วันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

You - คุณ

หนัง HD

รีวิว You - คุณ

ซีรีส์แนวรักทริลเลอร์ ยอดนิยมติด TOP 5 มียอดคนดูถึง 40 กว่าล้านบัญชี ของ Netflix 2018 หลังออกฉายเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2018 และในวันที่ 26 ธันวาคม 2019 ซีซั่น 2 ก็พร้อมฉายแล้ว(คลิกอ่านรีวิวซีซั่น 2 ได้ที่นี่) ในบทความนี้จะเป็นการแจกแจงว่า ทำไมซีรีส์นี้ถึงได้รับความนิยมสูงขนาดนี้ และควรจะดูหรือไม่ดูยังไงมาติดตามกัน รีวิว You

เรื่องย่อ

เพียงแรกพบกับ เบ็ค (เอลิซาเบ็ท เลล) ก็ทำให้ โจ โกลด์เบิร์ก (เพนน์ แบดจ์ลีย์) ผู้จัดการร้านหนังสือในนิวยอร์กตกหลุมรักและลุ่มหลงในตัวเธอ จนเขาใช้เล่ห์กลค่อยๆสืบประวัติเธอและคนรอบข้างจากโซเชียล มีเดียไปจนถึงจัดฉากจนได้เธอมาเป็นแฟน แต่ยิ่งนานวันบรรดาเพื่อนๆของเธอก็ยิ่งสงสัยในตัวโจมากขึ้นโดยเฉพาะ พีช (เชย์ มิตเชลล์) เพื่อนสาวไฮโซที่ไม่ยอมแบ่งเบ็คให้ใคร จนทำให้ โจ ต้องทำทุกทางเพื่อให้รักแท้ของเขาสมดังใจแม้ว่าจะต้องแลกด้วยชีวิตของใครก็ตามที่มาขวางทางความรักครั้งนี้

YOU สร้างจากนิยายของ คาโรไลน์ เคปเนส (Caroline Kepnes)ในปี 2014 ที่จับเอาความรักความลุ่มหลงอันเกินพอดีมาผูกโยงกับเทคโนโลยีในปัจจุบัน โดยเฉพาะประเด็นตัวตนดิจิตอลของแต่ละบุคคลในปัจจุบันที่ดูจะเล่นบทบาทสำคัญในเรื่องเหมือนที่โจ วิเคราะห์ เบค ตั้งแต่ตอนแรกๆผ่านการเลื่อนดูสิ่งที่เธอโพสต์ลง เฟซบุค และ อินสตาแกรม เพื่อวิเคราะห์ถึงชีวิตและทัศนคติของ เบ็ค ได้อย่างเห็นภาพ

ด้านเนื้อเรื่อง

YOU เป็นเรื่องราวของโจ (Joe Goldberg) หนุ่มโสดผู้จัดการร้านขายหนังสือที่ภายนอกดูเป็นคนดี สุภาพเรียบร้อย ช่วยเหลือผู้คน การที่เป็นชายหนุ่มโสดก็มักมองหาหญิงสาวสวยมาเป็นคู่ชีวิต ซึ่งก็อาจจะดูปกติดี ถ้าไม่ใช่เพราะเขาคลั่งไคล้ติดตามเกินปกติในระดับโรคจิตที่เรียกว่า “สตอล์กเกอร์” ซึ่ง “เบ็ค” (Guinevere Beck ) หญิงสาวที่มาหาซื้อหนังสือที่ร้านของโจก็ตกเป็นเป้าหมาย “รักแรกพบ” ในทันที ซึ่งเขาก็มุ่งมั่นติดตามทุกการกระทำของเบ็คทั้งในโลกจริงและออนไลน์ เพื่อหาทางชนะใจเบ็คให้ได้ และพร้อมกำจัดปัญหาทุกอย่างที่ขวางเขาไม่ให้รักกับเบ็คให้หมดไป

แต่กระนั้นเมื่อนำมาทำเป็นซีรีส์ 10 ตอนสิ่งที่ดูเป็นปัญหาที่สุดก็กลับกลายเป็นการสร้างความผูกพัน ,ความเห็นใจ หรือกระทั่งสเน่ห์ให้ตัวละครนำทั้งสองไปอย่างน่าเสียดาย เพราะเอาเข้าจริงแม้เปิดเรื่องมา เหมือน โจ จะทำให้เราเห็นตัวตนพระเอกแบบแอนตี้ฮีโร่ พูดถึง เบ็ค แบบผู้ชายฉลาดๆกำลังวิเคราะห์ผู้หญิงไร้สมอง

แต่พอทุกอย่างถูกเบนเข้าสู้เป้าหมายเพียงแค่เพื่อเอาชนะใจ เบ็ค เท่านั้น หลายการกระทำเลยดูไร้เหตุผลสิ้นเชิงทั้งการจับแฟนของเบ็คมาขังหรือลอบทำร้ายเพื่อนของเธอแบบไร้สติจนแทนที่จะทำให้เราเห็นเสน่ห์ผู้ชายวร้ายๆแบบหนังดาร์คโรแมนติกแบบ Fear (1996) หรือเรื่องอื่นๆที่ทำให้เราค่อยๆเห็นภาพผู้ชายแสนดีก่อนจะค่อยๆเผยสันดานอันตรายออกมาจนสร้างความระทึก

และเมื่อหนังให้ข้อมูลเราว่า โจ คือผู้จัดการร้านหนังสือที่มีึความรู้ในเรื่องการเก็บรักษาหนังสือเป็นอย่างดี แถมนำมาใช้กับการฆาตกรรมด้วยก็ยิ่งทำให้เราคาดหวังว่าเขาจะทำอะไรฉลาดๆจนน่ากลัว แต่ไปๆมาๆยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกว่า โจ เป็นแค่ผู้ชายไร้สเน่ห์ที่ดันโรคจิตแถมทำอะไรแบบสติแตกจนเราลำไยได้เป็นระยะเลยเชียวแหละ

ด้านตัวละคร

โจตั้งแต่เริ่มเรื่องเลยก็เผยให้เห็นความผิดปกติทางจิตของเขากับความรักอย่างชัดเจน แต่ในอีกด้านเขาก็เป็นผู้ชายแสนดีมีคุณธรรม ช่วยเหลือเด็กที่ถูกพ่อทารุณไปพร้อมกัน ซึ่งนี่คือเรื่องราวของพระเอกแนวแบบกึ่งๆ แอนตี้ฮีโร่ ดูแล้วเอาใจช่วยพระเอกให้ทำตามแผนจิตๆ ของเขาได้มากกว่าจะเชียร์ให้เขาพลาดท่าเสียที

ซึ่งตรงนี้เป็นความสนุกว่าเขาจะแก้ปัญหาจากการทำความผิดไปได้ยังไงมากกว่า ซึ่งหนังในแนวๆ นี้ที่ใกล้เคียงก็จะเป็นซีรีส์ Dexter ที่พระเอกเป็นฆาตกรต่อเนื่องทำงานในกรมตำรวจไล่ล่าฆ่าคนทำผิดกฎหมาย แต่ไม่ใช่เพื่อความยุติธรรมอะไร เขาทำไปเพื่อสนองปมทางจิตส่วนตัวเท่านั้น ซึ่งถ้าใครดูเรื่องนี้ชอบ ก็หา Dexter ดูต่อได้เลยเช่นกัน หรือชอบ Dexter มา ก็น่าจะชอบ You อยู่ไม่น้อยครับ
ทีนี้มาพูดถึงตัวละคร เบ็ค กันบ้างยอมรับนะว่าการได้ เอลิซาเบ็ท เลล สาวผมบลอนด์หุ่นอึ๋มมาก็ทำให้ตัวละครดูน่ามองไปแล้วครึ่งนึง และยังเพิ่มปมชีวิตลำเค็ญเป็น TA ผู้ช่วยสอนในมหาลัยแถมยังเป็นครูโยคะอีกก็ยิ่งทำให้เราเห็นใจตัวละครได้ไม่ยาก

แต่พอซีรีส์ดำเนินผ่านไปสักตอน 2-3 ก็ยิ่งเห็นว่าคาแรคเตอร์ เบ็ค ถูกพัฒนาได้ค่อนข้างไร้ทิศทางยิ่งเพิ่มปมอดีตไม่สวยหรูเกี่ยวกับพ่อยิ่งไปกันใหญ่เพราะท้ายสุดมันก็ไม่ได้มีผลอะไรกับการดำเนินเรื่องเลย
มิหนำซ้ำหลายต่อหลายเหตุการณ์เราแทบไม่เชื่อเลยว่าคนที่เป็นปัญญาชนอย่างเธอจะมองไม่ออก ทั้งเพื่อนที่แอบคลั่งไคล้เธอหรือกระทั่งการที่ โจ มักจะทำทุกอย่างแบบรู้ใจเธอไปเสียหมด อย่างมากเธอก็แค่ เอ๊ะ แล้วเลิกสงสัยจนไปๆมาๆจากเห็นใจจะกลายเป็นสมน้ำหน้าซะมากกว่า

ในมุมของโจ เบ็คคือสาวสวยตาสีเขียวมรกต ที่บอบบางดูน่าทะนุถนอมในแบบที่ผู้ชายอยากดูแล เข้าขั้นสาวเปอร์เฟ็กในฝันได้เลย แต่นั่นคือด้านที่โจมองเห็นในตอนแรก หนังมีเรื่องราวของเบ็คในแบบที่เหมือนที่โจคิดและเธอก็เป็นแบบนั้นจริงๆ

แต่ก็มีเรื่องราวอีกด้านที่เธอก็เหมือนผู้หญิงปกติทั่วไปในสังคมที่หาประโยชน์จากความเป็นผู้หญิงทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ ไม่ได้เปอร์เฟ็กต์แบบที่โจคิด และก็ไม่ได้เป็นนางเอกที่ทุกคนต้องเอาใจช่วยในแบบที่หนังรักทริลเลอร์ปกติควรจะเป็น ซึ่งหลังดูจบถึงกับทำให้แฟนๆ เรื่องนี้แบ่งฝ่ายออกมาเลยว่าเข้าข้างโจหรือเบ็คกันแน่

โดยความน่าสนใจกลับไปอยู่ที่ตัวละครสมทบทั้ง พีช ซาลิงเจอร์ ที่เชย์ มิตเชล จาก Pretty Little Liars แสดงได้อย่างเซ็กซี่ ชวนค้นหา และดูฉลาดกว่าตัวละครนำทั้งสองเยอะเลย รวมถึงเหล่าเพื่อนๆที่มาสร้างสีสันทั้ง แอนนิกา ที่ได้ แคตเธอรีน กัลลาเกอร์ มารับบทเพื่อนสาวหุ่นอวบสุดฮา และ ลินน์ ที่ได้ นิโคล คัง มารับบทเพื่อนสาวเอเซียหน้ามึนแต่แอบฮอตให้หนุ่มๆได้ตาโตเวลาพวกเธอปรากฎตัว

ด้านจุดเด่น

ส่วนในเรื่องเทคโนโลยีที่ซีีรีส์ชูเป็นจุดขาย อีกทั้งยังใช้เป็นกิมมิคในการโปรโมตซีรีส์ ไปๆมาๆ พอดูในเรื่องราวจริงๆเรากลับเห็นช่องโหว่เพียบเลย เป็นไปได้ว่าตัวนิยายถูกเขียนในปี 2014 ที่โซเชียลมีเดียเริ่มดังขึ้นมา แต่หารู้ไม่ว่าในยุค 2018 การเป็น ไซเบอร์สตอล์คเกอร์ มีการใช้เทคโนโลยีที่รุดหน้ามากกว่าแค่ตามจากสมาร์ตโฟนที่ลงทะเบียนกับเครือข่ายไว้แบบในเรื่อง

จนหนัง HDตัวซีรีส์ดูขาดความน่าเชื่อถือไปอย่างน่าเสียดายทีเดียว จะมีน่าตื่นตาตื่นใจหน่อยก็คือความตั้งใจของเน็ตฟลิกซ์ที่ทำซีจีเป็นแชตเฮดข้อความภาษาไทยแทนการทำคำบรรยายไทยใต้ภาพแบบดั้งเดิมเท่านั้นเอง

การดำเนินเรื่อง

จากหน้าหนังหรือเทรลเลอร์อาจจะดูว่าเป็นแนวทริลเลอร์ของผู้ชายจิตๆ แต่ยืนยันว่าซีรีส์เรื่องนี้เป็นหนังรักลึกซึ้งอยู่เต็มตัวด้วยเช่นกัน และก็ไม่ได้วางเรื่องราวธรรมดาแค่พระเอกโรคจิตตามหลงรักนางเอกแล้วเรื่องเดินตรงไปทางเดียวจนจบ

แต่แบ่งซอยเรื่องราวความรักละเอียดทุกช่วง ตั้งแต่การพบรัก > ตามจีบ > ช่วงเดาใจกัน > ช่วงสารภาพรัก > ช่วงสวีท > ช่วงคิดลงหลักปักฐาน > ช่วงผิดใจ > ช่วงแยกทางกัน > ช่วงพบรักใหม่ > ช่วงถ่านไฟเก่ากลับมาคุกรุ่นอีกครั้ง

นี่คือซีรีส์ที่จับรายละเอียดทุกช่วงของความรักมาเล่นอย่างจริงจัง และก็มีสองมุมมองของทั้งโจและเบ็คด้วย (มุมของเบ็คจะมาช่วงหลังมีการนำเสนอเสียงในหัวแบบโจ) จนถ้าจะดูเรื่องนี้ในแง่มุมรักๆ โดยมองข้ามเรื่องจิตๆ ของโจไป ก็มีซึ้ง เศร้า อินในความรักของทั้งคู่ได้เลยเช่นกัน

ความคิดและการกระทำของพระเอกในเรื่องถูกถ่ายทอดออกมาทางเสียงสะท้อนในหัวให้ผู้ชมได้ยินตลอดเวลา ซึ่งก็เป็นการวางแผนคิดวิเคราะห์ในเรื่องความรักที่ต้องทำให้สำเร็จโดยขจัดอุปสรรคต่างๆ ออกไปให้หมด หนังเลยไม่ได้เป็นแบบซ่อนแอบอุบไต๋อะไรไว้

แต่คนดูจะได้สนุกที่ได้รู้ว่าโจคิดยังไง จิตไม่ปกติแค่ไหน ทำลงไปได้ตามที่คิดหรือเปล่า ระหว่างทำสติแตกแค่ไหนเมื่อเจอกับเรื่องเกินคาดคิด (ซึ่งมีตลอดเรื่อง) ซึ่งเสียงบอกเล่าตรงนี้เป็นจุดเด่นเมนหลักของสตอรี่ที่ใช้บอกเล่าเรื่องราวทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบ

หนังนำเสนอรูปแบบการเล่าเรื่องผ่านโซเชียลมีเดียอย่างจริงจัง โดยใช้ความโรคจิตของโจติดตามอ่านเรื่องราวโซเชียลมีเดียของเบ็ค ซึ่งเบ็คเองก็เหมือนผู้หญิงทั่วไปที่เล่นโซเชียลมีเดียแล้วพรีเซนต์ตัวเองอยู่บ่อยๆ เป็นข้อมูลที่โจเอามาปะติดปะต่อเรื่องราวให้เข้าใจเบ็ค

และยังใช้ภาพการสนทนาแชทออนไลน์ขึ้นบนหน้าจอแทรกกับเรื่องราวด้วยภาษาไทยแทนต้นฉบับ แล้วก็เป็นภาษาแชทแบบคนเล่นโซเชียลเหมือนจริง ซึ่งช่วยประกอบเรื่องราวได้อย่างเป็นธรรมชาติน่าติดตามมากกว่าอ่านคำแปลจากซับไตเติลด้านล่างตามปกติ

รีวิว You

หนังไม่เหมาะกับคนที่มองความรักแค่ในมุมปกติ

ในแง่มุมพาร์ทความรัก You เป็นหนังรักที่ไม่ได้เป็นความรักแบบปกติในสังคม ตรงนี้ไม่ได้หมายถึงเรื่องราวทริลเลอร์ในเรื่อง แต่หมายถึงส่วนพาร์ทของความรักในแบบใส่ใจทุกรายละเอียดจริงจังของที่โจมีให้กับเบ็ค

ซึ่งอาจจะถูกมองว่าเว่อร์ๆ ฟุ้งๆ ไม่เมคเซนส์ไปหน่อย แต่ในเรื่องจริงคนที่เป็นสตอล์กเกอร์ก็มีความรักในมุมที่ละเอียดซับซ้อนแบบนี้จริง โดยถ้าตัดความไม่ปกติของเรื่องราวออกไปก็จะเห็นว่าเขาพยายามทำในแบบที่ทุ่มเทมากที่สุดให้กับผู้หญิงที่รัก

แต่ก็นั่นแหละในมุมคนปกติดูเว็บสตรีมหนัง ที่ไม่อินหรือเข้าถึงก็จะมองว่าตัวละครโจไม่ได้น่าเอาใจช่วยอะไรเลย เพราะทำตัวทุเรศเอง แถมหลายคนยังมองว่าพระเอกหน้าตาจืดๆ ไร้เสน่ห์อีกด้วยครับ ซึ่งถ้าตามบทจริงๆ สตอล์กเกอร์ก็ไม่ควรเด่นหรือมีเสน่ห์อะไรอยู่แล้วเหมือนกันซึ่งถ้าไม่เอาใจช่วยโจที่ทำตัวทุเรศๆ เพราะความผิดปกติทางจิตในเรื่องนี้ได้ ดูไปก็ไม่ได้สนุกไปกับเรื่องราวสักเท่าไหร่ครับ

สรุป

YOU เป็นซีรีส์แนวจิตๆ ที่ดูเป็นหนังเฉพาะทางสักหน่อย นี่ไม่ใช่หนังทริลเลอร์ที่เมคเซนส์ในเรื่องราว และก็วางตัวเป็นหนังรักสูงอยู่ด้วยเช่นกัน อาจจะต้องดูเป็นแฟนแนวนี้โดยเฉพาะไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่ถ้าทดลองดูแล้วชอบ ทนกับความน่ารำคาญหลายอย่างในเรื่องได้ก็หลงชอบเรื่องนี้ได้ไม่ยากครับ
ปล.ฉากโหดในเรื่องนี้ไม่มากขนาดดูไม่ได้ แต่ก็มีความน่ากลัวอยู่พอสมควรครับ

ข่าวล่าสุดคือตัวซีรีส์ได้อนุมัติทำซีซัน 2 เรียบร้อยแล้ว ซึ่งก็ต้องลุ้นทั้งเรื่องราวว่าจะทำให้น่าสนใจได้มากกว่าเดิมหรือไม่ รวมถึงการเดินเกมผลิต คอนเทนต์ สำหรับสตรีมมิงของ วอร์เนอร์ บราเธอร์ส ภายใต้ชื่อ วอร์เนอร์ ฮอริซอน เทเลวิชั่น จะยังประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องหรือไม่ก็ต้องติดตามกันต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น