วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

Pokemon Mewtwo Strikes Back Evolution

ดูหนังสด

Pokemon Mewtwo Strikes Back Evolution

ตำนานภาพยนตร์เรื่องแรกของ Pokemon The First Movie : Mewtwo Strikes Back ได้ฉายไปในปี 1998 ที่ประเทศญี่ปุ่น พร้อมกับฉากตราตรึงสุดประทับในความทรงจำของเด็ก ๆ ในยุคนั้น  ณ ตอนนี้ภาพยนตร์เริ่องนี้ได้กลับมาอีกครั้งในรูปแบบภาพยนตร์ซีจี 3 มิติในชื่อเรื่อง Pokemon Mewtwo Strikes Back Evolution ลง Netflix เนื้อเรื่อง และภาพจะเป็นอย่างไรกัน เราลองมาดูกันดีกว่า รีวิว Pokemon Mewtwo Strikes Back Evolution

เรื่องย่อ

โปเกมอนเทรนเนอร์ที่เราคุ้นเคยอย่าง ซาโตชิ และผองเพื่อน ได้รับคำเชิญจากเทรนเนอร์ปริศนาที่บอกว่าตนเองเก่งที่สุดในโลก ทว่าการไปพบเจ้าภาพงานกลับทำให้เทรนเนอร์ดาวรุ่งทั้งหลายต้องตกอยู่ในอันตรายเพราะผู้เชิญคือ มิวทู โปเกมอนจากการวิจัยที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกผู้ต้องการล้างแค้นมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้


โปเกมอน เริ่มต้นสร้างชื่อเสียงจากการเป็นแอนิเมะซีรีส์ทางโทรทัศน์ และได้รับการต่อยอดไปอีกหลายต่อหลายสื่อ ความโด่งดังของตัวแอนิเมะเองก็ทำให้มันมีฉบับเดอะมูฟวี่หรือฉบับฉายในโรงหนังของตัวเองครั้งแรกในปี 1998 ในชื่อ Pokémon: The First Movie: Mewtwo Strikes Backซึ่งก็ทำให้แฟน ๆ เสียงแตกพอสมควรเพราะหนังทำออกมาเอาใจเด็กน้อยค่อนข้างมาก

เนื้อหาจึงมีความง่ายรวบรัดตัดตอนเข้าใจง่ายสรุปง่ายอยู่ในทีและแน่นอนฉากต่อสู้ก็ไม่สะใจเอาเสียเลย และเมื่อมีการประกาศในปี 2018 ว่าจะมีการรีเมกหนังแอนิเมะ 2 มิติเรื่องนี้ใหม่ โดยทำเป็นแอนิเมชัน 3 มิติเต็มรูปแบบเหมือนฉลองครบรอบ 20 ปีฉบับหนังโรง ก็ถือว่าน่าสนใจว่าจะมีการปรับปรุงตัวเรื่องให้สนุกขึ้นหรือไม่ และหนังเรื่องนั้นก็ออกมาฉายโรงในปี 2019 ที่ผ่านมา โดยเน็ตฟลิกซ์คว้าสิทธิ์มาฉายสตรีมมิงให้เราได้รับชมกันในชื่อ Pokémon: Mewtwo Strikes Back – Evolution นี้เอง

ต่อคำถามว่ามีการปรับเนื้อเรื่องไหมก็คงต้องบอกว่าน่าจะปรับไม่ได้มากอะไร จะเรียกว่ารีเมกช็อตต่อช็อตแบบอัปเกรดซีจีก็ว่าได้ แต่การที่มันได้รีเมกฉบับเล่าเรื่องสมบูรณ์ที่มีฉากนำเรื่องและอะไรเข้ามาก็ทำให้เนื้อเรื่องในตัว มิวทู โปเกมอนเทพที่ไม่ไว้ใจมนุษย์ดูมีเนื้อมีหนังขึ้น อย่างน้อยแรงจูงใจที่ทำให้เกลียดชังมนุษย์ก็ดูสมเหตุสมผลพอสมควร

เพราะมันไม่รู้ว่าตนเองกำเนิดมาเพื่ออะไร แถมยังโดนองค์กรวายร้ายหลอกใช้เป็นแรงงานอยู่นานด้วยโดยไม่รู้จักว่ามนุษย์ที่เป็นเพื่อนกับโปเกมอนก็มีอยู่มากมายเช่นกัน มันจึงบังคับจิตใจมนุษย์มาเป็นทาสและต้องการท้าทายมนุษย์ด้วยการประลองผ่านโปเกมอนโคลนนิ่งแบบแฟร์ ๆ ว่ามันเป็นฝ่ายที่ถูกต้อง ตรงนี้ก็ชื่นชมที่สร้างมิติให้ตัวละคร มิวทู ได้น่าสนใจดี

แต่เมื่อมองต่อไปว่ามันดูเป็นหนังเด็กโตขึ้นไหม ก็รู้สึกว่ามันยังรักษาหัวใจความเป็นหนังเด็กน้อยอยู่ดี เพราะถึงจะมีฉากระเบิดตูมตาม หรือฉากการปางตายที่พอได้ซีจีสมจริงมานำเสนอแล้วดูรุนแรงขึ้นมาก ๆ  แต่รวม ๆ แล้วการต่อสู้ความรุนแรงต่าง ๆ ก็อยู่ในระดับที่เหมาะกับเด็กน้อยอยู่ดีนั่นล่ะเพราะไม่ได้มีฉากจะแจ้งขนาดผวา

แต่เอาจริง ๆ การเป็นหนังเด็กมันก็ไม่ใช่ความผิดบาปอะไร และไม่ได้แย่เลยนะ หนังดูสนุกแบบเพลินตาเพลินใจมาก ฉากสวย ๆ ก็เยอะขึ้นจม ต้องบอกว่าหนังแอนิเมชันซีจีสไตล์ญี่ปุ่นในยุคหลังมานี้พัฒนาจนเริ่มสร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวได้แล้ว เราอาจเคยติดภาพงานแบบพิกซาร์มาก่อน

แต่มายุคหลังทั้งงานของ ยามาซากิ ทาเคชิ  ที่ทำ Stand by Me Doraemon และ Dragon Quest: Your Story หรือล่าสุดกับ Lupin III – The First ก็เห็นทิศทางชัดในแง่ความละมุนและคงจุดเด่นในแบบฉบับแอนิเมะของญี่ปุ่นไว้ได้ ทำให้งานนี้ทีมโปเกมอนที่ได้ผู้กำกับเดิมจากฉบับแรกอย่าง ยายุมะ คุนิฮิโกะ มาร่วมงานกับ ซากากิบาระ โมโตะโนริ ที่เคยกำกับแอนิเมชันซีจีระดับประวัติศาสตร์อย่าง Final Fantasy: The Spirits Within (2001) ก็มีแนวทางในการดัดแปลงจากภาพแอนิเมะเดิมมาเป็นซีจีได้สวยงามลงตัวมาก ๆ

ถ้าให้นิยามกับภาพยนตร์เรื่องนี้ ผมคงจะให้ว่าเป็นการรีมาสเตอร์จากเวอร์ชั่นอนิเมะปี 1998 ชัด ๆ เลย ไม่ว่าจะเป็นการเล่าเรื่อง มุมกล้องในแต่ละฉาก เหมือนได้ย้อนกลับไปสมัยเด็กที่ได้ดูเรื่องนี้ใหม่ ๆ เลย แต่ว่าน่าเสียดายที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่มีการเล่าเนื้อเรื่องเพิ่มเติมจากเวอร์ชั่นแรกเลย
เวอร์ชั่นโปเกม่อนดูหนังสดจะมีสองแบบคือ ญี่ปุ่น และ อเมริกา ซึ่ง Netflix เอาเวอร์ชั่นอเมริกาเข้ามาทำให้เพลงเปิดเป็น Gotta Catch them all ซึ่งมันก็ต่างกันแค่เพลงและปิด แต่ยังคงเสียดายที่ Netflix ทำซับเรื่องนี้ออกมาไม่ค่อยดี ทั้งในซับออกมาเร็วไป หายเร็วไป ในบางฉากทำให้หลาย ๆ คนงงว่าตกลงบทพูดนี้มันตรงกับซับอันไหน

เนื้อเรื่อง

เรื่องราวของโปเกม่อนในภาคนี้เริ่มต้นที่นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งได้ค้นพบฟอสซิลที่มี DNA ของมิว ซึ่งเป็นโปเกม่อนมายาที่มีพลังที่เหลือล้น จึงทำการเก็บตัวอย่างไปทำการวิจัยและได้สร้างโคลนของมิวขึ้นมา

ชื่อของโปเกม่อนตัวนั้นก็คือ “มิวทู” พวกเขาประสบความสำเร็จในการสร้างมิวทู แต่ว่ามิวทูที่เกิดมาพร้อมกับพลังมหาศาลจนไม่สามารถควบคุมได้ ทำให้ห้องวิจัยได้ถูกทำลายไปจนหมด ซาคากิหัวหน้าแก๊งร็อคเก็ตได้เสนอมิวทูให้มาอยู่กับตนแลกกับการสร้างอุปกรณ์ควบคุมพลังได้ แต่ว่าซาคากิหักหลังมิวทูไป ทำให้มิวทูโกรธแค้น หนีไปสร้างปราสาทของตนขึ้นมาเพื่อเหตุผลบางอย่าง และกลุ่มซาโตชิก็ได้รับคำเชิญจากมิวทูให้มาปราสาทของตน

ด้านเนื้อเรื่องปัดตกไปแบบไม่มีข้อกังขาใด ๆ เพราะเนื้อหาในเรื่องนี้ไม่ค่อยดีมาก ถึงค่อนข้างแย่ แต่เพราะดูในวัยเด็กเลยทำให้เราอินไปกับมัน แต่พอโตมาแล้วมาดูซ้ำ กลับพบว่าทั้งเรื่องมันขาดสีสันและในหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ไม่สามารถบอกความเป็นมา หรือตายร้ายดีของตัวละครบางตัวได้ และดราม่าที่มีฉากซีนเดียวที่ไม่มีการปูใด ๆ ที่ทำให้อินสุดไปกับมันไม่ได้

Pokemon Mewtwo Strikes Back Evolution

เรื่องคุณภาพ

ด้านภาพ คงต้องยกเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทำดีในเรื่องซีจีและสภาพแวดล้อมของภาพยนตร์เรื่องนี้ ทั้งในเรื่องคลื่นน้ำที่มีความสมจริงและก้อนเมฆ การทำฉากแอนิเมชั่นที่ลื่นไหล สีหน้าและท่าทางตัวละครมีชีวิตชีวา

แต่ฉากต่อสู้ที่สนุกน้อยมากเมื่อเทียบกับซีรีส์แอนิเมชั่นถ้าเทียบกับปัจจุบัน ผมคิดว่าเรื่องนี้จุดที่สุดคงเป็นเรื่องนี้แล้ว  โปเกม่อนมีความน่ารักมาก โดยเฉพาะไคริวกับมิว ไคริวตุ้ยนุ้ยบินส่งจดหมาย และมิวที่น่ารักมากกกกกก จึงยกเป็นด้านภาพเด่นที่สุด

ด้านการพากย์

เสียงพากย์มีทั้งภาษาไทย, อังกฤษ, ญี่ปุ่น โดยผมจะพูดแค่เสียงไทยก่อน หลายคนอาจจะสงสัยว่าพากย์ไทยนั้นมีลักษณะเสียงเป็นอย่างไรบ้าง โดยเสียงพากย์ไทยที่ฟังนั้นเป็นเสียงที่มาจากช่องทรูครับ โทนเสียงของซาโตชิจะเป็นโทนเสียงที่ดูเด็กขึ้น และมีการใช้นักพากย์ พากย์ซ้ำกันบ้าง ถ้าไม่ติดใจอะไรเว็บสตรีมหนังก็ถือว่างานนี้เป็นงานพากย์ที่มีมาตรฐานพอตัว ส่วนในเรื่องของพากย์ญี่ปุ่นก็ดีตามปกติอยู่แล้ว ถ้าใครชอบพากย์ต้นฉบับก็แนะนำให้ดูพากย์ญี่ปุ่นดีกว่าครับ

จุดด้อย

ข้อเสียที่สุดก็คงเป็นความบังเอิญและความง่ายในการคลี่คลายปัญหาในท้ายสุดของเรื่องนั่นเอง เพราะมันก็ใช้ตรรกะแบบหนังเด็กมาก ๆ ที่ไม่ได้เรียกร้องคำอธิบายใหญ่โต แค่รวมพลังบอลเกงกิแล้วตัวร้ายอยู่ ๆ ก็เข้าใจเห็นใจมนุษย์ขึ้นมาได้เอาเฉย ๆ ก็จบไป (แต่ก็ซึ้งนะ)

ส่วนที่ติงก็คงเป็นฉากการต่อสู้ที่ไม่เข้มข้นจริง ๆ อย่างว่าล่ะ แต่ว่าก็เพียงในช่วงแรกซึ่งเห็นชัดว่าถ้าไม่ใช่การต่อสู้ของ พิกาจู แล้วตัวอื่นก็ไม่ได้เน้นอะไรมากนักเลย แต่พอเข้าช่วงหลังในฉากสงครามใหญ่ ถึงมันจะไม่ได้เข้มข้นขึ้นสุด ๆ แต่ก็รู้สึกมันแกรนด์ขึ้น แถมยังใช้การเล่นกับอารมณ์ผู้ชมมาส่งให้ฉากดูทรงพลังขึ้นด้วย

ใครดูพิกาจูยืนรับหมัดของโคลนนิ่งพิกาจู หรือฉากพิกาจูพยายามช่วยชีวิตซาโตชิแล้วไม่เสียน้ำตานี่ก็ให้รู้ไป จริง ๆ ฉากที่ซาโตชิพยายามช่วยพิกาจูจากการถูกจับกุมเองก็ตื่นเต้นเร้าใจและมีความซึ้งถึงความทุ่มเทมากเหมือนกัน มองรวมทั้งเรื่องอาจไม่ได้รู้สึกแน่นรู้สึกดีเป็นก้อนเดียว แต่ก็ยอมรับว่ามันมีฉากดี ๆ ที่น่าจดจำเยอะพอควรทีเดียว

โดยรวม

รวม ๆ แล้วถึงแม้จะเป็นเรื่องที่ปรับปรุงมาจากอนิเมะเวอร์ชั่นเก่า ถือว่าทำดีมาก ๆ เพราะแทบจะเหมือนต้นฉบับเลย ทำให้มีหลายฉากมีความทรงจำในวัยเด็กไหลออกมาเลย และภาพก็สวยมากถ้าเทียบกับเรื่องอื่น ๆ ต้องชมเรื่องงานภาพของจริงเลยครับ และชอบความน่ารักของเหล่าโปเกม่อนในเวอร์ชั่นนี้มาก ๆ

สรุป

ก็เป็นหนังหัวใจเดิมแบบฉบับปี 1998 ที่เหมาะกับครอบครัวที่มีเด็กเล็กดูได้สนุก เพิ่มเติมด้วยกราฟิกซีจีที่สมจริงจนอยากวิ่งเข้าไปกอดพวกโปเกมอน โดยเฉพาะพิกาจูนี่หมั่นเขี้ยวอยากฟัดอยากกอดมาก โอ่ยมีความน้อนมาก ๆ และถึงในเน็ตฟลิกซ์จะระบุเสียงอังกฤษเป็นเสียงดั้งเดิม

แต่ก็แนะนำว่าอยากได้อารมณ์ก็ต้องเลือกเสียงญี่ปุ่นล่ะเพราะเสียงอังกฤษพากย์กันได้แบนมาก ๆ และสำหรับเสียงไทยของหนังเรื่องนี้ก็เป็นอีกตัวเลือกที่อยากแนะนำให้ลองกันเพราะตั้งใจพากย์มาก แถมมีเพลงฉบับภาษาไทยในตัวหนังและฉากเครดิตจบด้วย ประทับใจมากกก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น