รีวิว Dragon Quest Your Story - ดรากอนเควสต์ ชี้ชะตา
Dragon Quest Your Story (Netflix) ดรากอนเควสต์ ชี้ชะตา ดัดแปลงจากเกมให้ชวนคิดถึง เข้าใจว่านี่คือสารจากทีมสร้างถึงแฟนๆ แต่หลายอย่างโดยเฉพาะตอนจบอาจไม่ถูกใจ ที่จริงแล้วอนิเมชั่นเรื่องนี้ มีคุณภาพดี การดัดแปลงในช่วงเปิดเรื่องยอดเยี่ยมมาก แฟนเกมชอบแน่นอน ระหว่างเรื่องราวก็โอเคอยู่ แต่ตอนท้ายไปตัดบทตัวละครบางตัวออก แล้วดันไปทำหักมุมตอนสุดท้ายที่หลายคนอาจจะไม่ชอบเอาเลย ซึ่งผลก็ออกมาว่าโดนวิจารณ์ไว้เละพอสมควรครับ รีวิว Dragon Quest Your Story
เรื่องย่อ
จากเกม RPG ชื่อดังของญี่ปุ่นมาสู่แอนิเมชันเรื่องยาว ที่เปิดตำนานผู้กล้าคนใหม่นามว่า ริวกะ ที่จะออกผจญภัยตามคำทำนายในโลกแฟนตาซีในแบบฉบับ ดรากอนเควสต์ ที่เราคุ้นเคย
เป็นอีกหนึ่งแอนิเมชันที่น่าจะมีคนรอดูอยู่มากเหมือนกัน โดยเฉพาะคอเกมเมอร์ที่เติบโตมากับเกมภาษา หรือ RPG (Role-playing Game) จากฝั่งญี่ปุ่น และเกมที่โด่งดังเป็น 2 เสาหลักที่แข่งกันมาตั้งแต่ยุค 1980s และยังมีผลงานต่อเนื่องมาถึงปัจจุบันก็ต้องยกให้ Final Fantasy (ออกครั้งแรกปี 1987)
และที่ออกมาก่อนอย่าง Dragon Quest (ออกครั้งแรกปี 1986) ซึ่งถ้าพูดถึงเกมหลังก็ต้องบอกว่าด้วยสไตล์ภาพอันเป็นเอกลักษณ์จากลายเส้นของ อาจารย์โทริยามะ อากิระ ผู้โด่งดังจากมังงะเรื่อง Dragon Ball ที่มาดีไซน์ตัวละครต่าง ๆ ให้ และความโดดเด่นในการออกแบบโลกในจินตนาการของ โฮริอิ ยูจิ
ตั้งแต่ภาคแรกมาก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ตัวเกมโดดเด่นและเป็นที่จดจำได้ โดยเฉพาะเรื่องของ ผู้กล้า เวทมนตร์ ปีศาจ แม่มด และปีศาจประจำเกมอย่าง สไลม์ นั่นเอง ความเด่นของมันก็ทำให้ตัวเกมถูกถ่ายทอดออกมาเป็นสื่อต่าง ๆ ทั้ง นิยาย มังงะ และแอนิเมชันด้วย
สำหรับตัวแอนิเมชันนั้นเคยมีการสร้างออกมาเป็น ทีวีซีรีส์ 2 ครั้งคือฉบับที่ดัดแปลงจากตัวเกมภาค 3 กับอีกครั้งคือการต่อยอดจากฉบับมังงะที่ใช้เกมเป็นแรงบันดาลใจอย่าง Dragon Quest: Dai’s Great Adventure ที่คนไทยน่าจะรู้จักดีในชื่อ ได ตะลุยแดนเวทมนตร์ ส่วนฉบับหนังโรงก็มีการทำออกมาในปี 1996 ในชื่อ Dragon Quest Saga – The Crest of Roto และหลังจากนั้นก็เรียกได้ว่าห่างหายจากคอแอนิเมชันไปสิบกว่าปีเลยทีเดียว
ครั้นพอมีการประกาศทำฉบับแอนิเมชัน 3 มิติในชื่อ Dragon Quest: Your Story ออกฉายช่วงเดือนสิงหาคมปีที่ผ่านมาในญี่ปุ่นโดยเอาแรงบันดาลใจจากเกมภาค 5 ซึ่งมีเนื้อเหาที่ดีติดอันดับต้น ๆ ของแฟรนไชส์มาทำ และพอเน็ตฟลิกซ์คว้าสิทธิ์มาฉายสตรีมมิงก็ทำให้แฟนเกมและแฟนแอนิเมชันนอกญี่ปุ่นตื่นเต้นอยู่มากทีเดียว
จากเกมสู่หนังอนิเมชั่น
ตรงนี้ต้องอธิบายก่อน เพื่อให้หลายคนเข้าใจว่า ทำไมการดัดแปลงจากฉบับเกมสู่หนังอนิเมชั่นของ Dragon Quest Your Story จึงโดนคาดหวังสูง แล้วพอมันออกมาผิดความคาดหวังของแฟนๆในแง่การดัดแปลงบางจุดและบทสรุป ถึงทำให้โดนวิจารณ์เละเทะที่ญี่ปุ่น
Dragon Quest เป็นเกมแนว RPG Role Playing Game ที่มีแฟนระดับเดนตายอยู่ทั้งในญี่ปุ่นและหลายประเทศทั่วโลก แม้ว่าดูหนังฟรีในภาพรวมแล้วจะแฟนเกมนี้นอกญี่ปุ่นจะน้อยกว่าเกมตระกูล Final Fantasy ที่เป็นคู่แข่งกันมายาวนาน แล้วในปัจจุบันก็มาอยู่ใต้ชายคาเดียวกันหลังจากสองบริษัทผู้ให้กำเนิดอย่าง Enix และ Square ได้รวมกิจการกันแล้วก็ตาม
ซึ่งที่ผ่านมา Dragon Quest หรือ DQ หรือที่แฟนญี่ปุ่นเรียกกันว่า ดราเก้ จะเป็นที่ตอบรับและได้รับความนิยมในประเทศสูงกว่า FF ในระดับหนึ่ง ยิ่งบางภาค มียอดขายสูงเป็นระดับประวัติการณ์ ทั้งที่ในด้านของ CG กราฟฟิก และตัวเกม DQ ยังคงเลือกทำเกมแนวอนุรักษ์นิยม
จะกี่ภาคก็เซตติ้งโลกในเกมเป็นแนวยุคกลางมาตลอด ไม่มีเปลี่ยน ระบบเกมก็เป็นแบบเดิมๆ หน้าจอเมนูเรียบง่ายแบบเดิมๆ ตั้งแต่ภาค 1-7 ดั้งเดิมเป็นแค่จอวินโดว์และตัวหนังสือภาษาญี่ปุ่นที่ใช้อธิบายเรื่องราวหรือไอเท็มต่างๆ ไม่มีแม้กระทั่งภาพประกอบไอเท็ม ดาบ ชุดเกราะ ใดๆทั้งนั้น
ตัวเกมกว่าจะยอมมาทำภาพไอคอนและปรับเปลี่ยนหน้าจอเมนูให้เป็นแบบโมเดิร์น ก็ตอนที่มาทำภาค 8 ซึ่งเริมทำออกมาเพื่อโกอินเตอร์ ในขณะที่ FF บุกไปตลาดโลกมานานกว่า แต่ฝั่ง DQ เพิ่งจะเริ่มทำจริงๆ จังๆ เมื่อราวสิบปีนี้เอง ซึ่งช้ากว่ามาก
แต่นั่นก็แปลว่า การดัดแปลง DQ เป็นฉบับอนิเมชั่นแบบ 3D แถมทาง Netflix ยังไปซื้อเพื่อมาฉายทางสตรีมมิ่งของตนเองอีก นี่ย่อมเป็นสิ่งที่แฟนทั่วโลกจับตามอง เพราะนี่จะเป็นการนำเสนอเรื่องราวของ DQ ให้มีความ MASS ในระดับโลกมากขึ้นไปด้วย
ด้านเนื้อเรื่อง
ส่วนเนื้อเรื่องของภาคที่ถูกเลือกมาดัดแปลงอนิเมชั่นนี้ก็คือ ภาค Dragon Quest V : Hand of The Heavenly Bride หรือ ดรากอนเควสต์ ภาค 5 เจ้าสาวแห่งสรวงสวรรค์
หลายคนอาจสงสัยว่า แล้วทำไมต้องเป็นภาคนี้ด้วย เพราะนี่คือภาคที่มีเนื้อหายอดเยี่ยม ตราตรึง ลึกซึ้ง มีตัวละครที่แฟนๆชื่นชอบและยังเป็นที่ประทับใจสำหรับแฟน DQ มากที่สุด จนถึงทุกวันนี้ แล้วในหลายสำนักเองก็จัดให้เกมภาคนี้มีเนื้อหาที่ยอดเยี่ยมติดอันดับต้นๆ
แม้ว่าตัวเกมที่ทำลงเครื่อง SFC ในสมัยก่อน จะยังมีกราฟฟิกที่ดูธรรมดามากหากเทียบกับในสมัยนี้ก็ตาม แต่ก็มีการรีเมคเกมฉบับนี้ลงในหนังถ่ายทอดสดเครื่อง DS และสามารถโหลดมาเล่นบน iOS ได้แล้วด้วย (ผู้เขียนก็เล่นจบไปหลายรอบ)
สำหรับหนึ่งในเรื่องที่แฟนเกมหลายคนชอบกันมากเกี่ยวกับภาคนี้ก็คือ นี่เป็นเกม DQ ภาคเดียวที่เราสามารถเลือกแต่งงานกับเจ้าสาวคนไหนก็ได้ จากตัวเลือกสองคนคือ เบียงก้า และ ฟลอร่า (ซึ่งตอนหลังในเกมฉบับรีเมคจะมีเพิ่มเดียโบล่าเข้ามาอีกคน)
ทั้งสองสาวน้อยก็จะมีจุดเด่นแตกต่างกัน จนคนเล่นมักเกิดอาการรักพี่เสียดายน้องที่จะต้องแต่งคนหนึ่งแล้วทิ้งอีกคนไป แต่ก็ทำให้นี่เป็นสีสันของเกมที่มีเสน่ห์มาก และในหนังเรื่องนี้ก็เอาคำถามที่คนเล่นชอบลังเลที่สุดนี้มาใส่เสมือนจะยั่วล้อคนเล่นไปด้วยว่า เออ เล่นรอบนี้ จะเลือกใครดี
แล้วในหนังเองก็ทำซีนช่วงนี้ออกมาได้ดีเกินคาดมากครับ ฉากเลือกเจ้าสาวนี่เองที่อาจจะเป็นซีนที่ดีที่สุดในเรื่องเลยก็ได้
อีกจุดคือ นี่ยังเป็นเกมภาคที่ พระเอกไม่ใช่ผู้กล้าที่ถูกเลือก แต่กลับหักมุม กลายเป็นลูกชายพระเอกต่างหาก ทำให้ตัวเกมเป็นที่จดจำ และตัวเอกของภาคนี้ก็ได้อารมณ์ของคนที่ต้องพยายามออกเดินทางด้วยกำลังตัวเองจริงๆ
จุดหักมุม
ฉากสุดท้ายในเรื่อง
ที่มีการเฉลยเรื่องราวในอนิเมเรืองนี้แบบหักมุมชนิดยิ่งกว่า 360 องศา แม้ว่าเอาเข้าจริงมันก็ไม่ได้หักมุมหนักขนาดนั้น เพราะเมื่อดูไประยะหนึ่ง หลายคนอาจจะเริ่มสงสัยและมองออก แต่มันก็ทำให้แฟนๆเกมนี้จำนวนมหาศาลที่มีความคาดหวังว่าจะได้เข้ามาดูเรื่องราวของ DQ 5 ในรูปแบบอนิเมชั่น ต้องผิดหวังไปตามๆกัน จนนำไปสู่การวิจารณ์ชนิดสับแหลกในญี่ปุ่นมาแล้ว
ตรงนี้เองที่ทำให้น่าเสียดายว่า ด้วยความที่ตัวเรื่องทำลายความคาดหวังของแฟนๆ แต่อันที่จริงตัวอนิเมชั่นในภาพรวมแล้ว จะถือว่ามีคุณภาพที่ดีในระดับหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นงาน CG กราฟฟิก โมชั่น การเคลื่อนไหว ที่ทำออกมาได้ดี ไปจนถึงการเนรมิตฉากแอ็กชั่นจากในเกมและฉากการใช้เวทมนต์และคาถาๆต่างที่แฟนเกมคุ้นเคยให้ออกมาเป็นภาพเคลื่อนไหว
จะทำได้ดีพอสมควร รวมถึงเพลงประกอบ สกอร์ OST ต่างๆที่เป็นเพียงประจำของเกมซีรีส์นี้ที่ประพันธ์โดยสุดยอดวาทยากรระดับปรมาจารย์อย่าง โคอิจิ สุงิยามะ แต่ละเพลงก็เข้าในแต่ละฉากได้ถูกจังหวะ อีกทั้งในแง่ของการดัดแปลงบทและเนื้อเรื่องให้เกมให้มีความกระชับและเล่าเรื่องราวในฉากสำคัญๆต่างๆให้อยู่ภายในเวลาจำกัด จะทำได้ระดับที่ดี โดยเฉพาะในช่วง 5 นาทีแรกของการเปิดเรื่อง เชื่อว่าแฟนเกมทุกคนต้องยินดีและปลื้มแน่ๆ
แต่แล้วทุกอย่างมันสวนทางไปเลยสำหรับ 5 นาทีสุดท้ายเสียอย่างนั้น (ในขณะที่ผู้เขียนเองพอรับกับตอนจบแบบนี้ได้ แต่ที่ไม่ชอบที่สุดคือ ตัดบทลูกสาวฝาแฝดทำไม เพราะในฐานแฟนเกมนี้ก็อยากเห็นภาพสมาชิกครอบครัวของตัวเอกอยู่กันพร้อมหน้าบนตัวภาพยนตร์สักครั้ง)
โดยรวม
ในภาพรวมแล้ว ในเมื่อมันเป็นภาคที่แฟนๆชอบมากขนาดนี้ เมื่อถูกนำมาดัดแปลงเป็นอนิเมชั่น แล้วพบว่า มีการเปลี่ยนแปลงและตีความใหม่หลายๆอย่าง ไปจนถึงการดีไซต์ตัวละคร กับการตีความบุคลิกตัวละครสำคัญบางคนที่เปลี่ยนไปจากของเดิม ไปจนถึงขั้น “ตัดตัวละครสำคัญ” ที่มีบทบาทในตัวเกมออกไป
สรุป
สรุปในภาพรวมแล้ว นี่เป็นอนิเมชั่นที่ดี มีคุณภาพ เนื้อหาสนุก เพลงประกอบจากเกมที่ชวนคิดถึงสุดไพเราะและเข้ากับแต่ละฉากมาก ฉากแอ็กชั่นตอนสู้กับมอนสเตอร์และการใช้เวทมนต์ทำได้โอเค มีความพยายามที่จะดัดแปลงเรื่องราวจากในเกมมาลงในภาพยนตร์อนิเมชั่นได้อย่างยอดเยี่ยม แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงหลายจุดจะน่าขัดใจเอามากๆ แถมตอนจบยังทำออกมาแบบที่คนไม่ชอบก็จะไม่ชอบไปเลย
แต่เอาเป็นว่าในภาพรวมแล้ว นี่คือหนัง DQ ที่แฟนๆควรดู เพราะถ้าเป็นแฟนพันธุ์แท้ จะมีหลายฉากที่คุณต้องร้องว้าวไปกับมันแน่นอน เป็นการทำหนังที่มีกลิ่นอายแบบ Nostagia สำหรับคนในวัย 30-50+ พอสมควรเลย แต่สุดท้ายแล้วคนดูจะชอบหรือไม่ แนะนำว่าต้องตัดสินเองครับ ซึ่งก็เข้าฉายแล้วใน Netflix สามารถรับชมได้เลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น