วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

It Chapter Two

It Chapter Two

รีวิว It Chapter Two อิท โผล่จากนรก 2

นี่คือผลงานหนังภาคต่อจาก IT (2017) จากฝีมือผู้กำกับคนเดิมอย่าง แอนดี้ มุสชีเอตติ (Andy Muschietti) ที่ทุกคนรอคอย เพราะภาคแรกก็จัดว่าเป็นหนังขวัญใจมหาชน สามารถกวาดรายได้ทั่วโลกไปสูงถึง 700 ล้านเหรียญสหรัฐ แถมคำชมว่อนไปหมด ด้วยการดัดแปลงนิยายเรื่องโบว์แดงของ สตีเฟน คิง (Stephen King) ราชาสยองขวัญแห่งยุคออกมาได้อย่างมีคลาส มีรสนิยม แถมยังทำได้บันเทิงเหมาะกับผู้ชมหลากหลายแนวด้วย รีวิว It Chapter Two อิท โผล่จากนรก 2 และ ดูหนังฟรี

เรื่องย่อตัวตลกปีศาจเพนนี่ไวซ์จะกลับมาเยือนเมืองเดอร์รี่ รัฐเมนในทุก ๆ 27 ปี “It: Chapter Two — อิท โผล่จากนรก 2” จึงพาเหล่าตัวละครที่แยกย้ายจากกันไปนานกลับมารวมตัวกันอีกครั้งในวัยผู้ใหญ่ตามคำสัญญาที่ให้ไว้ในวัยเด็ก ซึ่งนับเป็นเวลากว่า 3 ทศวรรษหลังจากเหตุการณ์สยองเกิดขึ้นกับพวกเขาตอนเด็กในภาพยนตร์ภาคแรก และนี่อาจถึงเวลาที่ต้องสะสางและจบ “มัน” เสียที



ในภาคจบนี้ดำเนินเรื่องแบบไทม์สกิปมาอีก 27 ปีถัดมา โดยใครที่ไม่ได้ดูภาคแรกมาก็ยังพอรู้เรื่องนะเพราะหนังก็อิงจากปัจจุบันที่เหล่าตัวละครโตมาเป็นผู้ใหญ่แล้วมากกว่า และแม้มีการย้อนอดีตไปช่วงวัยเด็กก็เป็นช่วงเวลาหลังจากเหตุการณ์ในหนังภาคแรกด้วย ก็เรียกว่าเป็นมิตรกับผู้ชมหน้าใหม่ที่บังเอิญถูกชวนมาดู

และยังทำให้ผู้ชมหน้าเก่าจากภาคแรกรู้สึกเรื่องเดินไปข้างหน้าไม่ซ้ำเหตุการณ์จากภาคเดิมให้เบื่อด้วย ทั้งยังใช้เหตุการณ์ปริศนาที่ทุกตัวละครต่างถูกทำให้ลืมเลือนไปแล้วในช่วงซัมเมอร์หลังจากชนะอิทมาได้ มาเป็นกิมมิกสำคัญในการหาหนทางชนะอิทอีกครั้ง นับเป็นความฉลาดในการเขียนบทที่ดี และยังดัดแปลงให้เข้ากับวิธีการเล่าเรื่องในหนังสือและฉบับมินิซีรีส์ที่เคยทำในลักษณะตัดสลับเรื่องในอดีตกับปัจจุบันได้อย่างดีด้วย

ความคารวะอย่างถูกที่ถูกทาง แบบไม่ตรงจนน่าเบื่อแต่ให้อารมณ์การดัดแปลงที่ไม่ดูถูกคนดูนี้ ก็ยังรวมถึงการได้รับเชิญมาร่วมเล่นโดยเจ้าของนิยายอย่าง สตีเฟน คิง ในฉากที่ถือว่าสมน้ำสมเนื้อไม่ได้แค่เดินผ่าน ซึ่งอาจมองเป็นการรับประกันหนังจากตัวต้นฉบับเองด้วยว่ามือถึงพึ่งได้ (ใครไปรอดู เตรียมตั้งใจดูฉากร้านขายของเก่าให้ดีครับ)

ในภาคนี้เมื่อตัวละครหลักเติบโตขึ้น จึงได้คัดเลือกนักแสดงมากฝีมือมากมายมารับบทด้วย โดยที่เด่นนำมาก็คงเป็นบท เบฟ สาวหนึ่งเดียวของกลุ่มที่ได้ผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์ เจสสิก้า แชสเทน (Jessica Chastain) มารับบท ซึ่งเธอก็สามารถถ่ายทอดความเป็นเด็กสาวช่างฝันในรักแท้ที่คำกลอนในวัยเด็กยังติดตรึงใจมา

หากแต่ด้วยความที่ผ่านช่วงเวลาอันทรมานจากโลกความจริงทั้งเรื่องของพ่อและคนรัก ดวงตาอันอ่อนล้าและกรีดร้องยังกู่ก้องในแววตาเช่นกัน นับเป็นบทที่ต้องใช้ฝีมือของแชสเทนจริง ๆ ด้านตัวนำเด่นของกลุ่มอย่าง บิล ที่กลายมาเป็นนักเขียนนิยายชื่อดังที่แฟน ๆ ทุกคนเกลียดตอนจบของหนังสือแทบทุกเรื่องของเขา ก็ได้ เจมส์ แม็คอะวอย (James McAvoy) มารับบทซึ่งก็ไว้ใจฝีมือที่ต้องแสดงเป็นคนติดอ่างมีทั้งความกล้าและความไม่สมบูรณ์ในตัวได้อย่างน่าสนใจ

ด้านดาวเด่นของงานแบบเกินคาดหมายขอยกให้ บิล เฮเดอร์ (Bill Hader) ที่มารับบท ริชชี่ ปากมอมที่โตมากลายเป็นดาวตลกอาชีพที่คอยพูดมุกสไตล์ตลกร้ายใส่เพื่อน ๆ และคนดู จนหนังปลอดล็อกสถานการณ์ชวนอึดอัดให้ผ่อนคลายได้สนุกสนานมาก ๆ ตลอดเรื่อง นักแสดงอื่น ๆ นอกจากนั้นก็ถือว่าฝีมือได้มาตรฐานไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันเท่าไร

และอาจต้องพูดถึงการแสดงของ บิลล์ สการ์สการ์ด (Bill Skarsgård) ในบท เพนนีไวซ์ ปีศาจตัวตลกที่บอกได้เพียงว่าเด็ดดวงสยองเกล้าเช่นเดิม ยิ่งได้ซีจีมาช่วยเพิ่มความบิดเบี้ยวของการแสดงก็ยิ่งหลอนมากขึ้น ฉากที่ทำได้อย่างน่าจดจำก็เช่นฉากนับถอยหลังจนน้ำลายไหล ที่ทำเอาขนลุกเกรียวทีเดียว
It Chapter 2 เปิดเรื่องราวมาที่เทศกาลคาร์นิวัลในเมืองเดอร์รี หลังจากที่คู่รักชายรักชายกำลังมีความสุขในงานแห่งนี้ แต่กลุ่มวัยรุ่นอันธพาลได้ตัดสินใจหาเรื่องทั้งสองคน ลามเลยไปถึงการซ้อมทั้งคู่จนอาการสาหัส เท่านั้นยังไม่พอเมื่อกลุ่มอันธพาลจับ 1 ในผู้เคราะห์ร้ายโยนลงสะพานไป เคราะห์ซ้ำกรรมซัดที่ริมตลิ่ง “มัน” ในคราบของตัวตลกเพนนีไวส์ได้ยืนรอจะกัดกินเหยื่ออย่างเลือดเย็น จากเหตุการณ์นี้ได้สะท้อนให้คนดูเห็นว่า

สภาพความเป็นอยู่ของผู้คนในเมืองเดอร์รีนั้น เป็นเมืองที่ผู้คนเองก็มีความป่าเถื่อนชั่วร้ายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว มิหนำซ้ำการปรากฏตัวของ “มัน” ก็ไม่ได้ปลุกเร้าให้ผู้คนมีความกระตือรือร้นในที่จะตระหนักว่ามีภัยคุกคามเข้ามาในเมืองของพวกเขาสักเท่าไหร่ เพราะว่าอาชญากรรมในเมืองนี้อาจจะเป็นเรื่องปกติไปแล้วในสายตาของผู้คนทั่วไป

สำหรับแก็งค์เด็กขี้แพ้ แม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน แต่ “ความกลัว” ก็มิเคยเลือนหาย กลายเป็นปมฝังรากลึกในใจ จนทำให้ Loser กลายเป็นอีกขั้นของ Loser ซึ่งตัวหนังจะค่อยๆพาเราคลายปมตรงนี้ พร้อม Flashback เรื่องราวในภาคแรกให้ซิงค์กับภาคสอง เพื่อให้เราประติดประต่อเรื่องราวได้อย่างพอสังเขป
ช่วงนี้อาจมีเบื่อบ้างเพราะมีซ้ำมุขเดิม จับทางได้ง่ายไปหน่อย แต่ประทับใจสุดคือการแคสต์นักแสดงจากเด็กเล็กสู่เด็กโตที่ค่อนข้างเนียนทั้งเค้าโครงหน้าและการแสดง โดยเฉพาะ “คนแปลงร่าง” อย่างเจ้าเด็กอ้วนเบน ที่เปลี่ยนตัวเองให้ผอมเพรียวหล่อขึ้นแบบหน้ามือเป็นหลังมือ

เหตุการณ์ในหนังพาร์ท 2 ก็ไม่ต่างกัน เวลา 27 ปีที่ผ่านพ้นไป เด็กๆกลุ่มขี้แพ้ได้เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน มีชีวิตที่ดีขึ้นหลังจากที่พวกเขาเดินจากบ้านเกิดไป ความห่างไกลบ้านทำให้พวกเขา “หลงลืม” อดีตไปจนเกือบหมด จนกระทั่งวันหนึ่ง ไมค์ (ไอเซห์ มุสตาฟา) ได้ติดต่อไปหาเพื่อนๆทุกคนว่า “มัน” ได้ตื่นจากการจำศีลและออกมาคุกคามเด็กๆในเมืองเดอร์รีอีกครั้ง
แม้ว่าตอนแรกการเดินทางกลับบ้านเกิดของเหล่ากลุ่มขี้แพ้ จะเป็นเหมือนการ “คืนสู่เหย้า” เพื่อพบปะเพื่อนๆ แต่ความเป็นจริงแล้ว เมื่อความกลัวเริ่มกลับมาเกาะกุมจิตใจของพวกเขา อดีตในวัยเด็กก็ตามกลับมาหลอกหลอนอีกครั้ง ซึ่งช่วงกลางเรื่องของหนังได้เผยให้เห็นการต่อสู้ระหว่างปมในจิตใจของตัวละครกับความกลัวที่ซุกซ่อนอยู่ในก้นบึ้งของจิตใจของแต่ละคนออกมาให้คนดูได้เห็น

ซึ่งความรู้สึกหลังการได้พบกับ “มัน” อีกครั้ง บอกได้เลยว่านี่คือหนังภาคต่อที่สมบูรณ์แบบอีกเรื่องหนึ่ง การเล่าเรื่องโดย Flash Back ส่งความทรงจำกลับไปให้ผู้ชมได้เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นในภาคแรก ทำให้การเชื่อมโยงเหตุการณ์ต่าง ๆ ทำได้ง่าย ฉากลุ้นระทึกกับการเอาตัวรอดจากเจ้าตัวตลก เพนนี่ไวซ์ ที่มีตลอดแทบทั้งเรื่อง

แถมยังสอดแทรกมุกตลกของตัวละครเป็นระยะ ๆ เพื่อให้คลายความระทึกของหนัง พาร์ทของนักแสดงกับแก็งเด็กขี้แพ้ตอนโตก็ทำได้ดี คาแรกเตอร์คือการถอดแบบแก็งขี้แพ้ในวัยเด็กออกมาชัด ๆ ซึ่งถือว่าเป็นภาคต่อที่ยอดเยี่ยมสมกับการตั้งตารอ และหากจะให้สมบูรณ์แบบแนะนำให้ไปหาภาคแรกมาดูก่อน จะทำให้เข้าใจเนื้อเรื่องและเพิ่มอรรถรสได้เป็นอย่างดี

เหตุการณ์ในพาร์ทนี้ยังเป็นการ “เติมเต็ม” ความทรงจำของตัวละครในวัยเด็กให้คนดูได้เห็นอีกครั้งหนึ่งว่า บรรดาพวกขี้แพ้ ทุกคนต่างก็มีประสบการณ์ในชีวิตของแต่ละคนที่เลวร้ายและเป็น “ปม” ในจิตใจเช่นกัน และแล้วเมื่อบทสรุปของเรื่องราวมาถึง การต่อสู้กับ “มัน” จึงไม่ใช่แค่การปะทะกันแค่เพียงกายภาพ แต่พวกเขายังต้องต่อสู้กับจินตนาการความกลัวของตัวเองอีกด้วย

3 อย่างที่ชอบมากในหนังเรื่องนี้คือ หนึ่งความครบรสที่มีทุกอารมณ์ทั้งสยองก็สุด ขำก็สุด ซึ้งก็สุด ช่วงการต่อสู้กับตัวตลกแต่ละฉากก็มันสะใจ สองคือรสนิยมที่มีคลาสสูงด้วยทุนสร้างที่ไม่สูงมาก ทั้งสวยทั้งแปลกและหลอนได้ตามเป้าประสงค์ ทั้งยังมีความสร้างสรรค์ในการจินตนาการความกลัวออกมาอย่างน่าทึ่งต้องชมทีมศิลป์ด้วย

และสุดท้ายคือการตกผลึกเรื่องราวได้อย่างน่าชื่นชม ในช่วงจบทำให้เราอินและหลงรักหนังได้มากที่เดียว สิ้นสุดการเดินทางแสนยาวไกลของแก๊งขี้แพ้ที่บอกพวกเราว่าเพราะทุกคนอ่อนแอจึงไม่เคยคิดทิ้งกัน นั่นคือคำว่าเพื่อนที่ไม่เคยตายนั่นเอง ใครบางคนอาจชอบภาคแรกมากกว่า แต่ส่วนตัว
โปรแกรมหนัง ค่อนข้างบันเทิงและอินกินใจกับภาคนี้มากกว่า ด้วยการเปรียบเปรยความเป็นผู้ใหญ่ที่ขี้แพ้กับวัยเด็กที่เฉียบคมนี่เอง

บทสรุป

It หนังสยองขวัญทรงสเน่ห์นี้ควรค่าแก่การดู อาจจะไม่ดีเท่าภาคแรก แต่ก็มีความดีอยู่ในหลายๆ จุด โดยเฉพาะงานด้าน Cinematic ของอลังที่ดีงามมาก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น