วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

The End of The F***ing World

ดูหนัง

รีวิว The End of The F***ing World - โลกมันห่วย ช่วยไม่ได้

The End of the F***ing World โลกมันห่วยช่วยไม่ได้ เป็น Original Series ของ NETFLIX ที่ดัดแปลงมาจากมินิคอมมิคในชื่อเดียวกัน เป็นเรื่องราวของเด็กชายผู้มีปัญหาทางจิตด้วยปมในวัยเด็ก James ที่ต้องการเลือกเหยื่อใครก็ได้สักคนเพื่อทดลองฆ่า แล้วดันบังเอิญไปพบกับ Alyssa เด็กสาวผู้มีนิสัยห้าวเป้ง ไม่แคร์คนอื่น และมีความต้องการทางเพศสูง เมื่อทั้งสองคนนี้มาอยู่ด้วยกันและพากันหนีออกจากบ้าน ความวุ่นวายอลหม่านจากจุดเล็กๆ ลามไปจนเป็นปัญหาใหญ่ที่ทางตำรวจต้องเข้ามาจัดการ รีวิว The End of The F***ing World

เรื่องย่อ

เรื่องราวความรักระหว่างทางของ อลิซซ่า (เจสสิกา บาร์เดน) สาวน้อยที่ต้องการใครสักคนพาเธอหนีไปจากชีวิตที่ไร้ตัวตนในครอบครัว และใครคนนั้นก็ดันเป็น เจมส์ (อเล็กซ์ ลอว์เธอร์) เด็กหนุ่มที่หวังฆ่าเธอเพื่อชดเชยประสบการณ์เลวร้ายในวัยเยาว์ โดยมีจุดหมายคือการตามหาพ่อของอลิซซ่า แต่ก็เกิดเรื่องไม่คาดคิดเมื่ออยู่ๆทั้งคู่ก็ไปพัวพันกับการฆาตกรรมและจี้ปล้นจนต้องหนีการตามล่าจากทางการกันหัวซุกหัวซุน

ดูจากเรื่องย่อที่กล่าวมาข้างต้นก็คงพอเห็นแล้วว่าความน่าสนใจของซีรีส์เรื่องนี้คือการผสานระหว่างหนังฆาตกรโรคจิตเข้ากับแนวรักโรแมนติกใสๆวัยรุ่นชอบ ซึ่งด้วยความที่หนังต้องการคงโทนโรแมนติกก็สบายใจได้ว่าสัดส่วนของความโหดด้านภาพจะไม่ได้มากมายนัก แถมเล่าๆไปความโรคจิตของตัวเจมส์ก็แทบไม่เห็นเพราะท้ายที่สุดหนังก็พยายามทำให้คนดูรักพระเอกของเรา

ซึ่งด้วยการแสดงของ อเล็กซ์ ลอว์เธอร์ ก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวัง เขาสามารถรับบท เจมส์ ชายหนุ่มผู้อยู่ผิดที่ผิดทางเหมือนวัยรุ่นแสวงหาตัวตนจากด้านมืดของตัวเองได้อย่างมีเสน่ห์ สามารถสร้างสมดุลระหว่างความประหลาด ความน่ากลัวแล้วก้าวข้ามไปสู่ความน่ารัก ทำให้คนดูอยากเอาใจช่วยได้เป็นอย่างดี  ในขณะที่ เจสสิกา บาร์เดน ก็ทำหน้าที่ได้ดีไม่แพ้กัน เพราะบท อลิซซ่า เองก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ความโหยหาคนรักคนเข้าใจ ภายใต้ท่าทีก๋ากั่นบ้าผู้ชาย เธอสามารถทำให้ความรู้สึกคนดูค่อยๆพังทลายลงช้าๆเมื่อหนังดำเนินไปเรื่อยๆ ได้อย่างน่าเชื่อถือ

ความรู้สึกหลังดู

เปิดเรื่องมาได้น่าสนใจ เราต้องติดตามว่าเด็กผู้ชายคนนี้จะทำตามที่ตนเองคาดหวังไว้สำเร็จจริงหรือไม่ อลิซซา เป็นคาแรคเตอร์ผู้หญิงที่สุดจะขวางโลก แต่ก็ปูพื้นมาให้พอเข้าใจได้ว่า เพราะอะไรเธอถึงเป็นคนแบบนี้ มีหลายฉากที่สร้างเสียงหัวเราะ เพราะนิสัยแปลกๆ ของทั้งคู่ เจมส์ แสดงได้น่ารัก และทำให้คิดว่าเขาเป็นตัวละครนี้ มีนิสัยแบบนี้จริงๆ ช่วงแรกๆ เวลาทั้งคู่อยู่ด้วยกัน เวลาอลิซซารุกเจมส์ ทุกอย่างมันดูประดักประเดิดไปหมด คงเพราะเสียงในหัวของเจมส์ที่คอยบ่นทำให้อารมณ์หนังมันหมดความโรแมนติก

แต่เพราะการเดินทางของทั้งคู่ค่อยๆ สร้างความรู้สึกผูกพันธ์ให้แก่กัน ทำให้ความตลกขบขันในช่วงแรก เปลี่ยนเป็นอมยิ้มเขินๆ ได้ในตอนท้าย

ความสนุกของเรื่องนี้คือ ความแปลก ตลกร้าย และความจัดจ้านของตัวละครทั้งสอง อลิซซา ตัวละครที่เรียกได้ว่าแสบทั้งคำพูดคำจา และการแสดงออกต่างๆ นาๆ ที่ต้องการหาใครสักคนที่พาเธอหนีไปจากชีวิตอันแสนห่วยภายในครอบครัวของเธอ ต้องมาเจอกับ เจมส์ผู้ที่อยากหาเหยื่อมาฆ่าเพราะมีปัญหาทางจิตทำให้เป็นตัวละครที่จะค่อนข้างนิ่ง จนไร้อารมณ์ ซึ่งมันดูเหมือนว่าซีรีส์เรื่องนี้จะนำเอาแนวฆาตกรโรคจิตมาผสมกับแนวรักวัยรุ่น แต่เปล่าเลย มันคือตลกร้ายที่แอบจิกกัด เสียดสีเกี่ยวกับสังคมครอบครัวได้แสบสันเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว

ตัวละครเจมส์ และอลิซซา เป็นเหมือนตัวแทนของเด็กวัยรุ่นที่มีปัญหา และแทนที่เราจะได้เห็นความโรคจิตของเจมส์ กลับกลายเป็นว่ายิ่งดูไป จากคนไร้อารมณ์เพราะปมบางอย่างในวัยเด็ก เริ่มมีชีวิตชีวาเพราะอลิซซา ตัวละครอลิซซาเองก็มีปมเกี่ยวกับครอบครัวเลยต้องการแสดงออกอย่างห่ามๆ เช่นบ้าเซ็กส์ หรืออารมณ์ร้อน แต่เธอเพียงแค่ต้องการใครสักคนคอยเข้าใจ ทำให้เราคอยลุ้นเอาใจช่วยทั้งสองคนนี้ว่าพวกเขาจะเอาตัวรอดอย่างไร จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป และคุณจะถูกตบหน้าด้วยตอนจบของซีซั่น

การดำเนินเรื่องจะค่อนข้างกระชับ แต่ก็ไม่ได้รวบรัดจนเกินไป ทำให้เราเข้าใจประเด็นและอารมณ์ของตัวละครต่างๆ ที่จะสื่อ ได้ง่าย และคอยลุ้นเอาใจช่วย แถมแต่ละตอนเองยาวเพียง 20 กว่านาที ทำให้สามารถดูรวดเดียวจบได้โดยใช้เวลาไม่นาน โดยเรื่องราวต่างๆ มันเริ่มจากจุดเล็กๆ แล้วบานปลายจนใหญ่เกินแก้

มีบางฉากในซีรีส์ที่ค่อนข้างจะรุนแรง ทั้งเลือด ทั้งบทพูด ถ้าหากใครที่ชอบเรื่องราวอะไรที่แปลกๆ Weird ตลกร้ายล่ะก็ ขอแนะนำให้ดูเลยครับ เพราะซีซั่นสองเพิ่งออนแอร์ไปสดๆ ร้อนๆ

ด้านเนื่อเรื่อง

เรื่องราวของซีรีส์เล่าสลับไปมาระหว่างมุมมองของเจมส์และอลิซซา และมีลูกเล่นเป็นวอยซ์โอเวอร์ช่วยสร้างมิติให้ตัวละครได้เปิดเผยความคิดออกมาปะทะกัน อารมณ์ว่าปากอย่างใจอย่าง พูดแบบนี้แต่คิดอีกแบบ คนหนึ่งทื่อมะลื่อตามน้ำไปเรื่อยๆ แต่หวังฆ่าเขา อีกคนเหงาแต่แกล้งทำเป็นไม่แคร์สังคม

เมื่อเราดูไปเรื่อยๆ จะพบว่าเรื่องนี้ไม่ได้มีคนแปลกแค่สองคน การผจญภัยของพวกเขายังพาให้ไปพบเหล่าคนแปลกประหลาดที่สร้างปัญหาจนน่าคลางแคลงว่าอะไรมันจะซวยได้ขนาดนั้น (แต่หลายครั้งก็เป็นเพราะความโง่และรนหาที่ของตัวละครเอง) แต่พอคิดว่านี่เป็นจักรวาล Fucking World ที่บังเกิดความฉิบหายได้ตลอดเวลาจึงพอสมเหตุสมผลความบ้าบอของมันอยู่

ความสาแก่ใจของซีรีส์เรื่องนี้จึงอยู่ที่หลายฉากเกรียนๆ สุดโต่งของคู่เพี้ยนที่ดูแล้วต้องอุทานว่า “เอางี้จริงดิ” เราชอบที่เป็นซีรีส์ของอังกฤษแล้วมีฉากจิกกัดขนบหนังอเมริกันแบบแซะเล็กแซะน้อยแต่คนดูอย่างเราแอบขำอยู่หลังจอ ความตลกร้ายและเสน่ห์แบบหนังโร้ดมูฟวี่ที่ฉากหลังเต็มไปด้วยวิวธรรมชาติ
แต่เมื่อมองลึกลงในเรื่องราวเหยเกพวกนี้แล้ว ดูหนังกลับสะท้อนปัญหาการเลี้ยงดูของครอบครัวและปมสำคัญในการประกอบสร้างคนๆ หนึ่งขึ้นมา ทำให้เราเห็นที่มาที่ไป รับรู้ และเห็นอกเห็นใจพวกเขา จากปมที่ดูเหมือนเล็กน้อยแต่กลับขยายกว้างจนเกิดเป็นเรื่องใหญ่โต

อย่างอลิซซาที่มีปัญหากับพ่อเลี้ยงและรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกินในครอบครัวใหม่ของแม่จึงแสดงออกด้วยการทำตัวหยาบคายไม่แคร์โลก แต่ใจจริงแล้วเธอก็โหยหาความรักจึงเลือกที่จะหาใครสักคนที่เข้าใจในรูปแบบความรักหนุ่มสาวแทน หรือเจมส์ที่ตอนแรกเปิดตัวมาด้วยคาแรกเตอร์ไร้หัวใจ ไร้ความรู้สึก
รีวิว The End of The F***ing World


แต่จริงๆ เขากลับมีปมบาดแผลบางอย่างที่ทำให้เรารู้ว่าแท้จริงแล้วตัวละครนี้ไม่ได้มีจิตวิปลาสอะไรเลย ทั้งหมดชวนให้เราฉุกคิดว่าการที่ตัวละครวัยรุ่นเลือกเดินผิดทาง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพวกเขาถูกปล่อยปละละเลยหรือเปล่า สุดท้ายด้วยอะไรก็แล้วแต่ ปัญหาย่อมย้อนกลับไปที่ผู้ใหญ่อยู่ดี ไม่ว่าจะผู้ใหญ่ในครอบครัวหรือผู้ใหญ่ในสังคม นี่จึงเป็นซีรีส์ที่บอกเราว่ายังมีปัญหาที่ผู้ใหญ่และเด็กต้องร่วมมือกันแก้ไข ไม่ใช่กล่าวโทษฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างเดียว

จุดเสีย

ในขณะที่ข้อเสียหลักของซีรีส์ชุดนี้ก็คงเป็นการดำเนินเรื่องในหลายจุดที่บังเอิ๊ญบังเอิญแบบละครไทยยังเรียกพี่ เรียกได้ว่า คู่รักวัยกระเตาะที่พกมาแต่ความบ้าบิ่นสามารถผ่านแต่ละอุปสรรคได้อย่างง่ายดายแทบไม่ต้องลุ้นให้เหนื่อย ซึ่งก็ตอบโจทย์กับตัวซีรีส์ที่แต่ละตอนสั้นมากๆ เพราะตอนนึงยาวแค่ 25 นาทีเท่านั้น จึงทำให้คนมีเวลาน้อยสามารถดูทั้งซีซันได้ในเวลาเพียง 3-4 ชั่วโมงเท่านั้นเอง

สิ่งที่ประทับใจ

ส่วนตัวเราประทับใจในจริตความแปลกของแต่ละตัวละคร โดยเฉพาะตัวเอกของเรื่องอย่างเจมส์ที่รับบทโดย อเล็กซ์ ลอว์เธอร์ (Alex Lawther) ที่คอซีรีส์คุ้นหน้าคุ้นตาดีจากเว็บดูหนังซีรีส์สุดดังอย่าง Black Mirror มาเรื่องนี้อเล็กซ์ก็ทำให้เรารักความเป็นเจมส์กับคาแรกเตอร์ทื่อด้านแต่ดันน่ารักชวนหลง และอลิซซาซึ่งรับบทโดยเจสสิกา บาร์เดน (Jessica Barden) ที่ต้องหน้าตาท่าทางแบบเจสสิกาเท่านั้นถึงจะปั่นหัวพระเอกได้ (เราหลงรักการพูดสำเนียงบริติชของเธอมาก โคตรชวนฟัง)

อีกอย่างที่ลืมไม่ได้คือเพลงประกอบซีรีส์สุดดีงาม ทั้งช่วงฉากตื่นเต้นที่จงใจใส่เพลงแจ๊สเนิบช้ากวนอารมณ์แบบตลกร้าย เพลงอินดี้ป๊อปจังหวะสนุกชวนให้เปิดฟังระหว่างขับรถ และเพลงแนวอื่นๆ ที่ประกอบรวมกันจนขับเน้นอารมณ์หลากหลายในแต่ละฉาก

สรุป

เป็นอีก 1 ซีรีส์แนววัยรุ่นที่เนื้อหาแปลก แต่เข้าใจได้ง่าย มีทั้งตลกร้ายและแอบจิกกัดเสียดสีเกี่ยวกับประเด็นครอบครัวและซีซั่นสองจัดเต็มไปด้วยความตลกร้ายให้เราลุ้นเอาใจช่วยว่า ชะตากรรมของทั้งสองจะเป็นอย่างไรไปจนจบเรื่องแบบฟีลกู๊ด

The End of the F***ing World มีแค่ 8 ตอน แต่ละตอนมีความยาวประมาณ 20 นาที ทำให้เรื่องราวดำเนินอย่างกระชับ รวดเร็ว ไม่มียืดเยื้อ ดูจบได้ภายในวันเดียว นอกจากเราจะเห็นพัฒนาการของสองตัวละครหลักแล้ว ยังมีตัวละครสมทบที่ถูกจับคู่กับประเด็นอื่นๆ ไว้อย่างน่าสนใจ

ไม่ว่าจะเป็นพนักงานมินิมาร์ตแสนซื่อเบื่อชีวิต คู่หูตำรวจที่มีความสัมพันธ์มากกว่าเพื่อนร่วมงาน คนผิวสี คนขาว เพศที่สาม ทั้งหมดถูกยำรวมกันจนไม่น่าเชื่อว่าประเด็นทั้งหมดจะสามารถอยู่ในซีรีส์สั้นๆ แต่สนุกมากเรื่องนี้ได้ จนเราแอบลุ้นเลยว่าต้องมีซีซั่นต่อไปแน่นอน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น