วันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

You Season 2 - คุณ

หนัง HD

รีวิว You Season 2 - คุณ ด้านมืดของเทคโนโลยี กับรักครั้งใหม่

หลัง YOU ซีซันแรกที่ปล่อยสตรีมมิงปีก่อนในช่วงท้ายปีแบบนี้ได้สร้างเสียงฮือฮาทั้งในแง่การโปรโมตที่พยายามโยงเทคโนโลยีสตอล์คเกอร์เข้ากับชีวิตประจำวันให้เห็นด้านมืดของเทคโนโลยี และตัวซีรีส์ที่ทำให้เห็นด้านมืดของความรักซึ่งถือเป็นจุดเด่นมาตั้งแต่ฉบับนิยายของ แคโรไลน์ เคปเนส แล้ว รีวิว You Season 2

ซึ่งในซีซันที่ 2 นี้ก็ดัดแปลงมาจาก Hidden Bodies ภาคต่อของ YOU ที่เล่าถึงชีวิตในบทต่อมาของ โจ โกลด์เบิร์กกับรักครั้งใหม่ และสิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนคือไทม์ไลน์ในการเล่าเรื่องที่ทวีความซับซ้อนมากขึ้น จนทำให้ภาพรวมของซีรีส์ในแต่ละตอนมีปมใหญ่ ๆ ให้ขมวดกันอย่างเข้มข้นเลยทีเดียว

เรื่องย่อ

หลังก่ออาชญากรรมจนรอดอาญามาจากนิวยอร์ก โจ โกลด์เบิร์ก (เพนน์ แบดจ์ลีย์) ย้ายมายังแอลเอพร้อมชื่อใหม่ วิล พร้อมความหวังจะเริ่มต้นชีวิตใหม่แบบปราศจากอาชญากรรม แต่แล้วก็หนีไม่พ้นวังวนเดิม ๆ นอกจากงานร้านหนังสือที่กลับมาเป็นอาชีพอีกครั้งก็ยังทำให้เขาได้พบกับ เลิฟ ควินน์ (วิกตอเรีย เพดเรทติ) รักครั้งใหม่ที่อาจทำให้เขากลับสู่ด้านมืดอีกครั้ง ในขณะที่การได้รู้จักกับ ดีไลลา (คาร์เมลา ซุมบาโด) และ เอลลี (เจนนา ออร์เทกา) พี่น้องผู้ดูแลบ้านเช่าก็อาจทำให้เขาได้สวมบทฮีโรช่วยทั้งคู่จากการตกเป็นเหยื่อกามของดาราดังจนอาจเปลี่ยนเขาให้กลับสู่ด้านสว่างอีกครั้ง แต่ทว่าการปรากฎตัวของ  แคนเดซ (แอมเบียร์ ไชลด์เดอร์ส์) อดีตคนรักที่รอดจากเงื้อมมือของเขาก็อาจทำให้โจไม่อาจปกปิดตัวตนของเขาได้อีกต่อไป

ถ้าใครที่ยังไม่ได้ดูซีซั่นแรกไม่รู้ว่า YOU เป็นเรื่องราวแนวไหน คลิกอ่านที่นี่ก่อนนะครับ สำหรับคนที่ดูแล้วก็คงสงสัยว่าซีรีส์เรื่องนี้จะเดินไปในทิศทางไหน หลังจบซีซั่นแรกแบบที่ให้ “แคนเดซ” ตัวละครแฟนเก่าคนแรกสุดของโจกลับมา ซึ่งเรื่องราวจะต่อกันทันทีเลยจากตอนจบ

ในช่วงแรกคือการที่โจต้องย้ายไป LA เพื่อหนีแคนเดซที่ตามมาราวีทวงความแค้นที่เขาเคยทำกับเธอ โดยที่ไม่ได้คิดจะไปแจ้งความเพราะคิดว่าคนอย่างเขาถึงติดคุกไปก็คงไม่ได้สำนึกผิดต้องโทษคนอื่นตามนิสัยติดตัวที่เราเห็นกันมาตลอดซีซั่นแรกนั่นแหละครับ

มาถึงตรงนี้คนดูอาจจะสงสัยว่า เฮ้ย! หนังเล่นง่ายไปรึเปล่ากับการให้ฆาตกรต่อเนื่องอย่างโจไม่โดนแจ้งความจับส่งตำรวจให้จบๆ ไป ก็ต้องบอกว่าภาคนี้เหมือนคนสร้างทำการบ้านมาดีขึ้นมากๆ ลดจุดบอดของเรื่องราวออกไปเยอะจนดูน่าเชื่อถือว่าซีซั่นแรก ซึ่งถ้าใครดูแบบจับผิดนี่มีแผลเหวอะหวะมากมาย แม้แต่คนที่ชอบอย่างผมก็ยังยอมรับว่าเรื่องราวพล็อตโฮลเยอะจริง

แต่ด้วยความที่มันเป็นหนังในแบบให้เราเอาใจช่วยแอนตี้ฮีโร่ให้ทั้งสมหวังในความรัก (ที่จิตวิปริต) ไปพร้อมกับการที่ลุ้นให้พระเอกรอดจากคดีฆาตกรรมที่ตัวเองก่อ การดูเรื่องนี้จึงต้องละทิ้งหนังสืบสวนไล่ล่าฆาตกรให้จนมุมอะไรแบบนั้นไปครับ ถ้าใครดูซีรีส์ Dexter มาจะเข้าใจ แถมในภาคนี้ยังมีประโยคอ้างอิงไปหาโจว่า คิดว่าตัวเองเป็น Dexter เหรอ? อีกด้วย

อย่างที่บอกไปด้านบนตัวเรื่องราวแรกๆ อาจจะดูง่ายๆ แต่หนังจะค่อยๆ มีคำอธิบายตามมาเรื่อยๆ ถึงการที่แคนเดซไม่ไปแจ้งความในแบบฉากแฟลชแบ็คไปยังเหตุการณ์สุดท้ายของเขากับแคนเดซ ซึ่งพอเฉลยทั้งหมดเราก็ได้เห็นว่า จริงๆ แล้วจุดจบของแคนเดซกับโจต่างกับเบ็คมากอยู่

และเรื่องราวในช่วงครึ่งแรกของการเริ่มชีวิตใหม่ใน LA หนังเล่าเรื่องเหมือนฉายหนังซ้ำกับซีซั่นก่อนกับเบ็คแบบจงใจ แต่มีรายละเอียดใหม่ๆ เพิ่มเข้ามาคือการที่โจพยายามเรียนรู้ข้อผิดพลาดไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเดิมกับเบ็ค ซึ่งสาวคนใหม่ที่โจหมายปองคือ “เลิฟ” สาวสวยในที่ทำงานเดียวกันกับเขานั่นเอง

การเล่าเรื่อง

โดยโทนในการเล่าเรื่องของ YOU ในซีซัน 2 นี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากนัก หลายสิ่งที่คนดูคุ้นเคยก็ยังถูกนำกลับมาให้เห็นทั้งการแอบใส่สปายแวร์ลงมือถือ การสืบหาข้อมูลบุคคลทางดิจิทัล แถมเรื่อยไปจนถึงการกลับมาของห้องเก็บหนังสือที่ถูกใช้เป็นคุกกระจกใสที่ตัวซีรีส์อธิบายที่มาที่ไปน้อยมากจนถึงขั้นแถเลยก็ว่าได้

แต่สิ่งที่กลับมาแทนที่และซีรีส์ภาคนี้ดูจะเน้นย้ำเป็นพิเศษคือฉากแฟลชแบ็กบอกเล่าที่มาของพฤติกรรมของโจว่ามาจากอดีตที่เขาเคยถูกพ่อทำร้ายและแม่เคยทิ้งเขาให้อยู่ในสถานสงเคราะห์ เพื่อใช้อธิบายพฤติกรรมพิศวาสอำมหิตที่เราได้เห็นกันมาตั้งแต่แรก และอีกประการสำคัญคือการแบ่งพื้นที่ในการเล่าเรื่องให้กับครอบครัวอีก 2 ครอบครัวคือครอบครัวของ เลิฟ ควินน์ และ โฟร์ตี (เจมส์ สกัลลี) น้องชายขี้ยา ที่มีปมในอดีตที่ยังฝังใจและถือเป็นความลับสำคัญที่จะเปิดเผยพร้อมการหักมุมครั้งใหญ่ในตอนท้าย

ส่วน ดีไลลา และ เอลลี ก็ถูกใส่เข้ามาเพื่อให้โจได้พิสูจน์ด้านสว่างของตัวเอง รวมไปถึงความซับซ้อนของความสัมพันธ์ที่จะกลายเป็นโศกนาฏกรรมและจุดเปลี่ยนที่ทำให้โจไม่อาจถอยหลังได้อีกเลย ซึ่งพอซีรีส์มีเรื่องราวให้เล่าเยอะข้อดีคือมันทำให้โทนการเล่าของซีรีส์ในซีซันนี้มีความแตกต่างและแปลกใหม่ไม่น้อยเลยทีเดียว

แม้ว่าหนัง HDเวลา 10 ตอน อาจจะยังไม่พอให้บอกเล่าที่มาที่ไปของจุดหักมุมสำคัญได้อย่างละเอียดนัก แถมยังต้องแวะไปเล่าเรื่องยิบย่อยอย่างเพื่อนของเลิฟที่อยู่ดี ๆ ก็แวะมาดีท็อกซ์ให้โจบ้าง หรือการที่โจไปมีความสัมพันธ์กับดีไลลาบ้าง เลยทำให้ซีรีส์ภาคนี้อาศัยการแถพอสมควร เพราะลำพัง

แค่ทุกคนในแอลเอเชื่อว่าโจคือวิลตั้งแต่แรกแบบแทบไม่มีใครสงสัยอะไรก็ดูจะทำให้ระดับสติปัญญาของคนในเมืองดูน่าพิจารณาแล้วล่ะ แต่หากดูแบบไม่คิดมากมันก็ทำให้ตัวซีรีส์น่าติดตามและแซ่บลึ่มไม่น้อยทีเดียว

ด้านตัวละคร

สำหรับนักแสดงในซีซันนี้ เพนน์ แบดจ์ลีย์ ยังกลับมารับบท โจ โกลด์เบิร์ก เหมือนเดิมซึ่งก็ได้ภาษีจากหน้าตาที่ดูแอบโรคจิตของเขาและมุมหล่อ ๆ จากบทของซีรีส์ที่ทำให้เขากลายเป็นตัวละครโรคจิตที่แอบโรแมนติกจนทำสาว ๆ หวั่นไหวมาจากซีซันแรก ซึ่งภาพรวมการแสดงก็ยังไม่ต่างจากเดิมนัก

ซึ่งพอมาเจอนักแสดงรับเชิญอย่าง โรบิน ลอร์ด เทย์เลอร์ เจ้าของบทเดอะ เพนกวิน ในซีรีส์ Gotham ที่มารับบท วิล นักปลอมแปลงเอกสารและเจ้าของตัวตนที่ โจ ใช้ในซีซันนี้ ที่โผล่มาก็ขโมยซีนกระจายทำให้คนดูเดาไม่ถูกว่าจะเล่นงานหรือช่วยโจกันแน่ ก็ทำให้ เพนน์ ดูหมองไปเลย

ส่วนนักแสดงสาวในซีซันนี้อย่าง วิกตอเรีย เพดเรทติ อาจยังสวยสู้ เอลิซาเบธ ไลล์ ในบทเบค ในซีซันแรกไม่ได้แต่เธอก็ได้ปมตัวละครมาพิสูจน์ฝีมือการแสดงได้อย่างโดดเด่นและจุดหักมุมก็น่าจะทำให้ตัวละครของเธอเป็นที่จดจำได้ไม่ยากเลย

นอกจากนี้ยังมี 2 สาวสวยอย่าง คาร์เมลา ซุมบาโด และ เจนนา ออร์เทกา ในบทพี่น้องผู้จัดการห้องเช่าที่โจอาศัยอยู่ ในราย คาร์เมลา หนุ่ม ๆ น่าจะได้สัมผัสความร้อนแรงของเธอในฉบับสาวละตินที่มีโอกาสได้โชว์ความเซ็กซี่อยู่บ่อยครั้ง ส่วน เจนนา ก็น่าจะถูกใจชมรมคนรักเด็กได้ไม่ยาก แถมฝีมือการแสดงยังเกินหน้าผู้ใหญ่หลายคนในเรื่องอีกด้วย

รีวิว You Season 2

การเริ่มต้นชีวิตใหม่แบบปราศจากอาชญากรรม?

มาถึงตรงนี้ผมว่าร้อยทั้งร้อยก็คงคิดว่า “สันดานของโจไม่มีทางเปลี่ยนได้” เพราะถึงจะพยายามแก้ไขยังไง แต่การกระทำต่างๆ ก็ยังเป็นแบบสตอล์กเกอร์อยู่เหมือนเดิม แม้ว่าเลิฟจะนิสัยแตกต่างจากเบ็คทุกอย่าง แถมเป็นผู้หญิงสายรุกเข้าหาผู้ชายในแบบที่โจไม่คาดคิด (ถึงจะจะตกเป็นเป้าหมายของโจ)

ก็ยังหาทางไปสตอล์กเกอร์เธอเหมือนเดิม ซึ่งการที่หนังเล่นเรื่องราวเกือบซ้ำเดิมกระทั่งให้มีตัวละครเด็กแบบที่โจต้องพยายามเอาตัว (เสือก) เข้าไปช่วย ก็คงทำให้คนดูที่มองหาความสดใหม่ในเรื่องราวเบื่อครึ่งแรกของซีซั่น 2 ได้ง่ายๆ อาจจะมีต่างแค่ตรงโจในซีซั่นนี้ฆ่าคนอย่างไวกว่าดูหนังผ่านเน็ตซีซั่นแรกมาก ตรงนี้ถือว่าเป็นจุดที่ผู้สร้างแทรกมาได้อย่างน่าสนใจ แต่ก็จบทิ้งไว้ง่ายๆ เหมือนกัน เหมือนเป็นแค่การคั่นเวลาก่อนถึงเมนคอร์สของจริงในครึ่งหลัง ที่แตกต่างจากช่วงแรกอย่างสิ้นเชิง

ซึ่งของจริงในครึ่งหลังนั้นก็คือเรื่องราวที่พาไปสู่สิ่งใหม่ๆ ที่ปั่นป่วนชีวิตโจเป็นชุด ในแบบคาดเดาไม่ได้เลย เราจะได้เห็นโจพลาดติดๆ กันต่อเนื่องแบบไม่มีปัญญาแก้ แถมยังเล่นกับเวลานับถอยหลังให้ลุ้นระทึกสนุก ตลก หวาดเสียวไปพร้อมกัน และยังดึงเอาเรื่องราวผลลัพธ์ตอนจบของซีซั่นแรกเกี่ยวกับหนังสือชีวิตของเบ็คมาขยายต่อในแบบที่เข้าท่ามาก

กลายเป็นภาคนี้มีส่วนเสริมเรื่องราวเป็น “หนังสือ vs หนัง” ซึ่งเป็นเรื่องราวของการที่โจต้องไปเกี่ยวข้องกับการตรวจงานเขียนบทหนังให้กับน้องชายของเลิฟ จนกลายเป็นเรื่องราวตลกเสียดสีหนังสือขายดีจะกลายมาเป็นหนังที่สร้างจากเรื่องจริง โดยฝีมือการเขียนบทของโจที่ฆ่าเบ็คเอง!

เท่านั้นยังไม่พอเรื่องราวยังหักมุมแบบมาติดๆ กันแทบไม่เว้นช่วงให้หายใจเลย โดยส่วนใหญ่เกิดจากความตั้งใจของโจที่จะไม่ทำผิดซ้ำแบบเดิมอีกต่อไป โดยเป็นประเด็นเกี่ยวเนื่องต่อจากในครึ่งแรก ซึ่งก็คือ หัวใจหลักของซีซั่นนี้ที่เล่นเรื่องราว “การสำนึกผิด” ที่ตอนแรกอาจถูกจะมองว่าหนังหากินกับพล็อตเดิมๆ

แต่ที่จริงคือการทวนซ้ำเพื่อสะสมความน่าเชื่อถือทีละน้อยๆ ให้กับคนดู โดยให้โจได้มีโอกาสสำนึกผิดกับเรื่องราวๆ ที่ผ่านมากับเบ็ค (ไม่นับแคนเดซที่โจมองเป็นศัตรูตามราวีเขา) ซึ่งตอนแรกคนดูก็คงไม่เชื่อ หนังจึงพยายามให้โจเลือกไม่ทำซ้ำรอยเดิมในทุกความผิดพลาด ทั้งกับเรื่องรักและฆาตกรรม จนทำให้โจดูเป็นคนดีกว่าภาคก่อนที่เห็นแก่ตัวเองมาก เรียกว่าค่อยๆ ปูเหตุผลสะสมมาเรื่อยๆ พร้อมใส่แฟลชแบ็คย้อนอดีตเรื่องราวครอบครัววัยเด็กของโจแบบที่ไม่เคยเปิดเผยมาก่อน

และเป็นเหตุผลที่เกี่ยวกับที่มาที่ไปของนิสัยจิตๆ ของโจที่น่าสงสาร จนเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างสุกงอมจึงค่อยระเบิดตูมไปกับบาปที่เกาะกินใจในช่วงท้าย ทำให้เรื่องราวนอกจากจะสมเหตุผลจนคนดูเชื่อได้แล้ว ยังช่วยให้หนังเดินเรื่องไปในทิศทางใหม่ ที่หักมุมกันแบบสุดโต่งและจิตสุดขั้วมากจริงๆ และก็ไม่ใช่หักมุมเพื่อจบแล้วค้าง แต่หนังยังใช้เวลาอีกถึง 1 ตอนกว่า เล่นเรื่องราวใหม่ที่จิตวิปริตกว่าที่ผ่านมาทั้งหมด (มากกว่าซีซั่น 1 ด้วย) ที่เรียกว่าลุ้นและบันเทิงเอามากๆ โดยที่ยังคงเส้นน้ำหนักเรื่องราวความรักโรคจิตไว้ได้อย่างเต็มเปี่ยมอีกด้วย

สรุป

YOU ซีซั่น 2 อุดจุดอ่อนที่เคยมีแบบซีซั่นแรกไปจนเกือบหมด เรื่องราวสมเหตุผลลงตัวทั้งความรักและการฆาตกรรมมากกว่า เพียงแต่การดำเนินเรื่องในช่วงครึ่งแรกอาจจะไม่สดใหม่นัก เพราะต้องปูเรื่องราวแบบเก่าหลายตอนให้มีน้ำหนักน่าเชื่อถือเพื่อเบนเข็มไปสู่ทิศทางใหม่ ที่ต้องบอกว่าสนุกและบันเทิงเอามากๆ เรียกว่าตอบสนองแฟนๆ ที่ชอบแนวหนังรักจิตวิปริตได้อย่างดีแน่นอน แต่ถ้าใครมาดูเพื่อหวังกับเรื่องราวยุติธรรมโลกสวย คงไม่พ้นขัดใจกับตรรกะในเรื่องที่ผิดเพี้ยนไปมากๆ

ปล.ถือว่า YOU ซีซัน 2 ก็เหมาะที่จะดูฆ่าเวลาช่วงปลายปี  2019 แบบนี้เพื่อเป็นอุทาหรณ์สอนใจเรื่องความรักที่จะเกิดขึ้นในปี 2020 ได้ดีทีเดียว ด้วยการเล่าเรื่องที่สนุกขึ้นด้วยปมตัวละครที่ซับซ้อนมากขึ้น เรื่องราวที่มีอะไรให้ติดตามเยอะขึ้น แม้ว่าในส่วนของตรรกะของบทจะพัง ๆ ไปบ้างแต่หากไม่คิดมาก นี่ก็เป็นซีรีส์ที่สนุกอีกเรื่องเลยครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น