Midway อเมริกาถล่มญี่ปุ่น
รีวิว Midway อเมริกาถล่มญี่ปุ่น
เรื่องย่อ วีรกรรมแห่งหน้าประวัติศาสตร์ ที่งานนี้จะบอกเล่าถึงเรื่องราวของ “ยุทธการมิดเวย์” ซึ่งว่ากันว่าเป็น ยุทธการที่สำคัญที่สุดในแนวรบด้านมหาสมุทรแปซิฟิก ของช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยการปะทะกันแบบ 360 องศาของกองทัพสหรัฐอเมริกาที่กินเวลาเพียง 4 วันแต่กลับเป็นจุดเปลี่ยนเกมรบของสงครามโลกครั้งที่ 2 ไปตลอดกาล รีวิวหนัง Midway อเมริกาถล่มญี่ปุ่น และดูหนังออนไลน์
ด้านเนื้อเรื่อง “MIDWAY อเมริกาถล่มญี่ปุ่น” เป็นหนังที่เล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์สงครามครั้งที่สองในรูปแบบหนังแอ็คชั่นสงคราม เล่าเรื่องแบบหลวมๆ ไม่ซับซ้อนทำให้ผู้ชมที่ไม่มีความรู้ประวัติศาสตร์ก็สามารถเข้าใจได้ง่ายๆ ฉากแอ็คชั่นการรบแบบจัดเต็มทั้งในน้ำและบนท้องฟ้า
ข้อเสีย ของคอหนังที่ชอบเสพรายละเอียดเรื่องราวในประวัติศาสตร์เพราะหนังแทบไม่ได้เล่ารายละเอียดและความสำคัญของยุทธนาวีเลย ทำให้ฉากการรบแต่ละเหตุการณ์ออกมาซ้ำๆ หนังถ่ายทอดเรื่องราวทั้งสองฝั่งออกมาได้ดี แต่ตัวหนังมีตัวละครมากจนเกินไปทำให้จำยากจนไม่เป็นที่จดจำ
กลับมาอีกครั้งของผู้กำกับจอมทำลายล้างอีกคนหนึ่งของวงการหนังอย่าง โรแลนด์ เอมเมอริช (Roland Emmerich) ผู้ทำผู้ชมสะท้านทรวงมาแล้วกับไซไฟเอฟเฟกต์วินาศสันตะโรใน Stargate (1994) Independence Day (1996) The Day After Tomorrow (2004)
นี่เป็นการคืนสู่หนังสงครามอิงประวัติศาสตร์เต็มรูปครั้งแรกนับจาก The Patriot (2000) ของเขาอีกด้วย น่าสนใจว่าเขาจะเอาความถนัดในด้านเอฟเฟกต์ผสมเข้ากับแนวทางดราม่าสงครามโลกได้ดีขนาดไหน ซึ่งแน่นอนว่าหนังเรื่องนี้คงไม่พ้นต้องถูกนำมาเทียบกับ Pearl Harbor (2001)
ผู้กำกับสายระเบิดอีกคนอย่าง ไมเคิล เบย์ (Michael Bay) อย่างเลี่ยงไม่ได้ ทั้งยุทธภูมิที่ถูกนำมาเล่าก็เป็นเหตุการณ์จริงในหน้าประวัติศาสตร์ที่ห่างกันเพียง 6 เดือนเท่านั้น (ยุทธการเพิร์ลฮาร์เบอร์ เกิดวันที่ 7 ธันวาคม 1941 ส่วนยุทธการมิดเวย์เกิด 4–7 มิถุนายน 1942) แต่จุดต่างที่เห็นได้ชัดคืองานของเอมเมอริชมีความไม่เวิ่นเว้อและน้ำน้อยมาก เนื้อเน้น ๆ เกือบ 2 ชั่วโมง ทำให้เป็นหนังที่ดูสนุกสำหรับสายสงคราม สายแอ็กชัน ในขณะที่สายดราม่าก็มีมาแบบเป็นน้ำจิ้มไม่แห้งแล้งเกินไป
หนังได้มือเขียนบทที่ผลงานไม่มากนักอย่าง เวส ทูก (Wes Tooke) ที่มีผลงานแค่เขียนบทซีรีส์เอเลี่ยนบุกโลกอย่าง Colony (2016–2018) เท่านั้นเอง แต่เขาก็คุมโทนหนังที่ตัวละครเยอะมากอย่างหนังสงครามได้อย่างดี มีการกระจายบทได้เหมาะสมทั้งฝั่งอเมริกาที่เราได้เห็นภาพของหน่วยปฏิบัติการเรือรบ เครื่องบินขับไล่ เครื่องบินทิ้งระเบิด เรือดำน้ำ ตลอดจนฝ่ายเสนาธิการวางแผน ผู้บัญชาการกองทัพ หน่วยข่าวกรอง และอื่น ๆ อย่างชัดเจน ช่วยให้เราจดจำตัวละครได้ง่าย
ทำให้เราเข้าใจภาพรวมของกลยุทธ์ทางสงครามที่ดำเนินไปตามลำดับเวลานับตั้งแต่การจู่โจมที่เพิร์ลฮาร์เบอร์ เรื่อยไปสมรภูมิเกาะมาร์แชล ยาวถึงยุทธนาวีมิดเวย์อันเป็นไคลแมกซ์ของเรื่องได้อย่างเข้าใจมาก ๆ เคลียร์คลีนพอสมควร แก้ปัญหาหนังสงครามเชิงกลยุทธ์ ตัวละครแยะที่ชวนสับสนงงงวยในเรื่องอื่น ๆ ได้ดี
เชื่อว่าน่าจะถูกใจสายประวัติศาสตร์เพราะนอกจากลำดับการเล่าที่ดี เก็บรายละเอียดสำคัญได้เยอะแล้ว ยังรวมเอาตัวละครสำคัญของทั้งฝั่งอเมริกาและญี่ปุ่นมาเล่าให้เห็นมิติต่าง ๆ ได้อย่างครบถ้วน เราจะเข้าใจแง่มุมทางฝั่งญี่ปุ่นในแบบเทาค่อนดำ แต่ก็ไม่ดำสนิท ในขณะที่ฝั่งอเมริกาก็โปรอเมริกันฮีโรมาได้ปลุกเร้าหัวใจ แต่เพราะฝั่งตรงข้ามมันเทาเราก็เลยไม่รู้สึกว่าหนังเอียงเข้าอเมริกันมากเกินไปนั่นเอง ถือว่าเป็นความสำเร็จในการเล่าเรื่องขนาดยาวของ เวส ทูก จริง ๆ
หนังได้ดาราดังมาร่วมแสดงมากมาย แต่ขอพูดถึงตัวสำคัญหลัก ๆ เลยคือ เอ็ด สไครน์ (Ed Skrein) ที่น่าจะจำได้จากบทตัวร้ายในหนัง Deadpool (2016) มาคราาวนี้ได้ขึ้นเป็นตัวเอกที่แทนสายตาผู้ชมในฐานะ ริชาร์ด ดิ๊ก เบสต์ (Richard ‘Dick’ Best) นักบินบ้าบิ่นไม่กลัวตายที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์
ซึ่งก็มีเสน่ห์พอให้เราสนใจใยดีตัวละครนี้ได้พอประมาณ เพราะท่ามกลางตัวละครมากมายที่แชร์บทและเรื่องราวสงครามที่รายละเอียดยุ่บยั่บ ตัวละครยังอุตส่าห์มีการพัฒนาด้านบุคลิกจิตใจได้อีก จากคนไม่สนใจความตายก็กลับมีความรับผิดชอบขึ้นเมื่อกลายเป็นรุ่นพี่ที่ต้องนำลูกน้องไปรบ
ฝั่งญี่ปุ่นเองก็ได้ดาราดังที่น่าตื่นเต้นอย่าง โตโยกาวะ เอทสึชิ (Toyokawa Etsushi) จากหนัง Love Letter (1995) ของ อิวาอิ ชุนจิ (Iwai Shunji) ที่มาโชว์พลังการแสดงแบบเล่นน้อยได้มากในบท นายพลยามาโมโตะ ที่แทนภาพผู้นำสงครามญี่ปุ่นได้อย่างน่าสนใจน่ายำเกรงดูเทาไม่ดำเข้ม ซึ่งก็ทำให้สงครามนี้ไม่โปรฝั่งใดมากเกินควร
Midway หรือ ยุทธการมิดเวย์ เป็นยุทธการที่สำคัญที่สุดในแนวรบด้านมหาสมุทรแปซิฟิก ของช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นการรบระหว่างกองทัพสหรัฐอเมริกา และกองทัพญี่ปุ่นที่กินเวลาเพียง 4 วัน แต่กลับเป็นจุดเปลี่ยนเกมรบที่สำคัญ เพราะการชิงชัยเหนือพื้นที่ Midway Atoll ซึ่งเป็นที่ตั้งฐานทัพของอเมริกากลางมหาสมุทร จะกำหนดผู้ได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ในการรบทั้งแปซิฟิกทันที
ถ้าญี่ปุ่นชิงพื้นที่นี้ได้ก็จะเป็นฐานในการบุกจู่โจมเรือรบที่เหลืออยู่ของอเมริกาได้ และทำให้แนวรุกโต้กลับของอเมริกาเป็นไปได้ยาก ถ้าจะข้ามมาโจมตีเอเชีย หากใครเคยชม Pearl Harbor (2001) กำกับโดยไมเคิล เบย์ (Michael Bay) มาก่อน ก็จะรู้สึกคุ้นๆ บ้าง เพราะเหตุการณ์นี้ห่างกันเพียง 6 เดือนเท่านั้น ซึ่ง Pearl Harbor เกิดวันที่ 7 ธันวาคม 1941 และ Midway เกิดระหว่างวันที่ 4–7 มิถุนายน 1942
เรื่องราวเล่าถึงสงครามในปี 1942 ญี่ปุ่นตัดสินใจเปิดฉากโจมตีสหรัฐอเมริกาทางฝั่งอ่าว Pearl ทำให้สหรัฐต้องใช้ยุทธวิธีสวนกลับ จากวีรกรรมแห่งหน้าประวัติศาสตร์ ที่งานนี้จะบอกเล่าถึงเรื่องราวของ “ยุทธการมิดเวย์” ซึ่งว่ากันว่าเป็น ยุทธการที่สำคัญที่สุดในแนวรบด้านมหาสมุทรแปซิฟิก ของช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยการปะทะกันแบบ 360 องศาของกองทัพสหรัฐอเมริกาที่กินเวลาเพียง 4 วันแต่กลับเป็นจุดเปลี่ยนเกมรบของสงครามโลกครั้งที่ 2 ไปตลอดกาล ติดตามได้ที่ โปรแกรมหนัง
การเล่าเรื่องของหนังไม่ได้มีอะไรซับซ้อนไปกว่าหนังยุทธการทางสงครามเรื่องอื่นเลย ที่จะมีทีมฮีโร่ของชาติอยู่หนึ่งทีม ออกไปทำภารกิจเสี่ยงตาย มีการวางแผนการรบ มีดราม่าคนตาย มีการปลุกเร้าคนที่เหลืออยู่ให้ฮึกเหิม และมีฮีโร่ตัวหลัก แต่หนังกลับมีความเข้มข้นในทุกๆ ฉากที่หนังบอกเล่าออกมาซึ่งมันสามารถตรึงคนดูได้อยู่หมัด โดยที่คนดูจะลุ้นตามเนื้อเรื่องได้ตลอดเวลา
จุดแข็งของหนัง ไม่ต้องบอกเลยว่า มันคือฉากแอ็คชั่นในสนามรบกลางอากาศและกลางทะเล ซึ่งในเรื่องนี้จะเน้นการรบทางอากาศซะเป็นส่วนใหญ่ หนังอาจจะไม่ได้ใช้ภาพระเบิดตูมตามยิ่งใหญ่อะไรมากมาย แต่ฉากเครื่องบินรบพุ่งไล่ล่ากันกลางอากาศ มันดูแล้วทำให้ลุ้นตามในทุกจังหวะของหนัง หลายๆ จังหวะผมได้ยินเสียงคนดูฮือออเบาๆ ในฉากสู้รบ และหลายๆ จังหวะผมก็ได้ยินเสียงคนเฮเบาๆ ตอนที่ฝ่ายศัตรูถูกยิงตก ซึ่งมันเป็นอารมณ์ของคนที่ดูหนังแล้วอินจนอดใส่อารมณ์ร่วมไม่ได้นั่นเอง
ตัวละครในเรื่องค่อนข้างเยอะพอสมควร แต่ผมว่าหนังสามารถกระจายความสำคัญไปให้ตัวละครแต่ละตัวค่อนข้างดี ไม่นับ Ed Skrein ในบท Dick Best ที่ถือว่าเด่นสุด และเป็นตัวเอกที่สุดของหนัง แต่ก็ไม่ได้เป็นตัวเดินเรื่อง เพราะผมมองว่าหนังมันเดินเรื่องได้ด้วยองค์ประกอบรวมๆ อยู่แล้ว ตัวละครตัวอื่นเป็นส่วนที่คอยใส่ข้อมูลเข้ามาจนมันครบองค์ประกอบแล้วให้หนังขับเคลื่อนไปได้พร้อมๆ กัน ซึ่งถ้าขาดตัวใดตัวหนึ่งไป อาจจะขาดส่วนประกอบสำคัญที่ทำให้หนังสมบูรณ์ไปก็เป็นได้
หนังเรื่องนี้ค่อนข้างยาวเลยทีเดียว บางฉากบางตอนอาจจะทำให้รู้สึกว่าหนังอืดไปนิด แต่เชื่อว่าแค่นิดเดียวเท่านั้น เพราะอย่างที่บอก หนังเล่าเรื่องได้ชวนติดตามตลอดทั้งเรื่อง มันก็จะมีบางช่วงที่หนังใส่เข้ามาเพื่อเบรกความเครียดจากฉากสงครามแค่นั้น ยกตัวอย่างเช่น ฉาก ดราม่า ฉากบอกรักกัน หรือฉากเพื่อนคุยกัน มันเหมือนเอามาเพื่อเบรกอารมณ์นิดนึง ก่อนที่จะจัดใหญ่ต่อเนื่องกันในตอนท้าย
ต้องบอกว่าถึงแม้หนังจะเป็นหนังสงครามเนื้อหาอ้างอิงจากเรื่องจริงที่มีการเอามาทำแแล้วหลายครั้ง แต่ด้วยองค์ประกอบหลายๆ อย่าง มันขับพลังของหนังออกมาได้ดีมากๆ กลายเป็นหนังสงครามที่ดูสนุกอีกเรื่องที่ขอแนะนำให้ไปดูกัน อาจจะไม่ได้แหวกแนว แต่รับรองว่าดูฉากรบกลางอากาศโจมตีเรือกลางทะเลแล้ว สนุกแน่นอน
สรุป
จุดเด่น ประการสำคัญของ Midway น่าจะอยู่ที่บรรดานักแสดงนำของเรื่อง ที่อาจจะเรียกได้ว่ามันเป็นหนังรวมดาราชายหน้าตาหล่อเหลาตั้งแต่รุ่นพ่อยันรุ่นลูกกันเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น เดนนิส เควด ที่เป็นนายทหารรุ่นเก๋า หรือรุ่นกลางลงมาได้แก่ แพทริค วิลสัน ลุค อีแวนส์ เอ็ด สไครน์ และแอรอน เอ็คฮาร์ท รุ่นกำลังโตหล่อน่ากิน อาทิ คีนน์ จอห์นสัน นิค โจนาส และดาร์เรน คริส เป็นต้น ซึ่งแน่นอนว่าบรรดาสาวๆที่ตีตั๋วเข้าไปดูหนังเรื่องนี้ก็คงจะฟินกับความหล่อของนักแสดง ส่วนหนุ่มๆก็จะสนุกไปกับความตื่นเต้นของฉากต่อสู้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น