วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

Titans Season 2

หนัง HD

รีวิว Titans Season 2 - โหดและดาร์กมากกว่าเดิม เพิ่มเติมตัวละครใหม่

ต้นฉบับของซีรีส์เรื่องนี้ดัดแปลงจากการ์ตูน Teens Titans แต่รอบนี้เล่าเรื่องแบบโคตรดาร์ก โหด ดิบ เถื่อน 18+ และเรื่องราวก็ยิ่งเพิ่มความดราม่ามากขึ้นในซีซัน 2 นี้ รีวิว Titans Season 2

เรื่องย่อ

เหล่าไททันส์ต้องเผชิญภัยครั้งใหม่จาก เดธสโตรค (อีไซ มอราเลส) ทหารรับจ้างเมตาฮิวแมนที่กลับมาชำระบัญชีแค้นกับ ดิ๊ก เกรสัน หรือ โรบิน (เบรนตัน เทวตส์) และพวก มิหนำซ้ำบริษัทแคตมัสยังอุตริโคลนนิงเมตาฮิวแมนนาม คอนเนอร์​(โจชัว ออร์พิน)ที่ผสมยีนของซูเปอร์แมนและเล็กซ์ ลูเธอร์เข้าด้วยกันที่ไม่อาจรู้ได้เลยว่าเขาจะเป็นมิตรหรือศัตรูกับเหล่าไททันส์ ในขณะที่ เรเชล (ทีแกน ครอฟต์) ก็ต้องหัดควบคุมพลังอันมหาศาลของตัวเองให้ได้ก่อนโลกจะวิบัติ ส่วน คอรี (แอนนา ดิออป) ก็ต้องตัดสินใจครั้งสำคัญเมื่อคนรักเก่ามาตามเธอกลับบ้านถึงโลก รวมไปถึงการเข้ามาของ โรส (เชลซี จาง)เด็กสาวเมตาฮิวแมนเร่ร่อนที่ดันเป็นลูกสาวแท้ ๆ ของสเลด วิลสัน หรือ เดธสโสตรค ที่อาจทำให้ชะตากรรมของไททันส์ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

หลังจากซีซันแรกได้ปูพื้นตัวละครในจักรวาลดีซีได้อย่างน่าสนใจรวมถึงความโหดของซีรีส์ที่มาคนละเบอร์กับซีรีส์ฮีโรดีซีเรื่องอื่นที่ฉายทางช่อง CWมาในซีซัน 2 นี้ก็ดูว่าทาง เกร็ก เบอลานติ โชว์รันเนอร์ของซีรีส์ต้องการขยายจักรวาลของซีรีส์ไปให้ไกลกว่าเดิม ที่สำคัญยังกล้าเสี่ยงเอาตัวละครอย่างบรูซ เวย์น หรือ แบทแมน เข้ามาสู่จักรวาลด้วย

ซึ่งแน่นอนล่ะว่าพอจะพยายามโยงแบทแมนเข้ามาจากซีซันเดิมที่เราได้ดูวีรกรรมและชะตาชีวิตของเหล่า  “ผู้ช่วยฮีโร” หรือ “ฮีโรนอกคอก”ที่พยายามเดินออกมาจากเงาฮีโรคนดัง ก็กลายเป็นว่าซีซันนี้เรากำลังมาดูเส้นทางฮีโรของตัวละครในซีซันก่อนที่ยังหลุดไม่พ้นเงาของแบทแมนอยู่ดี

มิหนำซ้ำการดึงสเลด วิลสัน หรือ เดธ สโตรค มาคราวนี้ยังทำให้เห็นถึงทางตันของความคิดสร้างสรรค์ของทีมเกร็ก เบอร์ลานติ เพราะดันใช้ผู้ร้ายรีไซเคิลจากซีรีส์ Arrow อีกแล้ว ซ้ำร้ายการพยายามโยงซูเปอร์แมนเข้ามาในจักรวาลยังดูแถ ๆ ยังไงชอบกลด้วย แต่ก็อย่างว่าข้อดีหลักของซีรีส์เลยคือการสร้างสถานการณ์ชวนติดตามและฉากบู๊ที่พยายามดีไซน์ให้ดูโหดสะใจคอหนังแอ็กชัน

เนื้อเรื่อง

โดยโครงเรื่องหลักของซีรีส์ซีซันนี้แล้วอาจแบ่งเส้นเรื่องสำคัญได้ 3 เส้นเรื่อง โดยโครงใหญ่สุดหนีไม่พ้นอดีตแค้นกับ เดธสโตรค ที่มาเกี่ยวพันกับตัวละครอีก 2 ตัวทั้ง เจริโค (เชลลา แมน) ลูกชายคนโตเชื้อสายละตินที่พูดไม่ได้เพราะถูกล้างแค้นถึงบ้าน ซึ่งด้วยชะตากรรมอันน่าเศร้าของเจริโคได้ทิ้งทั้งรอยแค้นให้กับสเลด วิลสัน และสร้างความแตกแยกให้กับกลุ่มไททันส์เดิมทั้ง ดิ๊ก แฮงค์ ดอว์น และ ดอนน่า
จากการสูญเสียเพื่อนร่วมรบไปในศึกของพวกเขากับเดธสโตรค ซึ่งซีรีส์ใช้เวลากับฉากย้อนอดีตนี้ไปถึง 2 ตอนแต่ก็ถือว่าเล่าเรื่องได้ดีและช่วยให้เราเข้าใจปมรอยร้าวในไททันส์เดิมได้ดีขึ้น ส่วนเรื่องราวในปัจจุบันเมื่อ ไททันส์ ได้อ้าแขนต้อนรับ โรส วิลสัน เข้ามาโดยไม่รู้เจตนาที่แท้จริงเพื่อให้เรื่องราวเข้มข้นและเดาทางไม่ถูกซึ่งแนวทางการเล่าเรื่องในตอนแรกก็ทำได้น่าสนใจดีนะ เพราะโรสถูกแนะนำตัวเป็นตัวละครนิรนามก่อนเผยว่าที่แท้เป็นลูกสาวเดธสโตรค

และถูกฝึกให้กลายเป็นนักฆ่าเมตาฮิวแมนนาม เรเวเจอร์ ก่อนที่เธอดันไปมีสัมพันธ์โรแมนติกกับ เจสัน ทอดด์ (เคอแรน วอลเธอร์ส)หรือโรบินรุ่นสองนั่นแหละที่ทำให้เรื่องราวดูซับซ้อนเกินความจำเป็นจนแทนที่จะมาปูเรื่องอื่น ๆ ให้หนักแน่นซีรีส์ก็เสียเวลาไปมากพอสมควร ยังดีที่บท โรส ได้ เชลซี จาง หรือ น้องหมวยจากซีรีส์ Daybreak ที่น่ามองไปซะทุกซีนโดยเฉพาะซีนน้องนุ่งบีกีนีนี่แซ่บจนลืมความไม่สมเหตุสมผลของตัวละครไปเลย ฮ่าาาา

เส้นเรื่องที่สองคือเรื่องของ คอนเนอร์ ที่ดูแล้วทางเบอลานติดูจะพยายามโยง “ความเป็นซูเปอร์แมน” เข้ามาให้ TITANS น่าสนใจยิ่งขึ้นโดยเริ่มจากการตามหาตัวตนของตัวเอง จนนำไปสู่การแนะนำให้ผู้ชมรู้จักแคตมัสบริษัทของเล็กซ์ ลูเธอร์ คู่ปรับตลอดกาลของซูเปอร์แมนที่ทำการโคลนนิ่งคอนเนอร์ขึ้นมา

ซึ่งความน่าสนใจของตัวละครคอนเนอร์คือการที่ตัวละครต้องเรียนรู้ทั้งด้านมืดและด้านสว่างซึ่งแปรผันไปตามสภาพแวดล้อมจนเขามาอยู่กับไททันส์ในระยะเวลาสั้น ๆ ก่อนจะสร้างความโกลาหลเมื่อ คอนเนอร์ ถูกทิ้งให้อยู่กับ การ์ (ไรอัน พอตเตอร์)จนถูกทางแคตมัสจับตัวไปพร้อมกัน เพื่อตอกย้ำความผิดของดิ๊กที่ทิ้งให้ทีมต้องสู้กันลำพัง ก็ถือว่าเรื่องราวในส่วนนี้ทำให้เราเห็นใจดิ๊กมากขึ้นแต่ก็น่าเสียดายที่ยังปูพื้นตัวละครคอนเนอร์ยังไม่น่าสนใจเท่าไหร่เลยกลายเป็นตัวละครที่ยังไม่น่าจดจำนัก

ส่วนเส้นเรื่องที่ 3 เป็นของคอรี หลังซีซันที่แล้วทิ้งไว้ว่าเหตุผลที่เธอเดินทางมาโลกก็เพื่อสังหาร เรเชล ก็ทำให้เราต้องเอาใจช่วยให้คอรีเอาชนะด้านมืดของชาติกำเนิดเดิมเธอให้ได้ จนเมื่อคนรักเก่าเดินทางมายังโลกเพื่อตามเธอกลับบ้านนั่นแหละที่ทำให้เรื่องราวพลิกผันและมีเหตุให้เธอต้องแยกจากกลุ่มไททันส์อยู่เรื่อย ๆ ตลอดซีซัน

เอาจริง ๆ ถ้าว่าถึงพาร์ตโรแมนติกในส่วนของคอรีทำได้ดีเลยนะ ทั้งการกำกับการแสดงและเสน่ห์ของนักแสดง และที่สำคัญคือเรื่องราวของคอรียังกลายเป็นไพ่สำคัญที่ตอนท้ายของซีซัน 2 นี้ทิ้งไว้ให้เราตามต่อในซีซันถัดไปด้วยจะเสียดายก็แค่ว่าเราหวังว่าจะเห็นกองทัพที่ แบล็กไฟร์ พี่สาวตัวร้ายของเธอส่งมาถล่มโลกแต่ดันไม่มี ซึ่งก็ต้องตามต่อในซีซันถัดไปซึ่งเชื่อว่าจะยิ่งใหญ่และน่าติดตามมากกว่าเดธสโตรคแน่นอน

พ้นจากเรื่องราวที่เข้มข้นพอสมควรแล้ว ฉากแอ็กชันก็ถือเป็นหนึ่งในจุดขายหลักของซีรีส์ TITANS โดยเฉพาะซีซันนี้ที่ดูจะอัดฉากบู๊มามากเป็นพิเศษ เมื่อมีตัวละครอย่างโรสเข้ามา ซึ่งการได้ดูสาวสวยมาเตะต่อยในมาดอีสาวตาเดียวสุดฮอตก็ทำให้ซีรีส์มีอะไรน่ามองดีเหมือนกัน นอกเหนือจากคิวบู๊ของ เบรนตัน ทเวตที่เป็นโรบินแล้ว

แต่ก็ต้องยอมรับว่าการที่ซีรีส์ 1 ซีซันมีผู้กำกับหลายคนก็ทำให้คุมคุณภาพฉากบู๊ได้ยากเหมือนกันแต่ตอนที่เลวร้ายที่สุดคือตอนที่กำกับโดย เควิน ตันเจริญ ผู้กำกับชาวไทยที่กำกับเว็บสตรีมหนังซีรีส์ให้ DC และ เบอลานติ มาแล้วทุกเรื่อง ซึ่งก็ถือว่าน่าเสียดายไม่น้อยที่เควินซึ่งทำผลงานดีมาตลอดกลับมาเสียชื่อด้วยซีรีส์ตอนเดียวเท่านั้นเอง เพราะภาพที่ออกมาเหมือนนักแสดงยังซ้อมคิวบู๊ไม่เสร็จ ดูออกเลยว่าเป็นคิว ต่อย หลบ สวน ชัดเจนมาก ถือว่าน่าเสียดายไม่น้อยเลยทีเดียว

ตัวละครที่เพิ่มเข้ามา

คอร์นเนอร์ คลาร์ก หรือ ซุปเปอร์บอย Superboy

เด็กหนุ่มปริศนาที่ตื่นขึ้นมาในหลอดแคปซูล เขาถูกโคลนนิ่งจากยีนส์ของซุปเปอร์แมนและเล็กซ์ลูเธอร์ ทำให้มีพลังของซุปเปอรแมนและสติปัญญาของลูเธอร์ แต่ด้านจิตใจและความคิดอ่านเป็นผ้าขาวเหมือนเด็กไม่กี่ขวบ การปรากฏตัวของเขาถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญอีกหนึ่งของเรื่องราวที่ถูกขยายให้ยิ่งใหญ่ขึ้น

เดธสโตรก Deathstroke

นักฆ่าอันดับต้นๆของโลก เป็นอดีตทหารผ่านศึก เชี่ยวชาญการใช้อาวุธแทบทุกประเภท รับจ้างทำงานเพื่อเงินเป็นหลัก เขามีความแค้นแบบฝังรากลึกของทีมไททันส์ชนิดที่ถือว่าเป็นต้นเหตุหลักที่ทำให้ไททันส์รุ่นแรกถูกยุบ

สำหรับในต้นฉบับคอมิค DC เดธสโตรกถือว่าเป็นตัวร้ายที่มีบทบาทและความสามารถอันดับต้นๆในบรรดาศัตรูของ Batman ซึ่งเคยต่อสู้ประมือกันหลายครั้ง

รีวิว Titans Season 2
ข้อเสีย
ข้อเสียของซีซันสองนี้ก็มี แถมสำคัญด้วย ข้อเสียอันแรกก็คือ การดำเนินเรื่องที่ “จะดราม่าไปไหน” ทำให้บางตอนเดินเรื่องช้าและยืดพอสมควร แต่ก็พอจะเข้าใจได้สำหรับคอนเซปต์ที่เน้นความดราม่าขนาดนี้ เพราะนี่คือเรื่องของ “ทีมซุปเปอร์ฮีโร่วัยรุ่น” ที่ตัวละครทั้งหมดยังขาดวุฒิภาวะและความคิดอ่านที่มากพอ

แม้ว่าจะมีตัวละครประเภทฮีโร่พลังสมบูรณ์แบบอยู่ในเรื่องด้วย แต่จิตใจ ประสบการณ์ชีวิต ความคิดต่างๆของพวกเขาก็ยังเป็นเพียงวัยรุ่นและผู้ใหญ่ที่เพิ่งจะกลายเป็นผู้ใหญ่ธรรมดา อย่างเช่น ดิ๊ก ซึ่งแม้ว่าจะเติบโตขึ้น แล้วพยายามสลัดคราบของโรบินที่อยู่ใต้เงาของแบทแมนผู้ยิ่งใหญ่ออกไป แต่ด้วยความที่ความคิดอ่านของก็ยังมีไม่มากพอ ก็ทำให้เขาตัดสินใจผิดพลาดในเรื่องหลายครั้ง แม้ว่าจุดเริ่มต้นจะมาจากเจตนาดีก็ตามที ซึ่งในเรื่องนี้เน้นประเด็นความไม่สมบูรณ์แบบหลายครั้งมาก แล้วตัวดิ๊กเองก็เป็นต้นเหตุของปมปัญหาใหญ่ในเรื่องด้วย จากการที่เขาไม่ยอมเปิดปากพูดความจริงหรือเปิดปากพูดในเรื่องที่ควรจะพูดมากพอ

ข้อเสียอีกจุดคือ ฉากต่อสู้ที่บางฉากยังดูทำไม่ถึงเท่าไหร่ คือพอดูก็รู้เลยว่างบประมาณในฉากสู้บางซีนใช้ทุนต่ำ (ทำใจ) ด้าน CG มีบางตอนดูลอยเห็นได้ชัด แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายมากนัก อีกทั้งในภาพรวมก็ถือว่าทำฉากแอ็กชั่นแนวฮีโร่ได้ดีเท่าที่ได้งบสำหรับทำลงซีรีส์ได้แล้ว เพราะมีบางฉากต่อสู้ที่ถือว่าทำได้ดูดีกว่าในบางฉากแอ็กชั่นของซีรีส์ฮีโร่จากมาร์เวลอย่าง Daredevil ที่ค่อนข้างเด่นในเรื่องนี้ด้วยซ้ำ

ส่วนจุดเสียอีกจุด ที่ถือว่าเป็นจุดด่างพร้อยของซีรีส์นี้เลยก็ว่าได้ นั่นคือซีนสำคัญฉากหนึ่งในตอนจบของซีซัน 2 หรือในตอนที่ 12 นี่เอง ซึ่งเพียงแค่ 4-5 นาทีในซีนนี้ กลับทำให้ความยอดเยี่ยมทุกอย่างของซีรีส์แทบจะพังทลายเลย

ภาพรวมแล้ว นี่ก็ยังคงเป็นซีรีส์แนวฮีโร่ที่ไปได้ไกลเกินกว่าแค่การเป็นซีรีส์ฮีโร่ทั่วไป ไม่เพียงแต่กล้าเล่าเรื่องในแบบโคตรดาร์ก โคตรดิบ 18+ แล้วยังกล้าที่จะเลือกเล่าเรื่องราวของฮีโร่ที่มีภาพลักษณ์ขาวสะอาดว่าแท้จริงแล้วทุกคนก็ยังเป็นเพียงมนุษย์ หรือแม้แต่ตัวละครลูกครึ่งเทพหรือมนุษย์ต่างดาว สุดท้ายแล้วก็เป็นเพียงคนที่มีทั้งเทพปีศาจร้ายอยู่ในตัวเอง อยู่ที่ว่าเราจะเลือกเดินทางไหน หรือเมื่อทำผิดพลาดไปแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว เราจะเลือกหนีหรือยอมรับมันแล้วเดินหน้าต่อครับ

สรุป

TITANS ซีซัน 2 ก็คือความพยายามที่เบอลานติจะขยายจักรวาลของไททันส์ให้กว้างขึ้นและอาศัยชื่อเสียงของฮีโรดัง ๆ มาแจ้งเกิดฮีโรหน้าใหม่ ซึ่งข้อดีก็ทำให้ได้คาแรกเตอร์หลากหลายมากขึ้นและเรื่องราวขยายไปเล่าในจักรวาลที่กว้างขึ้น แต่ช่องโหว่ที่ซีรีส์ทิ้งไว้เต็ม ๆ คือการปูพื้นฐานหรือให้เวลากับการปูความผูกพันกับคนดูไม่มากพอ ยิ่งตอนจบพยายามให้มีโศกนาฏกรรมก็ทำให้อารมณ์ดราม่าที่ควรจะพีคในตอนสุดท้ายกลายเป็นซีนที่ดูผ่าน ๆ และตัวละครที่ต้องลาโลกไปก็ถูกลืมไปง่าย ๆ อย่างน่าเสียดาย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น