วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

The Society - เดอะ​ โซไซตี้

ดูหนังฟรี

รีวิว The Society - เดอะ​ โซไซตี้

ไอเดียในการจับตัวละครกลุ่มหนึ่งไปติดอยู่ในสถานที่หนึ่ง (ซึ่งปกติมักจะเป็นเกาะร้าง) และพยายามเอาชีวิตรอดคงไม่ใช่ไอเดียที่ใหม่นัก ซึ่ง The Society ออริจินัลซีรีส์จากทาง Netflix เองก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องหยิบไอเดียนี้ขึ้นมาทำเช่นกัน แต่ตัวละครในซีรีส์เรื่องนี้จะไม่ได้ติดเกาะร้างแต่เป็นติดอยู่ในเมืองแทน รีวิว The Society

เรื่องย่อ

เรื่องราวจะเล่าอยู่ในเมือง West Ham เมื่อโรงเรียนแห่งหนึ่งได้พานักเรียนมัธยมปลาย (High School) ออกไปทัศนศึกษานอกเมือง เนื่องจากในเมืองตอนนั้นกำลังมีกลิ่นเหม็นประหลาดฟุ้งอยู่ทั่วเมืองโดยที่หาสาเหตุไม่ได้ แต่ยังไม่ทันที่การทัศนศึกษาจะเริ่มต้นขึ้นรถบัสก็พานักเรียนทุกคนกลับมาที่เดิมและเรื่องราวทั้งหมดก็เริ่มต้นขึ้น เมื่อเด็ก ๆ ทุกคนกลับบ้านไปแล้วพบว่าพ่อแม่ คุณครู และชาวเมืองคนอื่น ๆ ได้หายตัวไปกันหมด และพยายามติดต่ออย่างไรก็ไม่ได้ เด็ก ๆ จึงคิดจะออกไปนอกเมืองเพื่อตามคนมาช่วยแต่ก็พบว่าทางออกของเมืองถูกปิดล้อมไปด้วยป่ารกชัฏ


ชีวิตที่ปราศจากผู้ใหญ่คือชีวิตที่อิสระและเจ๋งสุดๆจริงหรือ? คือสิ่งที่เหล่าวัยรุ่นแห่งนิวแฮมกำลังหาคำตอบเบื้องหลังการหายตัวไปของพ่อแม่ของพวกเขา และในขณะที่กำลังหาทางกลับบ้าน เกมการเมืองในสังคมที่ต้องปกครองกันเองกำลังทำให้พวกเขาต้องเผชิญด้านมืดของมนุษย์ เมื่ออำนาจกลายเป็นเดิมพันชีวิตที่อาจบีบให้พวกเขาทำลายกันเองจนหมดสิ้น แต่เหตุการณ์ประหลาดนี้จะจบลงเช่นไร พวกเขาจะหาทางกลับบ้านได้หรือไม่ และใครที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ประหลาดนี้ต้องร่วมกันหาคำตอบใน The Society

ไอเดียของเรื่องที่ว่าการนำกลุ่มตัวละครมาอยู่ในพื้นที่ปิดและพยายามเอาชีวิตรอดจากทรัพยากรที่มีอย่างจำกัดอาจฟังดูไม่ใหม่นัก แต่The Society ไม่ได้เน้นการเล่าเรื่องไปในทางนั้นสักเท่าไร แต่จะเน้นไปในประเด็นเรื่องระบบการเมืองการปกครองและการเปลี่ยนแปลงของแต่ละตัวละครผ่านเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากกว่า

ซึ่งหลังจากที่เด็ก ๆ ติดอยู่ในเมืองของตัวเองและไม่มีคำตอบใด ๆ ให้กับคำถามที่ว่าพวกเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร พ่อแม่และคนอื่น ๆ ไปไหน แล้วพวกเขาจะกลับบ้านจริง ๆ ของพวกเขาได้อย่างไร พวกเขาก็เริ่มสร้างกฎขึ้นมาเพื่อจัดระเบียบความเป็นอยู่ของทุกคน แต่ทุกอย่างมันก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น

แม้เด็ก ๆ ส่วนใหญ่จะยอมทำตามกฎแต่ไม่ใช่ทุกคนจะยอมรับและเห็นด้วย เพราะโดยพื้นฐานแล้ว เด็ก ๆ เหล่านี้ไม่ได้เท่าเทียมกันตั้งแต่แรก บางคนฐานะดี บางคนฐานะยากจน บางคนไม่มีบ้านให้กลับเพราะบ้านอยู่นอกเมือง สังคมจึงเริ่มมีการเห็นต่างทางความคิดต่อการปกครองของผู้นำมากขึ้นเรื่อย ๆ และเริ่มปะทุเป็นเหตุการณ์ที่มักจะเห็นได้ในเรื่องเล่าแนวเอาชีวิตรอดนี้ เช่น การยึดอำนาจ และการใช้อำนาจของกฎหมู่ กักขัง ฯลฯ

ความน่าสนใจ

แต่ความน่าสนใจของซีรีส์เรื่องนี้อยู่ที่ซีรีส์ไม่ได้เทน้ำหนักไปว่าใครถูกใครผิด ความคิดของใครดีกว่า เพราะไม่ว่าจะปกครองแบบไหนก็ต้องมีคนได้รับผลลัพธ์ที่ไม่น่าพึงพอใจเสมอ และยังชวนคนดูให้คิดและตั้งคำถามว่าใครกันแน่ที่มีสิทธิจะได้เป็นผู้นำ ในเมื่อทุกคนเห็นต่างและมีเหตุผลของตัวเองกันหมด และเหตุผลของแต่ละคนก็ชวนให้เข้าใจได้เหมือนกัน

การดำเนินเรื่อง

ในด้านการพัฒนาเรื่องราวนั้นตัวซีรีส์ทำออกมาได้อย่างชัดเจนผ่านการค่อย ๆ เติบโตและเปลี่ยนแปลงของตัวละครแต่ละตัว ทั้งจากสถานการณ์ภายนอกที่ตัวละครทุกตัวต้องใช้ชีวิตแบบผู้ใหญ่จริง ๆ อย่างกะทันหันซึ่งเหมือนเป็นการบีบบังคับให้ตัวละครต้องทำตัวให้โตกว่าวัยอย่างไม่มีทางเลือก และสถานการณ์ที่เกิดจากภายในจิตใจตัวละครที่ต้องตัดสินใจอะไรที่ดูจะเกินตัวไปมาก ซึ่งผลลัพธ์จากการตัดสินใจทุกอย่างนั้นมันทำให้ตัวละครเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ

อีกเรื่องหนึ่งที่ซีรีส์ได้สอดแทรกเอาไว้ระหว่างทางก็คือเรื่องของปัญหาหลาย ๆ ระดับในสังคมผ่านการที่ให้เด็ก ๆ ได้ใช้ชีวิตในสังคมแบบผู้ใหญ่จริง ๆ โดยไม่มีผู้ปกครองคอยดูแล ตั้งแต่เรื่องง่าย ๆ อย่างการทำอาหารที่เด็กบางคนเองก็ไม่มีความรู้เลยจริง ๆ และปัญหาระดับครอบครัว เช่น การใช้ชีวิตแบบคู่แต่งงาน หรือการทำร้ายร่างกายผู้หญิงและความเป็นใหญ่ของผู้ชาย (สามี) ในครอบครัว ไปจนถึงปัญหาระดับสังคมอย่างเรื่องเพศที่สามที่ไม่ถูกยอมรับ การตั้งท้องในวัยเรียนโดยไม่พร้อม หรือการใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ของกฎหมายในการเอาเปรียบคนอื่น ๆ

จุดที่ชอบ

ความดีงามหลักๆที่พอจะทำให้เราดูซีรีส์ได้ตลอดรอดฝั่งคงหนีไม่พ้นคอนฟลิกต์หลักของเรื่องที่ว่าด้วยปริศนาการหายไปของเหล่าผู้ใหญ่ที่เดินไปควบคู่กับเกมการเมืองของเหล่าวัยรุ่นในเมืองนิวแฮม แต่ถามว่าปัญหาของซีรีส์หลักๆคืออะไรก็คงหนีไม่พ้นการพยายามยัดคอนฟลิกต์ย่อยๆมาตลอดเรื่องแบบกลัวคนดูเบื่อหน่าย และผลของมันคือการทำให้ 5 ตอนแรกเรื่องราวแทบไม่เดินไปไหนเลย

หลังพยายามหาทางกลับบ้านเพียงครั้งเดียวในตอนเปิดซีรีส์แล้วมีคนถูกงูกัด ซีรีส์ก็ดูจะสาละวนกับการพยายามจัดระเบียบสังคมของ แคสแซนดรา จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์สุดช็อคตอนครึ่งทางของซีรีส์ที่เริ่มมีการฆาตกรรมเกิดขึ้นนั่นแหละ เลยทำให้ตั้งแต่ตอนที่ 6 เป็นต้นไปกลายเป็นเกมการเมืองที่เข้มข้นเอามากๆและหยุดดูไม่ได้เลย

แต่กระนั้นมันก็ยังพยายามยัดคอนฟลิกต์ย่อยๆทั้งไอ้หนุ่มโรคจิตอย่าง แฮรี่ ที่พยายามหาทางยึดอำนาจ หรือการสอบสวนคดีฆาตกรรมที่จบลงด้วยความน่ากังขาแต่ซีรีส์ก็กลับทิ้งมันไปดื้อๆ ให้เป็นเพียงคำถามถึงความยุติธรรมของศาลที่พวกเขาพยายามจัดตั้งขึ้น ซึ่งใครสนใจชมก็คงต้องทำใจนิดนึงว่าซีรีส์จะเต็มไปด้วยช่องโหว่เต็มไปหมด แต่ในเรื่องความสนุกรับรองไม่ผิดหวังเลย

ด้านนักแสดง

อีกจุดที่น่าพูดถึงสำหรับ The Society คือเหล่าตัวละครที่เหมือนยกประเภทของเผ่าพันธ์ุวัยรุ่นชาวไฮสคูลมาจัดตั้งเป็นกลุ่มก้อนทางสังคมได้อย่างน่าสนใจ เช่นเหล่านักฟุตบอลของโรงเรียนก็กลายเป็นเหมือนทหาร มีเด็กสาวเคร่งศาสนามาทำหน้าที่เป็นเหมือนนักเทศน์ มีสาวสังคมที่พยายามจัดปาร์ตี้รวมคนขึ้นมา หรือกระทั่งนักกิจกรรมที่พยายามตั้งคำถามถึงการปกครองตนเองของผู้นำผ่านละครเสียดสีการเมือง

รีวิว The Society

ซึ่งไอเดียสิ่งละอันพันละน้อยเหล่านี้นี่แหละที่ทำให้ตัวละครในซีรีส์ดูน่าสนใจ รวมถึงการพยายามสร้างกิจกรรมการเมืองที่ล้อกับโลกผู้ใหญ่ทั้งการเลือกตั้ง (รวมไปถึงการทำรัฐประหารที่แอบสะอึกไม่น้อยประหนึ่งมาเอาเรื่องราวการเมืองไทยไปเสียดสีเลยทีเดียว 555) แถมแนวคิดของเด็กๆในเรื่องบางคนก็สะท้อนถึงผู้นำที่มีความคิดเผด็จการเมื่ออำนาจอยู่ในมือ ซึ่งก็ทำให้เห็นถึงความละเอียดละออในการสร้างตัวละครของทีมเขียนบทไม่น้อยเลยทีเดียว

ในด้านนักแสดงแต่ละคนอาจไม่คุ้นหน้าคุ้นตานัก แต่ก็มีบางคนที่อาจจะได้เคยเห็นมาบ้าง เช่น แอลลี่ เพรซแมน รับบทโดย Kathryn Newton จากภาพยนตร์หนังออนไลน์เรื่อง Three Billboards Outside Ebbing, Missouri ภาพยนตร์เรื่อง Pokemon Detective Pikachu ทีวีซีรีส์ เรื่อง Big Little Lies และแอลล์ ทอมกินส์ จากภาพยนตร์เรื่อง The Visit

พูดถึงเหล่าบรรดานักแสดงในเรื่องก็เต็มไปด้วยวัยรุ่นหน้าตาดีๆ ตั้งแต่ แคตเธอรีน นิวตัน ที่เพิ่งมีผลงาน Pokemon Detective Pikachu ไปหมาดๆก็มารับบท อัลลี สาวน้อยที่จำใจต้องมารับหน้าที่ผู้นำและต้องเผชิญความโหดร้ายของเกมการเมือง ฌาคส์ โคลิมอง หนุ่มลูกครึ่งเฮติอเมริกันสุดหล่อที่รับบท วิล หนุ่มหล่อที่ อัลลี หลงรักแต่ต้องเจอกับสถานการณ์เฟรนด์โซน  คริสทีน โฟรเซธ สาวสวยหน้าเก๋จากหนัง Netflix อย่าง Sierra Burgess is a loser ก็มารับบทเคลลี สาวสุดฮอตที่วิลแอบชอบ

แต่สาวสวยที่ผมอยากแนะนำคงหนีไม่พ้น นาตาชา ลุย โบดิซซา สาวสวยลูกครึ่งจีนอิตาเลียน ที่เราเคยเห็นผ่านๆตาจาก The Greatest Showman และเคยเล่นหนังกำลังภายในภาคต่อที่ Netflix สร้างเองอย่าง Netflix Original Crouching Tiger, Hidden Dragon : Sword of Destiny ด้วยใบหน้าสวยคมแบบหมวยอินเตอร์ที่เราเชื่อว่าจะถูกใจหนุ่มๆแน่นอน

โดยรวม

ในซีซั่นแรกนี้จะเน้นหนักไปในเรื่องปูให้ผู้ชมรู้จักตัวละครแต่ละตัว การปะทะทางความคิดในประเด็นเรื่องการปกครอง และการใช้ชีวิตในแบบของผู้ใหญ่จริง ๆ เสียมากกว่า ส่วนในด้านปริศนาเรื่องที่ว่าที่ที่พวกเด็ก ๆ อยู่นั้นคือที่ไหนและมาได้อย่างไร ทุกคนหายไปไหน และวิธีพวกเขาจะกลับไปเมือง ๆ เดิมได้อย่างไรนั้นยังไม่มีการเปิดเผยอะไรออกมามากนัก แต่ตัวซีรีส์ก็ทำออกมาได้ค่อนข้างน่าสนุกและชวนให้ติดตามทีเดียว และข่าวดีสำหรับคนที่ชอบก็คือตัวซีซั่น 2 จะถูกปล่อยให้มาให้ชมกันต่อในปี 2020 นี้เอง

สรุป

ในด้านไอเดียแม้จะดูไม่ใหม่นักกับการเอาชีวิตรอดของกลุ่มคนในเมืองร้าง แต่ประเด็นต่าง ๆ ในเรื่องก็ทำออกมาได้สนุกทีเดียว ทั้งประเด็นเรื่องระบบการปกครอง และการจำลองชีวิตในสังคมแบบผู้ใหญ่ของกลุ่มวัยรุ่น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น