วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

The Peanut Butter Falcon

รีวิว The Peanut Butter Falcon คู่ซ่าบ้าล่าฝัน

ถือเป็นหนัง Road Movie ม้ามืดที่ถูกจับตามองอย่างมาก โดยเฉพาะการเป็นโพรเจ็กต์ที่นำนักแสดงดาวน์ซินโดรมจริง ๆ มาเป็นตัวละครหลัก โดยมีที่มาจากการที่สองผู้กำกับอย่าง Tyler Nilson และ Michael Schwartz ไปค้นพบ Zack Gottsagen จากการเข้าค่ายนักแสดงพิการ ซึ่งหนุ่ม Zack มีไฟอยากเป็นนักแสดงมาก ถือเป็นโจทย์ท้าทายและเรียกว่าเป็นแรงบันดาลใจหลัก ๆ ที่หนังเรื่องนี้เกิดขึ้นได้เลย รีวิว The Peanut Butter Falcon  ดูหนังชัด

เรื่องย่อ
หนัง The Peanut Butter Falcon หรือชื่อไทยว่า คู่ซ่าบ้าล่าฝัน ทายเลอร์คนจรหมอนหมิ่นที่หนีคดีความมา และได้พบกับเด็กหนุ่มดาวน์ซินโดรมที่หนีออกจากสถานดูแล เพราะใฝ่ฝันอยากเป็นนักมวยปล้ำอาชีพที่มีชื่อเสียง ทำให้ทั้งคู่ได้ออกผจญภัยร่วมกัน ระหว่างทางทั้งคู่ได้พบกับพยาบาลสาวแสนน่ารักชื่ออีเล็นเนอร์ ที่พยายามตามหาเด็กหนุ่มให้กลับไปยังสถานดูแลผู้ป่วย แต่กลับกลายเป็นว่าเธอต้องออกร่วมผจญภัยไปกับทั้งคู่บนแม่น้ำมิสซิสซิปปี้ด้วยกัน เพื่อไปยังโรงเรียนสอนมวยปล้ำที่ดูแลโดยอดีตนักมวยปล้ำตามที่เด็กดาวน์ซินโดรมตั้งใจไว้
หนังฟอร์มเล็กขวัญใจมหาชนที่สุดแสนอบอุ่นหัวใจ ที่เกิดจากผู้กำกับไปเจอแซ็กเด็กดาวน์ซินโดรมที่ฝันอยากมีอาชีพเป็นนักแสดง ก็เลยตัดสินใจเขียนบทเรื่องนี้มาเพื่อเขาโดยเฉพาะ ให้เล่นหนังเรื่องนี้ได้ตามฝันที่อยากเป็นนักแสดงสักครั้ง ในบทของเด็กดาวน์ซินโดรมที่อยากเป็นนักมวยปล้ำดาวร้ายจากวิดีโอเทปมวยปล้ำเก่าที่นั่งดูทุกวี่วันในบ้านพักคนชรา

ซึ่งเขาไม่อยากติดแหง่กอยู่ที่นี่เพียงแค่เพราะรัฐส่งมาทิ้งไว้หลังกำพร้าพ่อแม่ จึงหนีออกมาและก็ได้พบกับ “ไทเลอร์” ชายไร้บ้านที่ชีวิตล้มเหลวหลังจากพี่ชายตายจากไปทิ้งไว้ให้เขาอยู่คนเดียว ซึ่งก็ได้ไชอาลาบัพ (Shia LaBeouf) กลับมาเล่นหนังหลังจากหายหน้าไปนาน (เพราะปัญหาส่วนตัวกับวงการ)

ซึ่งเขาเล่นได้สุดยอดมากในบทที่ต้องแบกรับความโดดเดี่ยวหลังขาดพี่ชายจนชีวิตไร้ทิศทาง และก็ต้องมาแบกรับชีวิตของเด็กดาวน์ซินโดรมอีกคน ในขณะที่ตัวเขาเองก็ถูกตามล่าจากคดีที่ก่อโดยชั่ววูบ นั่นทำให้การเดินทางครั้งนี้เป็นการสอนใช้ชีวิตจริงให้เด็กพิเศษที่ต้องถูกกักขังความฝัน เพียงเพราะทุกคนมองเขาเป็นคนปัญญาอ่อน ไม่มีทางไปตามฝันอะไรได้ (ในสายตาคนปกติ)ทำให้ไทเลอร์ได้เหมือนกลับมามีครอบครัว และกลายเป็นพี่ชายของเด็กอีกคนหนึ่งที่ต้องช่วยทำตามฝันที่ทุกคนมองว่าเป็นไปไม่ได้ ให้เป็นจริงขึ้นมา

แม้หนังจะเดินเรื่องด้วยการใช้แซ็กที่เป็นเด็กดาวน์ซินโดรมจริงๆ แต่บทไทเลอร์คือผู้ที่แบกหนังไว้ทั้งเรื่อง การแสดงของไชอาลาบัพเรียกได้ว่าสมจริงมากกับบทคนจร ถ้าไม่ดูชื่อนักแสดงนี่แทบจำไม่ได้เลยว่าเป็นเขา ไชอาคือบทชายผู้ที่พยายามให้ทุกคนมองว่า แซ็กไม่ใช่เด็กที่มีปัญหาจนต้องช่วยเขาทุกอย่าง

ซึ่งนั่นทำให้เขายิ่งกลายเป็นคนไม่ปกติไป ทั้งๆ ที่เขาพยายามทำให้ตัวเองเป็นคนปกติ บทที่ไชอาได้รับกลายเป็นบทที่ทรงพลังเป็นอย่างมาก เหมือนเป็นตัวแทนให้เด็กดาวน์ซินโดรมจริงๆ ได้สื่อสารออกไปให้คนปกติทั่วได้รับรู้ว่าพวกเขาก็มีความฝันอยากมีอาชีพแบบคนปกติเช่นกัน แม้จะถูกมองว่าทำไม่ได้หรอก ก็ควรจะให้เขาได้โอกาสพิสูจน์

เหมือนกับที่แซ็กตัวจริงฝันอยากเป็นนักแสดง และก็ได้แสดงจริงๆ ในบทที่เหมือนเล่นเป็นตัวเอง แต่เปลี่ยนจากนักแสดงมาเป็นมวยปล้ำ ซึ่งก็คือการแสดงแบบหนึ่งเช่นกัน และแซ็กก็ได้เรียนรู้กับมวยปล้ำจริงๆ ว่าเป็นยังไง หนังพาไปพบกับช่วงเวลาที่อบอุ่น ซาบซึ้งกับมิตรภาพที่ทั้งคู่ต่างแลกให้กันในแบบที่ต่างคนก็ต่างคาดไม่ถึงว่าจะได้รับ ซึ่งแซ็กเองก็ถือว่าสอบผ่านเช่นกับการเป็นนักแสดงหน้าใหม่ครั้งแรกนี้ แม้จะยังมีขัดๆ เขินๆ อยู่บ้างก็ตาม

ส่วนเอลีนอร์บทที่แสดงโดยนางเอกฟิฟตี้เชดเกรย์ Dakota Johnson เป็นบทสมทบที่ทำให้หนังเรื่องนี้ดูสดใสขึ้นมาเป็นกอง แต่ก็ไม่ใช่บทที่ใช้แค่หน้าตาสวยๆ ของเธอเท่านั้น อลีนอร์คือสาวผู้จบมหาลัยชั้นนำ เรียนรู้ทุกอย่างจากตำรา เรียนจิตวิทยามา และก็พยายามจะเข้าใจทุกอย่างในแบบตามตำราซึ่งเธอเห็นว่าถูกต้อง

แต่กลับต้องมาเจอการสอนของไทเลอร์ ผู้เป็นคนจรไร้ที่ซุกหัวนอน แต่เปี่ยมด้วยพลังในการใช้ชีวิตรอด ซึ่งการที่ไทเลอร์สอนอะไรห่ามๆ ให้แซ็กในสายตาเธอก็เหมือนกับว่าไทเลอร์ไม่รู้จักคนเป็นดาวน์ซินโดรมดีพอ แต่แซ็กกลับทำให้เธอเห็นว่าตำราไม่ได้ถูกเสมอไป และการที่ลองให้เด็กได้ดิ้นรนทำอะไรเอง ในขณะที่เราเป็นเพียงแค่ผู้คอยประคอง น่าจะดีกว่าการจับมือเด็กทำอะไรตามที่ตัวเราคิดว่าดีแบบที่เอลีนอร์ทำมาทั้งชีวิต

The Peanut Butter Falcon เป็นเรื่องราวของ Zack เด็กดาวน์ซินโดรมที่เดินตามหาฝันอยากเป็นนักมวยปล้ำ หลังจากได้แรงบันดาลใจจากวีดิโอมวยปล้ำเก่า ๆ ที่เขาได้ดูในสถานดูแล จนมาวันหนึ่ง Zack ก็หลบหนีออกมาได้สำเร็จในสภาพเปลือยเปล่าเหลือเพียงกางเกงในตัวเดียว เขาออกตามหาไอดอลในวงการมวยปล้ำที่ชื่อ the Salt Water Redneck (Thomas Haden Church) ที่เขาเห็นในวีดิโอตั้งแต่เด็ก ๆ และต้องการจะเรียนมวยปล้ำเพื่อไปเป็นนักมวยปล้ำอาชีพให้ได้ แม้ว่าตัวเองจะเป็นเด็กพิเศษก็ตาม ซึ่งแรงบันดาลใจตรงนี้ก็ปรับแต่งจากชีวิตจริงของ Zack ที้อยากเป็นนักแสดงฮอลลีวูดนั่นเอง

และที่น่าสนใจก็คือ การได้แคสต์ทั้ง Shia LaBeouf ที่กลับมารับงานอีกครั้งหลังจากที่เราแทบจะไม่ได้เห็นเขาเลย นอกเหนือจากข่าวแย่ ๆ ในช่วงหลัง ๆ จากปัญหาชีวิตของเขา โดยเขากลับมารับบทเป็น Tyler คนจรจัดที่หนีคดีความมาหางานก๊อกแก๊กแถบท่าเรือ และจับrลัดจับผลูต้องมาร่วมเดินทางข้ามแม่น้ำมิสซิสซิปปี้กับ Zack ไปด้วย ซึ่งด้วยลุคเซอร์จัด ๆ เถื่อน ๆ รุงรัง ๆ ของ Shia ในเรื่องนี้ กลับ contrast กับคาแรกเตอร์ของ Zack แล้วลงตัวเกินคาด หลายคนเคยมองเขาว่ามีจุดบอดตรง ‘หน้าเด็ก’ ไปหน่อย กับตัวละครที่เป็นผู้ใหญ่มาก ๆ แต่กับเรื่องนี้ลงตัวดีกับเขามาก (บท Tyler ละม้ายคล้ายกับหนังเรื่อง Holes) ผมชอบบทของทั้ง Shia และ Dakota ถูกเกลี่ยออกมาพอดี ไม่โดดเด่นเกินหน้าหนุ่ม Zack ที่เป็นหัวใจหลักของหนังเรื่องนี้

ความน่าสนใจของหนังแนวนี้จะอยู่ที่เหตุการณ์ระหว่างทางที่พาไปยังจุดพีค ซึ่งตลอดการเดินทางตั้งแต่ช่วงที่ Elenor (Dakota Johnson) เข้ามาเติมเต็มสีสันให้พาร์ตหลัก (นางดาเมจแรงมากก-โดนตกง่าย ๆ ไม่รู้ตัว…ฮา) ไปจนถึงการปรากฏตัวของตัวละครบางตัวที่พลิกอารมณ์ของหนังได้วูบวาบ และชวนลุ้นได้กำลังดี แถมอีกชุดที่ชอบคือการสอดแทรกมุกตลกให้ได้ฮาอยู่เรื่อย ๆ อย่างเป็นธรรมชาติ

บทสรุปในเรื่องของ The Peanut Butter Falcon ถือเป็นหนังที่กลมกล่อมและเป็นธรรมชาติดีตั้งแต่บทยันเคมีนักแสดง ให้อินเนอร์ราวกับว่าพวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกันจริง ๆ ระหว่างทางที่ทั้ง 3 เดินทางไปยังโรงเรียนสอนมวยปล้ำนั้น เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่หนังเลือกนำมาทดสอบความสัมพันธ์ และการเดินเรื่องให้คนดูออกไปเป็นผู้สังเกตเห็นพัฒนาการการเรียนรู้แง่มุมของกันและกันในชีวิต 

ซึ่งต้องชมเลยว่าสิ่งที่ Zack แสดงออกมานั้นมันทำให้หนังทรงพลังขึ้นมาก ๆ แถมสะท้อนจิตใจของมนุษย์ลึก ๆ ว่า หากทุกคนมีความเมตตา อะลุ่มอล่วย ให้พื้นที่สำหรับความผิดพลาดกันและกัน โลกจะน่าอยู่ขึ้นเยอะ เหมือนที่เรามองและแสดงออกกับเด็กพิเศษ เพราะใจเราโฟกัสไปที่ทำความเข้าใจกับเขามากกว่ามองเอาความต้องการตัวเองเป็นศูนย์กลาง
และเมสเซจที่ทรงพลังที่สุดของเรื่องเลยก็คือ ครอบครัว ไม่จำเป็นต้องเป็นพ่อแม่ลูกที่มาจากเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกัน แต่หากอยู่กับสังคมไหนแล้ว ได้ดูแลกัน จุนเจือกัน พร้อมจะเข้าใจกัน และอดทนผ่านเรื่องหนัก ๆ ไปด้วยกันได้ นั่นก็เรียกว่าเป็นครอบครัวแล้วเหมือนกัน

สรุป

The Peanut Butter Falcon นี่เป็นหนังเล็กๆ ที่ ดูหนังผ่านเน็ต ว่าเปี่ยมไปด้วยฝันและแรงบันดาลใจ แต่ก็ไม่ได้เพ้อฝันจนเป็นหนังที่เป็นไปไม่ได้ ปลายทางของหนังสวยงาม หนังหาทางออกให้กับความฝันของแซ็กและปัญหาของไทเลอร์ได้ดี แม้จะต้องแลกกับอะไรบางอย่าง สุดท้ายทั้ง 3 คนก็ได้พบเส้นทางใหม่ของชีวิต ในแบบที่ไม่ใช่ตามตำรา หรือแค่ตามความฝันจินตนาการอีกต่อไป เป็นฉากจบปิดท้ายที่แม้จะห้วนไปนิด แต่ก็รู้ปลายทางนั้นอบอุ่นมีความสุขให้กับชีวิตอย่างแท้จริง

Abominable

รีวิว Abominable เอเวอเรสต์ มนุษย์หิมะเพื่อนรัก

ผลงานล่าสุดจากดรีมเวิร์คส์ แอนิเมชั่น สตูดิโอผู้สร้าง How To Train Your Dragon ที่จะพาผู้ชมไปผจญภัยสุดยิ่งใหญ่บนเส้นทาง 2 พันไมล์ จากเซี่ยงไฮ้สู่เทือกเขาหิมาลัย ยี สาววัยรุ่น (โดลอี้ เบนเนทท์ จาก Marvel’s Agents of S.H.I.E.L.D. )

บังเอิญพบเยติบนหลังคาอพาร์ทเมนต์ของเธอในเซี่ยงไฮ้ เธอและเพื่อน ๆ จอมกวน ทั้ง จิน (เทนซิง นอร์เกย์ เทรนเนอร์) และเพ็ง(อัลเบิร์ต ซาย) ตั้งชื่อว่า “เอเวอเรสต์” และออกผจญภัย เพื่อพาเยติกลับไปพบกับครอบครัวที่จุดสูงสุดของโลก ทั้ง 3 คนต้องเผชิญหน้ากับเบอร์นิช (เอ็ดดี้ อิซซาร์ด) เศรษฐีที่ตั้งใจจะจับตัวเยติและนัสัตววิทยา ดร.ซาร่า (ซาร่าห์ พอลสัน)เพื่อช่วยเอเวอร์เรสต์กลับบ้าน รีวิว Abominable เอเวอเรสต์ และ ดูหนังชัด

เรื่องย่อ
หลังใช้ชีวิตอย่างเด็กแปลกแยกเพราะสูญเสียพ่อในที่สุด หยี่ (พากย์โดย โคลอี เบนเนต)ก็ได้พบมิตรภาพสุดแปลกประหลาดกับเอเวอเรสต์ เยติที่หลุดจากห้องทดลองของ เบอร์นิช (พากย์โดย เอดดี อิซซาร์ด) มหาเศรษฐีที่สะสมสัตว์แปลกๆ

จนกระทั่งเจ้าเอเวอเรสต์ถูกตามล่าภารกิจพาเพื่อนกลับบ้านสุดวายป่วงที่พ่วง จิน (พากย์โดย เทนซิง นอร์เกย์ เทรเนอร์)เพลย์บอยหนุ่มติดโซเชียล และ เผิง (พากย์โดย อัลเบิร์ต ไช่) หนุ่มตุ้ยนุ้ยที่ฝันอยากเป็นนักบาสเก็ตบอล งานนี้ทั้ง 2 หนุ่ม 1 สาวและเจ้าเยติจะได้เดินทางบนเส้นทางที่จะพิสูจน์มิตรภาพและความหมายของคำว่าครอบครัว
Abominable คือผลงานเต็มตัวเรื่องแรกของ Pearl Studio บริษัทร่วมทุนระหว่างดรีมเวิร์ค แอนิเมชัน กับ ซีเอ็มซี (CMC หรือ China Media Capital)ตั้งแต่ปี 2012 หลังจากทางดรีมเวิร์กได้พัฒนากำลังคนร่วมกับทางแอนิเมเตอร์ชาวจีนและได้ฝึกปรือฝีมือผ่านการช่วยงานส่วนเสริมในฉากต่างๆของแฟรนไชส์แอนิเมชันของดรีมเวิร์กมาช้านานอาทิ How to train your dragon 2 และ Kungfu Panda 3

และในเมื่อฝีมือและการทำงานทุกอย่างเข้าฝักแล้วโพรเจกต์ Abominable จึงกลายเป็นพื้นที่ปล่อยของทีมงานเพิร์ลอย่างแท้จริง เพียงแต่อยู่ภายใต้การกุมบังเหียนของมืออาชีพวงการแอนิเมชันฮอลลีวูดนำโดย จิล คัลตัน ผู้กำกับสาวที่ผ่านการร่วมงานมาทั้งพิกซาร์ และ โซนี่ แอนิเมชันรับหน้าที่กำกับควบเขียนบท และ ทอดด์ วิลเดอร์แมน ในฐานะผู้กำกับร่วม

 ซึ่งข้อดีสำคัญคืองานภาพที่ออกแบบมาได้อย่างสวยงามดูเป็นงานฮอลลีวูดมากกว่างานจีนที่ดูไม่น่าดึงดูดใจแบบ Legend of a Rabbit และยังทำให้การเล่าเรื่องดูเป็นสากลแต่สามารถสอดแทรกวัฒนธรรมและเนื้อหาส่งเสริมการท่องเที่ยวจีนตามใบสั่งได้อย่างไม่ขัดเขิน

ความบันเทิงที่ Abominable ให้คนดูแน่ๆคือการเล่าเรื่องที่ดูสนุก ฉากแอ็กชันแฟนตาซีตื่นตาและมุกตลกที่สอดแทรกมาแทบทั้งเรื่องพ่วงตัวขโมยซีนเรียกเสียงหัวเราะ (ที่คราวนี้มาเป็นงู ดูวู๊บ (ผลุบโผล่) ที่ได้ไปหลายฮาเหมือนกัน) เหมือนหนังแอนิเมชันของดรีมเวิร์กที่เราคุ้นเคย 

ทั้งเรื่องการผจญภัยเพื่อพิสูจน์คุณค่าของตัวเองเหมือน How to train your dragon ความสำคัญของครอบครัวเหมือน Shrek หรือกระทั่งอัตลักษณ์ความเป็นจีนที่ดรีมเวิร์คเคยถ่ายทอดมาแล้วจากไตรภาค Kungfu Panda ซึ่งถือว่าส่งอิทธิพลและเป็นแรงต่อยอดไม่น้อยให้เกิดโพรเจกต์ Abominable นี้ ซึ่งแม้ทีม “หัว” จะเป็นฝรั่งแต่ในเมื่อต้องทำตามใบสั่ง เราจึงได้เห็นการถ่ายทอดวัฒนธรรมจีนในระดับเข้มข้น เช่น การเรียกสรรพนามในครอบครัวก็ใช้คำจีนแทรกทั้ง หม่าม้า และ ไหน่ไน้ (อาม่า) หรือแม้แต่ชื่อนางเอกอย่าง หยี่ ที่พ้องเสียงได้ทั้งเลข 1(อี้) 

เพื่อแทนความโดดเดี่ยวของตัวละคร และยังพ้องกับ ปลา (อวี๋)ในภาษาจีน ซึ่งกรณีหลังบทหนังยังจงใจเอาภาษิตจีนโบราณเกี่ยวกับปลาที่ว่ายทวนน้ำเพื่อกลับบ้านมาใช้เป็นบทสนทนาเพื่อให้บทเรียนนางเอกได้อย่างล้ำลึกอีกด้วย และแน่นอนสิ่งที่จะขาดไม่ได้คือเนื้อหาส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ต้องยอมรับว่าดูแล้วอยากแพ็คกระเป๋าตีตั๋วไปเที่ยวทันทีเหมือนกันทั้งภูเขาหวงซาน แม่น้ำแยงซี และแน่นอนไฮไลต์ของเรื่องอย่างพระใหญ่เล่อซาน ที่นางเอกและเพื่อนๆได้ร่ายมนต์จนเกิดฉากสวยงามน่าประทับใจอีกด้วย
แต่ถึงจะออกแบบคาแรกเตอร์ได้ดูตี๋หมวยแค่ไหน แต่ทีมพากย์ก็ยังเน้นน้ำเสียงที่ให้อารมณ์ตัวละครเป็นสำคัญมากกว่าการแคสต์นักแสดงจีนมาพากย์ซึ่งถือเป็นข้อดีของหนังตั้งแต่ โคลอี เบนเนต ขวัญใจหนุ่มๆจากซีรีส์ Agents of Shield ที่มาให้เสียง หยี่ นางเอกสาวผู้แปลกแยกจากสังคม ส่วนตัวละครอื่นๆก็ได้ทั้งเสียงหล่อๆของ เทนซิง นอร์เกย์ เทรเนอร์ ในบท จิน และ อัลเบิร์ต ไช่ ในบทเผิง ตัวละครตุ้ยนุ้ยเรียกเสียงหัวเราะของเรื่อง

ถือเป็นไฮไลต์สำคัญคือการออกแบบเสียงของ เอเวอเรสต์ที่เลือกใช้เสียงเบสแบบการร้องประสานเสียงแทนการออกแบบให้ดูเป็นสัตว์ป่า ซึ่งหนังก็ได้เสียงของ โจเซฟ อิซโซ ที่ผ่านงานพากย์แอนิเมชันมาหลายเรื่องมาให้เสียงที่ถูกออกแบบให้กลมกลืนไปกับเสียงไวโอลินที่ หยี่ เล่นจนเกิดเสียงอันไพเราะน่าประทับใจ แถมยังไปกันได้ดีกับดนตรีประกอบของ รูเพิร์ต เกรกสัน วิลเลียมส์ จนทำให้งานเพลงประกอบของ Abominable ช่วยเสริมอารมณ์ให้เรื่องราวได้เป็นอย่างดี

Abominable ถือเป็นแอนิเมชันที่แสดงให้เห็นศักยภาพของจีนในการผลิตงานที่อาจส่งอิทธิพลต่อวงการภาพยนตร์ในอนาคต โดยแม้ว่าจะยังต้องอาศัยสตูดิโอฮอลลีวูดในด้านการคุมคอนเทนต์อยู่ แต่เชื่อว่าไม่นานเลย เราอาจเห็นพัฒนาการแบบก้าวกระโดดของจีนในการเป็นผู้นำแอนิเมชันอย่างน้อยก็ในเอเซีย โดยหนังมีข้อติติงเพียงเล็กน้อยเรื่องบทที่อาจยังมีช่องโหว่อยู่บ้าง แต่โดยภาพรวมถือเป็นแอนิเมชันที่จะทำให้คนดูหลงรักได้ไม่ยากเลยทีเดียว

สรุป

ถ้าหากว่าสุดสัปดาห์นี้ไม่รู้จะทำอะไรดี เว็บสตรีมหนัง แนะนำแวะมาดู Abominable เอเวอเรสต์ มนุษย์หิมะเพื่อนรัก ก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ เด็กๆ น่าจะชอบ ผู้ใหญ่ก็ดูได้ คิดว่ามาฟังเพลงเพราะๆ ดูภาพวิวทิวทัศน์สวยๆ ของเมืองจีนก็คุ้มแล้ว ที่สำคัญก็คือ วิธีเล่าเรื่องของ Abominable เอเวอเรสต์ มนุษย์หิมะเพื่อนรัก ก็ทำออกมาได้ดี น่าติดตาม แถมยังมีจุดหักมุม จากคนดีเป็นคนร้าย คนที่คิดว่าจะร้ายกลับกลายเป็นคนดี ดูกันได้เพลินๆ ไม่รู้สึกเบื่อ หรือเกิด Dead Air ระหว่างดู ตอนจบก็โอเคเลยเดียว
อ่อ ขอเตือนไว้หน่อยว่าในฉากเอนด์เครดิตที่ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่กลับซ่อนความฮาไว้ในภาพถ่ายได้อย่างแนบเนียนและเป็นการสรุปเรื่องให้สมบูรณ์ขึ้น อย่ารีบลุกกันนะจ๊ะ

Brave Father Online

รีวิว Brave Father Online คุณพ่อนักรบแห่งแสง

หลัง อากาซึกิ (โคทาโร่ โยชิดะ) พ่อผู้บ้างานลาออกเพื่อกลับมาอยู่บ้านทั้งที่กำลังจะได้ตำแหน่งใหญ่โตสร้างความสงสัยให้กับครอบครัว โดยเฉพาะ อากิโอะ (เคนทาโร่ ซาคากุจิ) ลูกชายคนโตที่ไม่ได้สื่อสารกับพ่อมาเป็นเวลาช้านาน จนกระทั่งความคิดหนึ่งจากเพื่อนในเกมออนไลน์ไฟนอล แฟนตาซี 14 ได้จุดประกายให้เขาชักชวนคุณพ่อมาเล่นเกมและจัดแจงให้ตัวเองกลายเป็นเพื่อนในเกมโดยไม่บอกความจริง เพื่อหวังจะได้สื่อสารกันฉันท์พ่อลูกเหมือนในอดีตและที่สำคัญมันยังเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้พ่อของเขายอมเปิดอกบอกความลับคาใจก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป รีวิว Brave Father Online ดูหนังชัด

เรื่องย่อ
หนัง Brave Father Online หรือชื่อไทยว่า คุณพ่อนักรบแห่งแสง ไม่ว่าอะไร จะเกิดขึ้น พวกเราจะสู้เคียงข้างกันเสมอ “ Brave Father Online : Our Story Final Fantasy XIV ภาพยนตร์ฟีลกู๊ดที่ได้แรงบันดาลใจจากเรื่องจริงในอินเตอร์เน็ต

อาคิโอะ เป็นพนักงานบริษัทธรรมดาๆผู้มีงานอดิเรกเป็นการเล่นเกมออนไลน์ Final Fantasy XIV
จู่ๆวันหนึ่งพ่อของเขาที่เป็นคนปากหนักและห่างเหินกันเกินกว่าจะคุยกันแบบเปิดใจได้ ก็ลาออกจากงานกลับมาอยู่บ้านทั้งๆ ที่เป็นคนบ้างานมาตลอดชีวิต คนในครอบครัวไม่มีใครเข้าใจเหตุผลรวมถึงอาคิโอะด้วย
แต่แล้วเขาก็นึกถึงความทรงจำวัยเด็กที่เคยร่วมเล่น Final Fantasy กับพ่อขึ้นมา และเกิดความตั้งใจว่าเขาอยากสานสัมพันธ์กับพ่ออีกครั้งผ่านการเล่นเกม โดยเขาจะคอยช่วยเหลือพ่อในเกมแบบไม่เปิดเผยตัวตน เพื่อให้พ่อค่อยๆเปิดใจกับเขาทีละน้อย ใช้ชื่อแผนการว่า 光のお父さん หรือคุณพ่อนักรบแห่งแสงนั่นเอง แต่แล้วอาคิโอะก็ต้องแปลกใจที่พบว่า การเล่นเกมด้วยกันไม่ใช่แค่ทำให้รู้จักพ่อในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง แต่เขาเองก็จะได้เรียนรู้ตนเองด้วยเช่นกัน เนื้อหาคร่าวๆ ก็มีเท่านี้

ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากเค้าโครงเรื่องจริงของผู้เล่น FFXIV คนหนึ่ง ที่บันทึกประสบการณ์ดังกล่าวผ่าน blog ส่วนตัว จนกลายเป็นเรื่องราวที่โด่งดังในคอมมูนิตี้ของเกม และได้นำไปสร้างเป็นซีรีส์เมื่อปี 2017 ที่ผ่านมา

ตามข้อมูลในสื่อที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าตัวหนังสร้างมาจากซีรีส์งานเขียน Hikari no Otousan ในเว็บบล็อกของผู้เล่นเกม Final Fantasy XIV ที่ใช้ชื่อว่า Ichigeki Kakusatsu SS Nikki โดยอ้างว่านี่คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงระหว่างเขากับพ่อ ปัจจุบันมียอดผู้เข้าชมบล็อกนั้นมากกว่า 10 ล้านวิว และยังเคยได้ขึ้นหน้าแนะนำของ Yahoo! จนถูกนำไปตีพิมพ์

และ Netflix เคยซื้อลิขสิทธิ์ไปสร้างซีรีส์มาแล้วในชื่อ FINAL FANTASY XIV Dad of Light สตรีมในปี 2017 ซึ่ง โนงุจิ เทรุโอะ เคยร่วมกำกับก่อนจะต้องมากุมบังเหียนฉบับหนังเรื่องนี้ มันจึงกลายเป็นความท้าทายเป็นอย่างยิ่งทั้งทำยังไงให้ต่างจากฉบับซีรีส์ที่คนได้ดูและรู้ชะตากรรมตัวละครไปหมดแล้ว แถมยังต้องทำให้การเล่าเรื่องบนจอภาพยนตร์ดูน่าตื่นตาตื่นใจกระชับและจับใจผู้คน ซึ่งก็น่ายินดีที่งานนี้ โนงุจิ ทำได้สำเร็จ

แก่นเรื่อง และ fan service

ทั้งที่เป็นคนในครอบครัวแท้ๆ แต่กลับเคอะเขิน สื่อสารกันแบบมีอะไรปิดกั้นในใจ พอเป็นเพื่อนในเกมที่เราเป็นตัวของตัวเองได้อย่างเต็มที่ กลับจะกล้าที่จะบอกอะไรหลายๆ อย่างได้สบายใจกว่า บางคนก็คงเคยมีประสบการณ์แบบนี้มาก่อน หรือจินตนาการได้ไม่ยาก เราจึงเผลอลุ้นไปกับอาคิโอะและคุณพ่อ (ผู้ไม่รู้ตัว) ให้คลายปมความสัมพันธ์ผ่านเกมให้สำเร็จ

คุณพ่อนักรบแห่งแสง เป็นหนังครอบครัวแบบเบาๆ ฟีลกู๊ด ชวนให้ขำซะเยอะชวนให้ซึ้งอีกนิดหน่อย ไม่ได้มีดราม่าหนักหน่วงอะไร เล่าเรื่องไปเรื่อยๆ แทรกด้วยมุกที่อ้างอิงจากเกมเป็นระยะ แต่ข้อดีของมุกกว่า 90% ในหนังก็คือ ไม่ต้องเป็นคนเล่น FFXIV ก็เก็ตได้ หรือไม่เคยเล่น FF เลยก็ยังฮาได้แบบเป็นสากล ทั้งความโก๊ะ ไม่ทันเทคโนโลยีของพ่อแบบคนสูงอายุที่เป็นเหมือนกันทั่วโลก ทั้งนิสัยของตัวเอกที่เป็นตัวแทนของคนวัยทำงาน

โดยจุดที่ฉบับหนังเลือกเปลี่ยนแปลงมีหลายจุดทั้งการเริ่มเรื่องในเหตุการณ์ก่อนพ่อจะกลับมาอยู่บ้าน (ต่างจากในซีรีส์ที่เปิดมาพ่อก็มาอยู่บ้านแล้ว) หรือการกล่าวถึงชีวิตในที่ทำงานของ อากิโอะ ที่นอกจากจะทำให้เห็นอาชีพครีเอทีฟโฆษณาแล้วยังเอื้อให้มีฉากโรแมนติกกับเพื่อนร่วมงานที่น่ารักน่าชังอีกด้วย แต่การเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ที่สุดเห็นจะหนีไม่พ้นการเพิ่มตัวละครน้องสาวที่ได้ ยามาโมโตะ ไมกะ มาแสดง (เราเพิ่งเห็นหน้าเธอไปเมื่อต้นปีใน SUNNY หนังแก๊งเพื่อนสาวสุดประทับใจ)

ซึ่งการเพิ่มตัวละครน้องสาวก็ทำให้มิติของคำว่าครอบครัวลึกขึ้น เราได้เห็นความเป็นห่วงของคนเป็นพ่อที่บางทีก็สร้างรอยแผลให้ลูกในฉากที่เธอพาแฟนหนุ่มมาบ้านแล้วถูกพ่อพูดจาดูถูกจนปัญหาต่างๆ คลี่คลายเมื่อพ่อได้คำแนะนำจากเพื่อนในเกม (ซึ่งก็คือลูกชายตัวเอง) โดยเราจะเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงต่างๆในฉบับหนังช่วยให้เราสัมผัสด้านที่อ่อนโยนของทั้งพ่อและลูกได้อย่างลึกซึ้ง แถมยังใช้เวลาในการเชื่อมโยงโลกใบต่างๆของตัวละคร อากิโอะ ทั้งพ่อ ที่บ้าน เพื่อนร่วมงานและสาวที่แอบชอบเขา และโลกในเกมไฟนอล แฟนตาซี ได้อย่างกลมกลืนและเป็นเหตุเป็นผลคู่ขนานและส่งผลต่อชะตากรรมตัวละครได้ดีกว่าฉบับซีรีส์เยอะเลย

และแน่นอนว่าในเมื่อหนังเกี่ยวของกับเกม ไฟนอล แฟนตาซี 14 หลายคนคงจับตามองภาพเกมในหนัง เพราะหากพูดตามตรงฉบับซีรีส์เรายังไม่รู้สึกว่าภาพในเกมมันเชื่อมโยงมาสู่ตัวละครนัก แต่ในฉบับหนังหายห่วงได้เลยเพราะผู้สร้างลงทุนทำภาพแอนิเมชันขึ้นมาใหม่ให้มีการเคลื่อนไหวและปรับมุมกล้องตามอารมณ์ในฉากต่างๆเพื่อเชื่อมโยงมาเล่าในโลกจริงที่ตัวละครกำลังคิดหรือตัดสินใจได้อย่างแนบเนียน
ซึ่งเชื่อว่าทางเจ้าของเกมอย่าง สแควร์อีนิกซ์ น่าจะมองเห็นศักยภาพของหนังที่จะผลักให้ Final Fantasy มีเรื่องเล่าทรงพลังไว้ต่อยอดความนิยมให้แฟรนไชส์ได้ เลยยอมให้มีการนำตัวละครและฉากหลังมาทำเป็นฉบับภาพยนตร์ จนผลลัพธ์ที่ได้คือนอกจากภาพสวยแล้วมันยังเสริมการเล่าเรื่องได้อย่างทรงพลังอีกด้วย

สำหรับทีมนักแสดงต้องบอกว่านี่คือดรีมทีมอย่างแท้จริง ตั้งแต่ โคทาโร่ โยชิดะ ในบทพ่อผู้เงียบขรึมซึ่งด้วยใบหน้าที่ดูเขร่งขรึมเดาทางลำบากก็ทำให้เราเข้าใจในกำแพงกั้นระหว่างพ่อลูกได้ทันที แถมในซีนเรียกน้ำตาเขาก็ยังทำได้ดีมากๆมาแบบนิ่งๆแต่หนักหน่วงเหลือเกิน ส่วนหนุ่มหล่ออย่าง เคนทาโร่ ซาคากุจิ ก็ทำให้บท อากิโอะ ดูน่าเอ็นดู แถมยังน่าเห็นใจจนเราอดเอาใจช่วยตามไม่ได้

แต่ใช่ว่าหนังจะเอาใจแต่สาวๆ เพราะอยากจะบอกว่าฉบับหนังนี้เหมือนจะพยายามล้างความแห้งผากของซีรีส์ด้วยบรรดาสาวสวยทั้ง ยามาโมโตะ ไมกะ ในบทน้องสาวของอากิโอะที่โผล่มาพร้อมรอยยิ้มชวนละลายแล้ว ยังมี ซากุมะ ยูอิ ในบทเพื่อนร่วมงานสาวที่แอบหลงรักอากิโอะ ที่มองเผินๆลุคสาวผมสั้นดูเก้ๆกังๆอาจทำให้มองผ่านไปได้ แต่พอช็อตน้องซากุมะใส่แว่นเท่านั้นแหละรับรองหนุ่มๆมีใจละลายแน่นอน

สำหรับใครที่กลัวว่าตัวเองไม่ได้อินกับเกมไฟนอลแฟนตาซีนักอาจจะดูหนังไม่สนุก ตรงนี้อยากบอกว่าผมเองก็ไม่เคยเล่นเกมมาก่อนสักภาคแต่ตัวหนังสามารถดึงเสน่ห์ของเกม ใช้ฟังก์ชันเกมมาช่วยให้ตัวละครพ่อลูกสื่อสารกันได้อย่างน่าประทับใจจนต่อให้ไม่ได้เป็นแฟนเกมก็อินได้ไม่ยากรับรองว่าตลอด 114 นาทีของหนังจะเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ขอบตาอุ่นและได้ความประทับใจกลับไปแน่นอนครับ

จุดที่ประทับใจ

ของเรื่องนี้คงหนีไม่พ้นความอิ่มเอมของความสัมพันธ์พ่อ-ลูก ซึ่งเอาจริงๆบางครั้งสถานะก็กลายเป็นอุปสรรคในการเปิดใจเข้าหากัน
แต่กลับกันเราทำไมเราถึงกล้าพูดทุกเรื่องกับคนที่ไม่รู้จัก อีกจุดที่หนังนำเสนอได้ดีคือความต่างของวัยที่ทำให้เห็นทัศนคติ ค่านิยม และมุมมองที่แตกต่างกัน ซึ่งหนังก็ถ่ายทอดออกมาให้เห็นได้ดีทั้งในมุมที่ตลกและซีเรียสอีกทั้งนักแสดงก็เล่นดีทั้งพ่อและลูก สัมผัสได้ถึงความน่าอึดอัดในแบบที่มันไม่ควรอึดอัดจริงๆ

มีจุดที่น่าเสียดายนิดหน่อย

คือรู้สึกว่าฉากไคลแม็กซ์บิ้วอารมณ์มาได้ดีมาก แต่ยังไปได้ไม่สุด เหมือนต้อนเรามาได้จนหมดทางหนี แต่ไม่ยอมฆ่าให้ตาย ซึ่งตอนดูผมคิดว่าคงเสียนำ้ตาให้เรื่องนี้แน่ๆ แต่มาได้แต่เกือบจะปริ่มๆเอง

สำหรับคนที่เคยดูฉบับซีรี่ส์มาแล้ว

ก็ถือว่ายังได้มุมมองอีกแบบนึง เพราะถึงแม้โครงเรื่องหลักเกือบจะเหมือนเดิมแต่รายละเอียดได้ถูกเปลี่ยนไปหลายจุดเพื่อให้เหมาะกับการเป็นภาพยนตร์แม้แต่คาแรตเตอร์ของตัวละครก็ถูกเปลี่ยนให้มีความสมเหตุสมผลขึ้นด้วย

ทิ้งท้ายสำหรับใครที่ไม่เคยเล่นหรือรู้ไม่รู้จัก FF XIV มาก่อนก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะเนื้อหาภายในหนังไม่ได้เสนออะไรที่เข้าใจยาก แค่คุณรู้จักคำว่าเกม Online ก็เพียงพอแล้ว ส่วนคนที่เคยเล่น FF XIV คุณได้จะเจอมุกหรือกิมมิคจากเกมที่ใส่เอาไว้และน่าจะทำให้ประทับใจกับเรื่องนี้ยิ่งขึ้นไปอีก

สรุป

ในฐานะคนที่เล่น FFXIV เรียกว่าไปดูเพราะเป็นหน้าที่ ฮะฮ่า ไม่คาดหวังเท่าไหร่เพราะว่า หนังออนไลน์ เคยอ่านบล็อกและดูฉบับละครมาแล้วก็คิดว่าคงเหมือนๆ กัน แต่ปรากฏว่าก็ประทับใจอยู่ดี ถึงจะไม่ได้ดัดแปลงเนื้อหาหลักไป แต่ฉบับภาพยนตร์นี้มีการเพิ่มเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยและตัวละครบางตัวเข้ามา ทำให้การเล่าเรื่องมีรายละเอียดมากกว่ากว่าแบบละคร ความยาวของหนังคือ 114 นาที เกือบสองชั่วโมง มีบางช่วงที่คนดูละครมาแล้วจะรู้สึกว่าเดินเรื่องช้า (ก็มันเรื่องเดิม) แต่โดยรวมก็สมจังหวะหนังที่ออกแนวสบายๆ ไม่เร่งรีบ

Exit

รีวิว Exit ฝ่าหมอกพิษ ภารกิจรัก ลุ้นระทึกหัวเราะร่าน้ำตาริน

เรื่องย่อเรื่องราวของ ยงนัม ชายหนุ่มตกงานมาหลายปี ที่มาร่วมงานฉลองวันเกิดครบรอบปีที่ 70 ของแม่ของเขาในห้องประชุมของโรงแรมแห่งหนึ่ง และในวันนั้นเขาได้พบกับ อึยจู หญิงสาวที่เขาแอบรักซึ่งจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยที่เดียวกันที่ได้ทำงานอยู่ที่โรงแรมแห่งนี้ ในช่วงเวลานั้นเองก็มีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้น!จู่ ๆ ก็มีก๊าซพิษลึกลับแพร่กระจายไปทั่วเมือง ทั้ง ยงนัม และเพื่อนสมาชิกของชมรมปีนเขารวมถึง อึยจู จึงต้องร่วมชะตากรรมใช้ทุกวิถีทางในการหนีเอาชีวิตรอดจากเมืองที่เต็มไปด้วยก๊าซพิษให้ได้ รีวิว Exit ฝ่าหมอกพิษ ภารกิจรัก และ ดูหนังชัด


ผลงานการกำกับของผู้กำกับหน้าใหม่อย่าง ลีซังกึน (Lee Sang-Geun) ที่แม้จะไม่มีผลงานหนังดังมาก่อน แต่มาเรื่องแรกก็กล้าเล่นหนังบ้าพลังเอฟเฟกต์ ทั้งยังดึงดาราใหญ่ชั้นนำอย่าง อิม ยุน-อา (Lim Yoona) ไอดอลจากวง Girl Generation หรือ SNSD ที่ผันตัวมารับงานแสดงจนเด่นเป็นที่ประจักษ์แทนแล้วในช่วงหลัง และด้านพระเอกก็ได้นักแสดงหนุ่มหล่อหน้าทะเล้นอย่าง โจ จอง-ซอก (Cho Jung-Seok) มารับบทนำ ซึ่งทั้งคู่มีจุดร่วมที่เหมือนกันประการหนึ่งคือเป็นคนหน้าตาดีที่เล่นรั่ว ๆ ฮา ๆ ได้น่ารัก และแม้จะหน้าเหยเกก็ยังสวย/หล่ออยู่ดี ช่างเหมาะเจาะกับหนังแนวรอมคอมเสียจริง ๆ

มีคนเปรียบเทียบความคูลของหนังว่า บันเทิงไม่แพ้หนังอย่าง Train To Busan (2016) ของ กงยู เลยทีเดียว แต่พูดกันตรง ๆ นะ เทียบคุณภาพงานยังไงก็ยังไม่เท่าหนังกงยูที่ดูโปรดักชันสูงกว่า ทว่าสิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้ขึ้นอันดับ 1 ถึง 2 สัปดาห์ซ้อนกวาดเงินในเกาหลีไปมหาศาล ก็ต้องบอกว่ามีจุดแข็งที่เด่นไปอีกทาง บันเทิงตลกน้ำตารื้นท่ามกลางวิกฤตขมุกขมัวชวนหวาดหวั่นได้อย่างที่ หนังของกงยูไม่มีทางทำได้เช่นกัน

สำหรับเราแล้ว ตัวหนังนั้นมีมุกหลายอย่างที่ซ่อนเอาไว้ ถ้าคนที่ไม่รู้วัฒนธรรมเกาหลีบางอย่างมาก่อน เวลาดูอาจจะยังไม่เก็ตกับฉากบางฉากสักเท่าไหร่ อย่างเช่นตอนที่นอกเอกจะปีข้างตึก แล้วพระเอกบอกว่า น้ำหนักที่ดัมเบลที่โยนไปถ่วงฝั่งตรงข้ามจะพอเหรอ แล้วอยู่ๆ นางเอกก็โยนเหล็กออกไปเพิ่มก่อนปีน เป็นตัวบอกให้รู้ว่า น้ำหนักของเธอไม่น้อยเลยทีเดียว ซึ่งผู้หญิงเกาหลีจะซีเรียสกันเรื่องน้ำหนักค่อนข้างมาก นอกจากนี้ยังมีตอนฉากจบ ที่บอกว่าห่วงโรยตัวหนักเกินไป ซึ่งพระเอกก็ไม่เข้าใจว่ามันหนักตรงไหน เพราะจริงๆ แล้ว นางเอกต้องการเปิดทางให้ทั้งคู่ได้มาเจอกันอีก โดยการบอกว่าจะเอาของมาคืนเป็นข้ออ้าง

หนังยังเป็นการทดลองผสมหลากหลายแนวหนังเข้ามาในเรื่องเดียว ซึ่งก็ทำได้ชัดเจนหลายดอกด้วยนะ ที่ชัดที่สุดคงต้องเป็น 3 ตระกูลใหญ่ คือ หนังแอ็กชันผจญภัยเอาตัวรอด (Survival) หนังรอมคอมเล่นสถานการณ์ชวนขัน (Romantic Situation Comedy) และหนังครอบครัว (Family)

โดยในส่วนของการเป็นหนังเอาตัวรอดต้องบอกว่าหนังทำได้ลุ้น น่าตื่นเต้นดี โดยเฉพาะการสร้างภาวะกดดันล้อมกรอบตัวละครให้พื้นที่จำกัดลงเรื่อย ๆ และบังคับให้ต้องขึ้นที่สูงเพื่อหนีหมอกพิษที่ปกคลุมและลอยสูงขึ้นทีละนิด ซึ่งต้องอาศัยสกิลการเป็นนักกีฬาปีนหน้าผาที่พระเอกและนางเอกต่างเล่นสมัยมหาวิทยาลัยมาใช้ได้อย่างดี และเพราะทั้งคู่พ่ายแพ้ให้กับชีวิตจริงจึงแทบไม่ได้ฟื้นฝีมือมาก่อน จึงเป็นสิ่งที่น่าจะทำได้หรืออาจทำไม่ได้ให้ผู้ชมชวนเอาใจช่วยไปด้วย 

นอกจากปีน หนังยังใส่ฉากที่บังคับให้ตัวละครหาทางรอดอื่น ๆ อีก ไม่ว่าจะฟรีรันนิ่งหนีคลื่นหมอกที่ถาโถม ไต่เชือกข้ามตึกสูง ที่หมอกพิษกับความสูงและความเหนื่อยล้า ไม่รู้อย่างไหนจะฆ่าตัวเอกได้ก่อนกัน ตรงนี้ต้องชื่นชมในการคิดสถานการณ์ต่าง ๆ ได้สนุก แต่ข้อติงก็มีอยู่ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เชื่อหรือไม่เชื่อในตัวหนังด้วย นั่นคือซีจีหมอกพิษนั้น บางฉากทำได้เหมือนมาก แต่บางฉากซีจีก็ดูลอยดูหลอกพอสมควร ยิ่งฉากการฆ่าฝูงชนเชือดไก่ให้ผู้ชมกลัวตอนแรกก็ไม่ได้สยดสยองจนเราเกรงกลัวหมอกในเรื่องมากนัก ไม่แน่ใจเพราะหนังต้องการได้เรตทั่วไปหนังครอบครัวที่เด็กดูได้หรือเปล่า แต่ก็น่าเสียดายในจุดนี้เหมือนกัน

ส่วนของหนังตลกและหนังรักนั้น ก็ต้องชื่นชมเหล่านักแสดงก่อนที่ลงตัวกับบทบาทสมมติในการบิ้วความฮากับผู้ชมได้อย่างแท็กทีมมาก ๆ ตั้งแต่พระนางที่อยู่บนจอแทบทั้งเรื่องซึ่งมีปมอดีตว่าพระเอกเคยถูกนางเอกปฏิเสธสมัยเรียน และฝังใจจนไม่กล้าบอกว่าตัวเองยังไร้งานทำเป็นไอ้ขี้แพ้เกาะที่บ้านกิน อันเป็นจุดเริ่มต้นของคำโกหกที่ขับเรื่องต่อมา 

แล้วยังมีเหล่าตัวละครสมทบที่เป็นครอบครัวใหญ่ของพระเอกที่มีความวายป่วงไม่แพ้หมอกพิษเลยทีเดียว เหล่านี้ก็เป็นกลุ่มตัวละครที่คาแรกเตอร์ชัดเจนและส่งเสริมให้ใส่สถานการณ์สนุก ๆ ฮา ๆ ได้ไม่อั้นเลยทีเดียว ในส่วนของความรักก็อย่างที่เกริ่นว่าเริ่มก็ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ เราก็ต้องเอาใจช่วยพระเอกอย่าทำตัวเห่ยนักถ้ารอดนางเอกสุดน่ารักอาจเปลี่ยนสายตาที่มองมาก็ได้ แล้วมันก็มีมุกน่ารัก ๆ ให้เราอมยิ้มได้จริง ๆ ล่ะ ดีไม่ดีเล่นมาทั้งเรื่องเพื่อมุกจีบมุกสุดท้ายมุกเดียวก็ว่าได้นะ

และสิ่งหนึ่งที่ขาดไปไม่ได้เลยก็คือ ฉากปีนป่ายตัวตึกของ Exit ฝ่าหมอกพิษ ภารกิจรัก ที่คนธรรมดาๆ ไม่สามารถทำอย่างนั้นได้แน่นอน แต่เคราะห์ดีที่ พระเอกและนางเอกเคยฝึกปีนหน้าผาจำลองมาก่อน ก็เลยกลายเป็นโชคดี โดยนางเอกเป็นคนที่มีจิตใจดีมาก เธอคอยช่วยเหลือคนอื่นราวกับเป็นแม่พระ แถมยังมีสติและสามารถแก้ปัญหาต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ใครที่เป็นแฟนคลับของยุนอา ก็น่าจะรักเธอกันมากกว่าเดิมแน่ๆ ส่วนพระเอกบทไม่ค่อยเด่นเท่าไหร่ แต่เล่นใช้ได้เลยล่ะ

ในส่วนของความตื่นเต้นของ Exit ฝ่าหมอกพิษ ภารกิจรัก อาจจะไม่ได้พี้คมาก โดนอารมณ์ของเรื่องคล้ายๆ กับการวิ่งมาราธอน ที่หัวใจจะไม่เต้นเร็วมากๆ แต่จะทำงานอย่างต่อเนื่อง Exit ฝ่าหมอกพิษ ภารกิจรัก ก็เช่นกัน ฉากพี้คมีไม่มาก ความตื่นเต้นก็กลางๆ แต่มีฉากให้ลุ้นต่อตลอดทั้งเรื่อง จริงๆ แล้วเราว่าทำแบบนี้ก็น่าสนใจดีเหมือนกัน เพราะหนังส่วนใหญ่ในปัจจุบันมักจะวางอารมณ์ไว้คล้ายๆ กันไปหมด เหมือนเป็นสูตรสำเร็จว่าถูกไคล์แม็กซ์ แล้วต้องหักมุม แต่ Exit ฝ่าหมอกพิษ ภารกิจรัก นั้นเลือกที่จะใช้ความผิดหวังมาเป็นตัวเบรก ทำให้คนดูลุ้นและให้กำลังใจให้ทั้งคู่รอดชีวิตไปให้ได้

และส่วนสุดท้าย หนังครอบครัว เป็นสิ่งที่อยากพูดถึงมากที่สุดเลย เพราะภายใต้ซับพลอตต่าง ๆ การเป็นครอบครัวอาจไม่เด่นเด้งเท่ามุมผจญภัยหรือตลกหรือหนังรัก แต่ทว่ามันกลับเป็นซับพลอตที่พยุงหนังให้มีเนื้อมีชีพจร โอบอุ้มให้ความพยายามรอดชีวิตมีมากกว่าแค่ความรักหนุ่มสาวอันเบาหวิว แล้วการแสดงของพ่อ แม่ พี่สาว พี่เขย หลาน ๆ คือมันเห็นความตั้งใจ ใส่รายละเอียดพวกนี้เข้ามาจริง ๆ ดีไม่ดีโจทย์ใหญ่ที่หนังต้องการอาจไม่ใช่แนวหนังหวือหวาใด ๆ แต่หากเป็นหนังครอบครัวที่ทุกคนในบ้านสามารถไปดูด้วยกันได้ ใช้เวลาแห่งความสุขร่วมกันได้ และออกจากโรงหนังทางประตู Exit ด้วยความรู้สึกที่รับรู้ความรักของกันและกันมากยิ่งขึ้น นี่ล่ะคือสุดยอดประสงค์ของหนังเรื่องนี้แล้วล่ะ

แม้ว่า Exit อาจจะไม่ได้เป็นหนังเกาหลีที่ดีที่สุดของปีนี้ที่ได้เคยชมมา แต่ก็ต้องยอมรับว่า Exit ฝ่าหมอกพิษ ภารกิจรัก ทำออกมาได้ค่อนข้างดี ถึงจะมีเหตุการณ์บางอย่างที่ไม่สมจริง แต่มันก็ช่วยให้เรื่องสนุกมากขึ้นได้อีกหลายระดับ

สรุป

อาจจะดูเป็นภาพยนตร์ที่ดูเกินจริงอยู่สักนิด แต่โดยรวมแล้วทำออกมาได้ดีมากๆ จากพล๊อตเรื่องของพระเอกและนางเอกที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรโดดเด่น แต่ก็กลายเป็นว่าพวกเขาสามารถแสดงบทบาทของตัวเองออกมาได้ราวกับเป็นดาวเด่น ใครจะไปเชื่อว่าทักษะการปีนหน้าผาที่เป็นกิจกรรมยามว่างธรรมดาๆ จะกลายเป็นผลดีต่อการเอาชีวิตรอดของพวกเขา และช่วยเหลือคนอื่นๆ ได้อีกมาก 

นอกจากนี้ ยังมีซีนอารมณ์ที่สามารถบีบความรู้สึกของผู้ชมได้หลายตอน บอกไม่ถูกเลยว่ามันตื่นเต้น ตลก หรือว่าน่าสงสารกันแน่ แต่ที่ หนังถ่ายทอดสด อย่างนึง คือ Exit ฝ่าหมอกพิษ ภารกิจรัก เป็นหนังที่ค่อนข้างลงตัว มีหลายอารมณ์ ได้ดูแล้วก็อยากไปฝึกปีนหน้าผาจำลองกับเขาบ้าง

One Piece Stampede

รีวิว One Piece Stampede วันพีซ เดอะมูพวี่ แสตมปีด

ONE PIECE ฉบับฉายทางโรงภาพยนตร์ลำดับที่ 14 ที่ทำมาเพื่อฉลองครอบรอบ 20 ปีนับตั้งแต่การดัดแปลงจากมังงะสู่อนิเมชั่นทางโทรทัศน์ One Piece Stampede จึงเป็นเหมือนหมุดหมายสำคัญ และความหวังของแฟนๆ วันพีซที่รอรับชมอยู่ทั่วโลกในส่วนของประเทศไทยก็มีอีเว้นท์ที่ค่อนข้างฮือฮา โดยการเชิญคุณบอย ปกรณ์ รวมถึงเหล่า Influencers ชื่อดังหลายท่านมาร่วมพากย์เสียงให้กับตัวละครในเรื่อง รีวิว One Piece Stampede และ ดูหนังชัด

เรื่องย่อ 
เจ้าพ่อแห่งการจัดงาน บูเอน่า เฟสต้า ได้จัดงานเทศกาลโจรสลัดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งเป็นงานชุมนุมที่รวบรวมเหล่าโจรสลัดแห่งยุคไว้มามากที่สุด เพื่อออกตามล่าสมบัติแห่งราชาโจรสลัด โรเจอร์

แต่ทว่าเบื้องหลังงานเทศกาลที่เหล่าโจรสลัดกำลังเพลิดเพลินอยู่นั้น บูเอน่า เฟสต้า ได้วางแผนชั่วร้ายตั้งใจจะจมเรือของเหล่าโจรสลัดให้ดำดิ่งลงสู่ห้วงมหาสมุทรท่ามกลางสงครามการแย่งชิงอันดุเดือดของเหล่ากลุ่มโจรสลัดหมวกฟาง, กลุ่มโจรสลัดผู้บ้าคลั่ง, ราชันแห่ง 7 น่านน้ำ และ ดักลาส บุลเล็ต อดีตสมาชิกของกลุ่มโจรสลัดโรเจอร์ โดยมีกองทัพเรือของฝ่ายรัฐบาลที่ออกตามล่าเหล่าโจรสลัดเข้ามาร่วมห้ำหั่น

เนื้อเรื่องของ One Piece Stampede จะเกี่ยวกับงานเทศกาลของโจรสลัดครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ที่มีไฮไลท์คือการแข่งขันล่าสมบัติของราชาโจรสลัด “โกลด์ ดี โรเจอร์” และรางวัลเป็นถึงระดับขุมทรัพย์ของราชาโจรสลัด ผู้เข้าร่วมจึงไม่ได้มีแค่โจรสลัด แน่นอน ทหารเรือ คณะปฎิวัติ และทุกองค์กรสำคัญๆ ในโลกแห่โดดเข้ามาร่วมงานนี้กันอย่างหนาแน่น แต่แน่นอนว่าตัวร้ายหลักของเรื่องอย่าง “ดักลาส บุลเล็ต” อดีตลูกเรืออขงกลุ่มโจรสลัดโรเจอร์ก็เข้ามาทำให้เทศกาลครั้งนี้ไม่ธรรมดาและวุ่นวายใหญ่โตชนิดที่คาดไม่ถึงแน่นอน




จัดว่าเป็นพลอตที่ลงตัวมาก ๆ แค่อ่านเรื่องย่อก็เห็นเค้าลางความมันพะย่ะค่ะแล้วสำหรับ One Piece Stampede ซึ่งเป็นโพรเจกต์ฉลองครบรอบ 20 ปีของอนิเมะเรื่องวันพีซ และยังเป็นภาคเดอะมูฟวี่ ลำดับที่ 14 แล้วด้วย ครั้งนี้ยังได้ผู้กำกับ โอตสึกะ ทากาชิ ที่เคยทำอนิเมะสาวน้อยพลังเวทย์ Precure เป็นผลงานโบว์แดง มาพลิกแนวจับอนิเมะที่ยิ่งใหญ่มีแฟนติดตามมากที่สุดเรื่องหนึ่งของโลก แถมยังว่าด้วยเรื่องมิตรภาพลูกผู้ชายแบบมังงะโชเน็นเต็มขั้นอีก แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ หนังออกมาสนุกและมันมาก เทียบแล้วอาจมันสุดในเดอะมูฟวี่ของวันพีซเลยด้วยซ้ำ

ด้วยความที่โจทย์เป็นการฉลองวาระพิเศษ มันจึงต้องใส่ไข่เพิ่มข้าว คัดวัตถุดิบชั้นยอด มาปรุงด้วยเครื่องเทศรสเด็ดเป็นพิเศษ เอาเป็นว่าตัวละครหลัก ๆ ในจักรวาลวันพีซออกมาแทบหมด แม้แต่ตัวละครที่เราไม่คาดคิดก็ยังมาโผล่แบบนับไม่ถ้วน ถ้าเปรียบไปนี่คือสงครามที่รวมตัวละครเฉกเช่นฉากประจัญบานของหนัง Endgame ก็ไม่ปาน และถ้าเทียบกับช่วงไหนในวันพีซก็บอกได้เลยว่านี่เทียบชั้นสงครามมารีนฟอร์ดที่ลูฟี่บุกไปช่วยเอสนั่นเลยล่ะ ต่างแค่ตัวหนังมีเวลา 105 นาทีเลยอาจขยี้ปมดราม่าไม่ได้หนักเท่า แต่ในเวลาแค่นี้อัดได้ทุกอย่างแล้วไม่รู้สึกยัดเยียดก็เทพมากแล้วล่ะนะ

และแม้ตัวละครจะอัดแน่นขนาดนี้ แต่การกระจายบทและแบ่งฉากเด่นฉากโชว์ของแต่ละตัวทำได้เจ๋งมาก คือมันเท่จนอยากร้องไห้ หลายฉากนี้ประทับใจจนอยากเอามือถือขึ้นมาถ่ายเก็บไว้เลย แต่ต้องยั้งตัวไว้ทุกที แล้วคือทนกลั้นความประทับใจไว้แบบนี้ทั้งเรื่อง ย้ำว่าทั้งเรื่องจริง ๆ พี่เอ๊ยอะไรจะพีคแล้ว พีคซ้ำ พีคขยี้ พีคในพีคได้เบอร์นี้ นี่เขียนจากความรู้สึกหลังออกจากโรงแทบจะทันที ดังนั้นเชื่อเหอะว่าเดือดจริงเรื่องนี้

ปล่อยไม้ตายใส่ไม่ยั้งจริง ๆจุดที่คิดว่าน่าจะเป็นจุดด้อยในตอนดูตอนแรก คือการเข้าเรื่องที่ไว..ไวมาก ใช้การบรรยายว่าเฟสต้าจะจัดงานรวมโจรสลัดมาล่าสมบัติของราชาโจรสลัดโรเจอร์ แล้วก็บอกถึงการปรากฏตัวของลูกเรือในตำนานของโรเจอร์อย่างบุลเล็ตที่เข้ามาเอี่ยวอย่างมีเงื่อนงำ แล้วหนังก็ตัดขวับเข้าประเด็นเลย เรือของลูฟี่ กับเหล่าโจรสลัดชั้นแนวหน้าทั้งหลายแล่นเข้าสู่เกาะที่จัดเทศกาลแบบไม่ต้องเยิ่นเย้อ คราวแรกสารภาพเลยว่ารู้สึกหนังพาเราไปเร็วมากไม่สนเหตุสมผลสนการบิ้วอารมณ์อะไรเลย แต่พอดูไปเรื่อย ๆ มันเจ๋งมาก เพราะมันให้เหล่าตัวละครลูกเรือหมวกฟางกลุ่มย่อยคอยเปิดเผยเบื้องหลังของเรื่องพิลึกต่าง ๆ บนเกาะไปพร้อมกับ 

อีกด้านที่ลูกเรือกลุ่มหลักอย่างลูฟี่ลุยหน้าแอ็กชันผจญภัยใส่ดาหน้าหาสมบัติ แล้วต้องเผชิญกับการแทรกแซงของทั้งทหารเรือและผู้บงการงานเทศกาลไปพร้อมกัน คือกลายเป็นว่าได้รู้เนื้อเรื่องลึก ๆ ไปพร้อมกับมันสะใจในฉากต่อสู้ที่อัดรัวตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบ ฉลาดมากเลยนะ เพราะถ้าปล่อยฝั่งใดฝั่งหนึ่งให้หนักไปหนังจะไม่สนุกเท่านี้ได้เลย

อีกจุดหนึ่งที่ทุกคนเฝ้ารอคงหนีไม่พ้นฉากต่อสู้ ซึ่งหนังก็ทำได้ดี อลังการ หนักแน่น สะใจ แต่มันก็ “ยังไม่สุด” อยู่ดี อาจเป็นเพราะการต่อสู้ที่มาๆ หยุดๆ ตัดสลับกับบทพูดเยอะเกินไป เลยทำให้มันรู้สึกขัดๆ ไม่สุดเท่าที่ควร แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันดุเดือดขึ้นจากภาคก่อนๆ มาก ท่าไม้ตายของแต่ละตัวถูกถ่ายทอดออกมาได้ตระการตา ต่อยเป็นต่อย ซัดกันตุ้บตั้บมาก มุกตลกที่สอดแทรกเข้ามาทำได้ค่อนข้างดี มีจังหวะในการเล่นและฮาเกือบทุกมุก

แต่ก็นั่นแหละ ฉากต่อสู้ที่ดีไม่สุด ไม่สามรารถจะแบกพล็อตเรื่องที่อ่อนเกินไปได้ ผมจึงรู้สึกไม่อินกับตัวละครเท่าที่ควร และทำให้ความมันส์ลดลงไปพอสมควร แต่ด้วยการรวมตัวของตัวละครที่เยอะมากๆ ทำให้ Stampede เป็นเหมือนกับการรำลึกถึงอดีตเสียมากกว่าที่จะอินกับเนื้อเรื่องปัจจุบัน

แล้วขอพูดถึงงานภาพแนววาดมือผสมกับซีจีนิดหนึ่ง ปกติไม่ค่อยเจองานของวันพีซที่ผสมสองอย่างนี้แล้วรู้สึกลงตัว อย่างน้อยต้องเห็นความเผาความไม่เนียนอยู่ แต่กับเรื่องนี้ลงตัวดีมาก ตัวภาพสองมิติก็ให้ลายเส้นเหมือนใช้ปากกาคอแร้งตัดเส้นแบบมังงะมีความไม่เนี้ยบแบบคอม แต่ก็ให้อารมณ์รุนแรงได้ดีกว่า ในขณะที่ตัวซีจีที่เอามาเสริมก็ทำได้พอดีไม่ออกมาเยอะเลอะเทอะ แถมส่งเสริมตัวละครดีเสียด้วยซ้ำ เราเลยได้ดูฉากมัน ๆ งาม ๆ ไปพร้อมกันเลย

ในส่วนของเสียงพากย์ไทย ต้องพูดเลยว่ามีทั้งข้อดีและข้อเสีย เสียงของหลายๆ ตัวละครทำออกมาได้ดีเกินคาด เช่น “บูเอน่าเฟสต้า” ที่พากย์โดยน้า”ต๋อย แซมเบ้” ก็ยังไม่ผิดหวัง หรือเสียงของแอน ที่พากย์โดย “แป้ง z bingz.” ก็ทำออกมาได้ดีเกินคาด แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีหลายตัวละครที่เสียงพากย์ไทยทำให้ตัวละครนั้นหมดราศี ไม่เท่เท่าที่ควร ส่วนนี้อาจจะต้องไปฟังกันเองว่าถูกใจหรือไม่อย่างไร แต่โดยรวมก็ถือว่าไม่แย่ แค่อยากให้มันดีกว่านี้ มืออาชีพกว่านี้ ให้สมกับเป็นการครบรอบ 20 ปีของอนิเมะวันพีซก็แค่นั้นเอง

แฟนเซอร์วิสนี่ก็เป็นอะไรที่ว้าวมาก นอกจากพวกตัวละครแล้ว พวกมุกหรือของเด็ดของโดนที่เราเคยรู้สึกทึ่งมาก ๆ ในเรื่องวันพีซ เขาก็เก็บเอามาเอี่ยวได้อย่างกลมกล่อมลงตัวสุด ๆ ตั้งแต่โรเจอร์ สมบัติวันพีซในตำนาน มิตรภาพและรักพวกพ้องของกลุ่มหมวกฟางสุดดราม่า ตัวร้ายพลังเทพแบบเทพจริง ๆ เหมือนเอาผู้มีพลังผลปีศาจมาซัดกับก๊อดซิลล่ายังไงยังงั้น คือชงสุด ๆ ให้เห็นฉากประสานความร่วมมืดกันเพื่อเอาชนะ แต่ทีมที่มารวมตัวกันนี่ล่ะหนังเลือกได้เกินคาดมาก ๆ แล้วกลายเป็นฟินสุด ๆ จริง ๆ เชื่อว่าถ้าคุณเป็นแฟนวันพีซนะ มาดูเรื่องนี้มีระทวยตั้งแต่เริ่มยันจบล่ะ

สรุป

แล้ว One Piece Stampede ก็ยังคงเป็นเดอะมูฟวี่ของวันพีซที่แฟนวันพีซไม่ควรพลาดอยู่ดี มันทำให้เรากลับมาคิดถึงทุกอย่างตลอด 20 กว่าปีที่การ์ตูนเรื่องนี้ได้ดำเนินมา ให้ความรู้สึกเหมือนตอน End Game นิดๆ เลย แต่ เว็บดูหนัง ในฐานะเป็นแฟนคลับของหนังเรื่องหนึ่งแล้ว Stampede ยังคงสอบตกอยู่หลายประเด็น ทั้งความอ่อนของเนื้อเรื่อง มิติตัวละครที่แบนราบ การต่อสู้ที่ไปไม่สุด

Mister Due มิสเตอร์ดื้อ

Mister Due มิสเตอร์ดื้อ

รีวิว Mister Due มิสเตอร์ดื้อ กันท่าเหรียญทอง

เรื่องย่อหนัง Mister-Due หรือชื่อไทยว่า มิสเตอร์ดื้อ นักตื๊อเหรียญทอง เรื่องราวของเด็กหนุ่มที่คอยกันท่าน้าสาวสุดสวยไม่ให้ใครมาจีบ ตั้งแต่มัธยมยันวัยทำงาน จนหลินเข้ามาทำงานในโรงพยาบาล ที่นั่น ดื้อ จะต้องคอยรับมือกับคุณหมอ คนไข้ และหนุ่มสุดหล่อ ที่คอยเข้ามาจีบหลิน ภารกิจกันท่าสุดฮาจึงเกิดขึ้น เขาต้องคอยรับมือกับชายมากหน้าหลายตาที่คอยเข้ามาจีบน้าสาวตัวเอง แต่จะกันท่าไปได้อีกสักกี่น้ำต้องมาคอยดูกัน รีวิว Mister Due มิสเตอร์ดื้อ ดูหนังชัด




 ดูหนังออนไลน์

ผลงานจากค่าย รฤก ที่มีโต้โผใหญ่อย่าง ยอร์ช ฤกษ์ชัย พวงเพ็ชร์ ดูแล แม้ผลงานฝีมือของยอร์ชโดยตรงจะนานมาแล้ว แต่ผลงานของค่ายเองก็ยังไม่ห่างหายเลิกราจากวงการหนังไทย และยังผลิตหนังอารมณ์ดีออกมาสู่ตลาดสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะ สบสนิทศิษย์ส่ายหน้า หรือ สุดเขตเสลดเป็ด และล่าสุดที่เพิ่งออกโรงไปไม่นานอย่าง ไบค์แมนศักรินทร์ตูดหมึกด้วย

ดูผลงานก็พอจับทางได้เลยว่า มิสเตอร์ดื้อ กันท่าเหรียญทอง หนังเรื่องล่าสุดจะมาแบบเอาฮาเน้นตัวละคร เน้นพลอต เน้นสถานการณ์มากขนาดไหน และคงเป็นแนวซิตคอมที่แฝงดราม่าเรื่องราวความสัมพันธ์ ผ่านคนแปลก ๆ อีกเช่นเคย

ซึ่งในครั้งนี้ คนแปลก ๆ ของเรื่องก็คือ ดื้อ (นน — ชานน สันตินธรกุล ) เด็กที่หวงน้าสาวอย่าง หลิน (เก้า — สุภัสสรา ธนชาต) เกินปกติมนุษย์ ในขณะที่ฝั่งคนที่มาจีบน้าก็ทะยานความแปลกได้สูสีกับดื้อสุด ๆ เพราะได้ดาราหน้าทะเล้นอย่าง พี่แมน (โจ๊ก โซคูล — กรภพ จันทร์เจริญ) มาติดหนึบเกาะแกะไม่เลิกทีเดียว และก็ไม่ใช่แค่พี่แมนเท่านั้นเพราะยังมีทั้งหมอหนุ่มสุดเพียบพร้อมที่น้าหลินแอบปลื้ม ตลอดจน เกม (บลู — พงศ์ทิวัตถ์ ตั้งวันเจริญ) เด็กหนุ่มรุ่นน้องที่มาติดใจน้าสาวของดื้อจนออกนอกหน้าเข้าไปอีก
งานนี้ยังเป็นผลงานกำกับของ เค — ไชยณรงค์ แต้มพงษ์ ผู้กำกับสายหวานที่เคยมีหนังอย่าง เลิฟ จุลินทรีย์ รักมันใหญ่มาก แต่ผลงานที่ผ่านตาทุกคนมากสุดคงเป็นการกำกับเอ็มวีเพลง คุกกี้เสี่ยงทาย (Koisuru Fortune Cookie) ของวง BNK48 นั่นเอง

จากที่ดูหนังตลอดเรื่องสิ่งที่รู้สึกแรง ๆ และยิ่งรู้สึกมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็คือ หนังคิดมาบนโจทย์ที่เน้นใส่สถานการณ์ตลกให้มากที่สุด โครงเรื่องวางไว้แบบไม่ต้องซับซ้อนมาก การบิ้วการคลี่คลายเรียกว่าคิดไว้ล่วงหน้าเรียบร้อย แทบไม่สนใจการขับดันจากตัวละครหรือกราฟอารมณ์เลย หนังจึงออกมาแบบไม่สุดไม่อิ่มเท่าไร

ส่วนที่ชอบของหนัง คือ ความฮานั่นล่ะ ฉากฮาแบบฮาเกิ้นฮาหัวสั่นท้องคัดท้องแข็งมีแน่นอน แป้กมีมั้ยก็มีล่ะ ธรรมดาหนังตลก แต่อันที่ฮามันก็ฮาจริง ๆ ทั้งนี้ต้องยอมรับว่าปัจจัยสำคัญในความฮาทั้งหลายที่เกิดขึ้นมาจากความสามารถเฉพาะตัวของนักแสดงอย่าง โจ๊ก โซคูล และ รัศมีแข ฟ้าเกื้อล้น ล้วน ๆ ที่ฮาจากสถานการณ์แบบซิตคอมนั้นก็มีส่วน

แต่มันฮามากขึ้นเพราะสองคนนี้ก็เป็นเรื่องที่ต้องยอมรับจริง ๆ การแสดงของนักแสดงต่าง ๆ ก็ต้องบอกว่าทำได้ไม่น่าเกลียด แม้บทจะไม่ได้ส่งไม่ได้ช่วยเลย แต่พวกเขาก็เอาตัวรอดในฉากที่ต้องชี้ขาดคะแนนให้ตัวเองได้ดี ไม่ว่าจะ นน เก้า ตลอดจนนักแสดงสมทบทั้งหลาย ฉากที่พีคทางอารมณ์จนเราพลิกผลให้ นน สอบผ่านเอาตัวรอดได้จากเรื่องนี้คือฉากที่สนามบินในช่วงท้ายของหนัง

ฉากนี้ฉากเดียวจริง ๆ ที่รู้สึกว่าตัวละครนี้มีชีวิต เพราะตลอดเรื่องมันเล่นอยู่มิติเดียวแบบไร้เหตุผลด้วยสิ ในขณะที่เก้าเองก็พยายามช่วยหนัง ใส่พลังจนล้านซีน จากหวังดีลายเป็นส่งผลเสียไปแทน แต่สิ่งที่ชดเชยให้เธอสอบผ่านสบาย ๆ คือเสน่ห์ที่ฉายแสงมาก ๆ ของเธอ

ส่วนที่ไม่ชอบเท่าไหร่ของหนัง มีตั้งแต่จังหวะการเล่นมุกตลกต่าง ๆ ที่เหมือนจับนักแสดงใส่ฉากเอาบทใส่ปาก ไม่ได้สนใจการปรับจูนเคมีนักแสดงให้เข้าขาพอดีกัน กลายเป็นต่างคนต่างเล่น ต่างคนต่างล้น จนคุมจังหวะไม่ได้ แล้วก็ต้องอาศัยฉากอินเสิร์ตมาปรับจังหวะช่วยเอา ซึ่งก็กลายเป็นว่าการตัดต่อไม่เป็นธรรมชาติดูขาด ๆ เกิน ๆ ไปหมดแทนด้วย ตรงนี้จึงเป็นจุดที่สงสารนักแสดงเก่ง ๆ หลายคนพอสมควร เพราะบทไม่ส่งไม่ช่วยไม่ว่า การกำกับการแสดงยังไม่ส่งเสริมอีก

ตรงนี้ยังสะท้อนไปเรื่องที่เกริ่นไปก่อนด้วยว่าหนังวางโครงไว้แบบไม่ได้สนใจว่าระหว่างทางหนังกระทำอะไรไปแล้วบ้าง ยังคงควรจบหรือพลิกแบบที่วางแผนไว้เดิมหรือไม่ เพราะมันไม่รอกราฟอารมณ์ใด ๆ เมื่อถึงเวลาตามบทมันก็จะเศร้าจะซึ้ง (โดยที่คนดูอาจยังไม่รู้สึก) ซ้ำไม่พอ เมื่อถึงเวลาสมควรมันก็หักอารมณ์เปลี่ยนความคิดตัวละครแบบไม่ต้องให้ที่มาที่ไปมากพออย่างที่ควรเป็น มันเลยเป็นโครงที่วางแบบคร่าวๆ

หัวใจของหนังจริง ๆ ก็กลับหัวกลับหางไปเป็นเรื่องฉากตลกมุกตลกทั้งหลายเสียแทน คือถ้าคุณมาเพื่อเสพความตลกขบขันไม่สนอีร้าค้าอีรมใด ๆ ในเนื้อเรื่อง มันตอบโจทย์คุณมาก แต่ถ้าคุณเป็นพวกหงุดหงิดง่ายกับความไม่สมเหตุสมผลของเนื้อเรื่อง การเล่าแบบขอไปที เล่าแบบอยากเล่าอะไรก็เล่า แล้วล่ะก็ ให้มันตลกบันเทิงยังไงคุณก็จะตะหงิดใจ คาใจไปตลอดเรื่องจนไม่เอ็นจอยเท่าที่ควร ที่สำคัญที่สุดที่เป็นจุดอ่อนของหนังในเรื่องนี้

ก็คือเรื่องแรงจูงใจเป้าหมายของพระเอกที่ไม่มีฐานอะไรเลย จนเราไม่เข้าใจพระเอก แม้ในตอนท้ายจะพยายามยัดสถานการณ์ให้เข้าตามพลอตแบบโคตรไม่เนียนมาช่วย กระนั้นเราก็ยังรู้สึกว่าไม่อาจอินไปกับความคิดของพระเอกได้เลย และที่หนักกว่านั้นคือความคิดอ่านของนางเอกในตอนจบของหนังนั่นล่ะ
มิสเตอร์ดื้อ กันท่าเหรียญทอง ว่าด้วยเรื่องราวของดื้อ (ชานน สันตินธรกุล) เด็กชายบ้านนอกซึ่งเป็นลูกชายของเคี้ยง (พลพล พลกองเส็ง) พ่อค้าร้านราดหน้าชื่อดังที่อยู่มาอย่างเก่าแก่ ทั้งสองอยู่ร่วมบ้านหลังเดียวกันกับน้าสาวอย่าง หลิน (เก้า สุภัสสรา ธนชาต) ด้วยความขี้หวงของดื้อที่เห็นว่าน้าสาวของตัวเองเป็นคนสวย เวลาชายหนุ่มคนไหนแวะเวียนมาขายขนมจีบ หน้าที่ของดื้อของต้องไปกันท่า จนสร้างเรื่องปวดหัวให้หลินอยู่เสมอ

เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นดื้อได้ตัดสินใจหนีออกจากบ้านไปอยู่ที่กรุงเทพฯ เพื่ออยากจะพิสูจน์ให้พ่อของเขาเห็นว่า เขาอยากจะทำมาหากินด้วยลำแข้งของตัวเองมากกว่าจะขายราดหน้าอยู่ต่างจังหวัด กว่าหลายปีที่ดื้อไม่ได้กลับบ้าน หลินที่เรียนจบพยาบาลมาได้ย้ายเข้ามาทำงานในโรงพยาบาลที่กรุงเทพฯ ในสาขานักกายภาพบำบัด ซึ่งเธอกำลังปวดหัวกับแมน (โจ๊ก โซคูล) หนุ่มหน้าเห่ยที่กำลังไล่ตามจีบเธออย่างไม่ลดละ

ยังไม่รวมไปถึงบรรดาชายคนอื่นๆที่เร่มาขายขนมจีบ และเป็นความบังเอิญอีกเช่นกันที่ดื้อได้เจอกับหลินอีกครั้งในรอบหลายปี ทำให้ดื้อเริ่มออกปฏิบัติการกันท่า น้าสาวของตัวเองอีกครั้ง

อันที่จริงเมื่อลองอ่านระหว่างบรรทัดในส่วนของเรื่องย่อแล้ว หนังเรื่องนี้คือการพูดถึงเรื่องความสัมพันธ์เชิงชู้สาวระหว่างน้าและหลานอยู่ในที การที่ดื้อมีพฤติกรรมหวงก้างหลิน นั่นก็เพราะเขาหลงรักน้าของตัวเอง เพียงแต่ในกรอบของหลักศีลธรรม จรรยาแล้วมันดูเป็นเรื่องที่ผิดบาปและขัดต่อขนบธรรมเนียมของวิญญูชนคนทั่วไป

สรุป

น่าเสียดายที่หนังตั้งโจทย์ของเรื่องออกมาท้าทายกับแนวคิดและวิถีชีวิตของผู้คนในสังคม แต่หนังก็ไม่ได้พาคนดูไปสำรวจถึงปมในจิตใจของตัวละครดื้อสักเท่าไหร่ หากแต่หนังมัวแต่สาละวนกับการขายมุกตลกสถานการณ์ที่ส่วนมากค่อนข้างฝืดเฝือและไม่ค่อยทำงานกับผู้ชมเท่าไหร่นัก (คนดูในโรงส่วนมากค่อนข้างเงียบกริบในหลายๆฉากที่หนังพยายามทำตัวตลกขบขัน)
อีกทั้งการเล่นตลกกับเรื่องหน้าที่และวิชาชีพของพยาบาล (ฉากเจ๊แอน ซึ่งรับบทโดยรัศมีแข กำลังแก้สถานการณ์ที่แมนกำลังโดนเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าช็อต ก็ดูไม่ค่อยตลกสักเท่าไหร่ เมื่อมองในแง่การดูแลความปลอดภัยของผู้ป่วย) หรือฉากทานสลัด ที่ว่าด้วยเรื่องของ “ขน” เว็บดูหนัง ที่ดูแล้วว่าน่าขนลุกชวนสะอิดสะเอียนและกลายเป็นภาพติดตาเสียเหลือเกิน

วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

Terminator Dark Fate 2019

รีวิว Terminator Dark Fate คนเหล็ก วิกฤตชะตาโลก

การกลับมาแท็กทีมกันของ ลินดา แฮมิลตัน และอาร์โนลด์ ชวาร์เซเนกเกอร์ ในบท  ซาราห์ คอนเนอร์ และหุ่นเหล็ก T-800 ภาพที่คนดูคิดถึงตั้งแต่ 27 ปีที่แล้ว นับว่าป็นจุดขายของหนัง Terminator : Dark fate ที่น่าจะเรียกแฟนเก่าให้กลับมาตัวละครที่รักบนจอภาพยนตร์อีกครั้ง แม้ทั้งคู่จะเข้าสู่วัยร่วงโรยกันไปมากแล้ว วันนี้ ลินดา อายุ 62 ปี ส่วนอาร์โนลด์ อายุ 72 ปีแล้ว รีวิว Terminator Dark Fate คนเหล็ก วิกฤตชะตาโลก และ ดูหนังฟรี


รีวิว Terminator Dark Fate

เรื่องย่อ
Terminator ภาคใหม่ ภายใต้การกำกับของ ทิม มิลเลอร์ (Deadpool) ลินดา ฮามิลตัน ที่จะกลับมาอีกครั้งในฐานะ
ซาร่าห์ คอนเนอร์ หลังจากที่เธอปรากฏตัวครั้งล่าสุดใน Terminator 2: Judgment Day (1991) แต่ครั้งนี้เธอไม่ได้มาคนเดียว เธอยังพาฮีโร่หญิงเลือดใหม่ นาตาลี เรเยส มาแนะนำให้เราได้รู้จักในฐานะ ดานิ รามอส พร้อมกับ เกรซ นักรบหญิงจากโลกอนาคต ที่รับบทโดย แม็คเคนซี่ เดวิส อีกด้วย
ส่วนแกเบรียล ลูนา ขอพูดถึงแบบผ่าน ๆ แล้วกันนะ ด้วยลีลาการแสดงการใช้สีหน้าแววตา ดูจะเดินตามรอย โรเบิร์ต แพททริก ในบท T-1000 มากเกินไป แล้วก็ล้มเหลวในการสร้างรังสีอำมหิตอย่างที่ตัวร้ายควรมี การปรากฏตัวของ Rev-9 จึงยังไม่ดูน่ากลัวเท่าที่ควร

ก็เลยต้องเพิ่มหุ่นเหล็กฝ่ายดีเข้าไปอีกตัว นั่นก็คือ “เกรซ” หุ่นเหล็กสาวที่ถูกส่งมาจากโลกอนาคต ส่วนหุ่นฝ่ายร้ายก็เป็นโจทย์ยากอีกเช่นกัน มาตรฐานที่เจมส์ คาเมรอน สร้างไว้เองเมื่อ 27 ปีที่แล้ว กับหุ่น T-1000 ที่หลอมร่างตัวเองเป็นของเหลวได้ ปลอมแปลงร่างได้ก็เป็นเทคโนโลยีสุดยอดมากแล้ว
จะสร้างหุ่นรุ่นใหม่อย่างไรให้มันตื่นตาตื่นใจได้มากกว่า T-1000 อีกล่ะ ผลลัพธ์ก็เลยออกมาเป็นหุ่นรุ่น Rev-9 ที่เพิ่มประสิทธิภาพด้วยการแยกเนื้อเยื่อที่ห่อหุ้มโครงเหล็กออกมาเป็นร่างหนึ่งได้ แต่ยังคงความสามารถในการปลอมแปลงร่าง และกลายเป็นของเหลวได้เช่นเดิม รอบนี้มาตัวเดียว ก็เหมือนมา 2 ตัวเลย
ว่ากันที่สีสันของภาคนี้ ตัวที่เป็นหัวใจหลักเลยก็คือ ซาราห์ คอนเนอร์ การที่ป้าหายไปจากจอถึง 27 ปีแล้วกลับมาในมาดคุณป้าสายดุนี่เป็นการกลับมาอย่างทรงคุณค่าตัวจริง ลินดา แฮมิลตัน ตอกย้ำให้เห็นกันชัด ๆ ว่าเธอคือ ซาราห์ คอนเนอร์ ตัวต้นแบบต้นฉบับที่ไม่มีใครแทนที่ได้เหมาะสมไปกว่าเธออีกแล้ว
เมื่อพยายามอย่างที่สุดในการเอา อาร์โนลด์ กลับมารับบท T800 ในวัยนี้ ก็จำเป็นต้องใช้ให้คุ้มค่า อาร์โนลด์ ก็เลยต้องเจอฉากบู๊แบบหนักหน่วง แล้วอีกหน้าที่หนึ่งที่อาร์โนลด์ได้รับก็คือตัวสร้างเสียงหัวเราะให้กับเรื่องราว หนังปูบรรยากาศมาเครียดตั้งแต่นาทีแรกของหนัง

เพิ่งจะได้ยินเสียงหัวเราะกันก็ตอนที่ T800 ปรากฏตัวออกมานี่ล่ะ ก็เป็นเสียงหัวเราะแบบคริ คริ ไปกับความน่าเอ็นดูของหุ่น T800 ที่อยากจะดำเนินชีวิตแบบมนุษย์ ไม่ได้หัวร่องอหายแบบหนังตลกขนาดนั้นหรอกนะ แต่ก็ยังดีที่หนังมีช่วงให้ผ่อนคลายได้บ้าง

ส่วนเส้นเรื่องหลักก็ไม่ได้มีความแปลกใหม่ ผู้นำฝ่ายปฏิวัติจากโลกอนาคตที่โดนจักรกลยึดครอง ส่งมนุษย์จักรกลหญิงจากโลกอนาคตมาปกป้องบุคคลสำคัญในอดีต ที่เป็นเป้าหมายของจักรกลสังหาร เนื้อหามันก็เดินตาม T2 กันแบบเป๊ะ ๆ เปลี่ยนแค่ตัวละครที่เป็นเป้าหมาย
สร้างหุ่นฝ่ายดีและฝ่ายร้ายให้เป็นรุ่นใหม่ทรงประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้นเอง นี่
ขนาดว่า 1 ใน 6 ทีมเขียนบทนี่มีชื่อ เดวิด เอส.โกเยอร์ ผู้เขียนบทไตรภาค Batman ของเสด็จพ่อโนแลนอยู่ด้วยแล้วนะ
ทั้งหมดทั้งหลายที่กล่าวชื่นชมมานี่คือฉากแอ็กชันล้วน ๆ คนดูอยากดูฉากแอ็กชัน หนังมีให้จนเกินพอใจ แต่เหตุการณ์ทั้งหมดนี้กลับเกิดบนเนื้อเรื่องที่ดูไปแล้วก็ร้อง “เฮ้ออออออออออออ” อย่างมาก หนังถูกกำหนดโจทย์ยากมาก ๆ มาให้ตั้งแต่ก่อนเขียนบทภาพยนตร์แล้วว่าภาคนี้ จะมี อาร์โนลด์ ชวาร์เซเนกเกอร์ กลับมาในบท T-800 แม้ว่าหนังจะสานต่อจากภาค T2 แต่ตอนจบของภาค 2 เราก็เห็น T-800 ทำลายตัวเองไปในบ่อหลอมเหล็กแล้ว

ส่วนคำถามคาใจ ที่ผมตั้งใจไปฟังคำตอบในหนังว่า เจมส์ คาเมรอน จะเลือกอธิบายการชราภาพของ T800 อย่างไร

เพราะใน Terminator Genisys (2015) ได้อธิบายเหตุผลกลไกในประเด็นนี้ไว้ว่า เนื้อเยื่อรุ่นใหม่ของ T800
ผ่านการสังเคราะห์พิเศษให้เหมือนเนื้อเยื่อมนุษย์มากที่สุด มีการเสื่อมสภาพตามวัยได้เช่นเดียวกัน
แต่ใน Terminator : Dark fate เจมส์ ก็ฉลาดที่จะ ไม่พูดถึง ประเด็นนี้ เพราะมนุษย์แต่ละคนที่เจอ T800 ก็มีแต่ตั้งคำถามว่า ทำไมยังอยู่ที่ยุคนี้ แต่ไม่มีใครถามว่า ทำไมถึงแก่ นี่นา โจทย์มันตอบยากไป งั้นอย่าพยายามไปอธิบายมันเลย ดูเป็นทางออกที่ดีที่สุด ถือซะว่าภาค 5 ตอบไปแล้วก็แล้วกันนะ

สรุป

Terminator Dark fate เป็นคนเหล็กที่โคตรมันส์ สะใจ คุ้มทุนสร้าง 200 ล้านเหรียญ ได้ดูทั้งฉากใหญ่วินาศสันตะโร ได้ดูทั้งฉากคนเหล็กตะลุมบอนกันแบบดุเดือด 2 ชั่วโมง 8 นาที ไม่มีช่องให้ลุกไปห้องน้ำได้เลย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เว็บสตรีมหนัง ถือว่าไปเสพความบันเทิง พยายามสลัดตรรกะและเหตุผลแบบดันทุรังของบทหนังทิ้งไปให้ได้ แล้วจะดูหนังได้สนุกมากขึ้น

City Hunter Shinjuku Private Eyes

รีวิว City Hunter Shinjuku Private Eyes ซิตี้ฮันเตอร์ โคตรนักสืบชินจูกุ ปี๊ป

จากปลายปากกาของซึคาสะ โฮโจกับตัวละครสุดเท่แห่งยุค 80 ที่ยังคงอยู่ในใจหลายๆ คน ซาเอบะเรียว หรือ ซิตี้ฮันเตอร์มือปราบเหล่าร้ายนักกวาดล้างสุดเท่ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ตัวละครหลายตัวในยุคต่อๆ มา กับอาการ “Beep” ที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา City Hunter : Shinjuku Private Eyes ภาพยนตร์อนิเมชันเรื่องนี้จะทำให้หลายคนหายคิดถึงและอยากกลับไปดูอนิเมะเก่าหรือกลับไปอ่านมังงะอีกรอบ! รีวิว City Hunter Shinjuku Private Eyes และ ดูหนังฟรี

เรื่องย่อ ซาเอบะ เรียว เป็นมือปืนและนักสืบเอกชนที่ทำงานในเขตชินจูกุ เขามีทักษะการยิงปืนที่เก่งฉกาจพอ ๆ กับความตื่นตัวทางเพศต่อสาว ๆ จนมักถูกคู่หูของเขา มากิมุระ คาโอริ สั่งสอนด้วยค้อนยักษ์ 100 ตัน ครั้งนี้พวกเขาต้องรับหน้าที่คุ้มกันผู้ว่าจ้างสาวสวย ชินโด ไอ จากกลุ่มโจรก่อการร้ายที่หมายปองความลับบางอย่างที่เชื่อมโยงกับแผนการร้ายที่จะส่งผลต่อทุกคนในเมืองแห่งนี้ ขณะเดียวกันคาโอริก็พบกับเพื่อนสมัยเด็ก มิคุนิ ชินจิ ซึ่งเขาก็กลายเป็นศัตรูหัวใจของซาเอบะ เรียว และอาจเกี่ยวข้องกับแผนก่อการร้ายครั้งนี้



การกลับมาอีกครั้งของสุดยอดนักสืบและมือปืนพลัง Beep แห่งชินจูกุในรอบ 20 ปี ซาเอบะ เรียว เจ้าของรหัส xyz ใน ซิตี้ ฮันเตอร์ ที่มาพร้อมกับทีมสร้างและนักพากย์ชุดดั้งเดิม และกำกับโดย โคดามะ เคนจิ ต้นตำรับผู้สร้างอนิเมะทีวีซีรีส์จากผลงานโบว์แดงของอาจารย์ โฮโจ ทซึคาสะ เจ้าของผลงานมังงะ ทั้ง Cat’s Eye (1983–1985) และ City Hunter (1987–1988) นอกจากนี้โคดามะยังได้ทำฉบับมูฟวี่ของนักล่าในป่าคอนกรีตมาแล้วถึง 4 เรื่อง โดยเรื่องสุดท้ายก็คือ City Hunter: The Motion Picture ตั้งแต่ปี 1997 ก่อนจะหันไปกำกับอนิเมะเดอะมูฟวี่ของโคนันยอดนักสืบอยู่หลายภาค นี่จึงนับเป็นการกลับมาหารากฐานชื่อเสียงในสายอาชีพของผู้กำกับโคดามะอีกครั้ง หลังจากหายกันไปนานถึง 22 ปีก็ว่าได้ แถมครั้งนี้ยังได้ค่ายอนิเมะยักษ์ใหญ่อย่าง Sunrise มาดูแลทำให้ได้งานภาพที่ไม่ถอดเขี้ยวต้นฉบับทิ้ง และยังคงคุณภาพอนิเมะฉายโรงในยุคปัจจุบัน เรียกว่าเสริมจุดแข็งได้ลงตัวมาก

ซาเอบะ เรียวความเท่ที่คงทนมากกว่า 30 ปีของ “ซิตี้ฮันเตอร์”
สไตล์ของซาเอบะ เรียวนั้นยังคงเหมือนเดิม เท่เหมือนเดิม เก่งเหมือนเดิมและยังหื่นเหมือนเดิม พร้อมด้วยนักพากย์ต้นฉบับจากซีรีส์และ OVA ถึงแม้ว่าซาเอบะจะถูกจับมาอยู่ในยุคปัจจุบันโดยที่ไม่ได้เปลี่ยนอะไรเลย แต่เสน่ห์ของชายยุคอนาล็อกอย่างเขาที่ดิบ เถื่อน(หื่น)แต่ยังเป็นสุภาพบุรุษนั้นยังคงความเท่ไม่น้อยน่าเหล่าพระเอกอนิเมะในยุคนี้แต่อย่างใด ด้วยเทคโนโลยีของการสร้างภาพยนตร์ที่ใหม่ขึ้นนั้นกลับถูกเทไปที่ตัวร้ายและสร้างตัวร้ายที่เก่งกว่าเดิมยากจะจัดการและเสริมความไฮเทคเข้ามาอีกด้วย แต่ซาเอบะ เรียวนั้น ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยนี้ยกเครื่องให้การเคลื่อนไหวของเขาดูต่อเนื่องขึ้นและฉากแอคชั่นทำได้ดีมากขึ้น พร้อมกับความเทพที่ดูเกินเลยไปของทั้งพระเอกและสมาชิกทีมสามารถสอดประสานเรื่องราวไปพร้อมๆ กับมุขหื่นสุดคลาสสิคได้เป็นอย่างดี

Beep ยังคงอยู่ แต่ลดลงนิดนึง
ในยุคที่การละเมิดหรือการลวนลามนั้นได้รับการใส่ใจมากกว่าสมัยก่อน แน่นอนว่ามุขลามกของเรียวน้อยก็ต้องลดลงด้วยเหมือนกัน ทั้งการเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีต่อเด็กรุ่นใหม่และความเหมาะสมในยุคปัจจุบันด้วย แต่ใน City Hunter เวอร์ชั่นรีเมคนี้ ซาเอบะของเราก็ยังคงจัดเต็มมุขลามกและความหื่นภายใต้กรอบได้อย่างเต็มที่ แฟนๆไม่ผิดหวังแน่นอน

ลายเส้นใหม่ที่ให้ฟีลเดิม
การออกแบบตัวละครนั้นยังคงสไตล์ดั้งเดิมจากยุค 80 เอาไว้ได้เป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าจะทำให้ตัวละครหลักนั้นโดดเด่นออกมาจากตัวละครอื่นๆ ในเรื่องที่หน้าตาการแต่งกายเป็นยุคปัจจุบันเสียหมด แต่ถึงกระนั้นแล้วก็สามารถทำออกมาได้กลมกลืนไปด้วยกัน และยังแฝงเสน่ห์ลายเส้นของซึคาสะ โฮโจไว้ในดีไซน์ที่ร่วมสมัยได้อีกด้วย

นี่ยังเป็นการกลับมาของนักพากย์คนเดิมจากต้นฉบับแทบยกทีม ไม่ว่าจะ คามิยะ อากิระ ในบท ซาเอบะ เรียว, อิคุระ คาสุเอะ ในบท คาโอริ, อาซากามิ โยโกะ ในบท ซาเอโกะ และ เกนดะ เทสโช ในบท อุมิโบซึ และถ้ายังเอาใจแฟนดั้งเดิมไม่พอ
ในตอนจบของหนังยังจะใช้เพลง Get Wild ซึ่งคือเพลงปิดฉบับทีวีซีรีส์ดั้งเดิมด้วย ใช่ครับ ฟินปะทุความทรงจำกันให้สุดไปเลย

และนั่นก็เป็นข้อเสียที่ต้องนำมาพูดก่อนข้อดีเลยล่ะ เพราะหนังเรื่องนี้ห่างหายจากยุคนี้ไปนานมาก เอาเป็นว่าเด็กที่ดูอนิเมะรุ่นใหม่ ๆ ไม่รู้จักดีพอ และถึงอยากจะลองดูเรื่องนี้เป็นความประทับใจแรก ๆ เผื่อจะสานต่อไปดูฉบับอื่น ๆ ก็คงบอกได้เพียงว่า คงไม่ประทับใจหรอก เพราะหนังไม่ปูพื้นใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่พยายามดึงเด็กหรือแฟนกลุ่มใหม่เลย ทุกตัวละครทักทายคนดูแบบคนคุ้นเคย ไม่ได้สนว่าจะมีคนแปลกหน้าปะปนในหมู่คนดู แล้วก็ไม่ใส่ใจจะแนะนำตัวเพื่อรู้จักเลยด้วย

และแม้ว่าจะได้ทีมอนิเมะรุ่นใหม่ ๆ ที่ช่วยด้านเทคนิคให้ทันยุคทันสมัย ทว่าจังหวะการเล่า การชงมุก ตบมุก หรือไอเดียในเรื่องราวคงต้องยอมรับว่า โบราณ คือแทบดึงอารมณ์อนิเมะยุค 90 กลับมาเลย ซึ่งถ้าวัดด้วยสายตาคนรุ่นใหม่มันจะไม่ฮาไม่สนุกเท่าไหร่แล้ว ยิ่งพวกมุกเรียวโดนค้อนทุบ หรือหลีหญิงเนี่ย เชยสะบัดจริง ๆ มันเลยเป็นได้เพียงหนังสนองความทรงจำของแฟน ๆ รุ่นเดิมเท่านั้นเอง และแนะนำคนรุ่นใหม่ให้ลองไปดู City Hunter ที่หนังฝรั่งเศสเอาไปทำเป็นฉบับคนแสดงดูก่อนดีกว่า อันนั้นอ่ะได้ทั้งกลิ่นอายเดิม ๆ และยังเอาใจคนรุ่นใหม่ให้สนุกด้วยมากกว่า ถ้าดูแล้วชอบค่อยมาดูต่อเรื่องนี้อีกที

กลับมาข้อดีบ้าง ด้วยความที่ตั้งธงเป็นหนังสนองนี้ดแฟนรุ่นเดอะ หนังเลยอัดแน่นตัวละครแบบน่าจะช่วยให้หายคิดถึงไปได้เยอะเลย เพราะตัวหลัก ๆ ยกพลมากันหมดตามที่เกริ่นไปช่วงแรก ส่วนตัวละครใหม่ ๆ ก็เสริมเรื่องได้พอประมาณ แม้จะไม่ถึงกับน่าจดจำ ไม่ถึงกับช่วยสร้างสตอรี่ที่กระแทกใจผู้ชม แต่ก็ทำให้ดูเพลินดูสนุกได้ตลอดจนจบ ด้วยความอัดแน่นนี้เลยมีช่องมากมายให้เราได้เจออีสเตอร์เอ้ก เจอตัวละครเซอร์ไพรส์ ขอไม่บอกว่าใคร (แม้ในตัวอย่างตัดมาให้เห็นอยู่แล้วก็เถอะ) แต่มันก็ยังน่าประหลาดใจล่ะ เพราะพวกเธอมีบทบาทมากกว่าที่คิดด้วย

สิ่งที่ชอบอีกอย่างคือการให้ฉากหลังปรับมายังยุคปัจจุบันปี 2019เราได้เห็นกระดานแจ้งข่าวที่กลายมาเป็นจอแอลอีดี ไม่เหลือเค้ากระดานดำที่ต้องเขียน xyz อีกแล้ว แต่ต้องใช้มือถือส่อง AR เพื่อดูแล้วเขียน xyz ใส่หน้าจอโทรศัพท์แทน หรือจะฉากเมืองชินจูกุที่เปลี่ยนไปจากยุคเดิม ทั้งหมดนี้ทำให้เรารู้สึกว่าตัวละครที่เรารักเหล่านี้ ยังไม่ได้หายไปไหน เหมือนไม่ได้ยินข่าวเพื่อนสนิทมานาน แต่พอเห็นภาพปัจจุบันในหน้าฟีดเขากำลังมีความสุขในชีวิตยังเป็นคนีรอยยิ้มแบบเดิม เราก็รู้สึกดีไปด้วย อันนี้ก็เช่นกัน มันทำให้เรารู้สึกได้ว่าเวลาแห่งความสุขความสนุกในตอนเด็กมันยังไม่ตายไปกับยุคสมัยที่อาจไม่ใช่ของเราอีกต่อไปแล้วนั่นเอง

ด้วยที่ปรับยุคมา ตัวร้ายในภาคนี้เลยเน้นที่ความไฮเทคมากขึ้น ส่วนด้านพระเอกก็ยังคงอะนาล็อกสไตล์เช่นเดิม แน่นอนพอเอาคนรุ่นก่อนมาเป็นหัวในการนำเสนอ มันก็สรุปตามคาดที่ว่า อย่างไรเสียฝีมือแท้ ๆ แบบเก่าเก๋าก็ย่อมเป็นทองแท้กว่าความทันสมัยอันฉาบฉวยอยู่วันยังค่ำ แม้ในสายตาของคนรุ่นใหม่ก็คงมองแล้วรู้สึกว่าไอ้พลอตของไฮเทคพวกนี้มันไม่ว้าวไม่ล้ำอะไรเท่าไหร่เลย เหมือนมาฟังคนแก่โม้เรื่องเทคโนโลยีที่มันเอ้าต์ไปแล้วประมาณนั้น

สรุป
ก็อย่างที่ว่ามา ถ้าใส่แว่นแบบยุคนี้มองก็ต้องบอกว่า มันคือหนังที่ดูเชยพอประมาณ แต่ถ้ามองจากสายตาแฟนเก่า ๆ ก็ต้องบอกว่าหนังให้ความใส่ใจคนดูเดิมและเคารพผู้ชมอย่างมาก ยิ่งที่ว่าในปัจจุบันแฟนที่ยังตามซิตี้ฮันเตอร์ ก็จะทราบดีว่าในเรื่อง Angel Heart นั้น อาจารย์โฮโจได้ทำให้ตัวละครหลักตัวหนึ่งได้จากไปตลอดกาลแล้ว ซึ่งเอาตรง ๆ มันทำร้ายจิตใจแฟน ๆ มากทีเดียว การที่หนังอนิเมะเรื่องนี้นำตัว

ละครทุกตัวกลับมาครบในยุคปีปัจจุบัน เสมือนว่าเรื่องราวการสูญเสียไม่เคยเกิดขึ้น มันเลยโคตรฟินเลยสำหรับคนที่รักซิตี้ฮันเตอร์ และ หนังออนไลน์ ไม่ได้อยากให้ใครคนใดคนหนึ่งต้องจากไป
ซิตี้ฮันเตอร์ โคตรนักสืบชินจูกุ ปี๊ป นั้นเป็นภาพยนตร์อนิเมชั่นที่จะสามารถตอบสนองความต้องการของแฟนๆซีรีส์นี้ได้เป็นอย่างดี แต่ก็ยังสามารถหว่านเสน่ห์ให้ผู้ชมที่ไม่เคยรู้จักซิตี้ฮันเตอร์ให้หลงรักและเปิดใจให้กับซีรีส์นี้ได้เหมือนกัน ถึงแม้จะมีบาดแผลบ้างแต่ก็ถือว่าซาเอบะ เรียวกระโดดข้ามเวลามาโลดแล่นในยุคปัจจุบันได้อย่างสวยงาม

Weathering with You 2019

Weathering with You 2019

รีวิว Weathering with You ฤดูฝัน ฉันมีเธอ

Weathering With You เป็นผลงานภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่องล่าสุดจากผู้กำกับที่มีชื่อเสียงอย่าง มาโกโตะ ชินไก ผู้สร้างสรรค์ผลงานที่ตราตรึงใจแฟนคลับไว้มากมาย อย่าง Your Name หลับตาฝันถึงชื่อเธอ ครั้งนี้เขากลับมาพร้อมกับเรื่องราวความรัก ความเหงา เศร้า ซึ้ง และมิตรภาพดีๆ อีกครั้ง โดยมีเพลงประกอบที่ช่วยส่งให้เรื่องน่าติดตามยิ่งขึ้นจากวงร็อกชื่อดังของญี่ปุ่นอย่าง Radwimps รีวิว Weathering with You ฤดูฝัน ฉันมีเธอ และ ดูหนังฟรี

เรื่องย่อเป็นเรื่องราวของ โมริชิมะ โฮดากะ เด็กหนุ่ม ม.ปลายที่หนีออกจากบ้านมาที่โตเกียว ซึ่งโตเกียวในขณะนั้นกำลังประสบกับปัญหาฝนตกหนักในรอบหลายปี และแม้ว่าเข้ามาแล้วเขาจะไม่สามารถหางานทำได้เพราะยังเรียนไม่จบ ม.ปลาย แต่เขาก็พยายามไปเรื่อยๆ จนในที่สุดเขาได้ไปทำงานกับ สุกะ เคสึเกะ ชายวัยกลางที่เขาเจอตอนเดินทางเข้าโตเกียว สุกะทำงานเกี่ยวกับการทำนิตยสารที่เขียนเรื่องลี้ลับ ความเชื่อ แม้เริ่มแรกโฮดากะจะทำอะไรไม่เป็น และโดนดุอยู่ตลอด แต่เขาก็พยายามอย่างถึงที่สุดที่จะทำสิ่งต่างๆ ออกมาให้ดี


 ดูหนังออนไลน์

วันหนึ่งเขาได้พบกับ อามาโนะ ฮินะ เด็กสาวที่อายุมากกว่าเขา 2 ปี โฮดากะได้รู้ว่า ฮินะ คือสาวฟ้าใส คนที่แค่อธิษฐานก็สามารถทำให้สภาพอากาศเป็นไปได้ตามต้องการ นั้นทำให้โฮดากะมีความคิดจะใช้ความสามารถพิเศษของฮินะในการหารายได้เสริม ทั้งคู่รวมถึง นางิสะ น้องชายของฮินะ ได้ร่วมกันเปิดเว็บไซต์รับงานทำให้ฟ้าใส โดยงานแรกที่มีคนจ้างพวกเขานั้นก็ประสบความสำเร็จอย่างน่าอัศจรรย์ นั้นทำให้พวกเขาถูกจ้างงานมากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับความรู้สึกพิเศษของโฮดากะที่มีต่อฮินะก็เพิ่มขึ้นไปด้วยเช่นกัน ในขณะที่ทุกอย่างกำลังไปได้ด้วยดี กลับมีบางอย่างเข้ามาแทรกแซงช่วงชิงเวลาอันมีค่าของพวกเขาไป

นี่คือผลงานหนังยาวฉายโรงลำดับที่ 6 ของผู้กำกับอนิเมะแห่งยุคอย่าง ชินไค มาโกโตะ (Shinkai Makoto) ผู้เคยฝากผลงานโรแมนติกระหว่างหนุ่มสาวที่มีระยะห่างของบางอย่างมาคั่นไว้อันตราตรึงใจผู้ชม ทั้ง Kimi no na wa. หรือ Your Name. (2016) ที่พระเอกกับนางเอกมีระยะห่างของสถานที่และกาลเวลามากั้นขวาง

หรือจะเป็น 5 Centimeters Per Second: A Chain of Short Stories About Their Distance (2007) ที่ตัวเอกมีระยะห่างจากกันเท่าความต่างของปัจจุบันและความทรงจำแสนไกล หรืออาจต้องพูดไปถึง Voices of a Distant Star (2002) หนังสั้นขนาดยาวที่เป็นผลงานสร้างชื่อเรื่องแรกของชินไคเอง ก็มีระยะห่างของอวกาศและความต่างความเร็วของเวลามาเกี่ยวข้อง และใน Weathering with You นี้ชินไคก็ได้นำเสนอระยะห่างที่กั้นขวางและเพิ่มโจทย์ยากให้ตัวละครอีกเช่นเคย

สำหรับส่วนที่ยังทำได้ดีของหนังเรื่องนี้ คงเป็นคาแรกเตอร์ดีไซน์ที่ชินไคได้ทีมงานมืออาชีพมาช่วยมากขึ้น ทำให้ลายเส้นพัฒนาขึ้นจากที่เคยวาดเองแบบสไตล์เฉพาะตัวที่ตัวละครมักจะแข็ง ๆ นิ่ง ๆ แม้จะเหมาะกับภาพจมดิ่งกับความรู้สึกได้ดี อย่างในเรื่อง 5 Centimeters Per Second และ The Garden of Words (2013) แต่ก็ทำให้หนังขาดรสชาติอื่น ๆ ที่ควรมีไป พอลายเส้นส่งเสริมเรื่องมากขึ้นนับตั้งแต่ Your Name. หนังของชินไคจึงเริ่มมีอารมณ์ที่หลากหลายมากขึ้น เล่าได้สนุกขึ้น ทั้งความยินดี สนุก เศร้า เสียใจ แฟนตาซี มีครบทุกรสให้หยิบเลือกกลายเป็นเสือติดปีกในที่สุด

และอีกอย่างที่ยังทำได้ดีคือการร่วมงานดนตรีประกอบและเพลงประกอบกับวง แรดวิมป์ส (Radwimps) ที่เคยมีผลงานเด่นในเรื่อง Your Name. ทั้งเพลง Sparkle และ Nandemonaiya มารอบนี้ก็ยังมีเพลงที่ได้พลังในระดับเดียวกันทั้งเพลง Is There Still Anything That Love Can Do? ที่มองผ่านสายตาของโฮดากะ พระเอกที่รุ้สึกตัวเองต่ำต้อยไร้ค่าในโลกสีเทาไม่ต้องคิดแม้แต่จะทำอะไรเพื่อใครเลย แต่เพราะฮินะหรือนางเอกปรากฏตัวเข้ามาในชีวิต

เขาจึงตั้งคำถามกับตัวเองครั้งแรกว่า อาจมีบางอย่างที่คนอย่างเขาสามารถทำให้คนอย่างเธอได้บ้าง โรแมนติกสุด ๆ ยังต้องรวมถึงเพลงจบอย่าง We’ll Be Alright เพลงที่บอกว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ไปเธอกับฉันจะต้องไม่เป็นอะไร (ตราบที่ได้อยู่ข้างกัน) เป็นเพลงจบที่ซึ้งมากอีกแล้ว ดีงามพอกับใน Your Name. จริง ๆ

เนื้อเรื่อง : ตัวเนื้อเรื่องยังคงความเป็น มาโกโตะ ชินไกไว้ได้ดี คือมีปนสลับซับซ้อน มีจุดพีค จุดหักมุม และจุดดำดิ่งที่ดึงคนดูให้เศร้า และเจ็บปวดไปกับตัวละคร รวมถึงการเล่าเรื่องความเชื่อควบคู่ไปกับการแทรกประเด็นทางสังคมเข้ามาด้วย อย่างเรื่องที่พระเอกของเราหนีออกจากบ้าน แล้วมาลำบากลำบนในเมืองหลวงแต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ สะท้อนถึงใครหลายคนที่กระหายอิสระ อยากใช้ชีวิตด้วยตัวเอง อยากทำในสิ่งที่ตนอย่างทำ ซึ่งในเรื่องก็ทำออกมาให้เห็นว่าเส้นทางนี้มันมีทั้งดีและไม่ดี แม้จะได้อยู่อย่างอิสระ แต่ก็ต้องต่อสู้มากมาย

แต่มีจุดที่เรื่องมีช่องโหว่อยู่บ้าง ด้วยความที่เรื่องราวของตัวละครแต่ละตัวดูจะไม่ค่อยเชื่อมโยงกันเท่าไร รู้สึกว่าไม่ได้ถูกเอามารวมกันให้มันกลมกล่อม เพราะเรื่องของแต่ละคนดูจะมีปมทั้งนั้น แต่เหมือนเล่าออกมาไม่หมด ทำให้เนื้อเรื่องยังดูไม่สมบูรณ์เท่าไร แต่การเอาความเชื่อของชาวญี่ปุ่นมาเล่าด้วยก็ถือว่าน่่าสนใจ บวกกับคำพูดของตัวละครหนึ่งในตอนจบที่ทำให้เข้าใจว่าทุกอย่างล้วนต้องกลับไปสู่จุดเริ่มต้น ซึ่งโดยรวมแล้วก็ถือว่าทำออกมาได้ดี เนื้อเรื่องน่าติดตาม และทำให้เอาใจช่วยพระเอกของเราได้ตลอดทั้งเรื่องเลย

งานภาพ ลายเส้น : ถ้าจะพูดถึงเรื่องงานภาพ บอกเลยว่าดีงามมากจริงๆ รายละเอียดของฉากสวยงาม แม้ว่าฉากส่วนใหญ่ของเรื่องจะเป็นในเมืองหลวงที่มีแต่ตึกสูง แต่เพราะมีสายฝนเข้ามาช่วยทำให้ตัวเมืองดูสวยงามขึ้นเวลาที่แสงอาทิตย์กระทบกับหยดน้ำตามพื้น ตามกระจก ตามต้นหญ้าริมทาง และยิ่งฉากส่วนใหญ่ที่เป็นเมือง ยิ่งทำให้หย่อมหญ้าเล็กๆ บนตึกร้างสวยงาม เพราะแทบจะเป็นสีเขียวเดียวบนพื้นที่รกๆ นั้น

สไตล์ของมาโกโตะ ชินไกนั้นย่อมต้องมีวิวธรรมชาติสวยๆ ให้ได้เห็นกันอยู่แล้ว ซึ่งคราวนี้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นท้องฟ้า ทั้งสี และแสงของแต่ละช่วงเวลาบอกเลยว่าเหมือนของจริงสุดๆ บางทีอาจจะสวยกว่าด้วยซ้ำ อีกทั้งการใช้มุมกล้อง การเคลื่อนไหวต่างๆ ยิ่งทำให้เรื่องดูน่าสนใจยิ่งขึ้น โดยเฉพาะภาพที่เป็นมุมสูง เห็นพื้นที่รอบๆ ได้กว้างๆ ก็ยิ่งสวยว้าวขึ้นไปอีก อย่างในฉากพีคๆ ก็ทำออกมาได้ดีนับถือทีมงานฝ่ายภาพจริงๆ

ส่วนที่ดีกว่าเหนือกว่า หนังเรื่องที่แล้ว ก็คงเป็นมิติทางภาพ และความซับซ้อนของเทคนิคการสร้างสรรค์ที่ต้องบอกว่า มีฉากที่สวยแปลกตา มีมิติความลึกและชั้นของภาพ ตลอดจนการเคลื่อนกล้องที่สวยขึ้น ว้าวขึ้นไปอีก ยิ่งตัวหนังขับเน้นความสำคัญของเม็ดฝนที่เป็นคีย์หลักของเรื่อง ต้องบอกว่า โหหห งามทุกเม็ดใส่ใจกับการนำเสนอ น้ำ มากจริง ๆ ซึ่งไม่ใช่งานง่ายเลยนะ ยิ่งเอาสภาพอากาศเป็นพระเอกอีกหนึ่งคนของเรื่องแล้วยิ่งเข้าทางสายภาพวิวภาพบรรยากาศอย่างชินไคเข้าไปอีก คือเข้าไปดูไปศึกษาเรื่องการวาดการลงสีการให้แสง หรือการอนิเมตภาพ มุมกล้องการเคลื่อนไหว หนังถ่ายทอดสด ก็โคตรคุ้มแล้ว

ส่วนที่รู้สึกว่าด้อยลงนิดหน่อย คงเป็นความกลมกล่อมของเนื้อหานั่นเอง หากตัดฉาบเคลือบทั้งหลายออก ต้องยอมรับว่าเนื้อเรื่องมีอะไรให้เล่าเยอะเกินไป ทั้งชีวิตพระเอก ชีวิตนางเอก น้องชายนางเอก ชีวิตของเจ้าของบริษัทที่ให้พระเอกมาทำงาน คือเยอะไป และเอามาอยู่ร่วมกันได้ไม่ดีพอ เพราะหนังมันมีจุดสำคัญในการพลิกหักมุม มีจุดเหนือธรรมชาติ และความแฟนตาซีอะไรพอสมควรตั้งแต่แบบ หือ จนกระทั่งโอ้โหเฮ้ยเล่นงี้เลยเรอะ! ซึ่งพอมันต้องมาคำนึงถึงปมดราม่าต่าง ๆ แล้ว ดันกลายเป็นตัดทอนความดีเด่นของกันและกันไปเสียแทนระหว่างดราม่ากับแฟนตาซี

It Chapter Two

It Chapter Two

รีวิว It Chapter Two อิท โผล่จากนรก 2

นี่คือผลงานหนังภาคต่อจาก IT (2017) จากฝีมือผู้กำกับคนเดิมอย่าง แอนดี้ มุสชีเอตติ (Andy Muschietti) ที่ทุกคนรอคอย เพราะภาคแรกก็จัดว่าเป็นหนังขวัญใจมหาชน สามารถกวาดรายได้ทั่วโลกไปสูงถึง 700 ล้านเหรียญสหรัฐ แถมคำชมว่อนไปหมด ด้วยการดัดแปลงนิยายเรื่องโบว์แดงของ สตีเฟน คิง (Stephen King) ราชาสยองขวัญแห่งยุคออกมาได้อย่างมีคลาส มีรสนิยม แถมยังทำได้บันเทิงเหมาะกับผู้ชมหลากหลายแนวด้วย รีวิว It Chapter Two อิท โผล่จากนรก 2 และ ดูหนังฟรี

เรื่องย่อตัวตลกปีศาจเพนนี่ไวซ์จะกลับมาเยือนเมืองเดอร์รี่ รัฐเมนในทุก ๆ 27 ปี “It: Chapter Two — อิท โผล่จากนรก 2” จึงพาเหล่าตัวละครที่แยกย้ายจากกันไปนานกลับมารวมตัวกันอีกครั้งในวัยผู้ใหญ่ตามคำสัญญาที่ให้ไว้ในวัยเด็ก ซึ่งนับเป็นเวลากว่า 3 ทศวรรษหลังจากเหตุการณ์สยองเกิดขึ้นกับพวกเขาตอนเด็กในภาพยนตร์ภาคแรก และนี่อาจถึงเวลาที่ต้องสะสางและจบ “มัน” เสียที



ในภาคจบนี้ดำเนินเรื่องแบบไทม์สกิปมาอีก 27 ปีถัดมา โดยใครที่ไม่ได้ดูภาคแรกมาก็ยังพอรู้เรื่องนะเพราะหนังก็อิงจากปัจจุบันที่เหล่าตัวละครโตมาเป็นผู้ใหญ่แล้วมากกว่า และแม้มีการย้อนอดีตไปช่วงวัยเด็กก็เป็นช่วงเวลาหลังจากเหตุการณ์ในหนังภาคแรกด้วย ก็เรียกว่าเป็นมิตรกับผู้ชมหน้าใหม่ที่บังเอิญถูกชวนมาดู

และยังทำให้ผู้ชมหน้าเก่าจากภาคแรกรู้สึกเรื่องเดินไปข้างหน้าไม่ซ้ำเหตุการณ์จากภาคเดิมให้เบื่อด้วย ทั้งยังใช้เหตุการณ์ปริศนาที่ทุกตัวละครต่างถูกทำให้ลืมเลือนไปแล้วในช่วงซัมเมอร์หลังจากชนะอิทมาได้ มาเป็นกิมมิกสำคัญในการหาหนทางชนะอิทอีกครั้ง นับเป็นความฉลาดในการเขียนบทที่ดี และยังดัดแปลงให้เข้ากับวิธีการเล่าเรื่องในหนังสือและฉบับมินิซีรีส์ที่เคยทำในลักษณะตัดสลับเรื่องในอดีตกับปัจจุบันได้อย่างดีด้วย

ความคารวะอย่างถูกที่ถูกทาง แบบไม่ตรงจนน่าเบื่อแต่ให้อารมณ์การดัดแปลงที่ไม่ดูถูกคนดูนี้ ก็ยังรวมถึงการได้รับเชิญมาร่วมเล่นโดยเจ้าของนิยายอย่าง สตีเฟน คิง ในฉากที่ถือว่าสมน้ำสมเนื้อไม่ได้แค่เดินผ่าน ซึ่งอาจมองเป็นการรับประกันหนังจากตัวต้นฉบับเองด้วยว่ามือถึงพึ่งได้ (ใครไปรอดู เตรียมตั้งใจดูฉากร้านขายของเก่าให้ดีครับ)

ในภาคนี้เมื่อตัวละครหลักเติบโตขึ้น จึงได้คัดเลือกนักแสดงมากฝีมือมากมายมารับบทด้วย โดยที่เด่นนำมาก็คงเป็นบท เบฟ สาวหนึ่งเดียวของกลุ่มที่ได้ผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์ เจสสิก้า แชสเทน (Jessica Chastain) มารับบท ซึ่งเธอก็สามารถถ่ายทอดความเป็นเด็กสาวช่างฝันในรักแท้ที่คำกลอนในวัยเด็กยังติดตรึงใจมา

หากแต่ด้วยความที่ผ่านช่วงเวลาอันทรมานจากโลกความจริงทั้งเรื่องของพ่อและคนรัก ดวงตาอันอ่อนล้าและกรีดร้องยังกู่ก้องในแววตาเช่นกัน นับเป็นบทที่ต้องใช้ฝีมือของแชสเทนจริง ๆ ด้านตัวนำเด่นของกลุ่มอย่าง บิล ที่กลายมาเป็นนักเขียนนิยายชื่อดังที่แฟน ๆ ทุกคนเกลียดตอนจบของหนังสือแทบทุกเรื่องของเขา ก็ได้ เจมส์ แม็คอะวอย (James McAvoy) มารับบทซึ่งก็ไว้ใจฝีมือที่ต้องแสดงเป็นคนติดอ่างมีทั้งความกล้าและความไม่สมบูรณ์ในตัวได้อย่างน่าสนใจ

ด้านดาวเด่นของงานแบบเกินคาดหมายขอยกให้ บิล เฮเดอร์ (Bill Hader) ที่มารับบท ริชชี่ ปากมอมที่โตมากลายเป็นดาวตลกอาชีพที่คอยพูดมุกสไตล์ตลกร้ายใส่เพื่อน ๆ และคนดู จนหนังปลอดล็อกสถานการณ์ชวนอึดอัดให้ผ่อนคลายได้สนุกสนานมาก ๆ ตลอดเรื่อง นักแสดงอื่น ๆ นอกจากนั้นก็ถือว่าฝีมือได้มาตรฐานไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันเท่าไร

และอาจต้องพูดถึงการแสดงของ บิลล์ สการ์สการ์ด (Bill Skarsgård) ในบท เพนนีไวซ์ ปีศาจตัวตลกที่บอกได้เพียงว่าเด็ดดวงสยองเกล้าเช่นเดิม ยิ่งได้ซีจีมาช่วยเพิ่มความบิดเบี้ยวของการแสดงก็ยิ่งหลอนมากขึ้น ฉากที่ทำได้อย่างน่าจดจำก็เช่นฉากนับถอยหลังจนน้ำลายไหล ที่ทำเอาขนลุกเกรียวทีเดียว
It Chapter 2 เปิดเรื่องราวมาที่เทศกาลคาร์นิวัลในเมืองเดอร์รี หลังจากที่คู่รักชายรักชายกำลังมีความสุขในงานแห่งนี้ แต่กลุ่มวัยรุ่นอันธพาลได้ตัดสินใจหาเรื่องทั้งสองคน ลามเลยไปถึงการซ้อมทั้งคู่จนอาการสาหัส เท่านั้นยังไม่พอเมื่อกลุ่มอันธพาลจับ 1 ในผู้เคราะห์ร้ายโยนลงสะพานไป เคราะห์ซ้ำกรรมซัดที่ริมตลิ่ง “มัน” ในคราบของตัวตลกเพนนีไวส์ได้ยืนรอจะกัดกินเหยื่ออย่างเลือดเย็น จากเหตุการณ์นี้ได้สะท้อนให้คนดูเห็นว่า

สภาพความเป็นอยู่ของผู้คนในเมืองเดอร์รีนั้น เป็นเมืองที่ผู้คนเองก็มีความป่าเถื่อนชั่วร้ายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว มิหนำซ้ำการปรากฏตัวของ “มัน” ก็ไม่ได้ปลุกเร้าให้ผู้คนมีความกระตือรือร้นในที่จะตระหนักว่ามีภัยคุกคามเข้ามาในเมืองของพวกเขาสักเท่าไหร่ เพราะว่าอาชญากรรมในเมืองนี้อาจจะเป็นเรื่องปกติไปแล้วในสายตาของผู้คนทั่วไป

สำหรับแก็งค์เด็กขี้แพ้ แม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน แต่ “ความกลัว” ก็มิเคยเลือนหาย กลายเป็นปมฝังรากลึกในใจ จนทำให้ Loser กลายเป็นอีกขั้นของ Loser ซึ่งตัวหนังจะค่อยๆพาเราคลายปมตรงนี้ พร้อม Flashback เรื่องราวในภาคแรกให้ซิงค์กับภาคสอง เพื่อให้เราประติดประต่อเรื่องราวได้อย่างพอสังเขป
ช่วงนี้อาจมีเบื่อบ้างเพราะมีซ้ำมุขเดิม จับทางได้ง่ายไปหน่อย แต่ประทับใจสุดคือการแคสต์นักแสดงจากเด็กเล็กสู่เด็กโตที่ค่อนข้างเนียนทั้งเค้าโครงหน้าและการแสดง โดยเฉพาะ “คนแปลงร่าง” อย่างเจ้าเด็กอ้วนเบน ที่เปลี่ยนตัวเองให้ผอมเพรียวหล่อขึ้นแบบหน้ามือเป็นหลังมือ

เหตุการณ์ในหนังพาร์ท 2 ก็ไม่ต่างกัน เวลา 27 ปีที่ผ่านพ้นไป เด็กๆกลุ่มขี้แพ้ได้เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน มีชีวิตที่ดีขึ้นหลังจากที่พวกเขาเดินจากบ้านเกิดไป ความห่างไกลบ้านทำให้พวกเขา “หลงลืม” อดีตไปจนเกือบหมด จนกระทั่งวันหนึ่ง ไมค์ (ไอเซห์ มุสตาฟา) ได้ติดต่อไปหาเพื่อนๆทุกคนว่า “มัน” ได้ตื่นจากการจำศีลและออกมาคุกคามเด็กๆในเมืองเดอร์รีอีกครั้ง
แม้ว่าตอนแรกการเดินทางกลับบ้านเกิดของเหล่ากลุ่มขี้แพ้ จะเป็นเหมือนการ “คืนสู่เหย้า” เพื่อพบปะเพื่อนๆ แต่ความเป็นจริงแล้ว เมื่อความกลัวเริ่มกลับมาเกาะกุมจิตใจของพวกเขา อดีตในวัยเด็กก็ตามกลับมาหลอกหลอนอีกครั้ง ซึ่งช่วงกลางเรื่องของหนังได้เผยให้เห็นการต่อสู้ระหว่างปมในจิตใจของตัวละครกับความกลัวที่ซุกซ่อนอยู่ในก้นบึ้งของจิตใจของแต่ละคนออกมาให้คนดูได้เห็น

ซึ่งความรู้สึกหลังการได้พบกับ “มัน” อีกครั้ง บอกได้เลยว่านี่คือหนังภาคต่อที่สมบูรณ์แบบอีกเรื่องหนึ่ง การเล่าเรื่องโดย Flash Back ส่งความทรงจำกลับไปให้ผู้ชมได้เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นในภาคแรก ทำให้การเชื่อมโยงเหตุการณ์ต่าง ๆ ทำได้ง่าย ฉากลุ้นระทึกกับการเอาตัวรอดจากเจ้าตัวตลก เพนนี่ไวซ์ ที่มีตลอดแทบทั้งเรื่อง

แถมยังสอดแทรกมุกตลกของตัวละครเป็นระยะ ๆ เพื่อให้คลายความระทึกของหนัง พาร์ทของนักแสดงกับแก็งเด็กขี้แพ้ตอนโตก็ทำได้ดี คาแรกเตอร์คือการถอดแบบแก็งขี้แพ้ในวัยเด็กออกมาชัด ๆ ซึ่งถือว่าเป็นภาคต่อที่ยอดเยี่ยมสมกับการตั้งตารอ และหากจะให้สมบูรณ์แบบแนะนำให้ไปหาภาคแรกมาดูก่อน จะทำให้เข้าใจเนื้อเรื่องและเพิ่มอรรถรสได้เป็นอย่างดี

เหตุการณ์ในพาร์ทนี้ยังเป็นการ “เติมเต็ม” ความทรงจำของตัวละครในวัยเด็กให้คนดูได้เห็นอีกครั้งหนึ่งว่า บรรดาพวกขี้แพ้ ทุกคนต่างก็มีประสบการณ์ในชีวิตของแต่ละคนที่เลวร้ายและเป็น “ปม” ในจิตใจเช่นกัน และแล้วเมื่อบทสรุปของเรื่องราวมาถึง การต่อสู้กับ “มัน” จึงไม่ใช่แค่การปะทะกันแค่เพียงกายภาพ แต่พวกเขายังต้องต่อสู้กับจินตนาการความกลัวของตัวเองอีกด้วย

3 อย่างที่ชอบมากในหนังเรื่องนี้คือ หนึ่งความครบรสที่มีทุกอารมณ์ทั้งสยองก็สุด ขำก็สุด ซึ้งก็สุด ช่วงการต่อสู้กับตัวตลกแต่ละฉากก็มันสะใจ สองคือรสนิยมที่มีคลาสสูงด้วยทุนสร้างที่ไม่สูงมาก ทั้งสวยทั้งแปลกและหลอนได้ตามเป้าประสงค์ ทั้งยังมีความสร้างสรรค์ในการจินตนาการความกลัวออกมาอย่างน่าทึ่งต้องชมทีมศิลป์ด้วย

และสุดท้ายคือการตกผลึกเรื่องราวได้อย่างน่าชื่นชม ในช่วงจบทำให้เราอินและหลงรักหนังได้มากที่เดียว สิ้นสุดการเดินทางแสนยาวไกลของแก๊งขี้แพ้ที่บอกพวกเราว่าเพราะทุกคนอ่อนแอจึงไม่เคยคิดทิ้งกัน นั่นคือคำว่าเพื่อนที่ไม่เคยตายนั่นเอง ใครบางคนอาจชอบภาคแรกมากกว่า แต่ส่วนตัว
โปรแกรมหนัง ค่อนข้างบันเทิงและอินกินใจกับภาคนี้มากกว่า ด้วยการเปรียบเปรยความเป็นผู้ใหญ่ที่ขี้แพ้กับวัยเด็กที่เฉียบคมนี่เอง

บทสรุป

It หนังสยองขวัญทรงสเน่ห์นี้ควรค่าแก่การดู อาจจะไม่ดีเท่าภาคแรก แต่ก็มีความดีอยู่ในหลายๆ จุด โดยเฉพาะงานด้าน Cinematic ของอลังที่ดีงามมาก

Joker (2019)

Joker (2019)

รีวิวหนัง Joker (โจ๊กเกอร์ 2019) ภาพยนตร์สุดมืดหม่น

เรื่องย่อ
อาร์เธอร์ เป็นชายคนหนึ่งที่ต้องเผชิญหน้ากับความโหดร้ายทารุณและสังคมที่เต็มไปด้วยการเหยียดหยาม เขาต้องเผชิญกับความอ้างว้างจนเปลี่ยนเขาจากที่เป็นคนอ่อนแอกลายเป็นคนโหดเหี้ยม เขารับจ้างแต่งชุดตัวตลกรายวัน จนกระทั่งคืนหนึ่งที่เขาพยายามจะแสดงตลกเดี่ยว แต่กลับพบว่าตัวเองต่างหากที่เป็นเรื่องตลก เขาไม่เป็นตัวของตัวเองเวลาที่มีผู้คนอยู่รายล้อม ซึ่งเห็นได้จากเสียงหัวเราะที่ควบคุมไม่ได้และดูไม่เหมาะสม รีวิวหนัง Joker (2019) และ ดูหนังออนไลน์

ยิ่งเขาพยายามควบคุมเท่าไหร่มันก็ยิ่งแสดงออกมามากขึ้น จนทำให้เขาแสดงความเยาะเย้ยและความรุนแรงออกมา อาร์เธอร์ทุ่มเทเวลาไปกับการดูแลแม่ที่ไม่ค่อยแข็งแรง และไขว่คว้าตามหาคนที่เหมาะจะเป็นพ่อซึ่งเขาไม่เคยมีมาก่อน ตั้งแต่นักธุรกิจมหาเศรษฐี โธมัส เวย์น ไปจนถึงพิธีกรรายการทีวี เมอร์เรย์ แฟรงค์ลิน เขาพบว่าตัวเองอยู่ปลายทางระหว่างโลกแห่งความจริงกับความบ้าคลั่ง การตัดสินใจที่ผิดพลาดเพียงครั้งเดียวกลายเป็นชนวนเหตุที่นำไปสู่เหตุการณ์รุนแรงมากมาย

สิ่งหนึ่งที่หนังจากคอมิก ดีซี โดยค่ายวอร์นเนอร์ทำได้อย่างดีเสมอมานับตั้งแต่ไตรภาค Dark Knight ของ คริสโตเฟอร์ โนแลน (Christopher Nolan) คือการเป็นหนังที่ดาร์กเข้ม จริงจังทั้งความสมจริงและดราม่า การสร้างตัวละครที่มีมิติรายละเอียด และวิช่วลที่ตระการตาในยุคของ แซ็ก ชไนเดอร์ (Zack Snyder) ซึ่งด้วยการไล่ตามความสำเร็จและกดดันจากมาร์เวล ทำให้ยังทำยิ่งเป๋หนักจากการทอดทิ้งแนวทางการสร้างตัวละครมิติเชิงลึก ไปเป็นแอ็กชันผาดโผนผสมอารมณ์ขันสไตล์มาร์เวล

ซึ่งงก้ไม่ค่อยขำเพราะสวนทางดราม่าที่ยังพยายามยึดไว้ด้วย เลยกลายเป็นการใส่ดราม่าแบบฉาบฉวยและพลอตที่ยัดเยียดให้เกิดดราม่าเสียแทน ที่ผู้ชมจะสมัครใจอิน แม้ในยุคของ Wonder Woman และ Aquaman จะเริ่มลงตัวมากขึ้น แต่ก็ต้องยอมรับว่ายังห่างไกลจากการเป็นดราม่าเข้มขึงที่เคยเป็นรากฐานของดีซีจริง ๆ

หนังสามารถคว้ารางวัลหนังยอดเยี่ยม สิงโตทองคำ (Golden Lion) จากเทศกาลหนังเมืองเวนิสปีล่าสุด พร้อมการยืนปรบมือยาวนานของผู้ชมหลายนาที ซึ่งคงเป็นเพียงระฆังสัญญาณแรกในการลุยเวทีรางวัลใหญ่ในปีนี้ของหนังที่อาจตามรอยรุ่นพี่อย่าง The Shape of Water (2017) และ Roma (2018) ซึ่งล้วนเคยคว้ารางวัลสิงโตทองคำก่อนไปชนะรางวัลใหญ่ในเวทีออสการ์สำเร็จมาแล้วทั้งคู่ก็เป็นได้

ต้องยอมรับว่าก่อนดูหนังมีความแคลงใจ และคิดไปล่วงหน้าว่าอาจไม่ชอบตัวหนังไปเลยก็ได้ แต่พอเข้าไปดูแล้วนั้นก็ต้องพูดโดยรวมว่า หนังประสบความสำเร็จอย่างมากในการพาเราจมดิ่งลงไปในตัวละครนำอย่าง อาร์เธอร์ เฟล็ก อย่างถอนตัวไม่ขึ้น เราจึงทั้งเข้าใจ ต่อต้าน เห็นใจ ขัดแย้ง อยากโอบกอดเขา และดุด่าเขาไปพร้อมกัน และเหนืออื่นใดมันคือประสบการณ์มหัศจรรย์ที่เราจะได้เห็น วาคีน ฟินิกส์ (Joaquin Phoenix) ลอกคราบทีละชั้นจนกลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดนาม โจ๊กเกอร์ ในที่สุด


รีวิว Joker (2019)

นี่คือผลงานการกำกับของ ทอดด์ ฟิลลิปส์ (Todd Phillips) ผู้กำกับชื่อดังที่สร้างชื่อตัวเองมาจากหนังแนวคอมเมดี้ไตรภาคอย่าง The Hangover นี่จึงเป็นการผันตัวมาทำหนังดราม่าหนักหน่วงจริงจัง โดยเฉพาะเป็นการนำคาแรกเตอร์จากคอมิกดังมาดัดแปลงครั้งแรกของเขาด้วย สิ่งที่ต้องชื่นชมผู้กำกับอย่างมากคือ วิสัยทัศน์ด้านการนำเสนอ ทั้งฉาก ภาพ วิช่วล ที่พยายามให้นึกถึงนิวยอร์กในยุค 1970 อันเป็นปีแห่งความสับสนวุ่นวาย เส็งเคร็ง กักขฬะ

ผู้คนแสวงหาคุณค่าในความดีงาม ในตัวเอง ในตัวผู้อื่น เป็นยุคแห่งการหลงทิศหลงทาง ทั้งสงครามเวียดนาม คดีวอร์เตอร์เกต สงครามเย็น ลัทธิคลั่งศาสนา การนำยุคที่ถูกต้องมาสู่การสร้างฉากหลังให้ตัวละครที่ถูกตัว คือความสำเร็จที่งดงามที่สุด ยังไม่รวมว่างานด้านภาพและวิช่วลต่าง ๆ ทำออกมาได้อย่างงดงามในความล่มสลาย งดงามในความรุนแรง และงดงามดั่งหัวใจเลวทรามใสซื่อของตัวละครนำ

ทอดด์ และ สก็อตต์ ซิลเวอร์ (Scott Silver) มือเขียนบทรางวัลออสการ์จากหนัง The Fighter (2010) เลือกนำจิตวิเคราะห์มาสู่ตัวละคร และเขียนบทจากผิวแล้วเลาะเปลือกตัวละครลงทีละชั้นได้อย่างที่คนไม่ต้องเรียนจิตวิทยามากมายก็เข้าใจหัวจิตหัวใจอันน่าเวทนาของตัวละครได้ มีดที่เลาะคราบของตัวละครออกมีตั้งแต่ สังคมที่ข่มเหงเอารัดเอาเปรียบคนอ่อนแอ ความพิการทางกายและใจ

ความถูกละเลยไม่แยแสจากทั้งคนและจากทั้งรัฐ ความเชื่ออันหลงผิด ความหวังอันจอมปลอม ความรักที่แท้เพียงการหักหลังทรยศ และคุณค่าความภูมิใจในตนเองที่ตกต่ำต้อยแดดิ้นยิ่งกว่าก้นบุหรี่ที่ถูกคายทิ้งแล้วเอาเท้าขยี้ซ้ำ มันคือการตกต่ำลงเรื่อง ๆ ของตัวละครไปพร้อมกันกับการสูญสลายความศรัทธาในความดีงามความถูกต้องใด ๆ ทั้งมวล

หนังสร้างตัวละครโจ๊กเกอร์บนโจทย์สำคัญที่ว่า เขาคือตัวละครที่ไร้ตัวตน ไม่มีอดีตที่ชัดเจนว่าคือใคร มีที่มาที่ไปเช่นใด เป็นสุญญากาศ เป็นความกลวงของสังคม เป็นความบ้าคลั่งไร้ทิศทาง และเป็นฮีโร่ของสังคมป่วย ๆ ที่พิทักษ์ความยุติธรรมอันเจ็บป่วยด้วยวิธีการอันเจ็บป่วยพร้อมกัน เหมือนทอดด์กับซิลเวอร์ถอดโจทย์จากคอมิกทุกเล่มไว้บนปลายทาง ก่อนเรียงร้อยสร้างสรรค์ระหว่างทางเพื่อบรรลุผลตอนท้าย จากเรื่องราวที่แปลกใหม่ไม่คุ้นเคยสู่ตอนจบที่แนบเนื้อเดียวกับตำนานในใจของผู้อ่านทุกคน

ความละเอียดของจิตวิเคราะห์ยังลงลึกไปในประเด็นความโหยหา พ่อ ของตัวละคร ที่พยายามเอาภาพพ่อในจินตนาการที่ไม่เคยได้พบเจอไปซ้อนทับกับไอดอลในชีวิตจริงทั้ง เมอร์เรย์ แฟลงคลินส์ (โรเบิร์ต เดอ นีโร Robert De Niro) พิธีกรเจ้าของรายการทอล์กโชว์ชื่อดังที่อาร์เธอร์ดูมาแต่เด็ก ตลอดจน โทมัส เวย์น มหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยอันจะทำให้ทุกข์ในความยากจนของอาร์เธอร์และแม่ปลิวไปได้เพียงแรงลมผิวปากของโทมัสเท่านั้น

เพียงประเด็นเรื่องพ่อประเด็นเดียวเชื่อว่าก็มีคนวิเคราะห์กันได้ลึกได้ยาวเป็นบทความกันแล้วล่ะ นี่จึงเป็นความเจ๋งที่หนังเรื่องนี้ใส่ใจทุกเม็ดทุกซอกมุมของตัวละคร และการเล่าเรื่องผ่านตัวละครนำทั้งเรื่องจึงประสบความสำเร็จ โดยไม่ต้องพึ่งสูตรบารมีของตัวละครอื่นมาให้แฟนต้องว้าว อย่างเช่นผลงานซูเปอร์ฮีโรครอสโอเวอร์เรื่องอื่น ๆ ต้องใช้เลยก็ตาม

และอีกสิ่งที่คงปฏิเสธได้ยากคือ นี่เป็นผลงานการแสดงที่ต้องจารึกโลกอีกครั้ง ของ วาคีน ฟีนิกส์ (Joaquin Phoenix) นักแสดงผู้เคยเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากหนัง Walk the Line (2006) และ The Master (2012) รวมถึงเคยเข้าชิงสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจาก Gladiator (2000) มาแล้ว

นี่น่าจะเป็นอีกครั้งที่เขาน่าจะเข้าใกล้รางวัลนี้มากที่สุด เพราะโจ๊กเกอร์กลายเป็นบทที่ยากและลำบากในการแสดง เมื่อมันถูกตั้งมาตรฐานมาแล้วจากนักแสดงชั้นยอดในอดีต อย่าง แจ๊ก นิโคลสัน (Jack Nicholson) หรือ มาร์ก ฮามิลล์ (Mark Hamill) โดยเฉพาะที่ว่าการเป็นผลงานทุ่มสุดตัวครั้งสุดท้ายแห่งชีวิตของ ฮีธ เลดเจอร์ (Heath Ledger) ด้วยแล้ว ต้องบอกว่าเป็นงานหินโคตร ขนาดว่านักแสดงที่ดีอย่าง จาเรด เลโต (Jared Leto) ที่เคยคว้าออสการ์มาแล้วก็ยังไม่ประสบความสำเร็จกับบทบาทนี้เท่าใด

ความรู้สึกหลังรับชม

“มันคือหนังที่ทำให้จิตตกและเครียดมากที่สุดเท่าที่เคยดูมา!”
ทั้งเรื่องตัวหนังโฟกัสอยู่กับ อาเธอร์ และประเด็นที่ว่า “การที่คนหนึ่งคนจะกลายเป็นคนบ้าเนี่ย มันต้องผ่านอะไรมาบ้าง” ซึ่งหนังสามารถทำออกมาได้อย่างลึกซึ้งพอที่จะทำให้คนดูคล้อยตามไปได้ง่ายๆในชนิดที่ว่าเหมือนผ่านเหตุการณ์นั้นมากับตัว ทั้งเรื่องสังคมที่ไม่ใยดี สภาพสิ่งแวดล้อมที่สกปรก การแบ่งชนชั้น เรื่องตัวตน หนังนำสิ่งพวกนี้มาหลอมรวมกันและสะสมๆให้คนดูได้เครียดและเข้าถึงตัวละครโจ๊กเกอร์ที่โดนสังคมย่ำยีจนไม่เป็นชิ้นเป็นอันและหนังสามารถนำอารมณ์ที่ให้คนดูสะสมตลอดเรื่องมานั้น ระเบิดอารมณ์ออกมาได้ในตอนท้ายได้ทรงพลังและน่าจดจำที่สุดอย่างที่ไม่เคยมีหนังเรื่องไหนทำได้ถึง
แถมหนังยังสามารถดึงด้านที่มืดที่สุดของจิตใจคนดูอย่างเราออกมาได้อีกด้วย ผมดูไปหัวเราะไปยิ้มไปกับความรุนแรงที่หนังนำเสนออยู่ทั้งที่ตัวผมก็รู้อยู่ว่าสิ่งนี้มันเป็นสิ่งไม่ดี สิ่งที่แย่แต่ทำไมไม่รู้เหมือนกันอยู่ๆผมก็ยิ้มออกมาหัวเราะออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ

ว่าด้วยเรื่องการแสดง วาคิน ฟินิกซ์ ควรได้รับออสการ์สาขานักแสดงนำฝ่ายชายไปอย่างไม่ต้องตัดสินอะไรมาก เพราะเรื่องนี้นักแสดงต้องแสดงความเจ็บปวด ความโดดเดี่ยว ความสิ้นหวัง ออกมาให้ได้ทั้งที่ยังยิ้มอยู่ ทั้งที่ยังหัวเราะเหมือนคนบ้าอยู่ ถ้าเป็นนักแสดงที่ไม่มีความสามารถพอมาเล่นบทนี้ บอกได้เลยว่าตัวละครโจ๊กเกอร์ตัวใหม่นี่อาจทำให้คนดูเราตลกและไม่อินก็เป็นได้ เพราะบทมันมีหลายอย่างหลายสิ่งมากที่เรียกร้องการแสดงขั้นสูงไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแสดงออกมาทางบุคลิกภาพ การแสดงออกทางท่าทาง การแสดงออกทางสายตาหรือการแสดงอีกหลายๆอย่างเลยถ้านักแสดงไม่เก่งพอไม่ทะเยอทะยานพอ ยังไงหนังเรื่องนี้คงไปไม่รอด!

สรุป
เป็นหนังที่ถ่ายทอดความรู้สึกของคนๆหนึ่งที่ว่ากว่าเขาจะกลายเป็นคนแบบนี้ในปัจจุบันเขาต้องเจออะไรมาบ้าง และทำให้คนดูเราคล้อยตามความรู้สึกของตัวละออกมาได้อย่างดีเยี่ยมจนไม่มีที่ติ บวกกับการแสดงของ วาคิน ฟินิกซ์ที่สามารถแสดงออกมาได้อย่างงดงามและทำให้คนเราเข้าถึงตัวละครได้ ทำให้เรื่องนี้คงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผมชอบมากที่สุดในปีนี้เลยก็ว่าได้ ติดตามได้ที่ หนังถ่ายทอดสด