างออกไปด้วย

ด้าน Casting ตัวละคร ในภาพรวมแล้วทำได้ดีมาก แต่มีเรื่องดราม่าคือตอนแรกที่ภาพของ คอรี่ หรือ สตาร์ไฟเออร์ ได้ออกมา มีการแอนตี้รุนแรงพอสมควร เพราะผิดไปจากภาพลักษณ์ของตัวละครนี้ที่เป็นสาวสวยผิวแทน หวานใจของโรบินในเรื่อง โดยเฉพาะทรงผมที่โคตรทำร้าย แต่ปรากฏว่าเมื่อได้ดูๆไป นักแสดงที่รับบทคือ Anna Diop กลับแสดงได้ดีมากๆ ดีชนิดเกินคาด เรียกว่าเธออาจจะทำให้เกิดภาพจำใหม่ของตัวละครนี้ไปเลยก็ได้

อีกจุดหนึ่งที่ซีรีส์นำเสนอได้ดีก็คือ การสร้างบรรยากาศมืดหม่นในเรื่อง ตัวอย่างเช่นการเล่าเรื่องราวในตอนที่ 1 ได้ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้แทบจะกลายเป็นหนังสอยงขวัญแนวผีสางซาตานทำนองนั้นไปเลย แถมยังมีฉากต่อสู้ที่ค่อนข้างดิบ เลือดกระฉูด ระดับ 18+ ไปจนถึงฉากเซ็กส์และการใช้ความรุนแรงต่างๆที่ก็ใส่เข้ามากันโต้งๆ ดังนั้นนี่จึงไม่ใช่ซีรีส์สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปีเท่าไรนัก

ข้อเด่นอีกจุดคือ ซีรีส์เรื่องนี้ค่อนข่างประสบความสำเร็จในแง่ของ การยำพล็อตและตัวละครจากเรื่องราวที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ดันเอามารวมกันได้พอดี หมายถึง ถ้าหากเราเอาตัวละครหลักทั้ง 4 คน เป็นตัวแทนของแนวเส้นเรื่องอะไรสักอย่าง มันจะได้ออกมาเป็น
  • ดิ๊ก – แนวสืบสวน อาชญากรรม ทริลเลอร์
  • เรเชล – แนวดราม่าสยองขวัญ Horror
  • คอรี่ – แนวไซไฟ ลี้ลับ
  • การ์ – แนววัยรุ่นแฟนตาซี โรมานซ์
ตรงนี้คือข้อเด่นที่ทำได้ดีมาก ซึ่งเมื่อเอาตัวละครทั้ง 4 คนมารวมกันภายใต้เส้นเรื่องเดียวกันแล้ว ก็น่าทึ่งว่ามันกลับออกมาเนียนใช้ได้ แล้วในเรื่องมีการเอาตัวละครอื่นๆจากในจักรวาล DC ที่เกี่ยวข้องเข้ามาโลดแล่นในเรื่องด้วย

สรุป

TITANS SS1 DC รีวิว Netflix โรบิน ผู้ช่วยแบทแมนที่คราวนี้ขอนำทีมฮีโร่ ซีรีส์ที่ดัดแปลงจากการ์ตูน Teens Titans แต่รอบนี้เล่าเรื่องแบบโคตรดาร์ก ดิบ เถื่อน 18+ ยกให้เป็นซีรีส์ซุปเปอร์ฮีโร่ที่ดัดแปลงได้ยอดเยี่ยมเกินคาดที่สุดเรื่องหนึ่ง

The Crown Season 3

ดูหนัง HD

รีวิว The Crown Season 3 เข้มข้นขึ้นและเปลี่ยนนักแสดงชุดใหม่

การกลับมาของซีรีส์ประวัติศาสตร์อังกฤษสุดอลังการใน Netflix ว่าด้วยการแฉเรื่องราวเบื้องลึกใน ราชวงศ์วินเซอร์ (Windsor) โดยเล่าเรื่องราวผ่าน ควีนเอลิซาเบธ และ เจ้าชายฟ้าฟิลิปส์ กับบรรดาสมาชิกในราชวงศ์และผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งซีซันนี้จะเน้นไปที่การเล่าเรื่องราวของการเมืองอังกฤษยุคนั้นแบบทริลเลอร์ที่เข้มข้นเพิ่มขึ้นอีกขั้นด้วย รีวิว The Crown Season 3

เรื่องย่อ

หลังขึ้นครองราชย์จนพ้นผ่านช่วงวันเวลาแห่งวัยเยาว์ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 (โอลิเวีย โคลแมน) ต้องเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ท้าทายการดำรงอยู่ของสถาบันกษัตริย์ทั้งสิ้น ทั้ง ฮาโรลด์ วิลสัน (เจสัน วัตคินส์) นายกรัฐมนตรีหัวซ้ายที่มาพร้อมกระแสหวาดกลัวคอมมิวนิสต์ในยุคสงครามเย็น ,การตัดสินพระทัยครั้งสำคัญเมื่อเกิดเหตุการณ์ภูเขาถ่านหินถล่มที่เอเบอร์ฟานถล่มคร่าชีวิตเด็กนักเรียนนับร้อย

หรือจะเป็นเหตุการณ์ที่ชาวเวลส์เริ่มประท้วงเรียกร้องเอกราชทำให้ทรงตัดสินพระทัยส่ง เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ (จอช โอ คอนเนอร์) ไปเรียนภาษาเวลส์เพื่อแต่งตั้งให้เป็นเจ้าชายแห่งเวลส์ หรือในด้านพระบรมวงศานุวงศ์เองก็รายล้อมไปด้วยปัญหารอบด้าน ทั้งความน้อยเนื้อต่ำพระทัยของเจ้าหญิงมาร์กาเร็ต (เฮเลนา บอนแฮม คาร์เตอร์) ความรักที่ต้องถูกกีดกันของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ หรือกระทั่งวิกฤติศรัทธาต่อพระเจ้าของ ฟิลลิป ดยุคแห่งเอดินเบอระห์  (โทไบอัส เมนซีส์) ซึ่งพระราชินีแห่งอังกฤษผู้นี้จะต้องฟันฝ่าเพื่อพิสูจน์ตัวพระองค์เองอีกครั้ง

และแล้ว The Crown ซีรีส์พระราชประวัติสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ของ ปีเตอร์ มอร์แกน ก็เดินทางมาถึงซีซันที่ 3 คราวนี้มอร์แกนเลือกจับเหตุการณ์ช่วงปี 1964 – 1977 อันเป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงทั้ง สงครามเย็นที่มาพร้อมแนวคิดสังคมนิยมอันท้าทายขั้วอำนาจเดิมอย่างสถาบันกษัตริย์
หรือความก้าวล้ำทางเทคโนโลยีจนส่งมนุษย์ไปดวงจันทร์ได้สำเร็จที่มาท้าทายความเชื่อทางศาสนา รวมถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ในหน้าประวัติศาสตร์เพื่อชี้ให้เห็นถึงมรสุมการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลต่อเสถียรภาพของสถาบันกษัตริย์ แต่กระนั้น ปีเตอร์ มอร์แกน ก็ยังไม่ลืมที่จะเชื่อมโยงเหตุการณ์จากซีซัน 1 - 2

เพื่อจบยุคเดิมอย่างสมบูรณ์ทั้งการจากไปของวินสตัน เชอร์ชิล นายกรัฐมนตรีคนแรกที่ถวายงานสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เพื่อเปรียบเทียบกับนายกรัฐมนตรีคนใหม่อย่าง ฮาโรลด์ วิลสัน ที่มาจากคนละขั้ว, แผนการปฏิวัติยึดอำนาจที่ดันไปเอา ลอร์ด เมานต์แบทเทิน พระปิตุลามาร่วมขบวนจนอาจทำให้สถาบันกษัตริย์กลายเป็นผู้ฉีกรัฐธรรมนูญเสียเอง

หรือกระทั่งการกล่าวถึงวาระสุดท้ายของ พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 มาใช้เปรียบเปรยความสัมพันธ์ต้องห้ามระหว่างเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ กับ นางคามิลลา พาร์คเกอร์ โบล ที่เสมือนประวัติศาสตร์อาจเดินมาซ้ำรอยได้ โดยใช้ภาษาหนังบอกเล่าผ่านภาพเงาสะท้อนหน้าเจ้าฟ้าชายชาล์สบนรูปหน้าศพของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 เรียกได้ว่าเก็บทุกเม็ดจริง ๆ

จุดเด่น

จุดเด่นของการนำเสนอชีวิตของ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ในซีซันนี้จึงเป็นการแบ่งแต่ละตอนด้วยเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์อันโด่งดังที่ทำให้เห็นว่า ปีเตอร์ มอร์แกน เก่งการเชื่อมโยงขนาดไหน ตั้งแต่ตอนแรกที่เป็นการเข้ารับตำแหน่งของ ฮาโรลด์ วิลสัน ของพรรคแรงงานที่ยึดหลักการสังคมนิยม
ที่ก็ยังอุตส่าห์ให้ภาพของความหวาดกลัวคอมมิวนิสต์และการแผ่อำนาจของโซเวียตยุคสงครามเย็นมาใช้เปิดซีซันและทำให้เห็นว่า สถาบันกษัตริย์ได้ถูกทดสอบตั้งแต่การพ่ายแพ้ของพรรคอนุรักษ์นิยมแล้ว เพราะในพรรคแรงงานเองก็ยึดปรัชญาของสังคมนิยมโซเวียตมาใช้ออกนโยบาย แถมยังมีเหตุการณ์ในตอน เอเบอร์ฟาน ที่ภูเขาถ่านหินเกิดถล่มเพราะฝนตกหนักจนมีเด็ก ๆ เสียชีวิตจำนวนมาก

แต่ด้วยโบราณราชประเพณีไม่นิยมให้ประมุขเสด็จพระราชดำเนินไปยังที่เกิดเหตุ จึงเกิดความขัดแย้งระหว่างทำตามกฎกับการปลอบขวัญประชาชนในยุคที่แนวคิดสังคมนิยมเริ่มเรืองอำนาจและกระแสตีกลับต่อสถาบันรุนแรงเหลือเกิน โดยส่วนสำคัญในการถ่ายทอดบทบาทและเรื่องราวก็คงต้องชื่นชมการแสดงของ โอลิเวีย โคลแมน ที่เพิ่งได้ออสการ์จากบทราชินีสุดเพี้ยนใน The Favourite (2018) ที่มาสานต่อบทนี้ต่อจาก แคลร์ ฟอยล์ ได้แบบเนียนสนิท

โดยเฉพาะการวางเฉยที่เธอใช้ร่างกายแทบทุกส่วนในการสื่อสารสภาวะภายในตัวละคร โดยเฉพาะดูหนัง HDตอนจบของตอน Aberfan ที่ตัวละครของเธอเริ่มพูดถึงความผิดปกติของต่อมน้ำตาพระราชินี จนภาพทิ้งให้เธอค่อยปลดปล่อยน้ำตาออกมาทีละน้อยจนเราอดร้องไห้และเห็นใจตัวละครผู้สูงศักดิ์อย่างเธอไม่ได้

ไม่เพียงแต่ตัวละครพระราชินีเท่านั้นที่มีบทบาท เพราะเหตุการณ์สำคัญอย่างการส่งมนุษย์อวกาศไปลงดวงจันทร์ได้สำเร็จ ก็ถูกใช้มาทดสอบวิกฤติศรัทธาที่หายไปของ ฟิลลิป ดยุคแห่งเอดินเบอระห์ และบอกเล่าที่มาของสถาบันด้านศาสนาและปรัชญาที่เก่าแก่ได้อย่างน่าเชื่อถือในตอน Moondust (โดยก่อนหน้านี้ในตอน Bubbikins ก็ได้กล่าวถึง เจ้าหญิงอลิซแห่งกรีซพระมารดาของพระองค์ที่สละสมณศักดิ์และบวชชี เพื่อปูพื้นเรื่องศรัทธาที่หายไปของ ฟิลลิป ดยุคแห่งเอดินเบอระห์ ได้อย่างน่าสนใจมาแล้ว)

ซึ่งการมาสานต่อบทบาทนี้ของ โทไบอัส เมนซีส์ ต่อจาก แมต สมิธ ยังถือว่ายอดเยี่ยม และเผลอ ๆ จะดีกว่าใน 2 ซีซันที่ผ่านมาด้วย เพราะคราวนี้ปมดรามาของตัวละครเริ่มรุนแรงขึ้นจากปมเรื่องแม่ ลามไปวิกฤติวัยกลางคนและวิกฤติศรัทธาที่ เมนซีส์ ค่อย ๆ กะเทาะเปลือกตัวละครทีละน้อย ที่สำคัญยังทำให้ตัวละครเจ้าชายฟิลลิปส์เท่ขึ้นมากจนพ้นสถานะไม้ประดับเหมือน 2 ซีซันที่ผ่านมา นอกจากนี้ตัวละครที่ถือว่ามีบทบาทอย่างมากในซีซันนี้คงเป็นใครไปไม่่ได้นอกจาก เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ และ เจ้าหญิงมาร์กาเร็ตเมื่อทรงเริ่มเข้าสู่วัยกลางคน

เจ้าฟ้าชาย ชาร์ลส์

โดยเจ้าฟ้าชาย ชาร์ลส์ ได้มีบทบาทหลักใน 2 ตอนได้แก่ตอน Tywysog Cymru ที่ทรงถูกบังคับให้เดินทางไปเรียนภาษาเวลส์ ยังประเทศที่ประท้วงเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษ แม้ว่าจะเป็นการปล้นความฝันในการเป็นนักแสดงละครเวทีก็ตาม ส่วนอีกตอนที่ถือว่าเป็นอีกจุดที่ช่วยทำให้เห็นความตึงเครียดของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์กับครอบครัวได้แก่ตอน Imbroglio ที่ท่านต้องถูกกีดกันความรักจากนาง คามิลลา พาร์คเกอร์ โบล

ก็ได้ จอช โอ คอนเนอร์ อีก 1 หนุ่มหล่อจากซีรีส์ Peaky Blinders มารับบทเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ได้อย่างมีเสน่ห์ ด้วยบุคลิกอ่อนน้อม ไร้เดียงสาของตัวละครที่จะต้องเผชิญหน้ากับการถูกบังคับจาก พระราชมารดาให้ไปเรียนภาษาเวลส์ในโมงยามที่การประท้วงเรียกร้องเอกราชเริ่มร้อนแรง และยังต้องเผชิญหน้ากับพระอาจารย์ที่ต่อต้านจักรวรรดิอังกฤษเข้าไส้อีก จนทำให้เราอดลุ้นตามไม่ได้ ส่วนในตอน Imbroglio ก็ยังน่าจะทำให้คนดูสาว ๆ ต้องหลั่งน้ำตาให้กับหัวใจที่แตกสลายเมื่อความสัมพันธ์ที่ตนเลือกกลับถูกกีดกันจากพระบรมวงศานุวงศ์จนเกิดรอยร้าวในครอบครัวแห่งพระราชวังบัคกิงแฮมที่เราต้องติดตามต่อไป

และแน่นอนว่าดาวเด่นในซีซันนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก เฮเลนา บอนแฮม คาร์เตอร์ ที่ขอสละคอสตูมเพี้ยน ๆ ในหนัง ทิม เบอร์ตัน สามีสุดที่รักมาสานบท เจ้าหญิงมาร์กาเร็ต ต่อจาก วาเนสซา เคอร์บี สาวสวยที่ตอนนี้กำลังไปได้ดีในหนังฮอลลีวูด (ผลงานล่าสุดคือ Hobbs & Shaw) โดยคราวนี้ เจ้าหญิงมาร์กาเร็ต ต้องเผชิญความซับซ้อนในความสัมพันธ์มากขึ้นกว่าเดิม

รีวิว The Crown Season 3

ทั้งปมเรื่องการเป็นรองพี่สาวทั้งที่ตัวเองโดดเด่นกว่าและพร้อมทำหน้าที่ราชินีดีกว่า หรืออย่างการต้องรับมือกับความผิดหวังในความรักซ้ำซากและข่าวฉาวที่มาโหมไฟกระแสต่อต้านสถาบันกษัตริย์ให้ยิ่งร้อนแรงขึ้นไปอีก ซึ่งเฮเลนา บอนแฮม คาร์เตอร์ ก็ทำให้เจ้าหญิงมากาเร็ตในซีซันนี้ทั้งเฉิดฉายและน่าเห็นอกเห็นใจในคราวเดียวกันได้อย่างยอดเยี่ยม แม้บางฉาก เธอจะแทบไม่มีบทบาทอะไรเลยแต่เราก็อดมองเธอไม่ได้ จนหนังถ่ายทอดสดน่าสนใจว่าในซีซันต่อไปบทเจ้าหญิงมากาเร็ตของเธอจะเดินต่อไปในทิศทางไหน

นอกจากนี้ The Crown ซีซัน 3 ยังได้ให้กำเนิดดาวรุ่งอย่าง อีริน โดเฮอร์ตี ในบทเจ้าหญิงแอนน์ ที่น่าจะกลายเป็นขวัญใจหนุ่ม ๆ คนใหม่ได้ไม่ยาก เพราะภายใต้ความเรียบเฉยของใบหน้ายังซ่อนความร้อนแรงและเสน่ห์แบบสาวอังกฤษไว้ให้ได้ค้นหา โดยเฉพาะตอน Imbroglio ที่ทั้งบทและการแสดงของเธอทำคนดูอ้าปากค้างถึงความอินไซต์ของซีรีส์ที่เล่าแม้กระทั่งเรื่องราว วังวนความสัมพันธ์ที่แม้แต่ เจ้าหญิงอย่างเธอยังไม่อาจหลุดบ่วงนี้ได้ แถม โดเฮอร์ตี ยังได้โชว์หุ่นเซ็กซีเล็ก ๆ น้อย ๆ มาให้ได้กระชุ่มกระชวยด้วย

และอีกหนึ่งนักแสดงที่มาเติมเต็มให้ภาพรวมการแสดงในซีซันนี้น่าจดจำมากขึ้นเห็นจะเป็น ชาร์ลส์ แดนซ์ หรือ ไทวิน แลนนิสเตอร์ จากซีรีส์แห่งยุค Game of Thrones ที่ขอสลัดชุดนักรบมาสวมสูทรับบทลอร์ดเมนต์แบทเทิน ที่ซีซันนี้ดันถูกทาบทามไปร่วมปฏิบัติการณ์ “คืนความสุข” ก็ทำให้ตัวละครมีเสน่ห์และเดาไม่ถูกว่าจะเป็นคนดีหรือคนร้ายกันแน่จนให้ภาพสีเทาแบบมนุษย์จริง ๆ

สรุป

ยังคงยอดเยี่ยม สมเป็นซีรีส์คุณภาพสูงของ Netflix

เล่าเรื่องราวเบื้องลึกภายในราชวงศ์วินเซอร์ ซึ่งมีหลายเรื่องที่คนทั่วไปคงคาดไม่ถึง บางเรื่องเป็นข่าวลือ บางเรื่องเป็นข้อมูลเชิงลึกที่ไม่ได้มีการเปิดเผยในช่วงเวลานั้น โปรดักชั่นอลังการ นักแสดงทรงพลัง เรื่องราวมีความเป็นอังกฤษสูงมาก

The Crown Season 2

ดูหนัง

รีวิว The Crown Season 2 ความท้าทายของราชินีเอลิซาเบธที่ 2

จากควีนที่ขึ้นครองราชสมบัติใหม่ๆ ทำอะไรไม่ค่อยเป็น มา ss2 ควีนต้องสวมบทบาททั้งประมุขของประเทศ สวมบทบาทเมีย สวมบทบาทแม่ สวมบทบาทตัวแทนของประชาชนของประเทศในเครือจักรภาพ รวมถึงประมุขของประเทศราช ที่จะต้องคงไว้ซึ่งอำนาจเหนือประเทศอาณานิมคมมากมายที่พร้อมจะประกาศอิสระ การเมืองในประเทศว่ารุนแรง การเมืองในครอบครัวระหว่างควีนกับเจ้าชายฟิลิปพระสวามี ทั้งในฐานะเมียและฐานะควีน ไหนจะความขัดแย้งกับเจ้าหญิงมากาเร็ต น้องสาวที่ดูเหมือนน่าสงสารแต่นางก็เหยียบเรือสองแคม ชีวิตอิสระก็อยากใช้ ความเป็นเจ้า ความเป็นอภิสิทธิชนก็ยังอยากจะคงไว้ รีวิว The Crown Season 2

เรื่องย่อ

สำหรับเรื่องราวในซีซีนนี้ ราชินีเอลิซาเบธที่ 2  ต้องเผชิญความท้าทายรอบด้านทั้งวิกฤติคลองสุเอซ รักครั้งใหม่ของ เจ้าหญิงมากาเร็ตกับช่างภาพหัวเสรีนิยม แต่ความท้าทายใดก็ไม่เท่าความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับเจ้าชายฟิลลิปจากเหตุการณ์ฉาวโฉ่ที่อาจกระทบต่อชีวิตของทั้งคู่ในวังบัคกิงแฮม

ใน The Crown ซีซัน 2 นี้ ปีเตอร์ มอร์แกนยังคงรับผิดชอบเขียนบททั้ง 10 ตอนเช่นเคย โดยคราวนี้มอร์แกนเลือกหยิบเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ของอังกฤษอย่างวิกฤติคลองสุเอซมาผูกโยงกับวิกฤติเรื่องราวฉาวโฉ่ของคนรอบข้างพระองค์ทั้งกรณีจดหมายลับของพระสหายคนสนิทของเจ้าชายฟิลลิปและความรักครั้งใหม่ของเจ้าหญิงมากาเร็ตกับช่างภาพหนุ่มผู้ปฏิเสธการใช้ชีวิตในกรอบ

นำซึ่งเรื่องราวเข้มข้นที่ไม่ได้นำเสนอเฉพาะประวัติศาสตร์ในประเทศอังกฤษยุค 50 หรือความเป็นมาของสมเด็จพระบรมราชินีนารถเอลิซาเบธที่สองในช่วงแรกของการครองบัลลังก์เท่านั้นแต่ยังนำพาผู้ชมไปสู่ความขัดแย้งระหว่างหน้าที่และหัวใจของผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องแบกรับภาระของประเทศเสมือนหนึ่งแบกโลกไว้ทั้งใบ ซึ่งประเด็นทั้งหมดทั้งมวลถูกรังสรรค์ผ่านปลายปากกาของปีเตอร์ มอร์แกนที่บอกเล่าเรื่องราวดังกล่าวได้เหมือนเข้าไปนั่งเมาต์มอยกับพระราชินีและเหล่าราชนิกุลในวังบัคกิงแฮมแบบทุกซอกทุกมุมจริงๆ

ตลอดทั้ง 10 ตอนของ The Crown ในซีซัน 2 ได้แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของตัวละครอย่างพระราชินีอลิซาเบธได้เป็นอย่างดีและยังสามารถต่อติดกับเรื่องราวในซีซันแรกได้เป็นอย่างดี เพราะหากซีซันแรกคือการพัฒนาจากเจ้าหญิงที่สูญเสียพระบิดาสู่การครองบัลลังก์ที่ต้องเสียสละตัวตนและความสุขในครอบครัวเพื่อบริหารประเทศและธำรงไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์

จากควีนที่ขึ้นครองราชสมบัติใหม่ๆ ทำอะไรไม่ค่อยเป็น มา ss2 ควีนต้องสวมบทบาททั้งประมุขของประเทศ สวมบทบาทเมีย สวมบทบาทแม่ สวมบทบาทตัวแทนของประชาชนของประเทศในเครือจักรภาพ รวมถึงประมุขของประเทศราช ที่จะต้องคงไว้ซึ่งอำนาจเหนือประเทศอาณานิมคมมากมายที่พร้อมจะประกาศอิสระ การเมืองในประเทศว่ารุนแรง การเมืองในครอบครัวระหว่างควีนกับเจ้าชายฟิลิปพระสวามี ทั้งในฐานะเมียและฐานะควีน ไหนจะความขัดแย้งกับเจ้าหญิงมากาเร็ต น้องสาวที่ดูเหมือนน่าสงสารแต่นางก็เหยียบเรือสองแคม ชีวิตอิสระก็อยากใช้ ความเป็นเจ้า ความเป็นอภิสิทธิชนก็ยังอยากจะคงไว้

เรื่องราวในซีซันที่ 2 นี้ก็เหมือนวิกฤติโลกของจริงที่มีทั้งวิกฤติคลองสุเอซที่ขยายตัวไปสู่แนวคิดในการเอาใจออกห่างของประเทศอียิปต์ในอาณานิคมของอังกฤษซึ่งอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชน โดยในตอนดูหนังที่แปดของซีรีส์พระองค์ได้แสดงพระอัจฉริยภาพในการแก้ไขวิกฤติการณ์ที่เหมือนประธานาธิบดีนกรูมาห์พยายามหักหน้าพระองค์และเอาใจเข้าใกล้แนวคิดคอมมิวนิสต์ของโซเวียตแต่พระราชินีเอลิซาเบธก็ทรงใช้ไหวพริบปฏิภาณและความอ่อนหวานของผู้หญิงในการแก้ปัญหาได้อย่างเปี่ยมพระอัจฉริยภาพและสามารถยุติสงครามเย็นได้บนฟลอร์เต้นรำ

เนื้อเรื่อง

อย่างที่บอกไปข้างต้นว่า The Crown ซีซั่นที่ 2 มิได้บอกเล่าแค่เรื่องราวของพระราชินีเท่านั้น แต่ยังสานต่อเรื่องราวของบุคคลรอบข้างพระองค์และแน่นอนเจ้าหญิงมากาเร็ต (วาเนสซา เคอร์บี) พระขนิษฐาของพระองค์ที่เคยขัดแย้งกันมาตั้งแต่ซีซันแรกที่พระองค์ได้ขวางทางความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหญิงและปีเตอร์ ทาวน์เซนด์

จนมาในซีซัน 2 ที่เจ้าหญิงมากาเร็ตได้สานสัมพันธ์กับ โทนี่ อาร์มสตรอง (แมตธิว กู้ด) ช่างภาพหัวขบถที่ใช้ชีวิตนอกกรอบจนอาจนำเรื่องอื้อฉาวมาสู่วังบัคกิงแฮม ซึ่งเรื่องราวในส่วนนี้นอกจากเราจะต้องลุ้นว่าเจ้าหญิงและพระราชินีจะมีปมขัดแย้งเรื่องงานราชาภิเษกแล้ว ยังต้องมาลุ้นให้เจ้าหญิงมากาเร็ตได้เจอคู่แท้ที่รักพระองค์และทำให้พ้นคำสาปคนอาภัพรักจากซีซันแรกเสียที

ปมวัยเด็กเจ้าชายฟิลลิปสู่การเลี้ยงดูเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ 

ในซีซันที่สองเจ้าชายฟิลลิปจะมีบทบาทมากยิ่งขึ้นและเราจะได้รับรู้เรื่องราวของพระองค์ที่น่าเห็นใจพอสมควร แต่การบอกเล่าเรื่องราวของพระองค์ไม่เพียงทำให้คนดูรู้จักพระสวามีของพระราชินีเอลิซาเบธเท่านั้นแต่ยังทำให้เรารับรู้ปมขัดแย้งระหว่างเจ้าชายฟิลลิปและเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์อันมีที่มาที่ไปจากการที่พระบิดาต้องการให้พระองค์เข้าศึกษาในโรงเรียนประจำซึ่งมีกิจกรรมพิสูจน์ความเป็นลูกผู้ชายที่ค่อนข้างโหดหินจนสร้างแผลเป็นในใจของพระองค์ ซึ่งเชื่อได้ว่าใครเคยมีปมอดีตอันเลวร้ายถ้าได้ดูตอนนี้จะพบว่าแม้แต่คนในตำแหน่งสูงๆของประเทศต่างก็เคยประสบโศกนาฏกรรมที่กลายเป็นแผลในใจไม่ต่างกันเลย

บทส่งท้ายของ แคลร์ ฟอย

ต้องยอมรับว่าบทพระราชินีเอลิซาเบธที่สอง คือการปูทางสู่ชื่อเสียงสำหรับ แคลร์ ฟอยที่แท้จริง ตั้งแต่ซีซันแรกที่ทำให้เธอได้เข้าชิงรางวัลมากมายมาสู่ซีซันที่สองที่เธอยังคงทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นเคย เธอทำให้คนดูเชื่อได้ว่าจากพระราชินีมือใหม่ได้พัฒนาการสู่การเป็นแม่ของแผ่นดินที่พร้อมแบกรับหน้าที่อันหนักอึ้งได้เป็นอย่างดี

แต่สำหรับใครที่รอจะได้ชมเธอในซีซันที่สามก็ขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ เพราะในซีซันที่ 3 ทางผู้สร้างได้ประกาศชื่อ โอลิเวีย โคลแมน มารับช่วงเป็นพระราชินีเอลิซาเบธที่ 2 ส่วนแคลร์ ฟอยก็กำลังเตรียมตัวรับบท ลิสเบธ ซาลันเดอร์ แฮคเกอร์สาวรอยสักมังกรใน The Girl In The Spider Web หนังจากนิยายสวีเดนชุดเดียวกับ The Girl With Dragon Tattoo (2011) ที่เดวิด ฟินเชอร์เคยกำกับ

ด้านนักแสดงคนอื่นก็ถือว่าทำหน้าที่ได้ดีและแม้ในซีซันนี้ จอห์น ลิธกาวด์จะมีแค่บทรับเชิญเป็นวินสตัน เซอร์ชิลในฉากย้อนอดีตเท่านั้นแต่ซีซันนี้ก็มี แมตธิว กู้ด ที่มารับบทโทนี่ อาร์มสตรอง ช่างภาพหัวขบถคนรักใหม่ของเจ้าหญิงมากาเร็ตได้อย่างเปี่ยมสเน่ห์ทีเดียว

จุดที่ชอบ

ตอนที่ชอบที่สุดคือ EP5 ที่มีลอร์ดคนนึงวิจารณ์การทำงานของควีนว่าพูดจาเหมือนเด็กๆ ไม่มีความน่ายำเกรง จนเป็นที่มาของการปรับตัวในราชสำนักเพื่อให้ควีนลงมาใกล้ชิดประชาชนมากขึ้น และปีนั้นเป็นปีแรกที่ควีนได้กล่าวสุนทรพจน์ออกทีวีทั่วประเทศในวันคริสต์มาส ทำให้เป็นการปฏิวัติสถาบันกษัตริย์ของสหราชอาณาจักร

หรือตอนที่8 ที่ควีนได้เจอกับ แจ๊กกาลีน เคนเนดี้ มันเป็นเรื่องที่โคตรมหัศจรรย์เลยที่ผู้หญิงในตำนานของโลกได้มาเจอกัน แจ๊กกาลีนคือตัวแทนผู้หญิงในโลกเสรีประชาธิปไตย แต่ควีนคือตัวแทนผู้หญิงที่อยู่ในฐานะกษัตริย์ แน่นอนว่าควีนเองก็หวั่นๆใจเมื่อต้องมาปะทะกับแจ๊กกาลีน แต่มันคือบทเรียนที่ทำให้ควีนได้ก้าวข้ามจากกษัตริย์มาสู่การเป็นกษัตริย์ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ คงไว้ซึ่งพระราชอำนาจและปกครองประเทศราชได้อย่างชนะใจผู้นำของประเทศที่เป็นประเทศราชมากมาย
รีวิว The Crown Season 2

ประเด็นที่น่าสนใจ

ประเด็นที่น่าสนใจอีกประเด็นคือเรื่องของเจ้าชายฟิลิป เอาจริงๆฟิลิปเองก็มีปมเยอะ ตัวตนก็เกิดมาจากการเป็นเจ้า แต่เป็นเจ้าทางยุโรปทางกรีกเดนมาร์คอะไรทำนองนั้น แต่การตัดสินใจมาเป็นพระสวามี ที่เอาเข้าจริงๆ เค้ายังฐานันดรต่ำกว่าลูกตัวเองอีก มันเลยทำให้ฟิลิปเองก็ต้องเล่นการเมืองกับเมียตลอดเวลา อยากจะบอกว่า การเกิดเป็นพระมหากษัตริย์โดยเฉพาะเป็นผู้่หญิงนี่เป็นอะไรที่โคตรใช้ชีวิตยากเลย นั่นผัวแต่ก็เล่นการเมือง เหมือนมีอะไรมาหยั่งเชิงต่อรองตลอดเวลา ไหนจะเอาผู้หญิงอื่นมาต่อรอง ไหนจะการอยากมามีบทบาทกับลูกอย่างเจ้าฟ้าชายชาร์ล โปรแกรมหนังใน EP9 อยากให้ดูมากกก จะรุ้ว่าเจ้าชายฟิลิปมีปมที่น่าสงสารและมันมากระทบกับเจ้าฟ้าชายชาร์ลตรงๆ

มากาเร็ต

เรื่องราวของมากาเร็ตน้องสาวผู้อาภัพ เหยียบเรือสองแคม อยากใช้ชีวิตอิสระก็อยาก อยากเป็นเจ้า อยากมีอภิสิทธิชนก็ยังอยาก มันเลยทำให้เราไม่ค่อยสงสารมากาเร็ตเท่าไหร่ กลับสงสารควีนมากกว่า

สรุป

The Crown ss2 นี่เนื้อหาไม่ได้ดร็อปลงจากภาคแรกเลย ตรงกันข้ามคือมันจริงจัง เข้มข้น ซีเรียสมากกกกกกกกกก ตัวนางเอกคือ แคลร์ ฟอยด์ใน ss2 มารับบทที่หนักขึ้นและนางก็แสดงได้เก่งขึ้นจาก ss แรกด้วย ภาพรวมของ The Crown คือซีรีส์ที่เนื้อหาเข้มข้นมากกกกก งานโปรดักชั่นดีโคตรๆ เห็บรายละเอียก ข้อมูล ทุกอย่างเป้ะ ไปหาภาพในอดีคจากแฟ้มภาพข่าวมาเทียบได้คือรายละเอียดเป้ะสุดๆ นี่คือตัวอย่างที่ดีในการทำงานของทีมละครหรือซีรีส์ที่เราอยากเห็นในละครไทยมากๆ

หาโอกาสดูเถอะใน Netflix มันเรื่ดมันเปรี้ยงมันปัง มันดีงามากกกกก แบบว่าถ้าดูแล้วจะต้องตามดูต่อไป ทราบมาว่า ss3 แคลร์ ฟอยด์ คงไม่ได้กลับมา Olivia Colman จะมาเล่นแทน จากอายุอานามก็สี่สิบกว่า เข้าใจว่าน่าจะเป็นช่วงวัยของควีนที่เข้าสู่วัยกลางคนแล้ว ไม่แน่ใจว่าจะมีบทไดอาน่ามาปรากฏตัวหรือยัง แต่ยังไงก็รอดูแหละ โครงการณ์นี้ได้ยินมาว่ายาวไปถึง ss4 เลย ดูเถอะ ยังไงก็คุ้ม !!!

The Crown ซีรีส์อิงประวัติศาสตร์

ดูหนัง

รีวิว The Crown ซีรีส์อิงประวัติศาสตร์

The Crown (Netflix) ซีรีส์อิงประวัติศาสตร์ อังกฤษ ราชวงศ์วินเซอร์ (Windsor) ซึ่งเป็นซีรีส์ชื่อดังที่มีโปรดักชั่นสุดอลังการ ขณะเดียวกันก็เสี่ยงต่อการถูกฟ้องมากที่สุดอันดับต้น ๆ ในโลกด้วย รีวิว The Crown

เรื่องย่อ

เรื่องราวอิงประวัติศาสตร์ของ Queen Elizabeth II ที่ขึ้นครองราชย์พระองค์ต้องเผชิญปัญหามากมายทั้งเรื่องส่วนตัว และการเมือง


ถือว่าเป็นซีรีส์ระดับเรือธงชั้นแนวหน้าของ Netflix ขณะเดียวกันก็เป็นซีรีส์ที่พาดพิงชีวิตบุคคลจริงมากมาย ชนิดที่หากจะเสี่ยงต่อการถูกฟ้องมากที่สุดในโลกก็ไม่แปลกเลย ซึ่งสาเหตุหลักเพราะซีรีส์เรื่องนี้ ได้จับเอาเรื่องราวในหน้าประวัติศาสตร์และเจาะเบื้องลึกของ ราชวงศ์วินเซอร์ (Windsor) รวมถึงการเจาะไปยังชีวิตสมรสของ ควีนเอลิซาเบธ และ เจ้าชายฟิลิปส์ เท่านั้นไม่พอ ยังรวมถึงชีวิตและเรื่องราวอื้อฉาวที่เคยเป็นข่าวครึกโครมจนถึงขั้นเกือบจะสั่นคลอนราชวงศ์และประเทศอังกฤษในยุคนั้นอยู่หลายครั้ง

การนำเสนอ

สำหรับการนำเสนอเรื่องราวในซีรีส์ จะเน้นเจาะไปยังประเด็นละเอียดอ่อนของบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์อังกฤษ และ หลายคนก็ยังคงมีชีวิตอยู่ หลายคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคนสำคัญที่มีภาพลักษณ์ในเชิงบวก แต่ซีรีส์เรื่องนี้ตีแผ่ในมุมที่เป็นสีเทา ซึ่งหลายมุมที่เกิดขึ้นนั้น แม้ว่าจะเป็นข่าวใหญ่อื้อฉาวตั้งแต่ในยุค 40-70 แต่คนรุ่นใหม่ก็อาจจะไม่เคยได้ยินหรือก็อาจหลงลืมไป

แต่ที่ร้ายกาจมากคือ ซีรีส์เรื่องนี้กลับ “กล้าที่จะขุดเรื่องอื้อฉาวเหล่านั้นกลับมาใหม่” ให้กลับมาออกสู่สายตาคนดูทั่วโลกอีกครั้ง แล้วที่สำคัญคือ หลายเรื่องราวและเหตุอื้อฉาวที่ถูกนำเสนอในซีรี์สเรื่องนี้ แต่ละเรื่องเคยสร้างความสุ่มเสี่ยงและสั่นคลอนต่อภาพลักษณ์ของราชวงศ์วินเซอร์ จนถึงขั้นอาจจะทำให้ล่มสลายได้ บางเรื่องก็เป็นเหตุการณ์ที่คนจำนวนมากไม่เคยทราบมาก่อน

การแสดง

ในด้านการแสดง และโปรดักชั่น คือจุดแข็งที่สุดของซีรืส์เรื่องนี้เลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะพลังการแสดงของ Clair Floy ที่กลายเป็นภาพจำในบทควีนเอลิาเบธวัยสาวไปแล้ว นักแสดงนำคนอื่นในเรื่องก็เช่นกัน ด้านโปรดักชั่น ถือว่าเป็นซีรีส์ที่จัดเต็มในด้านสถานที่ การเซตติ้งฉากพิธีการต่างๆ ไปจนถึงดนตรีประกอบที่ได้ Han Zimmer มาดูแล การันตีความอีพิคได้

สำหรับคนนใจประวัติศาสตร์อังกฤษ ดูหนังและเรื่องราวในราชวงศ์วินเซอร์ ต้องดูเรื่องนี้เลยครับ ส่วนคนที่ไมได้สนใจแนวนี้ ก็สามารถรับชมได้ เพราะตัวเรื่องมีการนำเสนอให้ย่อยง่ายพอสมควร เพียงแต่ถ้าไม่มีพื้นฐานเรื่องของสังคมอังกฤษในสมัยนั้นไว้บ้าง อาจจะมึนงงกับตรรกะความคิดของผู้คนในเรื่องได้เหมือนกัน

ความเห็นหลังชม พร้อมเกร็ดประวัติศาสตร์

จะแยกย่อยเป็น Episode เพื่อความกระจ่างและชัดเจน มีการอธิบายประวัติศาสตร์ในช่วงยุคนั้นไปด้วย เพื่อความสนุกกับซีรีส์และความอิน จะบอกว่ามีสปอยล์ก็คงไม่เชิง เพราะเรื่องราวนี้เป็นเรื่องราวที่อิงประวัติศาสตร์ สามารถหาอ่านได้ในเว็ปไซต์ทั่วไป (เราอ่านในวิกิพีเดีย) และมีความเห็นหลังชม The Crown (TV Series 2016) จบซีซั่น 1 ในด้านล่าง

Episode 1 | Wolferton Splash (วูล์ฟเฟอร์ตันสแปลช)

เรื่องย่อ: เปิดเรื่องเว็บดูหนังมาที่ Princess Elizabeth กำลังเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับ Prince Philip ซึ่งตอนนั้นก็มี King George VI เป็นกษัตริย์ปกครองสหราชอาณาจักร ต่อมาทั้งสองพระองค์ได้มีพระราชบุตร 2 พระองค์คือ  Prince Charles และ Princess Anne และได้ย้ายไปอยู่ที่สาธารณรัฐมอลตา ในช่วงนั้น Prince Philip ได้มียศเป็นนาวาตรีในกรมทหารเรือ ในปี 1951 ทั้งสี่พระองค์ได้ย้ายกลับมาอยู่ที่ลอนดอน เพราะว่า King George VI ทรงประชวร

ความเห็นหลังชม: ในตอนนี้เป็นการเปิดเรื่องราวได้น่าติดตาม ถึงแม้เรื่องราวยังไม่มีมากมาย แต่ก็เป็นการแนะนำตัวละครหลักได้อย่างมีชั้นเชิงด้วยมิติและภูมิหลังต่างๆได้อย่างน่าสนใจ

Episode 2 | Hyde Park Corner (ไฮด์พาร์คคอร์เนอร์)

เรื่องย่อ: ในขณะนั้น Princess Elizabeth และ Prince Philip กำลังเสด็จประพาสประเทศเคนย่า King George VI ก็เสด็จสวรรคตไปอย่างเงียบๆ Princess Elizabeth ที่ทรงประทับอยู่ที่เคนย่านั้นก็ไม่ทราบข่าวที่ประกาศจากวิทยุเลย Prince Philip จึงเป็นพระองค์ที่บอกข่าวร้ายนี้แก่ Princess Elizabeth จากนั้นทั้งสองพระองค์ก็เสด็จกลับลอนดอน

ความเห็นหลังชม: ได้เห็นบทบาทหน้าที่กับภาระที่หนักอึ้งของ Queen Elizabeth II เป็นตอนที่ทรงพลังมาก น้ำตาไหลออกมาได้ไม่ยากเลย แต่ยังไงก็มีโมเมนต์ที่ทำให้ประทับใจ

Episode 3 | Windsor (วินด์เซอร์)

เรื่องย่อ: ย้อนอดีตกลับไปเมื่อตอนที่ King Edward VIII ทรงสละราชสมบัติและแต่งงานกับหญิงม้าย ในวันนี้ Prince Edward กลับมายังลอนดอนเพื่อร่วมงานพิธีศพของ King George VI นอกจากนี้พระองค์มีจุดประสงค์หลักอีกหนึ่งสิ่งคือ ค่าเบี้ยเลี้ยงดูที่เพิ่มขึ้น! ทางด้าน Queen Elizabeth II หลังจากที่ได้คุยกับ Prince Philip ทั้งสองพระองค์ก็ทรงอยากให้ Mountbatten เป็นนามสกุลของครอบครัว และจะไม่ย้ายเข้าวัง Buckingham ส่วน Winston Churchill นายกรัฐมนตรีก็ถ่วงเวลาการจัดงานพิธีราชาภิเษกไปยังฤดูร้อนของปีหน้า นั่นหมายถึงอีก 16 เดือนข้างหน้า! ความต้องการของทั้ง 3 มีทั้งขัดแย้งทั้งเป็นไปในทางเดียวกัน การต่อรองผลประโยชน์เลยเริ่มต้นขึ้น

ความเห็นหลังชม: เรื่องราวเริ่มเข้มข้นและเริ่มมันส์! มีการเจรจาต่อรองทางการเมือง เพื่อผลประโยชน์สูงสุดของทั้งประเทศและส่วนตัว

Episode 4 | Act of God (บัญชาของพระเจ้า)

เรื่องย่อ: เมื่อมีหมอกมาปกคลุมลอนดอน เหตุเกิดจากโรงงานที่ Winston Churchill สนับสนุน พ่นสารออกมามากเกินกำหนด ทำให้มีหมอกจำนวนมากปกคลุมลอนดอน 4 วัน แต่ด้วย 4 วันนี้ ทำให้ทัศนวิสัยการมองเห็นของผู้คนในเมืองลอนดอนต่ำลง แทบจะไม่เห็นอะไรเลย การจราจรทั้งหลายต้องชะลอและหยุดบริการ มีข่าวการตายของประชาชนหนาหูมาเรื่อยๆ ทั้งโดนรถชน โดนรถไฟทับ หรือไม่ก็ขาดอากาศหายใจ ในวิกฤตนี้ Queen Elizabeth II และ Winston Churchill ก็ต้องหาทางแก้ปัญหานี้

ความเห็นหลังชม: เป็นพิธีราชาภิเษกที่ทรงพลังมาก ก่อนเริ่มพิธีก็วุ่นวายพอควร เหตุเพราะ Prince Philip แสดงอำนาจที่ซึ่งขัดกับวัฒนธรรมเก่าแก่ของอังกฤษ

Episode 5 | Smoke and Mirrors (ภาพลวงตา)

เรื่องย่อ: Queen Mary สิ้นพระชมน์ลง Prince Edward จึงต้องกลับลอนดอนอีกครั้งเพื่อร่วมพิธีศพ ระหว่างนั้น Queen Elizabeth II อยากให้ Prince Philip พระสวามีเป็นประธานในการจัดพิธีราชาภิเษก Prince Philip ตกลงแต่ต้องมีข้อแม้ว่า ตัวเองจะต้องได้สิทธิขาดในการจัดงานนี้ แต่จะไม่ใช้อารมณ์ Queen Elizabeth II ตกลง ในระว่างพิธีศพของ Queen Mary นั้น Prince Philip ได้สังเกตเห็นว่าพิธีศพ Queen Mary ไม่ได้ต่างอะไรกับพิธีศพของ King George VI เลย ทุกอย่างแทบจะเหมือนกัน พระองค์ก็เลยคิดที่จะเปลี่ยนพิธีราชาภิเษกของ Queen Elizabeth II ให้ต่างกันกับพิธีราชาภิเษกขององค์ก่อนๆ

ความเห็นหลังชม: เป็นพิธีราชาภิเษกที่ทรงพลังมาก ก่อนเริ่มพิธีก็วุ่นวายพอควร เหตุเพราะ Prince Philip แสดงอำนาจที่ซึ่งขัดกับวัฒนธรรมเก่าแก่ของอังกฤษ

Episode 6 | Gelignite (ระเบิดมหาประลัย)

เรื่องย่อ: อีกครั้งที่ Queen Elizabeth II ต้องหนักใจ แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องการเมือง แต่เป็นเรื่องของ Princess Margaret ที่ต้องการแต่งงานกับ Peter Townsend ชายสามามัญชนที่แอบรักกันอยู่ แน่นอนล่ะ ถ้าทรงอนุญาติและสนับสนุนอย่างเป็นทางการ บังลังก์และราชวงศ์จะต้องสั่นคลอนแน่ๆ เมื่อมีข่าวลือออกไป Queen Elizabeth II จำเป็นต้องย้าย Peter Townsend ไปรับตำแหน่งใหม่ที่ประเทศบรัสเซลส์เร็วกว่ากำหนด และนั่นก็ถือเป็นการผิดสัญญากับ Princess Margaret ต่อมา Princess Margaret จึงตัดสินใจเลยว่าจะไม่สนับสนุน Queen Elizabeth II อีกต่อไป

ความเห็นหลังชม: เป็นอีกตอนที่ราชินีต้องรับมือกับปัญหาหลายด้านที่เข้ามาพร้อมกัน หนึ่งในนั้นคือเรื่องราชวงศ์ ส่วนตัวชอบเรื่องการรับมือกับความกดดัน, การแก้ปัญหาของราชินี และเรื่องของหนังสือพิมพ์ที่กล้าตีพิมพ์เรื่องอื้อฉาวของราชวงศ์

Episode 7 | Scientia Potentia Est (ความรู้คืออำนาจ)

เรื่องย่อ: รัสเซียได้ทำการทดลองระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ ทางสหราชอาณาจักรจึงมีการประชุมสุดยอดกับสหรัฐฯ ในระหว่างนั้นรัฐมนตรีต่างประเทศไม่สบายและไม่สะดวกเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ นายกรัฐมนตรี Winston Churchill จึงจำเป็นต้องเข้าร่วมเอง ที่วอชิงตันดีซี แต่อาการหลอดเลือดอุดตันของ Churchill กำเริบขึ้นมา Churchill ไม่อยากให้ Queen Elizabeth II ทราบว่าตัวเองไม่สบาย เพราะจะโดนบีบให้ออกจากตำแหน่งแน่ๆ ทางด้าน Queen Elizabeth II รู้พระองค์เองว่า ตั้งแต่เด็ก พระองค์ได้เรียนหนังสือแค่เรื่องรัฐธรรมนูญและการปกครอง ส่วนด้านความรู้ทั่วไปนั้นไม่ค่อยมีเลย เวลาพูดคุยกับนักการเมืองต่างๆ มันคงจะดีถ้าตัวพระองค์เองมีความรู้ทั่วไป จึงให้ศจ.เข้ามาสอนหนังสือ

ความเห็นหลังชม: ความเชื่อใจเป็นสิ่งที่สำคัญ! เป็นตอนที่ราชินีวินมากทั้งเรื่องการเมืองและเรื่องส่วนตัว เราชอบความคิดของ Queen Elizabeth II ที่บอกว่า "คนเรามีหน้าที่เรียนรู้เรื่องต่างๆ มันคงจะดี ถ้าเรามีความสามารถรอบตัว" ตรงนี้จุดประกายให้เราอยากมีความสามารถรอบด้านบ้างเลย

Episode 8 | Pride & Joy (ความภาคภูมิและปรีดา)

เรื่องย่อ: Queen Elizabeth II และ Prince Philip มีพระราชกรณียกิจที่ต้องเสด็จประพาสต่างประเทศ จึงมอบหมายให้ Princess Margaret เป็นผู้แทนพระองค์เอง แต่ด้วยการที่ Princess Margaret ค่อนข้างจะรักความสนุกสนาน จึงมีการเข้าสังคมและแสดงความเป็นตัวเองตัวเองมามากเกินไปหน่อย จึงเป็นที่ไม่พอใจแก่คนรอบข้างและตัว Queen Elizabeth II เองซะด้วย ยังไงก็ตามการที่ Princess Margaret แสดงตัวตนของตัวเองออกมา ก็มีประชาชนไม่น้อยที่สนับสนุนเรื่องนี้

ความเห็นหลังชม: เป็นตอนที่เราชอบมากที่สุดในซีซั่นแรก ชอบประเด็นหลักของตอนนี้ที่ต้องการจะสื่อออกมา นั่นคือกษัตริย์(หรือราชินี) ไม่ควรแสดงตัวตนของพระองค์เองออกมา ไม่ควรให้คนอื่นเห็นว่าการมีมงกุฏอยู่บนหัวนั้นเป็นภาระ

Episode 9 | Assassins (มือสังหาร)

เรื่องย่อ: ใกล้วันเกิดครบรอบ 80 ปีของนายก Churchill ขึ้นมาทุกที เขาเลยให้ศิลปินมาวาดรูปให้ ส่วน Prince Philip นั้นก็ต้องเจอปัญหาบ้าง เมื่อ Queen Elizabeth II สนิทสนมกับเพื่อนเก่าแก่คนนึงที่เลี้ยงม้าด้วยกัน

ความเห็นหลังชม: เป็นตอนที่ประทับใจกับนายกมากๆ ซึ่งตอนที่ผ่านมาจะเกลียดเป็นซะส่วนใหญ่พอถึงตอนนี้ ตัวละครนายกเป็นตัวละครที่เราชอบที่สุดเลย

Episode 10 | Gloriana (กลอเรียน่า)

เรื่องย่อ: เมื่อ Princess Margaret มีพระชนม์ 25 พรรษา ก็ครบตามสัญญาที่ Queen Elizabeth II ให้ไว้ที่จะยอมให้ Princess Margaret ตัดสินใจเองว่าจะทรงแต่งงานกับใคร แต่ยังไงก็ตาม เหมือนกับว่าทางคณะรัฐมนตรีไม่อยากให้มีข่าวเสียๆหายๆเกิดขึ้นแบบคราวของ King Edward VIII ที่ทรงสละราชสมบัติและแต่งงานกับหญิงม่าย (Peter Townsend ก็เป็นพ่อม่าย)

ความเห็นหลังชม: พี่น้องต้องมาก่อนเสมอ! ชอบการตัดสินใจของ Princess Margaret เพื่อพี่สาวตัวเองมากๆ พระองค์คงจะทำใจยากในการตัดสินใจพอควรเลย อีกอย่างเป็นตอนที่จบซีซั่นแรกแบบมีประเด็นให้ต่อยอดไปยังซีซั่นสองได้อย่างน่าติดตาม รอดูซีซั่นสอง!

รีวิว The Crown

สรุป

คนชอบประวัติศาสตร์ต้องดู เรื่องราวนำเสนออุปสรรคมากมายหลังการขึ้นครองราชย์ของ ควีนเอลิซาเบธ เรื่องชีวิตคู่ที่ซับซ้อนกับเจ้าชายฟิลลิป แฉเบื้องลึกและข่าวอื้อฉาวในราชวงศ์วินเซอร์สมัยนั้นชนิดไม่ปราณีต่อบุคคลที่มีตัวตนจริงที่เกี่ยวข้องกันเลย แต่คนทั่วไปดูแล้วเข้าใจตามได้

วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

Insatiable Season 2 - ชิงรักหักมงกุฎ

รีวิว Insatiable Season 2 - ชิงรักหักมงกุฎ

หลังสร้างความสนุกในซีซันแรกจนเป็นที่ถูกอกถูกใจในความตลกแบบดาร์ก ๆ ที่ผสานเรื่องราวแนวผู้หญิงๆอย่างความงาม การบูลลีในโรงเรียน หรือสงครามเวทีนางงามมาคลุกเคล้ากับพลอตฆาตกรรมที่ทำให้น่าติดตามมากขึ้นในทุกตอน การกลับมาของ Insatiable ในซีซันที่สองนี้บอกเลยว่ามีความเข้มข้นและเลือกเปิดมุมใหม่เล่าเรื่องได้อย่างน่าสนใจจนหยุดดูไม่ได้เลยล่ะ โดยเฉพาะการเริ่มต้นเรื่องจากจุดสุดท้ายที่ซีซันแรกปูไว้ได้อย่างสุดโต่งอย่างการพยายามกำจัดศพที่แพตตีฆ่าและทำให้เห็นว่าในตัวเธอมีปีศาจร้ายแฝงอยู่ รีวิว Insatiable Season 2

เรื่องย่อ

หลังเส้นทางประกวดสาวงามของ แพตตี (เดบบี ไรอัน) เต็มไปด้วยซากศพและความลับอันทำให้เธอกลับไปสวาปามอาหารจนอาจเป็นอุปสรรคต่อการประกวดนางงามรายการใหญ่อย่าง มิสจอร์เจียอเมริกา และสถานการณ์ยิ่งทวีความเลวร้ายเมื่อการประกวดในครั้งถัดมาของเธอกลับมีคนตายเพิ่มขึ้น สร้างความลำบากใจให้ บ็อบ อาร์มสตรอง(ดัลลาส โรเบิร์ตส์) โค้ชนางงามของเธอที่ชีวิตกำลังว้าวุ่นทั้งครอบครัวที่ผุพังหลังล้มเหลวกับการเจรจาใช้ชีวิตแบบสามคนผัวเมียกับ คอราลี (เอลิซา มิลาโน)และบ็อบ บาร์นาร์ด (คริสโตเฟอร์ กอร์แฮม) จนทำให้เกิดรอยร้าวและลุกลามกลายเป็นสงครามชิงตำแหน่งนายกเทศมนตรี และในขณะเดียวกันการกลับมาปรากฎตัวของ แมกโนเลีย (อีริน เวสต์บรูค) ก็อาจทำให้ความลับในคดีฆาตกรรมของแพตตีถูกเปิดเผย จนบ็อบ และ แพตตี ต้องหาตัวฆาตกรให้เจอก่อนเธอจะหมดโอกาสบนเวทีนางงามต่อไป.

ผลกระทบที่ร้ายแรงของการกลั่นแกล้ง (Bullying) เริ่มปรากฏให้เห็นบ่อยครั้งขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งโลกเชื่อมโยงกันด้วยสังคมออนไลน์ ทำให้ประเด็นดังกล่าวมีการพูดถึงมากขึ้น เฉพาะแค่ซีรีส์ในช่วง 1-2 ปีนี้ ก็เต็มไปด้วยเนื้อหาที่สะท้อนประเด็นดังกล่าว ทั้งซีรีส์ เด็กใหม่, My ID is gangnam beauty, Switched และโดยเฉพาะซีรีส์ 13 Reasons Why ที่ช่วยชี้ให้ผู้ชมได้เห็นว่า ทำไมคนหนึ่งคนจึงกล้าพุ่งหาความตายมากกว่าการมีชีวิตอยู่ นั่นเพียงเพราะคำพูดหรือการกระทำร้ายๆ จากคนอื่น อีกทั้งตัวละครใน 13 Reasons Why มีความเป็นมนุษย์สุดๆ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ผู้ชมหันกลับมามองย้อนดูตัวเองด้วยว่า ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยเป็นสาเหตุที่ทำให้ใครคนหนึ่งต้องหัวใจสลายบ้างหรือไม่

หลังสร้างความสนุกในหนัง HDซีซันแรกจนเป็นที่ถูกอกถูกใจในความตลกแบบดาร์ก ๆ ที่ผสานเรื่องราวแนวผู้หญิงๆอย่างความงาม การบูลลีในโรงเรียน หรือสงครามเวทีนางงามมาคลุกเคล้ากับพลอตฆาตกรรมที่ทำให้น่าติดตามมากขึ้นในทุกตอน การกลับมาของ Insatiable ในซีซันที่สองนี้บอกเลยว่ามีความเข้มข้นและเลือกเปิดมุมใหม่เล่าเรื่องได้อย่างน่าสนใจจนหยุดดูไม่ได้เลยล่ะ

โดยเฉพาะการเริ่มต้นเรื่องจากจุดสุดท้ายที่ซีซันแรกปูไว้ได้อย่างสุดโต่งอย่างการพยายามกำจัดศพที่แพตตีฆ่าและทำให้เห็นว่าในตัวเธอมีปีศาจร้ายแฝงอยู่ การดำเนินเรื่องในส่วนเดบบี เลยทำให้ซีรีส์สามารถเจาะลึกไปยังชีวิตครอบครัวของเธอที่ต้องบอกว่าช็อคไม่น้อย แต่เราไม่ขอเล่ารายละเอียดมากนักเพราะอยากให้ไปสัมผัสความใจสลายของวัยรุ่นคนนึงที่ต้องมาพบความจริงอันน่าเจ็บปวดทว่าชวนระทึกและช็อกกับคำตอบจริง ๆ

ซึ่งในซีซันนี้เลือกให้ตัวละครแม่อย่าง แองจี (ซารา โคลอนนา)มาปรากฎตัวหลังหนีออกจากบ้านในวันเกิดแพตตีซีซันที่แล้ว แถมมาพร้อมหน้าอกศัลยกรรมที่ต้องบอกว่ากลายเป็น โมทีฟ หรือจุดกระตุ้นเรื่องที่ทำให้เกิดเหตุการณ์โอละพ่อและแน่นอนว่าคนตายที่มากขึ้นแบบเดาทางกันไม่ถูกแน่ ๆ

สำหรับอีกจุดที่ Insatiable ซีซันนี้เพิ่มความสนุกมากขึ้นคือการเลือกบอกเล่าเหตุการณ์ผ่านมุมมองตัวละครอื่น ๆ ทั้ง แมกโนเลีย ที่ตามหาความทรงจำที่หายไปถึง มหาวิทยาลัยฮิวจ์ มหาวิทยาลัยที่ไม่มีที่ยืนให้คนผิวขาวจนเกิดเรื่องราวสนุกๆและเรายังต้องลุ้นไม่ให้เธอจำเหตุฆาตกรรมของแพตตีได้ หรือในมุมมองของ นอนนี (คิมมี ชีลส์) เพื่อนสาวแพตตีที่ดันอยากทำตัวเป็นตำรวจที่ซีรีส์จงใจเล่นกับความไว้เนื้อเชื่อใจจนความลับอันดำมืดอาจทำให้แพตตีเสียเพื่อนรักที่ดีที่สุดไปก็ได้

รวมถึงมุมมองฮาๆผ่านตัวละคร ดิกซี (ไอรีน ชอย) ลูกเลี้ยงชาวเอเซียของ เรจินา (อาร์เดน ไมริน)ที่คราวนี้เราจะได้พบครอบครัวที่แท้จริงของเธอเสียที ซึ่งต้องขอบอกว่าเฮนรี ตัวละครพี่ชายของดิกซี จะทำให้สาวๆเสียอาการกับหน้าหล่อๆและซิกส์แพคงามๆของ อเล็กซ์ แลนดิ ไม่แพ้ แพตตี ที่ดูจะหลงไหลและอยากทานแทนอาหาร 555 เรียกได้ว่าใครลำไยกับความเยอะ ความป่วงที่ซีซันแรกดูจะเล่าผ่านมุมมองแพตตีคนเดียว ในซีซันนี้เราจะได้ความสนุกจากมุมมองตัวละครอื่นๆที่น่าติดตามเพิ่มขึ้นมาแน่นอนครับ

ในซีซันที่แล้วคนที่โดดเด่นที่สุดหนีไม่พ้น เดบบี ไรอัน และ ดักลาส โรเบิร์ตส์ ในบทแพตตี และ บ็อบ ซึ่งซีซันนี้พวกเขาก็ยังคงโดดเด่นและสร้างความสนุกให้เราได้ตลอดทั้งซีซันเช่นเคย แต่ที่เพิ่มมาเห็นจะเป็นบทบาทที่เพิ่มขึ้นของตัวละครสมทบ ซึ่งนอกจากเจ้าของมุมมองอื่นอย่าง อีริน เวสต์บรูค ในบท แมกโนเลีย สาวสวยความจำเสื่อมที่ทำให้เราลุ้นระทึกว่าความทรงจำของเธอจะเป็นจุดจบให้แพตตีหรือไม่

หรือ คิมมี ชีลส์ ในบท นอนนี สาวเลสเบี้ยนที่แอบรักแพตตีข้างเดียวก็ทำให้เราเห็นใจและสัมผัสความเจ็บปวดของการถูกเพื่อนหักหลัง และแน่นอนว่าสีสันความฮาของซีซันนี้ไม่เกิน ไอรีน ชอย และ อาร์เดน ไมริน ในบท ดิกซี และ เรจินา ที่เมื่อความจริงเรื่องอุปการะเปิดเผยก็กลายเป็นการระเบิดเสียงฮาจากทั้งการแสดงและมุกที่เวิร์คมากๆ และที่สำคัญตัวละครแม่ลูกคู่นี้ยังกลายเป็นตัวแปรสำคัญที่จะทำให้สถานการณ์ผลิกผันแบบไม่มีใครคาดคิดอีกด้วย

เมื่อต้องรับมือกับการ Bullying

เรา Look Down ตัวเองมานานมาก ทั้งจากคำพูดคนอื่นก็มี คำพูดจากตัวเองก็มี เราส่องกระจกแล้วไม่ชอบตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองไม่สวย แล้วจู่ๆ วันหนึ่งเราคิดว่าจะลุกขึ้นมาทำอะไรบ้าง แล้วซิลวี่ก็เปลี่ยนเลย พยายามมั่นใจในตัวเอง พยายามรักทุกอย่างในร่างกายของเรา “Make the best out of what I have” แล้วก็ออกกำลังกายเพื่อให้สุขภาพแข็งแรง เราต้องมีมายด์เซตว่าเราต้องการให้ตัวเองเป็นแบบไหน และสิ่งสำคัญคือเราต้องแฮปปี้กับตัวเอง

รีวิว Insatiable Season 2


เปลี่ยนแปลงแล้ว แฮปปี้กับตัวเองแล้ว ยังมีคนพูดถึงเราอย่างนั้นอยู่อีกไหม
มันยังมีอยู่ มีเลยล่ะ ยังไงก็ตามคนเราก็มีความรู้สึกเนอะ เวลาไปเห็นคอมเมนต์ก็รู้สึกแหละ แต่เราก็เปลี่ยนไปแล้ว จากเมื่อก่อนเอาจริงๆ คอมเมนต์ดีๆ มีเป็นร้อย แต่มีคอมเมนต์ที่ว่าเราประมาณสอง ซึ่งดูหนังผ่านเน็ตสองอันนี้มันดันมีพลังและเข้ามาอยู่ในใจเราง่ายมาก จะดึงพลังงานเราไปหมด แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือเราจะปล่อย แบบปล่อยไปเลย โอเค ยูคิดแบบนั้นก็ไม่เป็นไร สิ่งที่เรารู้คือเราคิดยังไงกับตัวเราเอง แค่นี้เลยค่ะ เราต้องรักตัวเอง รู้สึกว่าตัวเราเองมีค่า

ทุกคนโดนเหมือนกัน คือไม่ใช่แค่เรื่องน้ำหนัก เรื่องอ้วน เรื่องผอม แต่มันคือทั้งเรื่องเชื้อชาติ ผิวพรรณ ส่วนสูง โดนกันทุกคน ซึ่งเราเปลี่ยนใครเขาไม่ได้ด้วย หากเขามี มุมมองที่เนกาทีฟ สิ่งเดียวที่เราแก้ได้คือสร้างความคิดแง่บวกให้กับตัวเอง ซิลวี่อยากบอกว่า เรายังมีเพื่อนมีคนที่เคยโดนเหมือนเรา คิดดูว่าคนที่เขาประสบความสำเร็จ ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เคยโดน แต่เขาคิดโพสิทีฟ และทำให้เขา Push Up ตัวเอง

ท่ามกลางสิ่งที่เกิดขึ้นต่างๆ มากมายในสังคม Insatiable เป็นซีรีส์ที่เนื้อหาช่วยชี้นำให้เราหันกลับมามองตัวเองว่าเคยทำให้ใครต้องเจ็บช้ำน้ำใจ เพราะการกระทำหรือคำพูดของเราหรือไม่ ในมุมกลับกัน ถ้าเรากำลังเจ็บช้ำเพราะคนอื่น ซีรีส์เรื่องนี้อาจจะเป็นกำลังใจเล็กๆ ช่วยให้เรามองเห็นโลกด้านที่สวยงามมากขึ้น มีความมั่นใจ และพร้อมจะสู้กับนานาปัญหาที่เข้ามาได้อย่างมั่นใจในตัวเองมากยิ่งขึ้น

สรุป

โดยสรุปคือ Insatiable Season 2 สามารถสานต่อและอัปความสนุก ความดาร์ก จากซีซันแรกได้อย่างน่าติดตาม เพราะนอกจากเราจะได้ลุ้นว่าความลับและด้านมืดของเดบบีจะพาเธอไปจุดไหนและจะไปได้สวยในวงการนางงามหรือไม่แล้ว เรายังต้องลุ้นกับความสัมพันธ์คนรอบตัวเธอที่ทวีความซับซ้อนขึ้น น่าติดตามมากขึ้น และที่สำคัญหลังซีซันนี้จะมีตัวละครไหนรอดบ้าง นับได้ว่าต้องเดาใจคนเขียนบทกันเหนื่อยเลยล่ะ 555.

ประกาศสำคัญ

แม้ว่า Insatiable Season 2 จะสามารถสานต่อและอัปความสนุก ความดาร์ก จากซีซันแรกได้อย่างน่าติดตาม เพราะนอกจากเราจะได้ลุ้นว่าความลับและด้านมืดของเดบบีจะพาเธอไปจุดไหนนั้น สุดท้ายนางก็ร้ายเหลือเกิน จนคนดูอาจไม่ค่อยถูกใจกับซีซั่นนี้มากนัก จนทำล่าสุด Insatiable ชิงรักหักมงกุฎ นั้นไม่ได้ไปต่อ หลังทำออกมาได้สองซีซั่น ซึ่งทางเน็ตฟลิกซ์ได้ประกาศแคนเซิลไปเรียบร้อยแล้ว สำหรับใครที่รอดูอยู่ไม่ต้องรอแล้วนะจ๊ะ...

Insatiable - ชิงรักหักมงกุฎ

หนัง HD

รีวิว Insatiable - ชิงรักหักมงกุฎ

ไม่ว่าจะมีรูปร่าง หน้าตา สีผิว หรือรสนิยมแบบไหน ต่างก็หนีไม่พ้นการถูกกลั่นแกล้ง (Bullying) ซึ่งอาจเป็นประสบการณ์ที่ใครหลายคนเคยเจอ ไม่ว่าจะเป็นการกลั่นแกล้งในรูปแบบของการมองด้วยสายตา คำพูดที่ออกมาโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ หัวเราะ หยอกล้อ หรืออาจรุนแรงถึงขั้นกลั่นแกล้งด้วยการใช้กำลัง รวมทั้งการป่าวประกาศไปในโลกโซเชียล ซึ่งก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะอดทนก้าวข้ามเหตุการณ์ดังกล่าวไปได้ ในฐานะเหยื่อ พวกเขาต่างมีบาดแผลที่ต้องการเยียวยา รีวิว Insatiable

เรื่องย่อ

เรื่องราวของ แพตตี้ (รับบทโดย เด็บบี้ ไรอัน) เด็กสาวที่ถูกกลั่นแกล้งและดูถูกดูแคลนจากคนรอบข้าง และไม่ได้รับโอกาสที่เท่าเทียม เพราะเรื่องน้ำหนักตัวของเธอมาตั้งแต่เด็ก กระทั่งวันหนึ่งเธอไปมีเรื่องทะเลาะวิวาทและได้รับบาดเจ็บจนเธอไม่สามารถกินอาหารได้เป็นปกติถึง 3 เดือน ท้ายที่สุดแพตตี้ก็ผอมลงจนเปลี่ยนไปเป็นสาวสวยสุดฮอต เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เธอได้พบกับ บ๊อบ อาร์มสตรอง (รับบทโดย ดัลลัส โรเบิร์ตส์) ทนายฉาวที่สร้างชื่อจากการเทรนสาวงามส่งเข้าประกวด เขาเข้ามารับหน้าที่ที่ปรึกษาเรื่องกฎหมาย ทั้งคู่ช่วยกันเอาตัวรอดจากคดีทำร้ายร่างกายของแพตตี้ และก้าวสู่สเตปต่อไป เมื่อบ๊อบตั้งใจจะปั้นเธอให้เป็น Miss USA นางงามระดับท็อปที่สุดของประเทศให้ได้

จะว่าไปคอซีรีส์ของเน็ตฟลิกซ์ก็คงรู้จักซีรีส์วัยรุ่นดังๆอย่าง 13 Reasons Why หรือ Riverdale ดีอยู่แล้ว โดยจุดเด่นของทั้งสองเรื่องคงหนีไม่พ้นการหยิบจับประเด็นการทำร้ายกันในโรงเรียนไฮสคูลที่เป็นปัญหาเรื้อรังของอเมริกา และแน่นอนว่าจากเทรลเลอร์ของ Insatiable ก็ดูจะมาทางเดียวกันโดยเฉพาะการนำเสนอตัวละครแพตตี้ที่เป็นสาวเคยตุ้ยนุ้ย อับอายกับรูปร่างตัวเองจนเป็นปมฝังใจ

เรียกได้ว่าเห็นตัวอย่างนี่ได้กลิ่นหนังสะท้อนปัญหาวัยรุ่นมาอีกแล้ว แต่หลังปล่อยสตรีมมิ่ง 12 ตอนไปเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (10 สิงหาคม 2561)  ปรากฏว่าสื่อทั้งหลายในอเมริกาต่างรุมจวกถึงการดำเนินเรื่องและสร้างตัวละครของ Insatiable ที่นำเสนอความอ้วนของแพตตี้ในเชิงเหยียดหยามมากกว่าจะเป็นการพลิกฟื้นเห็นคุณค่าในตัวเองจนหลายสื่อถึงกับตีตราให้เป็นซีรีส์ที่น่ารังเกียจที่สุดสำหรับรายการวัยรุ่นอเมริกัน เนื่องจากเนื้อหาจริงๆแล้วมันแทบนำเสนอมุมมองต่อวัยรุ่นที่มีน้ำหนักเกินไม่ได้ต่างจากหนังวัยรุ่นอเมริกันเรื่องอื่น แต่เอาล่ะ WHAT THE FACT จะขอยืนข้างคนดูแล้วพิสูจน์ซีรีส์ทั้ง 12 ตอนด้วยตัวเอง

จริงอยู่ว่าแม้ตัวซีรีส์จะเล่าเรื่องได้เว่อร์สุดโต่งจนแทบขาดตรรกะไปหลายเรื่อง ลำพังแค่การผอมของแพตตี้ก็ดูโอเวอร์เพียงเพราะเธอกรามแตกและกินอาหารเหลวแค่ไม่กี่อาทิตย์ แต่หุ่นกลับดูฟิตเปรี๊ยะ ผอมปังได้อะไรขนาดนั้น มิหนำซ้ำนางยังขาดความมั่นใจเรื่องตัวเองเคยอ้วนจนนอยด์

กลายเป็นว่าตัวซีรีส์ก็ยังผลิตซ้ำค่านิยมเรื่องหนัง HDรูปร่างอยู่ดีแม้จะให้เหตุผลว่าตัวละครไม่เคยมีใครสนใจและขาดความอบอุ่นในครอบครัวมาทั้งชีวิตก็ตาม ยิ่งเมื่อเหตุการณ์ในซีรีส์ดำเนินไปสู่ช่วงหลังก็ไม่ได้มีเพียงเรื่องความผอมของแพตตี้อย่างเดียวเพราะมันยังเอาล่อเอาเถิดถึงขั้นพูดถึงการค้นพบเพศสภาพตัวเองในวัยรุ่น(หรือแม้กระทั่งตัวละครผู้ใหญ่ที่แต่งงานแล้ว)

แถมลากยาวแถไปเกี่ยวกับเรื่องศาสนาและความชั่วร้ายภายในที่ดั๊นมาผูกกับเรื่องความรู้สึกว่าตัวเองน่าเกลียดของแพตตี้จนไม่แปลกใจที่มันถูกเหล่านักวิจารณ์สับเละ แต่หากมองในแง่ความบันเทิงก็ต้องยอมรับว่าตลอด 12 ตอนของ Insatiable คือซีรีส์ที่เรื่องราวจัดจ้าน บ้าบอคอแตกและบันเทิงแบบไม่ลดละเลยสักตอน จนเหมาะแก่การดูแล้วมาแลกเปลี่ยนความเห็นกันระหว่างคนดูไม่แพ้ 13 Reasons Why หรือ Riverdale ของเน็ตฟลิกซ์เลยล่ะ

จะว่าไปสิ่งที่โดดเด่นมากๆของ Insatiable คงหนีไม่พ้นการแสดงของเหล่านักแสดงที่แม้จะไม่ดังมากแต่ก็มีเสน่ห์ในแบบของตนเอง ทั้ง เดบบี ไรอัน ที่มารับบทแพตตี้ ด้วยรูปลักษณ์แบบสาวฮอตหุ่นอวบอั๋นซึ่งเหมาะมากกับอดีตดาราเด็กช่องดิสนี่ย์อย่างเดบบี ที่ใช้เสน่ห์เฉพาะตัวมาดึงความสนใจจากคนดูได้ทุกซีนที่ปรากฏตัว ใครล่ะจะห้ามใจกับใบหน้าดูไร้เดียงสาแต่ความฮอตแบบเชพบ๊ะของนางได้ต่อให้บทลากแพตตี้ไปเจอเรื่องซวยต่างๆนานาหรือกระทั้งทำเรื่องชั่วร้าย คนดูก็พร้อมจะเอาใจช่วยเธออยู่ดี

ไม่เพียงเดบบี ไรอัน หรือเหล่านักแสดงวัยรุ่นหน้าตาดีเท่านั้น ต้องยอมรับว่า Insatiable ยังสร้างเรื่องราวและจุดขัดแย้งให้ตัวละครวัยผู้ใหญ่ได้น่าสนใจ (และแอบชวนจั๊กกะจี๋มากๆ) ทั้งบ็อบ อาร์มสตรองที่ได้ ดัลลาส โรเบิร์ต มารับบททนายสายแหววที่มุ่งปั้นแพตตี้เป็นนางงามแต่นางกลับถูกบีบจากอดีตแม่ของเด็กปั้นที่มุ่งดับฝันฮีโดยเฉพาะ

ส่วนตัวละคร บ็อบ บาร์นาร์ด ที่ได้คริสโตเฟอร์ กอร์แฮม มารับบทอัยการสายถอด เอะอะถอดเสื้อโชว์กล้ามและมักเป็นไม้เบื่อไม้เมากับ บ็อบ อาร์มสตรอง ก็น่าจะเป็นอาหารตาของเหล่าสาวๆได้อย่างแน่นอน ส่วน เอลิซา มิลาโน ก็รับบท คอราลี ได้อย่างมีสเน่ห์ชวนมอง และยิ่งเรื่องราวในช่วงหลังของซีรีส์เพิ่มมิติเรื่องครอบครัวเข้ามาก็ยิ่งทำให้ทั้ง 3 ตัวละครนี้ทวีความแซ่บขึ้นเรื่อยจนเกิดฉากพีคๆที่แอบบอกไปในวงเล็บแล้วว่าจั๊กกะจี๋มว๊ากมว๊าก

วิเคราะหลังดู

เราคิดว่าหลายๆ คนน่าจะเคยมีความรู้สึกที่ว่า อยากจะเป็นคนที่ดูดีกว่านี้ อยากจะผอมกว่านี้ อยากจะสวยหล่อกว่านี้ อยากจะเป็นคนป๊อปปูลาร์ ถ้าเป็นได้ ชีวิตคงจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น และคงกล้าที่จะทำในสิ่งที่ตอนนี้ไม่กล้าทำ เพียงเพราะข้อจำกัดด้านรูปลักษณ์ของตัวเอง

แพ็ตตี้จาก Insatiable ก็น่าจะเป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน

แพ็ตตี้คือสาวอ้วนที่มักโดนเพื่อนๆ ในโรงเรียนกลั่นแกล้ง ได้รับฉายาว่า Fatty Patty และมักจะกินอาหารระหว่างดูทีวีอย่างไม่รู้สึกผิด อยู่มาวันหนึ่งเธอได้รับบาดเจ็บจึงต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลนานถึง 3 เดือน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เธอไม่สามารถกินอะไรได้เลยนอกจากอาหารเหลว ช่วงเวลา 3 เดือนนั้นแหละคือจุดเปลี่ยนชีวิตของเธอ เพราะหลังจากนั้นเธอได้กลายเป็นสาวสวยรูปร่างผอมเพรียวราวกับเป็นคนละคน และเมื่อเธอได้กลายเป็นคนสวย เธอก็ถือโอกาสนี้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ รวมถึงแก้เผ็ดใครหลายๆ คนที่เคยทำแสบไว้กับเธอ โดยได้ความช่วยเหลือจากบ๊อบ อาร์มสตรอง ทนายหนุ่มวัยกลางคนที่มีอาชีพเสริมเป็นโค้ชนางงาม

…แค่นี้ก็รู้สึกได้ถึงความสุดโต่งและความขัดแย้งในตัวมันเองแล้ว นี่แค่เบาะๆ เพราะบอกก่อนเลยว่าเรื่องนี้นอกจากจะสนุกและตลกจนต้องหลุดขำออกมาแล้ว (ปกติเราหลุดขำยากมาก) เรื่องนี้มีความพิเศษคือความล้นของสถานการณ์และตัวละครที่มีความ extra กันสุดๆ ชนิดที่ว่าเราไม่สามารถคาดการณ์ได้เลยว่าเนื้อเรื่องจะเอาประเด็นอะไรมาเล่น คือมันมีหลากหลายมาก และมีจุดหักมุมที่อาจจะต้องร้อง WTF ออกมา
รีวิว Insatiable

Insatiable = ความต้องการที่ไม่เคยถูกเติมเต็มจนเพียงพอ

ตัวซีรีส์ชูประเด็นนี้มากพอสมควรผ่านตัวละครหลายๆ ตัว จะสังเกตได้ว่าตัวละครแต่ละตัวมีความมุ่งมั่นต้องการในสิ่งที่แตกต่างกันไป ตัวอย่างเช่น
แพ็ตตี้: อยากเป็นสาวสวยที่เพียบพร้อม
บ๊อบ อาร์มสตรอง: อยากพิสูจน์ว่าตัวเองไม่ได้โหลยโท่ย
คอราลี: อยากเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไฮโซ
ครอบครัวบาร์นาร์ด: อยากคีพภาพลักษณ์ให้ดูดีเสมอ

ขอหยิบยกมาเพียงบางเคสละกัน เริ่มจากแพ็ตตี้ก่อนเลย สมัยที่เธอยังอ้วน เธอไม่เคยพอกับการกิน เธอสามารถหยิบยกอาหารปริมาณมหาศาลมานั่งกินกลางดึกได้โดยไม่รู้สึกผิด แน่นอนว่าเธอไม่โอเคกับรูปร่างตัวเองหรอก แต่ทำไงได้ ก็อาหารเป็นเพื่อนแท้ของเธอนี่

แต่เมื่อแพ็ตตี้ผอมลง อาหารไม่ใช่สิ่งที่จะเติมเต็มความต้องการของเธออีกต่อไป ในทางตรงกันข้าม เธอพยายามไม่กลับไปหามันเพราะเธอกลัวว่ามันจะทำให้เธออ้วนอีก ตอนนี้เธอมีความมั่นใจมากขึ้น มีต้องการที่มากกว่าเดิม เธออยากได้รับการยอมรับ อยากมีแฟนหนุ่มหล่อ อยากแก้เผ็ดคนที่เคยรังแกเธอ อยากเป็นนางงาม อยากมีครอบครัวที่อบอุ่น ฯลฯ และเธอคิดว่าความสวยที่เธอได้รับมา มันจะสามารถทำให้เธอมีสิ่งเหล่านั้นได้

ซึ่งแน่นอน แพ็ตตี้ได้รับหลายสิ่งที่เธอต้องการ แต่สุดท้ายเธอก็ยังไม่รู้สึกพอ ที่สำคัญเธอดูเหมือนจะทุกข์มากกว่าเดิม ด้วยวิธีการต่างๆ และสถานการณ์ที่เธอเลือกเดินทางไปหา มันทำให้ชีวิตเธอวุ่นวายกว่าเดิมอีก จะเรียกว่าความมั่นใจเกินร้อยของแพ็ตตี้กลายเป็นดาบสองคมก็คงไม่ผิดนักในกรณีนี้ เพราะมันทำให้เธอหลงผิดในบางกรณี จนส่งผลกระทบวงกว้างต่อคนอื่นๆ รวมถึงตัวเธอเอง

คอราลีคืออีกหนึ่งคนที่มีความคล้ายคลึงกับแพ็ตตี้ คือเว็บสตรีมหนังอยากที่จะได้รับการยอมรับเหมือนกัน เธอเป็นภรรยาของบ๊อบ อาร์มสตรอง เป็นผู้หญิงวัยกลางคนที่อยากจะร่วมเป็นหนึ่งในสมาชิกสังคมไฮโซ อยากจะได้รับการยอมรับ จึงทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองได้รับชื่อเสียง และขึ้นชื่อว่าทำเพื่อส่วนรวม นั่นเพราะต้นกำเนิดเธอเป็นเพียงคนธรรมดาที่ใช้ชีวิตอยู่ในรถเทรลเลอร์ การได้แต่งงานกับบ๊อบ อาร์มสตรอง เปลี่ยนชีวิตเธอให้กลายเป็นคนในสังคมชั้นสูง เธอจึงพยายามไขว่คว้าการยอมรับจากเพื่อนร่วมวงการเพื่อไม่ให้เสียหน้าและรู้สึกว่าตัวเองอยู่คนละชั้น

คอราลีมักจะอิจฉาครอบครัวบาร์นาร์ด อันประกอบไปด้วยบ๊อบ บาร์นาร์ด (ต้องใส่นามสกุลตามหลังเพราะเหตุนี้แหละ) เอ็ททา เม ผู้เป็นภรรยาของบ๊อบ และแม็กโนเลีย ลูกสาว ครอบครัวนี้ดูภายนอกนั้นแสนจะเพอร์เฟ็กต์ ไม่ว่าจะด้านรูปลักษณ์หน้าตา หน้าที่การงาน ความสามารถ หรือ connection กับผู้คนสำคัญๆ แต่หารู้ไม่ว่าเบื้องหลังความเป๊ะนี้ ครอบครัวบาร์นาร์ดก็มีดราม่าที่ไม่บอกใครเหมือนกัน แสดงให้เห็นเลยว่าอยากไปตัดสินอะไรจากภายนอก มันไม่มีอะไรเพอร์เฟ็กต์ร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก สิ่งที่เค้าแสดงให้เราเห็น อาจจะไม่ใช่เรื่องทั้งหมด ก็เหมือนรูปภาพที่โพสในอินสตาแกรมนั่นแหละ

บางทีชีวิตที่เรียบง่ายและพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี คงจะเป็นชีวิตที่มีความสุขที่สุดแล้ว

ทางด้านบ๊อบ อาร์มสตรอง แม้ภายนอกจะดูเป็นชายหนุ่มสำเริงสำราญ ดูบ้าๆ บอๆ และเป็นต้นเหตุของความล้นในหลายๆ กรณี แต่อันที่จริงแล้วเขาก็มีความกดดันเหมือนกัน เขาสนุกกับการทำงานอดิเรก (โค้ชชิ่งนางงาม) มากกว่างานประจำอย่างการเป็นทนาย และเขาก็ต้องการการยอมรับในจุดนี้ ทว่าภรรยาของเขาอย่างคอราลีก็มักจะมองว่าเขาไม่เอาไหน ไม่ยอมรับอาชีพโค้ชชิ่งนางงามของเขา จุดๆ นี้ทำให้บ๊อบ อาร์มสตรองเผลอตัดสินใจผิดพลาดไปเมื่อเขาพบเจอคนคนหนึ่งที่สามารถเข้าใจเขาได้ดีกว่า

To be Beautiful = To be Someone

นอกจากประเด็นเรื่องความต้องการที่ไม่มีวันถูกเติมเต็ม ความต้องการเรื่องการถูกยอมรับนั้นก็ถูกย้ำค่อนข้างเยอะ เห็นได้ชัดจากตัวละครอย่างแพ็ตตี้ที่เราเกริ่นไว้ข้างต้นว่าเธออยากจะสวยเพราะคิดว่าเมื่อสวยเมื่อไรคงได้เป็นคนสำคัญกับเค้ามั่งสักที นั่นเป็นเพราะสังคมขีดเส้นมาตรฐานบูชาคนที่ดูดี

มันไม่ผิดที่แพ็ตตี้จะรู้สึกแบบนั้น เพราะสังคมก็ทำอย่างนั้นกับเธอจริงๆ ตอนที่เธออ้วน เธอเป็นเหยื่อของการรังแก เป็นคนนอก เป็นคนนก เป็นคนที่ไม่มีใครสนใจอยากให้ความช่วยเหลือ และเธอก็ได้กัดจิกว่าคนที่ไม่ได้ดูดีโดยรูปลักษณ์นั้นแม้จะโดนรังแกก็มักจะถูกคนมองผ่าน เพราะเห็นว่าคนกลุ่มนี้ไม่ได้น่าสงสารและมันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะโดนรังแก แต่สำหรับคนทั่วไปที่ไม่ได้มีลักษณะพิเศษโดดเด่นออกมา หากโดนรังแก แล้วสังคมจะให้ความเห็นใจอย่างมาก เธอบอกว่ามันช่างไม่แฟร์เอาซะเลย

Insatiable เป็นซีรีส์ที่ดูเผินๆ เหมือนจะไร้สาระและล้นไปมาก แต่อันที่จริงแอบแฝงประเด็นเรื่องการรู้จักตัวเองและพฤติกรรมทางสังคมที่เราอาจจะเห็นกันอยู่ทุกวันแต่ไม่ทันได้สังเกต ทางด้านการดำเนินเรื่องนั้นไม่ต้องกังวล เพราะสนุกสนานฉับไว้ไม่น่าเบื่อเลย และแน่นอนว่าปล่อยมุกตลกกันแบบไม่ยั้ง ต้องยกเครดิตให้นักแสดงและตัวละคร ทั้งตัวหลักและตัวรอง ที่แสดงกันได้ exaggerate สุดๆ (นี่ชมนะ) ตัวรองที่โดดเด่นโคตรๆ คือคู่แม่ลูกเก๊อย่างเรจิน่า และลูกสาวเชื้อชาติจีนอย่างดิกซี่ ที่โผล่มาทีไรก็ชวนให้ฮาปนหมั่นไส้ตลอด

จุดด้อย

จุดอ่อนเพียงอย่างเดียวที่เราพอจะรู้สึกได้คือตัวซีรีส์ไม่ได้ปูเนื้อความสมัยที่แพ็ตตี้ยังเป็นสาวอ้วนมากนัก มีเกริ่นๆ มานิดหน่อยตอนแรก และสอดแทรกไปเพียงเล็กน้อยระหว่างการดำเนินเรื่อง พอเป็นแบบนี้ เราเลยไม่ได้สัมผัสถึง pain ของแพ็ตตี้มากพอสมควร เธอพัฒนาเร็วมาก แพ็ตตี้นางกลายร่างเป็นสาวผอมเพรียวตั้งแต่ ep แรก ดังนั้น ระหว่างดูซีรีส์เราจะคุ้นชินกับภาพแพ็ตตี้เวอร์ชั่นสาวฮอตมากกว่าแพ็ตตี้เวอร์ชั่นอ้วน มันเลยขาดความรู้สึกอยากเอาใจช่วยอะ มันขาด connection ระหว่างเวอร์ชั่นผอมกับเวอร์ชั่นอ้วนไป บางครั้งเรายังเผลอลืมว่าเธอเคยอ้วน…

สรุป

เมื่อหักลบกลบหนี้แล้วก็ถือว่า Insatiable คุ้มค่าแก่การอดหลับอดนอนอยู่ดีๆ แม้บทอาจจะขาดตรรกะไปบ้างแต่ต้องยอมรับว่าทั้งการสร้างตัวละครและสถานการณ์ต่างๆมันบันเทิงจนแทบลืมเวลาและไม่อาจหยุดดูได้เลย เอาล่ะอย่ามัวเสียเวลากดรีโมต (หรือกด App) ดูได้เลยทางเน็ตฟลิกซ์

The Irishman - คนใหญ่ไอริช

ดูหนัง HD

รีวิว The Irishman - คนใหญ่ไอริช

หนังฟอร์มยักษ์ทุนสร้าง 159 ล้านเหรียญของ Netflix สูงสุดที่เคยมีมา และก็ตั้งเป้าเป็นหนังสายรางวัลที่เล็งกวาดออสการ์ หนังได้ดารารุ่นใหญ่ โรเบิร์ต เดอ นีโร, อัล ปาชิโน่ และโจ เปสซี กลับมาร่วมงานหนังแก๊งสเตอร์แนวถนัดกันอีกครั้ง ผ่านการกำกับของมาร์ติน สกอร์เซซี่ บอกเล่าเรื่องราวองค์กรอาชญากรรมในอเมริกาช่วงหลังสงครามผ่านมุมมองของแฟรงค์ ชีแรน ทหารผ่านศึกสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่กลายมาเป็น 1 ในบุคคลสำคัญของแก๊งมาเฟียอิตาลีที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของจิมมี่ ฮอฟฟา ผู้นำสหภาพแรงงานในตำนาน ที่คดียังไม่มีการไขกระจ่างมาจนทุกวันนี้ รีวิว The Irishman

เรื่องย่อ

เล่าเรื่องราวในชั่วระยะเวลาร่วม 50 ปีในชีวิตของ แฟรงค์ ชีแรน (โรเบิร์ต เดอ นีโร) จากคนขับรถบรรทุกส่งขาหลังวัวไปทำสเต๊ก สู่วงการมาเฟียด้วยการชักชวนของ รัสเซล บัฟฟาลิโน (โจ เพสซี) ที่เปลี่ยนให้แฟรงค์ได้ลิ้มรสการฆ่าคนเพื่อเลี้ยงชีพในฐานะมือปืน ก่อนเขาจะได้เลื่อนขั้นไปเป็นผู้ติดตามของ จิมมี ฮอฟฟา (อัล ปาชิโน) เจ้าพ่อแห่งสหภาพแรงงานที่นำลาภยศชื่อเสียงมาให้แฟรงค์ได้สัมผัส แต่ในวงการสีเทา..มิตรและศัตรูอาจเปลี่ยนได้เพียงชั่วข้ามคืน

หลังวิวาทะอันร้อนแรงจากการไปวิจารณ์หนังมาร์เวลว่าเป็นเพียงแค่สวนสนุกไม่ใช่ภาพยนตร์ ก็คงจะพอทำให้คนรุ่นใหม่ได้ยินและรู้จักชื่อ มาร์ติน สกอร์เซซี (Martin Scorsese) บ้าง แม้จะในฐานะศัตรูแห่งยุคสมัยของหนังซูเปอร์ฮีโรมาร์เวลก็ตามทีเถอะ แต่หากจะให้กล่าวถึง สกอร์เซซี หรือ ลุงมาร์ตี้ แบบพอสังเขปก็พอบอกได้ว่าผลงานของลุงส่วนใหญ่มักเกี่ยวพันกับเรื่องราวแนวแอนตีฮีโร ชีวิตตัวเอกมักเผชิญกับชะตากรรมที่บัดซบเป็นประจำเพื่อจะได้ก้าวข้ามวิบากกรรมชีวิตตัวเอง

ซึ่งมีทั้งหนังตลกอาชญากรรมอย่าง The King of Comedy (1982) ดูหนัง HDดราม่าประวัติบุคคลสำคัญทั้ง นักมวย (Raging Bull, 1980) ดาไลลามะ (Kundun, 1997) มหาเศรษฐี (The Aviator, 2004) พ่อมดตลาดหุ้น (The Wolf of Wallstreet,2013) โดยหนังของลุงมาร์ตี้จะเด่นเรื่องความรุนแรงเป็นหลัก และหนังแนวหนึ่งที่ลุงมาร์ตี้ทำเป็นประจำได้แก่หนังมาร์เฟีย ที่เด่นที่สุดเห็นจะเป็น  Goodfellas (1990) ที่สื่อเมืองนอกอดเอามาเปรียบเทียบกับ The Irishman เรื่องนี้ไม่ได้

ทั้งการเล่าเรื่องของมิตรภาพลูกผู้ชายในวงการมาเฟีย รวมถึงการปรากฎตัวของขาประจำหนังลุงมาร์ตี้ทั้ง โรเบิร์ต เดอ นีโร และ โจ เพสซี ซึ่งก็มาจาก Goodfellas เหมือนกัน แต่กระนั้นก็ต้องบอกว่า The Irishman เองก็เป็นเครื่องพิสูจน์การบ่มเพาะประสบการณ์ทำหนังจนได้สถานะ Master of Cinema หรือ เอตทัคคะด้านภาพยนตร์คนหนึ่งในโลกภาพยนตร์ของชายชื่อ มาร์ติน สกอร์เซซี ได้เป็นอย่างดี

ความโดดเด่นของบทภาพยนตร์ The Irishman ของ สตีเฟน ซิลเลียน (ซึ่งดัดแปลงมาจากนิยายของ ชาร์ลส์ แบรนด์) คือการใช้ระยะเวลา 50 ปีในชีวิตตัวละครเพื่อบอกเล่าคู่ขนานไปกับประวัติศาสตร์ของอเมริกา ตั้งแต่การบุกคิวบาอันล้มเหลวที่ เบย์ออฟพิก หรือการลอบสังหารประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี

โดยใช้เหตุการณ์ทางการเมืองมากล่าวถึงกระแสลมเปลี่ยนทิศที่ผลักตัวละครให้เผชิญปมปัญหาได้แนบเนียน (หากเปรียบกับนิยายไทยก็อาจจะใกล้เคียงกับ ประชาธิปไตยบนเส้นขนานของ วินทร์ เลียววาริณ) โดยหนังสร้างโลกมาเฟียที่มีโครงสร้างชัดเจนผ่านสหภาพแรงงานที่ประธานสหภาพแทบไม่ต่างจากหัวหน้าแก๊ง เป็นระบบอุปถัมภ์แบบเจ้าพ่ออย่างสมบูรณ์แบบ

ซึ่งข้อดีอย่างแรกเลยคือทำให้มันต่างจากหนังมาเฟียส่วนใหญ่ที่จะวนเวียนกับการค้าของเถื่อน หรือฆ่ากันเพราะขัดผลประโยชน์ทางการค้า แต่ใน The Irishman กลับเล่นอยู่สองประเด็นที่โดดเด่นนั่นคือ สายสัมพันธ์ และ กลไกอำนาจ ที่ขับเคลื่อนให้ตัวละครรุ่งเรือง หรือ ตกต่ำ ไปจนถึง ประสานผลประโยชน์ หรือ แตกหัก ได้อย่างเป็นเหตุเป็นผล และกระทบกับอารมณ์ความรู้สึกคนดูได้อย่างรุนแรงยิ่งกว่าฉากยิงกันเลือดกระจายเสียอีก

ถ้าจะว่าถึงเรื่องประเด็นสายสัมพันธ์ ในหนังมาร์ติน สกอร์เซซี ที่โดดเด่นมากได้แก่เรื่องครอบครัวที่นับเป็นสายสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ใน The Irishman กลับให้ แฟรงค์ ชีแรน แทบไม่คอนเน็กต์กับครอบครัวตัวเองเลย ในหนังเราจะเห็นภาพเขากลับบ้านมาแป๊บ ๆ ก็ต้องออกไปทำงาน หรืออาการห่างเหินกับลูกสาวอย่างเพ็กกี ก็ทำให้เห็นว่าสำหรับครอบครัวแล้ว

เขาไม่ต่างจากคนแปลกหน้าเท่าใดนัก ตรงกันข้ามกับความสัมพันธ์กับรัสเซล หรือจิมมีที่เขาพร้อมตายถวายหัวและทำเรื่องอัปมงคลเพื่อ “ครอบครัวสีเทา” ของเขามากกว่า ซึ่งการปูพื้นเรื่องความห่างเหินกับครอบครัวตัวเอง หรือสายสัมพันธ์สีเทาในครอบครัวมาเฟียของแฟรงค์ นับเป็นระเบิดเวลาชั้นดีเมื่อถึงบทสรุป และที่สำคัญคือมันทำให้หนังออนไลน์ช็อตสุดท้ายของหนังดูสงบนิ่งแต่ทรงพลังเป็นอย่างยิ่งอีกด้วย

ว่ากันถึงเรื่องกลไกอำนาจ The Irishman  ฉลาดมากที่ดึงเหตุการณ์การเมืองเป็นฉากหลังเล่าเรื่องคู่ขนานกันไป เพราะมันทำให้เกิดภาพเปรียบเทียบเปรียบเปรยอย่างแยบยลของการเมืองระดับประเทศอย่างเก้าอี้ในทำเนียบขาวและเก้าอี้ประธานสหภาพแรงงาน เพราะในขณะที่นิกสันกับเคนเนดีขับเคี่ยวกันจนฝ่ายหลังได้อำนาจ ในสหภาพเอง

จิมมี ก็เพลี่ยงพล้ำเสียคะแนนและเก้าอี้ประธานสหภาพให้แก่ โทนี โพร (สตีเฟน เกรแฮม) จนเขาต้องหาทางกลับสู่อำนาจโดยหารู้ไม่ว่ามันจะทำให้ความสัมพันธ์ในองค์กรต้องระส่ำระสายและอาจหมายถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับมิตรแท้รอบกายอีกด้วย จนอดนึกถึงเพลง ยิ่งสูงยิ่งหนาว ไม่ได้เพราะยิ่งขึ้นไปสูงเท่าไหร่ยิ่งหาคนรอบกายยากขึ้นทุกทีได้อย่างเห็นภาพมาก ๆ

การถ่ายทำ

อีกสิ่งที่น่าศึกษาในหนังของลุงมาร์ตีได้แก่ เทคนิคในการถ่ายทำ และภาษาภาพยนตร์ต่าง ๆ เช่นเดียวกับ The Goodfellas ที่โดดเด่นด้านการถ่ายแบบลองเทคเพื่อบ่งบอกถึงความเป็นคนพิเศษของตัวละคร หรือการถ่ายแบบ ดอลลีซูม เพื่อถ่ายทอดภาวะบางอย่างในบทสนทนาแล้ว The Irishman  ก็เต็มไปด้วยงานภาพที่น่าสนใจมากมายโดยนอกจากลองเทคที่โดดเด่นในหลายช็อตแล้ว การตัดต่อของหนังเองก็ยังกำหนดอารมณ์ของคนดูได้อย่างดี

ตั้งแต่การตัดสลับระหว่าง แฟรงค์ในปัจจุบันกำลังเล่าเรื่องในอดีต ไปจนถึงการเล่าย้อนจากช่วงเวลาหนึ่งไปยังจุดเริ่มต้นของเรื่องราวก็นับว่าเป็นลูกเล่นที่ลุงมาร์ตี้เล่นกับเงื่อนเวลาได้อย่างสนุกสนาน แต่สิ่งที่โดดเด่นกว่าภาษาหนังที่นับเป็นความเชี่ยวชาญของลุงมาร์ตี้แล้ว ก็เห็นจะเป็นเทคโนโลยี ดีเอจจิง (De-Aging CGI) ที่เกิดจากความรั้นของลุงมาร์ตีเองที่ไม่อยากแคสต์นักแสดงคนอื่นมารับบทวัยหนุ่มของตัวละคร
รีวิว The Irishman


และไม่อยากให้แปะมาร์กเกอร์เพื่อทำโมชัน แคปเจอร์ (Motion Capture) เพราะจะกระทบกับการแสดงของนักแสดง ผลคือ ตากล้องของหนังอย่าง รอดริโก ปริเอโต ต้องถ่ายหนัง 3 กล้องพร้อมกัน ได้แก่ กล้องฟิล์มเป็นกล้องหลัก และกล้องดิจิทัลพร้อมริก CGI ที่สามารถให้ภาพหลังทำเอฟเฟกต์ลดอายุแบบคร่าว ๆ ได้เลย ที่ช่วยให้ลุงมาร์ตีได้ใช้นักแสดงชุดเดียวกัน แลกกับงบประมาณของหนังที่ถูกผลักไปถึง 159 ล้านเหรียญ ซึ่งก็นับว่าเป็นการใช้เทคโนโลยีที่ชาญฉลาดเพราะมันให้ภาพที่แนบเนียนมาก ที่แน่ ๆ คือเนียนกว่าหน้า วิล สมิธ วัยหนุ่ม ใน GEMINI MAN  แน่ ๆ ครับ ฮ่าาาา

นักแสดง

สำหรับนักแสดง น่าจะไม่ต้องพูดแนะนำอะไรมากแล้ว แค่ได้เห็น โรเบิร์ต เดอ นีโร, อัล ปาชิโน, โจ เพสซี และ ฮาร์วีย์ ไคเทล ร่วมจอแบบแทบจะกลายเป็นหนังเลี้ยงรุ่นดาราคู่บุญของลุงมาร์ตีก็กำไรของคอหนังแล้ว แต่ที่สำคัญเรายังได้เห็นทั้งนักแสดงที่หายหน้าไปนานโผล่มาอย่าง แอนนา พาควิน อดีตสาวโร้กแห่ง X-Men ก็มารับบท เพ็กกี ลูกสาวที่เหินห่างกับพ่อ แม้จะได้บทน้อยไปหน่อยก็เถอะ หรือจะเป็น เจสซี พลีมอนส์ จากซีรีส์ Breaking Bad และ Fargo มารับบทลูกชายซื่อบื้อของจิมมี สร้างเสียงฮาได้ไม่น้อยเลย หรือจะเป็น เรย์ โรมาโน ที่มารับบททนายของแฟรงค์ตอนต้นเรื่องได้อย่างมีสีสันมาก ๆ และมีลุ้นรางวัลด้านการแสดงบนเวทีออสการ์ปีหน้าหลากสาขาแน่นอน

โดยรวม

แม้ตอนแรกที่กดดูในแอป Netflix จะแอบหวั่นใจกับความยาวหนังถึง 3 ชั่วโมงครึ่ง แต่ดูเข้าจริง ๆ มันกลับผ่านไปอย่างรวดเร็ว ด้วยการกำกับหนังที่แม่นย่ำมากของมาร์ติน สกอร์เซซี และ การแสดงของนักแสดงทุกคนที่สาดพลังใส่กันเต็มเหนี่ยว จะมีเสียดายก็แต่ว่าบ้านเราไม่มีโอกาสดูหนังเรื่องนี้ในโรง เพราะงานภาพของหนังเหมาะกับการดูในโรงมากครับ

สรุป

The Irishman ไม่ได้เป็นหนังที่ดูแล้วสนุกตื่นเต้นอะไรนัก หนังมาในแนวเรียลสตอรี่จริงจังทั้งอารมณ์และเรื่องราวประวัติศาสตร์สกปรกของอเมริกา ซึ่งไม่ได้เหมาะกับผู้ชมแมสวงกว้างสักเท่าไหร่ ยิ่งคนไทยด้วยแล้วเป็นเรื่องไกลตัวเข้าไปอีก

แต่ถ้าเจาะลึกในเรื่องรายละเอียดงานสร้างแล้ว นี่เป็นหนังที่ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์วงการภาพยนตร์เรื่องหนึ่งแน่นอน และเป็นนิมิตหมายใหม่ของหนังสตรีมมิ่ง Netflix ที่ท้าชนวงการหนังฮอลลีวู๊ดจังๆ

6 Underground - 6 ลับ ดับ โหด

ดูหนัง HD

รีวิว 6 Underground - 6 ลับ ดับ โหด

6 Underground 6 ลับ ดับ โหด หนังแอ็กชั่น อภิมหาฟอร์มยักษ์ของ Netflix ทุนสร้าง 150 ล้านเหรียญ กำกับโดย “ไมเคิล เบย์” นำแสดงโดยไรอัน เรย์โนลส์ มือเขียนบทหนัง Rhett Reese จาก Deadpool กับ Zombieland ทั้ง 2 ภาค เรื่องราวของยอดคน 6 คนที่ร่วมกันทำภารกิจโค่นโคตรคนเลวระดับโลกแบบลับๆ ด้วยตนเอง รีวิว 6 Underground

เรื่องย่อ

พวกเขาคือกลุ่มคนที่ทนความอยุติธรรมบนโลกนี้ไม่ได้ เมื่อกฎหมายลงโทษคนชั่วที่แท้จริงไม่ไหว เศรษฐีหนุ่มจึงแกล้งสร้างสถานการณ์ให้ตนเองตาย และรวมสมัครพรรคพวกอีก 5 คนซึ่งต่างความสามารถต่างที่มาแต่อุดมการณ์เดียวกัน มาร่วมตายจากโลกใบนี้และเกิดใหม่ในฐานะฮีโรใต้ดินที่แทนชื่อตัวด้วยหมายเลข เพื่อออกขจัดความชั่วร้ายในโลกนี้

หนังเน็ตฟลิกซ์เรื่องนี้เป็นที่จับตามองตั้งแต่ชื่อทีมสร้างถูกประกาศ โดยไม่ต้องสนใจพลอตมากมายนัก ไล่ไปตั้งแต่นักแสดงนำใหญ่หนึ่งเดียวของหนังอย่าง มิสเตอร์เดดพูล ไรอัน เรย์โนลด์ ที่มาร่วมงานกับผู้กำกับมากผลงานอลังการผลาญทรัพยากรบู๊อย่าง ไมเคิล เบย์ ในโพรเจกต์ที่เน็ตฟลิกซ์ควักกระเป๋าให้ทุนสูงถึง 150 ล้านเหรียญ เพื่อเนรมิตหนังบล็อกบัสเตอร์แบบที่การันตีอันดับต้น ๆ ในตารางบ็อกซ์ออฟฟิศได้สบาย (ถ้าฉายโรง) แล้วเอามาให้ลงบริการสตรีมมิ่ง เพื่อแสดงศักยภาพว่าเน็ตฟลิกซ์เป็นมากกว่าบริการดูหนังออนไลน์ แต่มันคือค่ายหนังใหญ่ที่มีพลังพอ ๆ กับค่ายหนังโรงยักษ์ใหญ่ทั้งหลายด้วย

จริง ๆ ก็เป็นคำถามตั้งแต่แรก ๆ ล่ะ ไมเคิล เบย์ อาจเป็นผู้กำกับที่ฉกาจในการตีหนังเป็นภาพมีสไตล์ รังสรรค์ฉากบู๊ที่สวยติดตา และสดใหม่จนติดใจคอบู๊มานักต่อนัก แต่จุดพร่องของเขาก็คือการวางเนื้อเรื่องหลวมโพรก บางครั้งก็ไม่สนตรรกะอะไรอีกเลย จนคนดูมักได้ล้อได้แซวอยู่เสมอ แต่งานนี้เขาได้ยาขจัดความกาวของหนังตัวเองได้ดี

นั่นคือกาวชั้นดีมียี่ห้อเกรดสูงอย่าง เรตต์ รีส และ พอล เวอร์นิก มือเขียนบทสุดฮาบันเทิงจากหนัง Deadpool และ Zombieland ทั้ง 2 ภาค ที่ติดสอยห้อยตามไรอัน เรย์โนลด์ มาเขียนโครงสร้างหนังได้อย่างมีระเบียบ มีชั้นเชิงการเล่าที่น่าสนใจ ด้วยการเปิดกลุ่มตัวละครแบบไม่ลำดับเวลา ตัดสลับภารกิจปัจจุบันที่อิตาลีในการชิงดวงตาของทนายความจอมฉ้อฉลของจอมเผด็จการเพื่อเอามาสแกนเปิดโทรศัพท์ที่เชื่อมกับฐานข้อมูลความลับทั้งหลาย กับอดีตและที่มาที่ไปรวมถึงความเชี่ยวชาญของสมาชิกกลุ่มแต่ละคน ที่แทนตัวด้วยหมายเลข ทำให้เราเห็นโครงร่างว่านี่ไม่ใช่หนังทีมรวมยอดคนธรรมดา แต่มันมีความน่าสนใจในตัวเองแต่ละคนมากกว่านั้น

ด้วยความยียวนของมือเขียนบท ต้องบอกว่าดูหนัง HDฉลาดในการสร้างปมประเด็น เพราะมันไม่ได้ต้องลงลึกจนซีเรียส แต่ก็มีเนื้อหนังให้เรื่องดูจับต้องได้จริง และปล่อยพื้นที่ที่เหลือให้ไมเคิล เบย์ใส่จินตนาการความสดใหม่ของเขาลงไปได้อย่างเต็มที่ ทำให้มันกลายเป็นหนังไมเคิล เบย์ ในฉบับที่ลงตัว ไม่พร่องไม่ล้น จนน่าเสียดายว่าถ้าได้ฉายในระบบการฉายดี ๆ เสียงกระหึ่ม ๆ จอใหญ่ ๆ กับงานภาพระเบิดตูมตามโชว์สถาปัตยกรรมหลายที่ มันคงจะฟินไม่น้อยทีเดียว

1 มหาเศรษฐี 2 สายลับ 3 มือปืน 4 โจรลอยฟ้า 5 หมอ 6 นักขับ 7 พลแม่นปืน — หมายเลขมี 7 แต่กลุ่มนี้มีแค่ 6

ความกวนทีนของหนังยังเป็นอะไรที่ต้องขอชื่นชมแบบลงรายละเอียดเลยทีเดียว มันกวนมาตั้งแต่คอนเซปต์ของเรื่อง เราอาจชินกับหนังบู๊ระดับตำนานที่มักว่าด้วยฝั่งพระเอก 7 คนที่มักต้องเข้าไปช่วยเหลือหมู่บ้านหนึ่งที่ห่างไกลจากการคุกคามโดยคนชั่วที่มีอำนาจหรืออาวุธ ไม่ว่าจะ Seven Samurai (1954) หรือ The Magnificent Seven (1960) หรือหนังไทยอย่าง 7 ประจัญบาน เองก็ตาม

แต่กับ 6 Underground มันไปเหนือกว่าด้วยการคารวะหนังชั้นครูเหล่านั้นด้วยการมีสมาชิกหมายเลข 7 แต่มีกันแค่ 6 คน และไม่ใช่แค่จำนวนน้อยกว่า ภารกิจของพวกเขาก็ทะเยอทะยานไปหนักมากกว่าเพราะไม่ใช่การช่วยหมู่บ้านยากจนเท่านั้น แต่พวกเขาต้องปลดปล่อยประเทศเทอร์กิสถานจากการปกครองของเผด็จการนายพลโรวัค ศัตรูที่มีความฉลาด ไม่ไว้ใจใคร โหดเหี้ยมและมีชั้นเชิง

รวมถึงอุดมการณ์หนุนจิตด้านชั่วที่พอดิบพอดี (ฉากถกประเด็นจากละครเวทีของเชกสเปียร์กับพระเอกสร้างมิติตัวละครขึ้นมาเลย) สำหรับคนดูมันก็เว่อมั้ยล่ะการปลดปล่อยประเทศด้วยคนเพียง 6 คน แต่ตารีสกับเวอร์นิกก็ทำบทที่เราเออออไปด้วยได้ตลอดเรื่อง ต้องยอมรับเลยว่าหนังรอดส่วนหนึ่งเพราะบทจริง ๆ

บทยังช่วยให้บทสนทนาไม่แห้งแล้งด้วย เพราะมันมาทั้งมุกคำพูดหนัง มุกคำพูดจากเนื้อเพลง และยังเอากิมมิกจากพอปมีเดียต่าง ๆ มาเล่นอย่างมันมือ ไม่ว่าจะเสียงทดสอบระบบ THX ที่เราคุ้นชินกลับเป็นอาวุธทรงพลัง เสียงซาวด์เอฟเฟกต์รถที่ชนพลิกแบบสโลว์แต่ใส่เสียงจากหนัง Transformers มา ตลอดจนมุกตลกร้ายที่ถนัดกันทั้งเรื่อง

ไม่ว่าจะมือเขียนบท หรือการด้นสดจากไรอัน เรย์โนลด์เองก็ตาม สนุกมาก ถ้าเนิร์ดหนังเนิร์ดเพลงด้วยยิ่งสนุก ฉากแนะนำตัวละครหมายเลข 4 ต้องบอกว่าครีเอตฉากล้อหนังเรื่องหนึ่งที่เรารู้จักดีได้โหดมาก (ไปดูเองนะ) เอาเป็นว่าในแง่กิมมิกทั้งหลายนี่ประทับใจอย่างแรง

ตัวละคร

หนังเหมือนจะอ่อนเรื่องการสร้างตัวละครให้เรารักนะ ยืนยันว่ากว่าครึ่งเรื่องมายังไม่ค่อยอินตัวไหนเป็นพิเศษ แม้แต่ตัวละครหมายเลข 7 ที่เข้ามาหลังสุดและเหมือนตัวแทนผู้ชมในการเข้ามารู้จักทีมผีนี้ หนังก็ไม่ได้ให้เราอินมากนัก แต่พอผ่านภารกิจสัก 2-3 ฉากใหญ่ หนังอยู่ดี ๆ โจมตีหัวใจเราไปตอนไหนไม่รู้ สารภาพเลยว่าฉากฮ่องกงที่เป็นฉากใหญ่ฉากหนึ่งเนี่ย ขโมยหัวใจเราไปแจกให้แต่ละตัวละครเลย

รีวิว 6 Underground


โดยเฉพาะหมายเลข 4 โจรที่เป็นฟรีรันนิ่งเนี่ย น้องแกคือ สไปเดอร์แมน ของโทนี่ คือ โรบิน ของแบทแมน เลยทีเดียว ทำเราเอาใจช่วยได้ตลอดเลยหลังจากนั้นมา และจะว่าไปคนเขียนบทก็จงใจให้บทหมายเลข 1 ของเรย์โนลด์ เป็นส่วนผสมของ โทนี่ สตาร์ก และ บรูซ เวย์น อยู่เหมือนกันนะ แต่ถ้ามองโลกความจริงก็ต้องว่ามันมีความ อีลอน มัสก์  อยู่ไม่น้อยเลยเหมือนกัน (ดูสิล้อไปยันการจัดสร้างตัวละครได้อ่ะ)

ด้านความรุนแรง

หนังสตรีมมิงส่วนใหญ่ ว่ากันตรง ๆ มักพยายามไม่ให้รุนแรงเกินจำเป็นเพราะฐานครอบครัวที่ดูหนังในบ้านนั้นมักมีเด็ก ๆ อยู่ด้วย ยิ่งหนังที่ไม่ได้ดูเป็นผู้ใหญ่ ๆ จัดที่ต้องตีความ ถอดสัญญะมากมายอย่างเรื่องนี้ด้วยแล้ว แต่กระนั้นเน็กฟลิกซ์ก็ตามใจให้ไมเคิล เบย์ และทีมงานทำอะไรก็ได้สุดฝีมือไปเลย มันจึงมาทั้งคำสบถหยาบ

และภาพรุนแรงต่อจิตใจทั้งอวัยวะขาดกระเด็น พวงลูกตาที่ถือห้อยไปมาอยู่นาน ฉากตายที่โหดเข้าไส้ ฉากโยนคนลงตึก ฉากขับรถชนทับคนข้างถนนระเนระนาดแบบเน้น ๆ ที่ว่ามานี้ถ้าหนังถ่ายทอดสดถอดความบันเทิงหรือความตลกร้ายที่เคลือบไว้ออกหนังมันมีความรุนแรงสูงมากเลยทีเดียว มองในแง่คนโต ๆ คือโคตรสะใจ ถึงลึก ๆ เราจะรู้ว่าปัญหามันไม่ควรแก้ด้วยความรุนแรง แต่การได้เห็นหัวหน้าเผด็จการในเรื่องโดนอะไรหนัก ๆ ตายโหด ๆ มันก็สะใจความรู้สึกเราเหมือนกันนะ ก็เลยมองว่าหนังทำมาป้อนผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก แต่ถ้าเด็กบังเอิญมาดูก็ขอแค่มีผู้ปกครองแนะนำข้าง ๆ ด้วยนั่นล่ะดีที่สุด

จุดเสีย

หนังยังมีจุดเสียอีกนิดหน่อยคือการถ่ายฉากแอ็กชันระยะประชิด ผสมการตัดต่อฉับไว หลายฉากมีความมึนหัวสับสนเล่นงานดวงตาอยู่เหมือนกัน ที่เป็นหนัก ๆ เลยคือฉากรถซิ่งไล่ล่ากลางอิตาลีบางช่วง แต่โดยรวมก็ไม่เป็นปัญหา วิสัยทัศน์งานภาพของไมเคิล เบย์ เขาเอาอยู่ทุกองศาอยู่แล้ว ไว้ใจได้เรื่องภาพเสียง

สรุป

หนังมันส์จริง ยิ่งเปิดมา 20 นาทีแรกที่แทบไม่ต้องพักหายใจกันเลย ข้อเสียเดิมๆ ของไมเคิลเบย์ก็ยังตามมาอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้แย่ขนาดผลงานกำกับทรานฟอร์เมอร์ภาคหลังๆ เรียกว่านี่เป็นหนังที่กู้ชื่อเสียงของเขากลับมาได้ และกลับมาทำเป็นโปรเจ็กต์ยักษ์ใหญ่ยาวๆ กับเน็ตฟลิกซ์

ซึ่งที่มันสุด ฮาป่วง โหดเอี้ย ๆ และมีคุณสมบัติสำหรับการเป็นอันดับหนึ่งตารางหนังทำเงินแบบฉายโรงสบาย ๆ ด้วยฝีมือของแต่ละวงการทั้งนักแสดง ผู้กำกับ มือเขียนบท ทีมสร้าง อยากจะบอกว่าเสียดายแค่ว่ามันไม่ได้ดูในโรงแค่นั้นล่ะ นอกนั้นโคตรดี คุ้มค่าเน็กฟลิกซ์เว่อ ๆ