วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

Black Summer - ปฏิบัติการนรกเดือด

ดูหนังสด

รีวิว Black Summer - ปฏิบัติการนรกเดือด

ถือเป็นซีรีส์ที่สร้างโดย Netflix ที่เกี่ยวกับซอมบี้อีกเรื่องและผมคิดว่ามันสนุกใช้ได้เลยทีเดียวครับ แม้ว่าในความเป็นจริงไม่มีคอนเซ็ปต์อะไรใหม่เลย ถ้าคุณเป็นแฟนหนังซอมบี้และดูมาเยอะ ปฏิบัติการนรกเดือด นี้นำเอาไอเดียจากหนังซอมบี้หลายๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น 28 Days Later, The Walking Dead และ World War Z แถมมีกลิ่นอายของ Fear the Walking Dead อยู่ด้วย รีวิว Black Summer

เรื่องย่อ

โลกได้เกิดเหตุการณ์ที่ราวกับเป็นวันโลกาวินาศ เหล่าผู้คนได้ติดเชื้อจนกลายเป็น ซอมบี้ ไล่กัดกินกันเอง แถมความน่ากลัวของซอมบี้ในเรื่องนี้ต่อให้ไม่ถูกกัดแค่คุณตายไปร่างกายของคุณก็จะฟื้นขึ้นมากลายเป็นซอมบี้พร้อมจะหาเหยื่อมากัดกินแพร่เชื้อต่อไป โดยผู้ที่รอดชีวิตจะต้องอพยพไปยังสนามกีฬา โดยเรื่องราวจะเล่าผ่านตัวละครหลายๆ คนจนกระทั้งทุกคนมาบรรจบกัน โรส หญิงสาวที่เสียสามีไปเพราะทหารไม่ให้ขึ้นรถอพยพไปด้วย เพราะสามีของเธอติดเชื้อ แต่ทว่าลูกสาวของเธอดันติดรถทหารไปยังสนามกีฬาก่อนแล้ว ทำให้เธอต้องมุ่งหน้าไปเพื่อเจอลูกสาวของเธออีกครั้งนึง


ซีรีส์ใช้มุมกล้องตามหลังนักแสดงในหลายๆฉากและมีการเคลื่อนไหวของกล้องเยอะและไว ตรงนี้อาจจะทำให้บางคนเวียนหัวได้นะครับ ยิ่งถ้าใครดูบนรถด้วยไม่ควรอย่างยิ่ง มุมกล้องแบบนี้ช่วยเพิ่มอารมณ์ความตื่นเต้นและด้วยความที่ซีรีส์มีฉากแอ็คชั่นเยอะ เราจะได้เห็นมุมกล้องแบบนี้ค่อนข้างบ่อย

ซอมบี้มีความดุดเดือดและค่อนข้างฉลาดกว่าซอมบี้เรื่องอื่นๆ ที่สำคัญพวกมันวิ่งไวมากแถมตามกัดไม่เลิกด้วยนี่สิ แถมกลายร่างไวมาก เรียกว่าไม่ทันตั้งตัว (คุ้นๆไหมครับ) ส่วนสิ่งที่ต่างกับซอมบี้ที่เราคุ้นเคยคือความเละ ซอมบี้ใน Black Summer จะดูไม่เละแหวะมากนักแต่อาจจะเป็นเพราะเป็นแค่ช่วงเริ่มต้นเกิดเรื่อง

หนัง/ซีรีส์ซอมบี้ ขาดไม่ได้เลยคือความไม่ฉลาดของตัวละคร แต่เรื่องนี้ส่วนเหล่านั้นถูกตัดตอนออกไปค่อนข้างเยอะ นั่นแปลว่าเราจะไม่ค่อยได้หงุดหงิดกับตัวละครมากนัก แต่สิ่งที่เราจะหงุดหงิดคือการแสดงของตัวละครบางตัวที่แสดงได้แข็งและบทบาทไม่สมเหตุสมผลเลย

อย่างเช่นตัวละครรองที่เป็นคนเกาหลี ที่นางพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลยพูดแต่ภาษาเกาหลีทั้งเรื่อง แต่ซีรีส์กลับทำให้ตัวละครอื่นๆในเรื่องเหมือนฟังเจ๊แกออก แถมซับก็ไม่ใส่มาให้เราด้วย ใครดูจะพลาดรายละเอียดตรงจุดนี้ไปเยอะครับ เว้นแต่เราจะฟังเกาหลีออก แถมนางแสดงได้แข็งและแอ็คติ้งเวอร์กว่าความเป็นจริงมากๆ ดูแล้วหงุดหงิดใจมากกว่าอะไรทั้งปวง

การดำเนินเรื่อง

หนึ่งในตัวละครหลัก โรส และครอบครัวของเธอ ประกอบด้วยลูกสาวและสามี จึงพากันวิ่งไปขอทหารขึ้นรถ ระหว่างตรวจเอกสาร คนลูกนั้นได้ขึ้นรถไปอย่างปลอดภัย ส่วนคนพ่อถูกทหารจับได้ว่ามีบาดแผลและดูเหมือนจะติดเชื้อ ทหารจึงทิ้งสามีและโรสรวมทั้งคนอื่น ๆ ไว้ให้เอารอดชีวิตกันเอง ก่อนที่ทหารทั้งหมดจะขึ้นรถและขับตรงไปยังสนามกีฬา เธอจึงต้องทำทุกวิธีทางเพื่อไปยังสนามกีฬาและไปหาลูกสาวของเธออีกครั้งให้จงได้!

แต่เรื่องราวก็ไม่ได้โฟกัสที่ตัวละครใดตัวละครหนึ่งเป็นหลัก มีหลากหลายตัวละครหลากหลายนิสัยมากให้เราเลือกเชียร์ ทั้งตัวที่เก่ง ไม่เก่ง ตัวถ่วง ตัวใจดี ตัวเลว เรามาดูกันว่าตัวไหนจะไปถึงสนามกีฬาได้บ้าง บ้างก็มีหักหลัง บ้างก็ร่วมมือร่วมใจกันเอาชนะฝ่าฟัน แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้ไปถึงสนามกีฬากันหมดทุกคน

ความรู้สึกหลังดู

ความสนุกของเรื่องมันเริ่มต้นตั้งแต่ 5 นาทีแรกที่คลิปเข้าไปดูหนังเลยครับ ด้วยความที่หนังเรื่องนี้ส่วนมากจะถ่ายเป็นดูหนังสด LONGTAKE บ่อยมาก ทำให้บรรกาศที่หนังนำพาเราไปรู้สึกสมจริง และคอยลุ้นไปตามเหตุการณ์ในแต่ละซีน โดยหนังจะเล่าผ่านเหตุการณ์ของแต่ละบุคคล สถานที่

แล้วให้เราจับต้นชนปลายกันเองว่า คนนี้มาได้ยังไง แล้วซีนนี้มันเกิดขึ้นตอนไหน หมอนี่เป็นใครทำอะไรมาก่อน เลวรึเปล่า ความต้องการของเค้าคืออะไร?!ก่อนดูซีรีย์เรื่องนี้ก็พอจะได้ยินมาหน่อยนึงแล้วว่าจะเป็นแบบนี้ ก็กลัวว่าดูๆ ไปแล้วจะไม่เข้าใจเหตุการณ์ แต่ไม่เลย ผิดคาดมาก!! หนังเล่าได้อย่างชาญฉลาดทำให้เราเข้าใจได้โดยไม่ยากเลย

และยังความสมจริงของซอมบี้เรื่องผมจัดว่าดีระดับนึงเลย เพราะถ้าเป็นซอมบี้จริงผมว่ามันตายยากอย่างนี้แหละถูกแล้ว เพราะเอาจริงๆ เราจะเห็นบางเรื่องซอมบี้โดนหวดนิดหน่อยก็ตายแล้ว ทั้งๆ ที่ความจริงร่างกายของมนุษย์นั้นแข็งมาก การจะตีกระโหลกให้แตกทีเดียวเอาไม่อยู่แน่ๆ

ซีรีย์ก็เก็บรายละเอียดตรงนี้ค่อนข้างดี และอีกจุดนึงที่ผมทั้งชอบและก็ไม่ชอบเลยไปพร้อมๆ กันก็คือทำไมตัวละครในเรื่องถึงไม่ชอบยิงหัวซอมบี้กันเลย ทั้งๆ ที่รู้ว่าจุดอ่อนมันอยู่ที่หัว แต่ในอีกแง่นึงก็คือชอบตรงนี้แหละ เพราะเอาเข้าจริงๆ ในสถานการณ์แบบนั้น ระยะห่างขนาดนั้น กับจำนวนกระสุนที่ไม่ได้มีเหลือเฟือ ก็คงจะกดดัน เพราะการเล็งยิงหัวของใครสักคน ถ้าไม่ใช้ ฮอว์คอาย คงทำกันไม่ได้ง่ายๆ (ฮา)

รีวิว Black Summer

จุดที่ชอบ

ส่วนข้อดี ผมบอกเลยว่าผมชอบวิธีการเล่าเรื่องของเรื่องนี้เอามาก ๆ ด้วยการตั้งชื่อซีนแต่ละซีนเอาไว้ มันทำให้ผมคิดว่าเออ ถ้าตั้งชื่อซีนอย่างนี้มันควรจะเป็นแบบนี้ แต่ที่ไหนได้! บางซีนเล่าได้กวนมาก แถมวิธีการถ่ายวิดิโอแบบ Long Take(ถ่ายฉากยาว ๆ กล้องไม่ตัด), Handheld (ใช้มือถ่าย) บ่อย ๆ ก็เป็นอะไรที่ผมชอบมาก

ทำให้อารมณ์ไม่ค่อยสะดุดรู้สึกเหมือนอินและเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ด้วย มีการถ่ายมุมมองของแต่ละตัวละครว่าคนนี้เห็นอะไรไม่เห็นอะไร ถ่ายจากด้านหลังติดตามตัวละครให้ลุ้นระทึก คือเว็บสตรีมหนังติดตามแม้กระทั่งมุมมองของซอมบี้! ว่าจะไปไล่กัดคนยังไง คือมันดูแปลกและสนุกดี ถ้าเรามองข้ามข้อเสียข้ออื่น ๆ ไป

ข้อเสีย

ก็พูดถึงจุดที่ชอบไปพอสมควรแล้ว ก็มาพูดกันถึงจุดที่ไม่ค่อยชอบบ้างดีกว่า ก็มีหลายจุดอยู่เหมือนกัน จริงอยู่ที่ว่าซีรีย์นี้เปิดตัวได้น่าดูมาก เพราะตัวละครที่ซีรีย์นี้นำเสนอเป็นคนแรกๆ ล้วนมีสตอรี่กับคาแร็คเตอร์ที่น่าสนใจ บวกกับการแสดงที่ดี แต่พอเรื่องดำเนินมาเรื่อยๆ นั้นเราจะพบจุดที่น่าหงุดหงิดของตัวละครบางตัวที่แบบอะไรของเอ็งงงง !!!

ทำไมไม่มีเหตุผลเอาซะเลย บางคนก็ไม่ฉลาด ไอเรื่องยิงหัวซอมบี้ยากพอเข้าใจ แต่มันจะมีพวกหนีๆ หลบๆ ซอมบี้อยู่ แต่ไม่ปิดประตูครับ ทั้งๆ ที่ปิดล็อคก็รอดแล้วแท้ๆ ทั้งยังสตอรี่กลางเรื่องช่วงอยู่โรงเรียนเด็กก็ค่อนข้างจะเนือย แล้วงงเล็กน้อยว่า ไอเด็กที่อยู่ในโรงเรียนความต้องการของมันคืออะไร สนุกเหรอ เอาตัวรอดเหรอ แล้วมันเก่งเกินเด็กไปหน่อยรึเปล่า แต่พอพ้นช่วงนั้นเนื้อเรื่องก็กลับมาระทึกเหมือนเดิมครับ แต่ก็นะบางคนอาจจะชอบในจุดที่ผมไม่ชอบ หรือไม่ชอบในจุดที่ผมชอบก็ได้ ก็แล้วแต่คนๆ ไป

ข้อเสียที่ผมมองเห็นในเรื่องนี้ แล้วอยากแนะนำเลยว่าหากใครไม่ชอบตัวละครที่ค่อนข้างงี่เง่า (ซึ่งจะมีตัวละครจำพวกสร้างเรื่องเสมอในหนังซอมบี้) ท่านอาจจะอารมณ์เสียแล้วด่าพี่แกได้ตลอด หงุดหงิดเอาได้ และท่านไหนที่หงุดหงิดกับความไม่สมเหตุสมผลบางอย่าง ด้วยความเอาเน้นมันของเรื่องนี้ก็อาจทำให้ท่านร้องว่า เอออย่างนี้ก็ได้เหรอฟะ!

สรุป

โดยรวมผมยกให้ซีรีส์นี้เป็นอีกเรื่องจาก Netflix ที่แฟนซอมบี้ไม่ควรพลาดครับ แม้ว่าในซีซั่นแรกจะมีการนำเสนอที่อาจจะน่าหงุดหงิดไปนิด เพราะกระโดดไปกระโดดมา เพื่อเป็นการแนะนำตัวละครและพยายามช่วยเราปะติดปะต่อเรื่อง แต่ผมรู้สึกว่ามันกระโดดถี่เกินไปนิด น่าจะตัดทอนให้มันดูต่อเนื่องมากกว่านี้

นอกนั้นในแง่ของความกดดันทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว ถ้าคุณมองข้ามความไม่สมเหตุสมผลของมันไปได้ ซีรีส์นี้ก็ดูเพลินไม่น้อยเลยแหละครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น