รีวิว Stanger Things 2 - สเตรนเจอร์ ธิงส์
หลังจากที่ซีรีส์สุดฮิตจาก Netflix เปิดตัวไปด้วยเทรลเลอร์ความยาว 8 นาทีเมื่อต้นปีที่แล้ว และได้รับกระแสตอบรับอย่างล้นหลามจากแฟนภาพยนตร์ชุดแนววิทยาศาสตร์ เขย่าขวัญ เหนือธรรมชาติ ที่มีกลิ่นอายความเท่จากยุค 80s อีกทั้งตัวละครเด็กที่สวมบทบาทได้ดีเกินวัย ทำให้ Stranger Things มีผู้ชมถึง 8.2 ล้านคนภายในระยะเวลาแค่เพียง 16 วันหลังเริ่มฉาย และเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคมที่ผ่านมา Stranger Things กลับมาพร้อมเทรลเลอร์ของซีซัน 2 ที่ทั้งแปลกและโหดกว่าเดิม! รีวิว Stanger Things 2เรื่องย่อ
แม้กลับมาจากโลกกลับหัวแล้ว แต่ วิล (โนอา ชแนป)ยังคงเห็นนิมิตรถึงวันโลกาวินาศที่กำลังมาเยือนเมือง ฮอว์กินส์ พร้อมกับสิ่งผิดปกติที่เกิดกับบุคคลรอบข้างทั้ง ดัสติน (เกเตน มาตาราซโซ) ที่แอบเลี้ยงสัตว์ประหลาดตัวน้อยจนเกิดเรื่องผิดใจกับลูคัส (เคเลป แม็กลาฟลิน), การมาถึงของแม็กซ์ (เซดี้ ซิงค์)สาวสเก็ตช์บอร์ดคนใหม่ที่ไม่มีใครรู้ที่มา ส่วน อีเลฟเว่น (มิลลี บ็อบบี้ บราวน์) ก็มุ่งตามหาแม่และญาติที่เป็นมนุษย์ทดลองเหมือนเธอ ส่วน ไมค์ (ฟิน วูล์ฟฮาร์ด) ที่กำลังตามหาอีเลฟเว่น ก็กำลังหาทางช่วย วิล ให้พ้นจากการถูกครอบงำของเหล่าอสูรกายจากโลกกลับหัวที่อาจกลืนกินโลกของพวกเขาไปตลอดกาลกล่าวโดยหน้าที่หลักของซีซัน 2 ของ Stranger Things แล้วก็คงหนีไม่พ้นการกลับมาเพื่อตอบคำถามว่าโลกกลับหัวจะส่งผลต่อวิลยังไง ความสัมพันธ์ระหว่าง ไมค์กับอีเลฟเว่นจะคืบหน้าหรือไม่ ซึ่งตัวซีรีส์ก็ทำหน้าที่ตรงนี้ได้อย่างไม่บิดพลิ้ว ควบคู่ไปกับการพยายามเปิดประเด็นใหม่ๆอย่างการนำแม็กซ์ เด็กสาวสเก็ตบอร์ด
หรือเหล่าแก๊งโจรหัวขบถที่มีมนุษย์ทดลองจากแล็ปอย่าง กาลี อยู่ในกลุ่ม และไม่ลืมที่จะเพิ่มความตื่นเต้นด้วยการเพิ่มฉากแอ็คชั่น ฉากสยองขวัญ โชว์เทคนิคพิเศษ ที่อ้างอิงมาจากหนังดังยุค 80 ซึ่งก็น่าจะถูกใจแฟนๆของซีรีส์นี้ได้ไม่ยาก แม้ว่าการเพิ่มตัวละครใหม่เข้ามาจะไม่ได้สานประเด็นต่อยอดไปจากเดิมนักก็ตาม
แต่กระนั้นสิ่งที่ดีขึ้นกว่าซีซันแรกอย่างเห็นได้ชัดคงเป็นการเฉลี่ยบทบาทจากแก๊งเด็กไปเล่าเรื่องราวรักสามเศร้าระหว่างสองหนุ่ม โจนาธาน และ สตีฟ กับ แนนซี่ โดยมีความผิดบาปของแนนซี่ต่อบาบาร่าเพื่อนที่จากไปของเธอเป็นจุดศูนย์กลางทำให้ซีซันนี้นักแสดงในกลุ่มวัยรุ่นอย่าง นาตาลี ไดเออร์, ชาลี ฮีตัน และโจ คีรีย์ ได้แสดงความสามารถทางการแสดง ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าการเพิ่มบทบาทให้พวกเขาช่วยให้เรื่องราวมีมิติของความเป็นดราม่าโรแมนติก และสามารถช่วยปิดประเด็นการหายตัวไปของบาบาร่าที่ค้างคาจากซีซันที่แล้วได้ดีทีเดียว
นอกจากเรื่องราวลี้ลับที่เล่าได้อย่างสนุกสนานแล้วสิ่งที่ทำให้ Stranger Things ซีซันแรกกุมหัวใจเหล่าแฟนๆอยู่หมัดคงหนีไม่พ้นการอ้างอิงถึง พ็อพคัลเจอร์ ยุค80 ทั้งหนังและเพลงดังในยุคดังกล่าว โดยคราวนี้พี่น้องดัฟเฟอร์ก็จัดเต็มด้วยการย้อนวันวานแสนหวานของยุค 80 ทั้งการอ้างอิงหนังไซไฟและหนังสยองขวัญแห่งยุคอย่าง Carrie, ET, Ghost Busters, The Lost Boys, Exorcist, The Thing และ Gremlins รวมถึงไม่ลืมที่จะคารวะสตีเฟน คิงด้วยการมีฉากกลุ่มเด็กๆในเรื่องเดินบนรางรถไฟเหมือนหนัง Stand By Meที่สร้างจากนิยายของเขา
ส่วนเพลงดังก็ขนมาตั้งแต่เพลงพ็อพหวานๆอย่าง Time after time ของ Cyndi Lauper เพลงร็อคอย่าง Runaway ของ Bon Jovi ไปจนเพลงคันทรี่อย่าง Island in the stream ของ Dolly Parton กับ Kenny Rogers รวมถึง Should I Stay or Should I go ของวง The Clash เพลงดังจากภาคแรก เพื่อเสริมบรรยากาศของยุคสมัยควบคู่ไปกับงานสร้างตั้งแต่ร้านตู้เกมอาร์เคต ไปจนถึงโรงหนังที่ขึ้นโปรแกรมฉาย The Terminator หรือคนเหล็ก 2029 ภาคแรกเพื่อบอกเล่าถึงยุคสมัยปี 1984 ที่หนังยังคงเนี้ยบทุกกระเบียดนิ้วเช่นเดิม
เรื่องราวที่เข้มข้นและขยายใหญ่มากขึ้น
สำหรับคนที่ไม่เคยดู ดูหนังซีซันแรกมาก่อน เรื่องราวทั้งหมดของ Stranger Things เริ่มจากการหายตัวไปของวิล บายเออร์ส (Will Byers) รับบทโดยโนอาห์ ชแนปป์ (Noah Schnapp) หนึ่งในแก๊งเด็กเนิร์ดชาว The AV Club ที่ประกอบไปด้วยไมค์ (Mike) รับบทโดยฟินน์ วูล์ฟฮาร์ด (Finn Wolfhard) ลูคัส (Lucas) รับบทโดยเคเลบ แม็กลากลิน (Caleb McLaughlin)และดัสติน (Dustin) รับบทโดยกาเตน มาตาราซโซ (Gaten Matarazzo) และการปรากฏตัวของเด็กผู้หญิงลึกลับที่มีรอยประทับหมายเลข 11 ซึ่งต่อมาถูกเรียกว่า Eleven รับบทโดยมิลลี บ็อบบี้ บราวน์ (Millie Bobby Brown) ได้นำไปสู่โลกมิติคู่ขนานกลับด้าน มอนสเตอร์ และเรื่องราวเหนือธรรมชาติ ซึ่งหายนะทั้งหมดเกี่ยวข้องกับ The Hawkins National Laboratory หน่วยงานด้านพลังงานของสหรัฐอเมริกา ที่กำลังคุกคามเมืองชนบทสงบสุขแห่งนี้
ถึงแม้พล็อตเรื่องประมาณนี้อาจจะคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ทำให้ซีรีส์ของ Netflix เรื่องนี้พิเศษขึ้นมาคือ ตัวละครที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวทั้งสามช่วงวัย เพลงประกอบซาวนด์อิเล็กทรอนิกซินท์เท่ๆ จากฝีมือของ Kyle Dixon และ Michael Stein ที่ทำให้ซีรีส์มีเอกลักษณ์ขึ้นมาก ด้านงานภาพ องค์ประกอบภายในเรื่อง เทคโนโลยีที่ใช้ บรรยากาศ และการเล่าก็เป็นอย่างขนบหนังยุค 80 จริงๆ
สำหรับซีซัน 2 เรื่องราวส่วนใหญ่ยังคงเกิดขึ้นที่เมือง Hawkins รัฐอินเดียนาในปี 1984 หนึ่งปีให้หลังจากเหตุการณ์ในซีซันแรก เส้นเรื่องหลักจะผูกโยงระหว่างวิลกับโลก The Upside Down ที่เข้มข้นและขยายใหญ่ขึ้นด้วยภัยคุกคามและตัวร้ายที่ร้ายกาจขึ้น เราจะได้พบกับนักแสดงหลักชุดเดิม
และตัวละครใหม่เข้ามาเสริมทัพมากมาย เช่น เซดี ซิงก์ (Sadie Sink) ที่รับบทเป็นแมกซ์ (Max) เด็กใหม่ที่นำเอาบรรยากาศแบบแคลิฟอร์เนียเข้ามา พร้อมกับพี่ชายบิลลี (Billy) รับบทโดยดาเคร มอนต์โกเมอรี (Dacre Montgomery) ที่เป็นตัวร้ายคนใหม่ และฌอง แอสติน (Sean Astin) กับบทบ๊อบ (Bob) คนรักใหม่ของจอยซ์ บายเออร์ (Joyce Byers) รับบทโดยวิโนนา ไรเดอร์ (Winona Ryder) ทุกคนเป็นส่วนสำคัญของซีรีส์ภาคต่อนี้และภาคต่อไปอย่างแน่นอน
และโจนาธาน หรือดัสติน ลูคัส และแมกซ์ ทำให้เรื่องราวมีมิติมากขึ้นพร้อมกับบทบาทของตัวละครที่มีเส้นเรื่องของตัวเอง มันน่าตื่นเต้นนะที่เราจะได้เห็นมิตรภาพแบบพี่ชายระหว่างสตีฟและดัสตินที่เหมือนมาจากคนละโลก แต่โปรแกรมหนังก็ผ่านเรื่องราวที่คล้ายกัน จนสุดท้ายก็เยียวยาซึ่งกันและกัน และคอยให้คำแนะนำดีๆ ทั้งในเรื่องความรักและการดูแลทรงผม!
Coming of Age ของเหล่า outcast
แต่สิ่งที่เปรียบเสมือนดีเอ็นเอของซีรีส์เรื่องนี้ คงเป็นการบอกเล่าเรื่องราวของผู้คนที่ถูกตัดขาดทางสังคมอย่างเข้าอกเข้าใจ เกือบทุกตัวละครใน Stranger Things Season 2 แปลกแยกและมีบาดแผล เหมือนเป็นส่วนเกินในสังคมที่เขาอยู่ ไม่เว้นแม้แต่ตัวร้ายอย่างบิลลี่เอง บางครั้งการกระทำอันบ้าคลั่ง ไร้เหตุผลของคนๆ หนึ่ง อาจเกิดจากสิ่งที่เขาเผชิญอยู่ทุกวัน แม้ในสายตาของคนอื่นที่มองเพียงผิวเผินจะคิดว่าเขาเจ๋งแค่ไหน สุดท้ายแล้ว คุณก็เป็นคนนอกเหมือนกับทุกๆ คน..แต่ว่าเราจะเติบโตในสักวันชีวิตจะปล่อยให้เราเติบโต (ในที่ทางของตัวเอง)
ตัวละครแรกที่เราอยากพูดถึงคือดัสตินที่หลายคนน่าจะชื่นชอบจากความน่ารักและความฮาของเขา ในซีซันนี้ เรายังจะได้เห็นชีวิตด้านอื่นๆ ของดัสตินและลูคัสมากขึ้น ทั้งครอบครัว ความรัก ความสัมพันธ์อันแปลกประหลาดของดัสตินกับดาร์ท สิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดเราประทับใจฉากการพบกันครั้งสุดท้ายระหว่างดัสตินกับดาร์ท ซึ่งถ้าเลือกได้ การไม่เจอกันคงดีกว่า เพราะดาร์ทคือ Demogorgon สิ่งมีชีวิตที่สร้างหายนะมากมายกับผู้คนในฮอว์กินส์ และกำลังเป็นอีกครั้งในซีซันนี้ เพียงแต่เพิ่มจำนวนมากกว่าเดิม จากเด็กชายที่ยืนอยู่ข้างเพื่อนเสมอเมื่อมีปัญหา แต่ครั้งนี้ดัสตินกล้าก้าวออกมาข้างหน้าเพื่อปกป้องเพื่อนๆ และทำให้เราได้เห็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับความกล้าหาญของเขาในภาคนี้
อีกตัวละครที่เราชอบพัฒนาการของเขามากที่สุดในซีซันนี้คือ สตีฟ แฮร์ริงตัน (Steve Harrington) ที่ค้นพบว่าโลกไม่ใช่ของเขาแต่เพียงผู้เดียว และกลายเป็นคนที่ออกมาปกป้องคนที่สมควรปกป้อง เห็นความสำคัญของคนอื่นมาก่อนตัวเอง จากคนที่เคยเป็นเหมือนตัวร้าย (ในโลกความจริง) เป็น King Steeve ผู้คิดว่าตัวเองอยู่เหนือทุกคน แต่สุดท้ายเขาก็ได้รู้ว่าไม่มีอะไรที่ยั่งยืน โลกเป็นเวทีของการแข่งขัน เมื่อมีคนที่แข็งแกร่งก็ย่อมมีคนที่แข็งแกร่งกว่า
ความสัมพันธ์ของตัวละครอื่นๆ ที่เกิดขึ้นใน Stranger Things Season 2 ทำให้เราอยากรู้ว่าต่อไปชีวิตจะนำพาพวกเขาเข้าไปสู่ทิศทางไหนและต้องเผชิญหน้าสิ่งไหนอีก
สรุป
สรุปแล้ว Stranger Things 2 ถือว่าสมการรอคอยของแฟนๆซีรีส์ แม้อาจจะขาดความแปลกใหม่ไปบ้าง แต่พัฒนาการด้านโปรดักชั่นก็ทำให้แฟนๆซีรีส์ตื่นตาตื่นใจและสนุกสนานไม่น้อยเลยทีเดียว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น