รีวิว Stranger Things 3 - สเตรนเจอร์ ธิงส์
คงไม่ต้องแนะนำอะไรกันอีกแล้วสำหรับ Stranger Things ซีรีส์ชิ้นโบว์แดงที่ก่อให้เกิดซีรีส์แนวลึกลับตามมามากมายให้กับเน็ตฟลิกซ์ และแจ้งเกิดให้นักแสดงเด็กๆในเรื่องกันถ้วนหน้า และหลังเหตุการณ์ผ่านมา 2 ซีซัน แฟนๆก็ตั้งตารอว่าการกลับมาครั้งนี้ จะมีอะไรใหม่ๆบ้างทั้งความสัมพันธ์ รวมถึงฉากสัตว์ประหลาดบุกโลกจะออกมาน่าตื่นตาแต่ไหน ความโหด ความเลือดสาดจะยังเข้มข้นเหมือนเดิมหรือไม่ ซึ่งผลลัพธ์ของมันก็ออกมาน่าพอใจแบบคูณสามเลยครับ รีวิว Stranger Things 3เรื่องย่อ
ปี 1985 เมืองฮอว์กินส์ถูกปลุกให้คึกคักด้วยการมาของห้างสตาร์คอร์ต แหล่งบันเทิงใหม่ของเหล่าวัยรุ่น และในขณะเดียวกันภัยร้ายจากสัตว์ประหลาดต่างมิติก็เริ่มคืบคลานและรุกรานเมืองฮอว์กินส์ จน วิล ไมค์ ลูคัส ดัสติน และ แอล ต้องผนึกกำลังกับครอบครัวของพวกเขาเพื่อหาทางหยุดภัยร้ายก่อนทุกอย่างจะสายเกินไปStranger Things ซีซั่น 3 เรื่องราวเริ่มต้น 1 ปีหลังจากแอลได้ปิดประตูมิติในห้องทดลองลับของรัฐบาลไป แต่แล้วก็มีคนพยายามเปิดประตูมิติขึ้นมาใหม่อีกครั้ง! ซึ่งตอนจบท้ายสุดของซีซั่น 2 หนังฉายให้เห็นว่าเจ้าปีศาจ Demogorgons บอสใหญ่หรือที่เด็กๆ เรียกว่า “จอมเปิดโปง” ยังคงอยู่ในโลกกลับด้าน Upside down ที่ซ้อนทับกับเมือง Hawkins เป็นโลกคู่ขนานที่รอการกลับมาอีกครั้ง หนังภาคนี้ได้พาเรากลับไปยังโลกยุค 80 เหมือนเช่นเคย โดยโฟกัสไปยังช่วงเวลาในปี 1985 ก่อนวันชาติอเมริกา 4 กรกฎาคม
ซึ่งเป็นปีที่มีปรากฎการณ์สำคัญอย่างการมาของโค๊กรสใหม่ New Coke หนังดังอย่าง Back to the Future (ชื่อไทย เจาะเวลาหาอดีต) และการมาของห้างสรรพสินค้าใหญ่ที่รุกเข้าไปยังเมืองเล็กๆ ในอเมริกา ซึ่ง Hawkins เมืองสมมุติในเรื่องก็หนีไม่พ้นการมาของห้างยักษ์ใหญ่ สตาร์คอร์ท (Starcourt) ซึ่งเป็นเสมือนตัวแทนทุนนิยมสร้างชาติของอเมริกาให้รุ่งโรจน์
แต่อีกด้านก็คือภัยร้ายต่อเศรษฐกิจของชาวเมือง “ปลาใหญ่กินปลาเล็ก” ทำให้ร้านค้าในเมือง Hawkins เดือดร้อนจนต้องปิดตัวลงตามๆ กัน หนังใช้การมาห้างสรรพสินค้าเป็นเหมือนการมาของปีศาจ Demogorgons ที่เริ่มครอบงำผู้คนให้ตกเป็นทาสของมันทีละคนๆ ซึ่งสตาร์คอร์ทนี้เองที่เป็นจุดเริ่มและจุดจบของเนื้อเรื่องหลักในซีซั่นนี้
ขอกล่าวถึงความสัมพันธ์ การก้าวข้ามวัยของเหล่าตัวละครในเรื่องก่อนนะครับ ประเด็นที่น่าสนใจมากในซีซันนี้คือการพูดถึงความสัมพันธ์แบบวัยรุ่น ที่ถือว่าโตขึ้นมากจาก 2 ซีซันก่อน ชัดเจนที่สุดคือ ความสัมพันธ์แบบคนรักที่ทั้งไมค์และแอล กำลังจะได้เรียนรู้มันพร้อมๆกัน โดยฝ่ายแรก็เพิ่งก้าวข้ามวัยเด็กมาไม่ทันไร ส่วนฝ่ายหลังก็กำลังเรียนรู้ความเป็นมนุษย์ไปพร้อมๆกับประสบการณ์แปลกใหม่ในวัยสาว
ซึ่งเรื่องราวส่วนนี้ใครเคยลุ้นให้คู่ไมค์-แอล ได้ลงเอยกันก็น่าจะมีหลายฉากให้ได้ฟินไม่น้อยแถมปมปัญหาที่มาพิสูจน์ความสัมพันธ์ทั้งคู่ก็หนักหนาเอาการ โดยเฉพาะในสายตาผู้ใหญ่อย่างนายอำเภอฮอปเปอร์ที่ไม่สบายใจเวลาเห็น ไมค์กับแอล ใกล้ชิดกันเกินเพื่อนโดยเฉพาะการแอบจูบกันในห้อง ซึ่งตรงนี้บทเขียนได้ดีมากและทำให้เห็นว่าทางออกที่ฮอปเปอร์เลือกขมขู่ไมค์ไม่ให้ทำอะไรเกินเลยกับแอลได้ส่งผลสำคัญต่อเนื้อเรื่องอย่างสมเหตุสมผลทั้งในเชิงดราม่าและปมพลิกผันของเรื่องราว
แถมมันยังทำให้เราได้เห็นแง่มุมการเติบโตของแอลได้อย่างชัดเจนซึ่งซีรีส์ก็นำเสนอได้อย่างมีสีสันโดยเฉพาะตอน แอล กับ แมกซ์ ใช้เวลาเรียนรู้ชีวิตภาษาเพื่อนสาว โดยหนึ่งในนั้นคือการนำเพลง Material Girl ของ มาดอนนา มาประกอบฉากเลือกซื้อเสื้อผ้าซึ่งถือเป็นฉากที่ไม่ได้มีแอ็คชั่นวินาศสันตะโรแต่กลับสร้างรอยยิ้มให้คนดูได้กว้างที่สุดตอนหนึ่งเพราะเป็นครั้งแรกที่เราจะได้เห็น แอล เป็นเด็กสาวที่กล้าลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเองอย่างแท้จริง
ด้านเนื่อเรื่อง
โดยในภาพรวมแล้วซีรีส์ดูหนัง HDในซีซันนี้ดูจะไปโฟกัสที่เรื่องราวรักๆใคร่ๆเสียเป็นส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นความพยายามในการติดต่อกับซูซี่เพื่อนร่วมค่ายคนสวยของดัสตินที่บอกใครไปก็ไม่เชื่อ หรือจะเป็นคู่ของ โจ กับ แนนซี่ (พี่ชายวิล และ พี่สาวของไมค์) ที่ต้องไฟต์เพื่อเอาข่าวสัตว์ประหลาดกินสารเคมีในฮอว์กินส์ลงหนังสือพิมพ์ ฮอว์กินส์โพสต์ ที่ตัวเองฝึกงานแม้ว่าเหล่าผู้บริหารจะมองพวกเขาเป็นแค่เด็กฝึกงานหรือกระทั่งรุ่นใหญ่อย่างนายอำเภอฮอปเปอร์ที่เริ่มมีใจให้กับ จอยซ์ (แม่ของวิล) แม้ไม่อาจเปลี่ยนใจเธอที่ยังลืมรักครั้งเก่าไม่ได้ รวมถึงการกล่าวถึงแม้ไม่ได้เอ่ยตรงๆ แต่ในซีรีส์เรากลับรู้สึกถึงมวลบางอย่างระหว่าง วิล และ ไมค์ ที่ฝ่ายแรกรู้สึกถูกทอดทิ้งทุกครั้งที่ไมค์ต้องการขลุกอยู่กับแอลทั้งวันที่สามารถโยงเข้ากับทฤษฎีทางจิตวิทยาที่เด็กในช่วงก้าวสู่วัยรุ่นจะมีความรู้สึกปรารถนาในความสัมพันธฺ์กับเพื่อนในเพศเดียวกัน ซึ่งถือว่าผู้สร้างศึกษาข้อมูลเป็นอย่างดีนับว่าทำงานละเอียดดีเลย หรือการเปิดเผยความลับของตัวละครบางตัวก็ทำให้เห็นว่า Stranger Things ยังมีพื้นที่ให้ตัวละคร LGBTQ เหมือนที่เคยให้กับ บาร์บ เพื่อนสาวที่หลงไหลแนนซีในซีซันแรก
จุดเด่น
อีกจุดเด่นของ Stranger Things คือการอ้างอิงหนังหรือวัฒนธรรมพอปในยุค 80 ซี่งการมีห้างสตาร์คอร์ดก็ช่วยให้เห็นภาพของยุคสมัยได้ชัดขึ้นไม่ว่าจะเป็นหนังอย่าง Day of the living dead หรือ Back to the future ที่ช่วยเสริมภาพความเป็นไซไฟ แฟนตาซี สยองขวัญ หรือตัวละครใหม่อย่างนักฆ่ารัสเซียก็ทำให้นึกถึง อาร์โนลด์ ชวาร์เซเนกเกอร์ ใน Terminator ไม่น้อยเลยทีเดียวแต่ในส่วนอื่นๆที่ได้รับการปูมาตั้งแต่ซีซันแรกๆอย่างสัตว์ประหลาดที่คล้าย The Things ฉบับของจอห์น คาร์เพนเตอร์ ผสม Alien ของริดลีย์ สก็อต ก็ยังคล้ายๆเดิมไม่ได้มีอะไรเพิ่มเติมนัก ซึ่งแม้หนังถ่ายทอดสดจะไม่ได้เล่นกับภาพจำดักแก่ของยุค 80 หนักข้อเหมือน 2 ซีซันที่ผ่านมาแต่ความสนุกของเรื่องราวที่เข้มข้น ฉากแอ็คชั่นและสยองขวัญ รวมถึงความตื่นเต้นที่เพิ่มขึ้นทวีคูณต่างหากล่ะที่เรามองว่า มันสมค่าการรอคอยหนังหรือซีรีส์ที่สนุกๆมากเปี่ยมไอเดียแบบหนังยุค80ได้ดีเลยล่ะ
ส่วนนักแสดงนำอย่างน้อง มิลลี บอบบี บราวน์ ก็ยิ่งเปล่งประกายเข้าไปใหญ่เพราะภาคนี้แทบจะขายความสวย เท่ ของน้องได้ทุกช็อตเลย ส่วนตัวละครเด็กผู้ชายก็ยังให้ กาเตน มาตาราซโซ ในบทดัสตินเหมือนเดิมเพราะเหมือนตัวแทนเนิร์ดอย่างเรา 555 ไม่ใช่หรอกครับเพราะฝีมือและบทที่เขียนมาได้มีสีสันมากกว่าคนอื่น
แถมยังได้ซีนดีๆเยอะกว่าชาวบ้านอีกด้วย นอกนั้นก็ถือว่าแต่ละครแสดงได้ตามมาตรฐานเหมือนที่ผ่านๆมา โดยในซีซันนี้มีแจ้งเกิดให้ ไพรอา เฟอร์กูสัน ในบท เอริกา ซินแคลร์ น้องสาวสุดเขี้ยวของลูคัสที่ได้มาร่วมผจญภัยกับเหล่าเด็กๆในเรื่องนี้ก็นับว่ามาสร้างสีสันได้อย่างน่ารักน่าตบและทำให้ซีรีส์ซีซันนี้สนุกมากขึ้นอีกด้วย
สรุป
นี่เป็นซีซั่นที่ไต่ระดับความน่าสนใจในช่วงแรกได้อย่างรวดเร็วน่าติดตามขึ้นเรื่อยๆ เนื้อเรื่องตัดไวไม่ยืดเยื้อ มีแนวทางใหม่มานำเสนอ แต่กลับไปดรอปลงในช่วงท้ายสุดของซีซั่นอย่างน่าผิดหวัง หนังมีตัวละครเพิ่มใหม่เพิ่มอีกหลายตัว อย่างนายกเทศมนตรี นักวิทย์ศาสตร์รัสเซียสุดเอ๋อ แต่ก็ใส่มาเพื่อเป็นส่วนประกอบของเรื่อง ไม่ได้เป็นคีย์ในบทสรุปท้ายสุดตอนไคลแม็กซ์เลย (ทั้งๆ ที่บทส่งให้เป็นไปในทางนั้น)รวมถึงไม่ได้สรุปเรื่องราวภายหลังที่ดีพอกับห้างสตาร์คอร์ทที่ชาวเมืองต่อต้าน และในส่วนของโลก Upside Down หนังยังเลือกจบในแบบทิศทางเดิมๆ เกินไป ซึ่งถือว่าเป็นความน่าผิดหวังที่ผู้สร้างยังเลือกกั๊ก หรืออาจจะเลือกยืดซีรีส์ Stranger Things ให้มากกว่าซีซั่น 4 ก็เป็นได้ เพราะท้ายเรื่องเอนเครดิต หนังเลือกออกสู่เมืองอื่น ออกสู่โลเกชั่นใหม่นอกเมือง Hawkins ดูเป็นทิศทางใหม่ในอนาคตต่อไปของซีรีส์นี้ แต่ก็ยังไม่พ้นหยิบจับปีศาจเก่าในโลก Upside Donw มาใช้อยู่เช่นเดิม
คงไม่แปลกใจถ้าใครดูแล้วจะเกิดอาการ “ดูแค่ตอนเดียวไม่เคยมีอยู่จริง” เพราะมันเต็มไปด้วยปริศนาที่น่าติดตาม บทที่มีลูกเล่นแบบซีรีส์ดูเอาบันเทิงก็ถือว่ามาครบรสได้ดีเลยล่ะ แต่แอบคิดนิดนึงว่าทำไมซีซันนี้เลือกพรีเมียร์วันชาติสหรัฐอเมริกา แถมใครได้ดูยังจะเห็นว่าศัตรูตัวฉกาจในเรื่องเป็นรัสเซียอีก อืม..น่าคิดนะครับ…
New Coke คืออะไร ใน Stranger Things 3
New Coke ถูกนำมาแสดงให้เห็นในเรื่องหลายต่อหลายครั้ง จนรู้สึกว่าเป็นการไทอินโฆษณาแฝงหรือเปล่า ซึ่งจริงๆ ก็เป็นไปตามนั้นครับ เรื่องราวของ New Coke เกิดขึ้นตรงกับปีในเรื่องพอดี และยังเป็นการสะท้อนภาพรอยต่อความขัดแย้งของของสิ่งใหม่ ที่พยายามเข้ามามีอิทธิพลกับผู้คนในยุคเก่า เหมือนดั่งเช่นการมาถึงของห้างสรรพสินค้าสตาร์คอร์ท ที่ผู้คนในเมืองเลือกที่จะต่อต้านประท้วง แบบเดียวกับเหตุการณ์ต่อต้าน New Coke นี่เช่นกันครับ ซึ่งตอนนี้ Coke ได้นำ New Coke กลับมาขายใหม่ในแบบลิมิเต็ดอีกครั้งข้อมูลอ้างอิงจาก www.marketingoops.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น