วันศุกร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2563

The Quake - มหาวิบัติวันถล่มโลก

ดูหนังสด

รีวิว The Quake - มหาวิบัติวันถล่มโลก

ภาคต่อของ The Wave หนังสัญชาตินอร์เวย์ ที่เข้าฉายบ้านเราไปเมื่อปี 2559 ในชื่อ “มหาวิบัติ สึนามิถล่มโลก” เป็นหนังเชิดหน้าชูตาของประเทศนอร์เวย์ ที่แสดงศักยภาพให้โลกเห็นว่าอุตสาหกรรมหนังบ้านเค้า รุดหน้าไปไกล โดยเฉพาะงานภาพซีจีที่พูดได้เต็มปากเต็มคำว่าเทียบเท่าฮอลลีวู้ดเลยก็ว่าได้ ในงบประมาณที่ใช้ไปแค่ 6 ล้านเหรียญเท่านั้น และ The Wave ยังได้ทำหน้าที่เป็นหนังตัวแทนของนอร์เวย์ ไปเข้าชิงออสการ์สาขาภาพยนตร์ต่างประเทศอีกด้วย ด้วยความสำเร็จของ The Wave เลยส่งให้ผู้กำกับ รอร์ ยูทวก ได้มีอนาคตในฮอลลีวู้ด แล้วได้รับมอบหมายงานสำคัญด้วยการเป็นผู้รับผิดชอบการรีบู๊ด Tomb Raider เวอร์ชั่นอลิเซีย วิกันเดอร์ ก่อนที่หนังจะคว่ำทั้งรายได้และเสียงตอบรับ จนเป็นการปิดประตูแฟรนไชส์ไปเสียตั้งแต่ภาคแรก เช่นเดียวกับอนาคตของ รอร์ ยูทวก ที่ไม่มีงานต่อนับจาก Tomb Raider อีกแลย รีวิว The Quake

เรื่องย่อ

ผ่านมา 4 ปี ทีมงานผู้สร้าง The Wave ตัดสินใจเข็นภาคต่อในชื่อ The Quake แต่รอ รอร์ ยูทวก ผู้กำกับเดิมที่ติดงานกำกับ Tomb Raider อยู่ในขณะนั้น ก็เลยเปลี่ยนผู้กำกับใหม่เป็น จอห์น แอนเดรีย แอนเดอร์สัน ผู้กำกับภาพมือเก๋าของนอร์เวย์ ที่เพิ่งชิมลางงานกำกับมาไม่กี่เรื่อง หนังดำเนินเรื่องต่อจากเหตุการณ์ในภาคแรก 3 ปีให้หลัง คริสเตียน พระเอกของเรื่องได้แยกทางกับภรรยาและลูก ๆ เขายังคงปักหลักอยู่ในไกแรงเกอร์ สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติชื่อดังของนอร์เวย์

และเป็นสถานที่เกิดเหตุสึนามิถล่มในภาคแรก คริสเตียนเริ่มรู้สึกถึงเหตุไม่ชอบมาพากลเมื่อเพื่อนร่วมงานของเขาเสียชีวิตขณะเข้าไปสำรวจอะไรบางอย่างในอุโมงค์ คริสเตียนตัดสินใจเดินทางไปออสโลเมืองหลวงของนอร์เวย์ และสานต่องานค้นคว้าของเพื่อน จนพบว่าออสโลกำลังจะเผชิญแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ เขารีบไปหาหัวหน้าให้เตรียมรับมือกับภัยพิบัติครั้งใหญ่ แต่หัวหน้ากลับไม่เชื่อ คริสเตียนจึงตัดสินใจตามหาลูกและภรรยาเพื่อเอาชีวิตรอดจากภัยแผ่นดินไหวครั้งนี้

หนังยาวเพียง 106 นาที แต่หนังอ้อยอิ่งอยู่เกือบครึ่งเรื่อง กับการปูความตัวละครหลัก ให้เราเห็นสภาพจิตของคริสเตียน ที่อยู่ในสภาพอมทุกข์หลังแยกทางกับครอบครัว และยังไม่ลืมความน่ากลัวของมหาภัยสึนามิเมื่อ 3 ปีก่อน หลายคนที่ซื้อตั๋วเพื่อตั้งใจมาดูฉากภัยพิบัติคงจะอึดอัดหงุดหงิดพอประมาณ หรืออาจจะหลับไปก่อน เพราะกว่าที่จะเห็นความอลหม่านก็ผ่านไปเกือบชั่วโมง ฉากแผ่นดินไหวโจมตีกรุงออสโลมีให้เห็นประมาณ 10 วินาที เป็นภาพที่เราเห็นไปแล้วในตัวอย่างหนัง ทำได้เนียนสมจริงแต่ก็มีแค่นั้นแหละ มีเพิ่มเติมจากนั้นก็เป็นภาพตึกระฟ้าถล่มมาทับกัน จากเดิมที่เข้าใจว่าหนังจะเล่าเรื่องราวหายนะแผ่นดินไหวในมุมกว้าง แต่เอาเข้าจริงหนังกลับลดขอบเขตของเรื่องราวอยู่แค่การเอาชีวิตรอดในตึกระฟ้า

แม้ว่าฉากระทึกจะมาช้า แต่พอดูหนังสดมาก็จัดเต็มแบบไม่ให้พักว่ากันยาว ๆ ไป กับการเล่าวีรกรรมของคริสเตียน และมาริต ลูกสาวของเพื่อนคริสเตียนที่ตายไป ต้องมาผจญภัยร่วมกันบนตึกระฟ้าที่กำลังจะถล่มหลังเผชิญเหตุแผ่นดินไหว คริสเตียนต้องช่วยเมียและลูกสาวออกจากตึกให้ได้ก่อนตึกถล่ม หนังใส่ฉากระทึกยาว ๆ 2 ฉากต่อกัน ฉากช่วยเมียในปล่องลิฟต์ และฉากช่วยลูกสาวจากยอดตึกที่เอียง 45 องศา ทั้ง 2 ฉากบอกได้เลย ลุ้นระทึกกันตีนจิกตลอดทุกนาทีที่เดินหน้าไป

ทีมงานคิดสถานการณ์ต่าง ๆ นานาออกมาแกล้งครอบครัวนี้ได้อย่างน่าสงสาร ดูหนังผ่านเน็ตหยิบข้าวของรอบข้างมาใช้ประโยชน์ได้หมด ในลิฟต์นี่ก็ต้องลุ้นกับตัวลิฟต์ที่จะร่วงลงมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ สายสลิงที่แกว่งไปมา ลูกตุ้มน้ำหนักถ่วงลิฟต์ที่หล่นฟิ่วมาอย่างน่ากลัว ฉากยอดตึกเอียงนี่ก็ต้องลุ้นกับการเอาชีวิตรอดกับชีวิตที่แขวนไว้บนซากปรักหักพังที่ค่อย ๆ หักโค่นไปทุกนาที ต้องหาที่ยึดเกาะไม่ให้ตัวเองร่วงไป แล้วก็ยังต้องหลบบรรดาโต๊ะเก้าอี้ที่ไหลเทไปตามแรงดึงดูด หนังก๊อปฉากตัวละครเคราะห์ร้าย ร่วงไปบนแผ่นกระจก ที่ค่อย ๆ แตกเปรี๊ยะ ๆ ฉากดังจาก Jurassic Park : The Lost World แม้ถูกลอกเลียนก็ยังชวนลุ้นอยู่ดี

The Quake คือเหตุการณ์เล่าต่อจากภาคแรกหลายปีต่อมา ซึ่งในจุดนี้ถ้าใครดูภาคแรกมาแล้วก็จะช่วยให้เข้าใจภาคสองตอนต้นๆ ได้นิดหน่อย ในความเป็นจริงไม่จำเป็นต้องดูภาคแรกด้วยซ้ำ เพราะในภาคนี้ได้บอกกล่าวเล่าถึงให้เราเข้าใจได้นิดหน่อย โดยในภาคนี้เหมือนจะซวยอีกครั้งเมื่อครอบครัวพระเอกต้องมาเจอกับเหตุการณ์มหันตภัยร้ายแรงอีกครั้ง แต่ในคราวนี้ไม่ใช่สึนามิ มันคือแผ่นดินไหว

ถ้าใครคาดหวังจะได้เห็นความวิบัติแบบหนังมหันตภัยต่างๆ แบบ The Day After Tomorrow, 2012 หรือ San Andreas คงจะต้องผิดหวังกันสักหน่อย เพราะภาพความรุนแรงหรือฉากภัยพิบัติในเรื่องนี้นั้นมีแค่น้อยนิด 1-2 ฉาก เหมือนที่เห็นในตัวอย่างเท่านั้นจริงๆ เกินครึ่งเรื่องแรกหนังจะอารัมภบทถึงชีวิต ความดราม่า ของตัวพระเอกหลังจากเกิดเหตุการณ์สึนามิในภาคแรก

ความวิตกกังวล ปัญหาครอบครัว ซึ่งเอาจริงๆ มันน่าเบื่อกว่าภาคแรกเยอะมากในพาร์ทนี้ บวกกับหลากหลายเหตุการณ์ที่เข้าใจยากกว่าภาคแรก แถมยังมีตัวละครใหม่ๆ โผล่มาแบบไม่จำเป็นต้องมีก็ได้มั้ง ถ้าใครทนความน่าเบื่อของเกินครึ่งแรกมาได้ ก็จะได้พบกับฉากภัยพิบัติเสียที (เย้~) แต่ก็อย่างที่บอกไป มันมาแปบเดียวจริงๆ นะ
รีวิว The Quake

แต่ก็ดูน่ากลัวอลังกาลใช่เล่น ยิ่งใหญ่วินาศสันตโรกันทั้งเมือง CG นี่จัดเต็มอลังกาลงานสร้างสุดๆ ในใจตอนนั้นแอบดีใจ คิดแล้วว่ามันต้องเป็นสเกลที่กว้างกว่าภาคแรกแน่ๆ แต่สุดท้ายแล้วมันกลับเล่าเรื่องราวการเอาชีวิตรอดของพระเอกและครอบครัวในตึกๆ เดียวเท่านั้น ถึงแม้มันจะเล่าในตึกๆ เดียว ตลอดครึ่งหลังมันก็มีฉากให้เราลุ้นอย่างไม่หยุดหย่อน ในส่วนนี้คิดว่าทำได้ดีกว่าภาคแรกนะ ลุ้นกว่า ตื่นเต้นกว่า (แต่โดยรวมภาคแรกดูดีกว่านะ)
ในขณะที่ครึ่งหลังกำลังตื่นเต้น เหมือนกำลังทำได้ดี หนังกลับตัดจบแบบ “อ้าว! เห้ย จบละหรอ แค่นี้หรอ?” แล้วตัวละครอื่นๆ ก็ไม่พูดถึงตัดจบซะดื้อๆ อีกทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันยังไม่ชัดเจน อะไรเป็นอะไรก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ หนังก็ปล่อยจบดื้อๆ ซะอย่างนั้น

สรุป

โดยรวมแล้วหนังเรื่องนี้ให้ความรู้สึกแบบ คุณนั่งเครื่องเล่นรถไฟเหาะ ที่เกินกว่าครึ่งของเครื่องเล่นนี้เป็นทางตรงไม่ลุ้น ไม่ตื่นเต้น ไม่หวาดเสียว แล้วจู่ๆ ก็มีรางเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา โค้งนู่นนี่นั่น อย่างเมามันเพียงชั่วครู่ แล้วก็จบ! พร้อมอุทานเบาๆ “อ้าว เห้ย”

ก็ค่อนข้างผิดคาดครับ กับหน้าหนังที่คิดว่าจะเล่าเรื่องราวแผ่นดินไหวในมุมกว้าง แต่สุดท้ายก็เป็นการผจญภัยเอาชีวิตรอดในซากตึก แม้จะเล่าเรื่องราวในขอบเขตที่แคบลง แต่ก็ต้องบอกว่า 30 นาทีท้ายของเรื่องทำได้ลุ้น ตื่นเต้นได้ทุกนาที จะว่าไปกินป๊อปคอร์นแล้วนอนรอลุ้นฉากไคลแมกซ์ท้ายเรื่องก็รู้เรื่องนะ ไม่พลาดขาดใจความสำคัญตรงไหนไปหรอก

Friend Zone - ระวัง...สิ้นสุดทางเพื่อน

ดูหนังสด

รีวิว Friend Zone - ระวัง...สิ้นสุดทางเพื่อน

หน้าหนังยังคงมาในสไตล์โรแมนติก-คอมมีดี้ แนวถนัดของ GDH แต่เมื่อได้ชมกับรู้สึกว่าชีวิตรักของตัวละครหลักทั้งปาล์ม และ กิ๊ง กลับไม่ได้ดำเนินมาบนเส้นทางที่พบกับความสุขหอมหวานเลยนะ ตรงกันข้ามกลับเต็มไปด้วยน้ำตา บทกิ๊งของใบเฟิร์น ร้องไห้แทบทั้งเรื่อง เริ่มตั้งแต่จับได้ว่าพ่อแอบมีเมียน้อย รู้สึกเก้อ ๆ เขิน ๆ เมื่อปาล์มเผยความรู้สึกกับกิ๊งว่าเป็นแค่เพื่อนตั้งแต่ในวัยมัธยม คบกับแฟนรุ่นพี่มา 10 ปีก็ไปมีกิ๊ก จนกระทั่งมาคบกับพี่เท็ด บทของเจสัน ยัง ก็เป็นความรักที่ดำเนิน ไปบนความหวาดระแวง วิตกกังวลตลอดเวลาว่าพี่เท็ดจะนอกใจ ต้องตามสืบอยู่ตลอดเวลา ส่วนปาล์มก็กลายเป็นสจ๊วตเจ้าเสน่ห์ มีสาว ๆ ไม่ขาดสาย แต่ก็ไม่ได้มีความสุขสมหวังสักคน เพราะแม้แต่ปากจะบอกกับกิ๊งว่าเป็นเพื่อนแต่ก็แอบรักแอบหวัง อยู่เสมอ แค่กิ๊งโทรหาปาล์มก็รีบแจ้นไปหาทุกที่ทุกเวลา แม้จะอยู่ต่างประเทศ รีวิว Friend Zone

เรื่องย่อ

คำเตือน! ที่เพื่อนทุกคนพึงระวัง เขตกักกันความสัมพันธ์ ที่ห้ามรักกันเกินกว่าเพื่อน บนโลกใบนี้ คงมีชายหญิงอีกหลายคู่ที่กำลังไต่อยู่บนตะเข็บชายแดนแห่งความสัมพันธ์ของความเป็น “เพื่อน” กับ “แฟน” ซึ่งพื้นที่เล็กๆริมชายแดนตรงนี้มีชื่อเรียกแบบสากลว่า FRIEND ZONE หรือเขตแดนพิเศษของ คนที่อยู่ในสภาพ...กลับตัวไปเป็นเพื่อนก็ไม่ได้ ให้ไปเป็นแฟนก็ไปไม่ถึง ปาล์ม (นาย - ณภัทร เสียงสมบุญ) คือ หนึ่งในคนที่ติดอยู่ใน FRIEND ZONE ของ กิ๊ง (ใบเฟิร์น - พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์) เพื่อนสนิทของเขามานานเป็น 10 ปี ปาล์มเคยพยายามจะออกจากเขตแดนพิเศษนี้ ด้วยการสารภาพรักกับกิ๊งไปตอน ม.ปลาย แต่ถูกกิ๊งปฏิเสธง่ายๆด้วยคำว่า “เป็นเพื่อนกันก็ดีอยู่แล้ว”

นับจากวันนั้น ปาล์มกับกิ๊งก็เป็นยิ่งกว่าเพื่อนสนิท ทุกครั้งที่ปาล์มเลิกกับแฟนไม่ว่ากี่คนต่อกี่คน กิ๊งก็จะคอยด่าเตือนสติ และถ้ากิ๊งมีปัญหาทะเลาะกับแฟน ไม่ว่ากิ๊งจะอยู่ที่ไหน จะพม่า มาเลย์ หรือฮ่องกง แค่เพียงโทรมา สจ๊วตอย่างปาล์มก็พร้อมจะบินไปหาทันที ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความใจดีเหนือขีดจำกัดนี้หรือเปล่า ที่ทำให้เมื่อกิ๊งมีปัญหากับพี่เท็ด (เจสัน ยัง) แฟนคนปัจจุบัน จู่ๆกิ๊งก็ถามปาล์มขึ้นมาว่า “แกเคยคิดไหม... ถ้าเราสองคนเป็นแฟนกันจะเป็นยังไง” ทันใดนั้น สัญญาณเตือนภัยในใจปาล์มก็ดังขึ้นถี่ๆ เพราะปาล์มรู้ดีว่านี่คือโอกาสครั้งสำคัญที่เขาจะได้ออกจาก FRIEND ZONE เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าการออกไปครั้งนี้ จะทำให้เขาได้เริ่มต้นทางแฟน หรือสิ้นสุดทางเพื่อนกับกิ๊งกันแน่!!! FRIEND ZONE ระวัง..สิ้นสุดทางเพื่อน 14 กุมภาพันธ์นี้ ในโรงภาพยนตร์ #FriendZone #ระวังสิ้นสุดทางเพื่อน

เหมือนว่าโจทย์ถูกบังคับให้ดูหนังสดจะต้องออกมาเป็นโรแมนติก-คอมมีดี้ แม้ว่าเนื้อหาบนชะตากรรมตัวละครจะเศร้าปานใด หนังก็เลยยัดเยียดมุกลงไปให้เกิดเสียงหัวเราะได้ทุก ๆ 5 นาที หลายมุกทีเล่นกับสถานการณ์กระอักกระอ่วน เก้อเขิน ก็ได้ผลดี มุกที่มากับบทสนทนาแซวจิกกัดก็ได้เสียงหัวเราะไปเสียทุกครั้ง แต่บางมุกก็ฝืนเกินไป เหมือนมุกในละครหัวค่ำ

อย่างตอนปาล์มเอาช็อคโกแลตลาวามาทารอบปากแทนหนวดเคราเพื่อล้อเลียนพี่เท็ด มุกที่ปาล์มแต่งเนื้อร้องแซวกิ๊งใส่ทำนองเพลง “คิดมาก” ก็ไม่ได้รู้สึกขำตาม หรือมุกลิงซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ ก็ดูแล้วเหมาะกับหนังตลกสไตล์โก๊ะตี๋-น้าค่อมมากกว่านะ ถ้าไม่ต้องตั้งหน้าตั้งตาพยายามให้ตลก ลดระดับมุกต่าง ๆ ให้พอมีบ้าง แล้วไปขยี้เรื่องราวดราม่าของปาล์ม – กิ๊ง น่าจะพาไปถึงระดับน้ำตาแตกได้พอ ๆ กับ FANDAY เพราะตลอดเรื่องคนดูก็ได้รู้จักตัวตนของปาล์ม-กิ๊งมาพอดู ต่างก็ลุ้นให้คู่นี้ได้เปิดปากบอกความในใจกันเสียที ลุ้นให้ลงเอยกันเสียที

ซึ่งหนังก็เล่นกับเรื่องราวตรงนี้พอสมควร โดยเฉพาะฉากเปิดใจในห้องพักรีสอร์ท ทั้งใบเฟิร์นและนายต่างก็ทำหน้าที่ได้ดี กับฉากกดดันตึงเครียดทั้งบนจอทั้งในโรงที่ร่วมลุ้นว่าคู่นี้จะลงเอยกันอีท่าไหน สำหรับใบเฟิร์นนี่เก่งมากอยู่แล้วกับฉากอารมณ์แบบนี้ น้ำตาเหมือนสั่งได้เสมอ เป็นดาราสาวที่ร้องไห้แล้วดูน่าสงสารตลอด สำหรับนาย ณภัทร ที่เพิ่งรับงานแสดงเต็มตัวเรื่องแรกแล้วต้องมาเจอฉากอารมณ์แบบนี้ก็ถือว่าสอบผ่านนะครับ แม้ว่าหลาย ๆ ฉากจะโดนใบเฟิร์นดึงความสนใจไปหมด

หนังมีฉากที่เล่นกับอารมณ์ได้เยอะมากเว็บสตรีมหนัง ฉากนัดพบที่เจดีย์ชเวดากอง ฉากที่กิ๊งมาดักเจอปาล์มบนลู่จักรยาน แต่ทั้งหมดก็มาได้ในระดับอึน ๆ ตึง ๆ ยังไม่ถึงขั้นสะกิดต่อมน้ำตาได้ ถ้าผู้สร้างไม่ต้องห่วงว่าหนังจะต้องเป็นคอมมีดี้ แล้วจัดหนักกับฉากดราม่า เชื่อว่าองค์ประกอบของหนังที่ปูมาตั้งแต่ต้น กับความรักที่ไม่เจอกันสักทีของทั้งคู่ แล้วยิ่งเป็นเรื่องราวของเพื่อนรักเพื่อนที่เป็นประสบการณ์ใกล้ตัวหลาย ๆ คน ยิ่งเกินพอที่จะพาให้ฉากดราม่านี่ถึงขั้นน้ำตาแตกได้ง่าย ๆ แล้วหนังก็จะมีฉากจดจำได้มากกว่าที่เป็นอยู่นี้

รีวิว Friend Zone

การเล่าเรื่องก็ถือว่าเล่าอย่างมีลูกเล่นชั้นเชิง ไมได้เดินเรื่องแบบเส้นตรงแต่ถูกเล่าผ่านตัวปาล์มถึงชีวิตรักของเขาและกิ๊งตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน มีการเล่าสลับไทม์ไลน์ไปมา แต่ก็ไม่ได้ชวนงง แถมมีลูกเล่นหักมุมตอนท้ายเล็ก ๆ กับบทสรุปความรักของทั้งคู่ สีสันอีกอย่างของหนังคือการใช้ประโยชน์จากอาชีพสจ๊วตของปาล์ม และการเดินสายบันทึกดนตรีนานาชาติของเท็ด เลยทำให้หนังออกแนวเยี่ยมเยียนประเทศเพื่อนบ้าน

ก็เลยได้เห็นตัวละครบินไปบินมาในประเทศแถบนี้กันครบถ้วน พม่า ลาว เขมร เวียดนาม มาเลเซีย ฮ่องกง ฟิลิปปินส์ ซึ่งทีมงานก็หามุมสวย ๆ ประเทศเพื่อนบ้านเหล่านี้มาให้เราได้ดูกัน รวมไปถึงมุมสวย ๆ ในกระบี่ที่ดูแล้วก็อยากไปเที่ยวเหมือนกัน หนังอาจจะเรื่อย ๆ เปื่อย ๆ ในชัวโมงแรก ที่เน้นหนักไปวีรกรรมสะกดรอยตามพี่เท็ด ที่ต้องมีปาล์มติดสอยห้อยไปด้วย แต่พอเข้าช่วงท้ายที่ปาล์มตัดสินใจก้าวข้ามกำแพงความเป็นเพื่อนไปแล้ว โทนหนังก็หนักขึ้นทันที ยิ่งทำให้คนดูต้องลุ้นหนักว่าบทหนังจะลงเอยแบบไหน จะใจร้ายหรือใจดีกับตัวละคร

อย่างที่บอกไปข้างต้น หนังมันค่อนข้างจะธรรมดาไปสักหน่อย หนังมันไม่ทำงานกับเรา มันไม่สามารถส่งให้เราอินไปกับหนังมันได้ เราไม่อินความสัมพันธ์ของตัวละครตั้งแต่ต้นแล้วว่าทำไมพระเอกถึงรักนางเอกขนาดนั้น ไม่มีที่มาที่ไป ไม่มีเหตุไม่มีผล จุดเริ่มต้นมันมาจากไหน? แล้วรักกันเพราะอะไร? การดำเนินเรื่องมันเลยดูเรียบๆ แต่รีบๆ จนเกินไป แต่ถึงอย่างนั้น หนังก็มีตอนจบที่ดี จริงๆ เราชอบตอนจบของหนังที่ออกมาเป็นแบบนั้นนะ แต่ไม่ชอบวิธีที่ทำให้หนังจบแบบนั้น มันดูไร้เหตุผล ไม่สมเหตุสมผล และยิ่งทำให้เราไม่อินกับเรื่องราวที่ผ่านมาเข้าไปใหญ่

สรุป

Friend Zone ก็ยังอยู่ในมาตรฐานของหนัง GDH และยังคงอยู่ในกลุ่มเดียวกับผลงานก่อนหน้าของผู้กำกับหมู ชยนพ ที่เคยกำกับ เมย์ไหน…ไฟแรงเฟร่อ , Suck Seed ห่วยขั้นเทพ ซึ่งมีมุกให้ได้หัวเราะพอขำ ๆ คิก ๆ ได้ทั้งเรื่อง แต่ก็ไม่มีมุกถึงขั้นฮาแรง ๆ ชวนจดจำ เช่นเดียวกับพาร์ทดราม่าของหนังที่ก็ไมได้พาไปถึงขั้นเสียน้ำตา เป็นเวลาเกือบ 2 ชั่วโมงที่ได้ดูหนังที่มีภาพสวย ๆ เพลงเพราะ ได้สัมผัสเสน่ห์และความสามารถของใบเฟิร์น ที่ทำให้เราเดินยิ้มออกจากโรงได้ แม้จะไม่ได้เข้าคลาสเป็นหนังท็อป10 ของ GDH ก็ตาม

ไม่ใช่หนังที่แย่แต่อย่างใด มันสนุก ตลก ฮา น่ารัก ใครหลายคนอาจจะอินกับหนังเรื่องนี้ และตลอดทั้งเรื่องมันก็ยังทำให้คุณยิ้มได้เรื่อยๆ เพียงแต่ว่ามันอาจจะธรรมดาๆ ไปสักหน่อยเท่านั้นเอง

วันพุธที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2563

Alita: Battle Angel

ดูหนังฟรี

รีวิว Alita: Battle Angel - อลิตา แบทเทิล แองเจิ้ล

แรกสุดที่เราได้ยินข่าวประกาศสร้าง ALITA Battle Angel ที่ชูรสความตื่นเต้นด้วยการพ่วงชื่อของ เจมส์ คาเมรอน ผู้กำกับโคตรเว่อร์ เล็กๆไม่ ใหญ่ๆทำ ที่ให้ความสนใจถึงขนาดจะกำกับเองด้วยความรักในมังงะต้นฉบับเรื่อง GUNNM (กันมุ) หรือชื่อไทย เพชฌฆาตไซบอร์ก ของ ยูกิโตะ คิชิโระ ที่ผสานเรื่องราวแนวแอ็คชั่นไซไฟ ไซเบอร์พังก์ ตัวละครฮีโร่หญิงเท่ๆเข้ากับปรัชญาที่ตั้งคำถามถึงความเป็นมนุษย์ในโลก “ดิสโทเปีย” หรือโลกหลังล่มสลายได้อย่างคมคาย รีวิว Alita: Battle Angel

เรื่องย่อ

หลังได้รับการประกอบร่างชุบชีวิตจาก ดร. ไดสัน อิโด (คริสตอฟ วอล์ซ) คุณหมอผู้เปี่ยมเมตตาของเหล่าไซบอร์กทั้งหลาย อลิตา (โรซา ซาลาซาร์) ไซบอร์กสาวไร้ความทรงจำพยายามตามหาตัวตนของเธอในอดีต โดยอุปสรรคของเธอคือเหล่าไซบอร์กชั่วช้าในบัญชาของ เวคเตอร์ (มาเฮอร์ชาลา อาลี) เจ้าของทีมมอเตอร์บอลผู้ทรงอิทธิพลในตลาดมืดซื้อขายอะไหล่ไซบอร์กเถื่อน จนอลิตาต้องออกโรงปกป้องทุกชีวิตในเมืองเศษเหล็กไม่ให้ถูกสังหารขโมยชิ้นส่วนและในขณะที่เธอค้นหาตัวตน เธอกลับอยากเป็นมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆหลังตกหลุมรัก ฮิวโก้ (คีแอน จอห์นสัน) ชายหนุ่มนักหาอะไหล่ไซบอร์กที่เก็บความลับบางอย่างจากเธอ

จนต่อมาโครงการสร้างก็ถูกสานต่อโดยคาเมรอนขอเป็นโปรดิวเซอร์และส่งไม้ต่อให้ โรเบิร์ต โรดริเกวซ ผู้กำกับหนังแอ็คชั่นเปี่ยมลูกบ้ามากุมบังเหียนแทนจนผลลัพธ์ที่ได้คืองานไซไฟ ไซเบอร์พังก์ที่มีงานวิช่วลแบบอัดอดรีนาลีนลงในทุกซีนของฉากแอ็คชั่น โดยขอเบาวอลลุ่มด้านปรัชญาลงให้เหลือเพียงเบาบางแล้วอัดลูกบ้าให้งานสตันต์และงานวิช่วลเอฟเฟกต์แบบสุดลิ่มทิ่มประตู

โดยเฉพาะการออกแบบตัว อลิตา นางเอกของเรื่องที่ตอนเผยโฉมครั้งแรกก็ทำให้คนดูตื่นตะลึงในการออกแบบคาแรคเตอร์ที่เอาเพียงคอนเซปต์จากฉบับญี่ปุ่นแล้วบิดให้แตกต่างด้วยรูปหน้าแบบสาวละตินโดยมีต้นแบบเป็นนางเอกสาว โรซา ซาลาซาร์ นางเอกหนังชุด The Maze Runner ซึ่งก็ได้รับเสียงวิจารณ์ที่แตกเป็นสองฝั่งโดยเฉพาะเสียงสวดยับจากแฟนมังงะต้นฉบับแต่หากมองในมุมของคนดูหนังก็ต้องยอมรับเลยว่า ALITA Battle Angel คือหนังไซไฟแอ็คชั่นที่บันเทิงอย่างมหาศาลจริงๆ

โดยบทหนังที่ เลอิตา คาโลกราดิส ร่วมเขียนกับคาเมรอนและโรดริเกวซ หยิบองค์ประกอบของเรื่องราวจาก กันมุ มาเพียงผิวเผิน คือมันมีทุกองค์ประกอบนั่นแหละครับโดยนอกจากตัวละครที่นำมาจากต้นฉบับแล้วก็ยังมีรายละเอียดอื่นๆทั้ง ดูหนังฟรี เมืองซาเล็ม นครลอยฟ้า ที่เป็นตัวแทนของชนชั้น, ฮันเตอร์ วอร์ริเออร์ นักล่าค่าหัว รวมถึง มอเตอร์บอล กีฬาบอลมหาโหดสุดเถื่อนเลือดสาดที่เหมือนได้แรงบันดาลใจจากหนัง Rollerball (1975) ก็ยังตามมาเซอร์วิสแฟนๆมังงะกันเต็มที่ เพียงแต่เป็นการหยิบมาใช้เพื่อสร้างความตื่นตาตื่นใจด้านภาพมากกว่าจะมาเป็นตัวแทนของปรัชญาแบบในต้นฉบับ

ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าบทหนังเหมือนรองรับงานภาพสุดบ้าพลังที่ โรเบิร์ต โรดริเกวซ และ บิล โพ๊ป ผู้กำกับภาพร่วมกันรังสรรค์ขึ้นได้อย่างวิจิตรและชวนตื่นตา จนบางทีหนังก็มองข้ามพื้นฐานของการเล่าเรื่องอย่างการสร้างตัวละครให้คนดูจดจำและอยากเอาใจช่วย เพราะทั้งเรื่องเราก็ได้รู้จัก อลิตา เพียงผิวเผินแค่ว่าเป็นไซบอร์กนักรบ

ส่วน ฮิวโก้ ก็เป็นเด็กแสบที่อลิตาหลงรัก ส่วน ดร.อิโด ที่เหมือนจะมีปมอดีตเรื่องลูกสาวก็กลับมีเวลาในหนังน้อยเกินกว่าจะได้มีซีนดราม่าที่น่าจดจำ นอกจากนี้หนังยังเพิ่มช่องโหว่ให้ตัวละครที่สร้างใหม่โดยเฉพาะตัวละคร ชิเร็น ของ เจนนิเฟอร์ คอเนลลี ที่ตอนแรกเหมือนจะมีบทบาทสำคัญแต่ไปๆมาๆกลับเป็นตัวละครที่มีผลกับเรื่องน้อยที่สุดเลย

หรืออย่างการที่หนังไม่ปูที่มาที่ไปของ โนว่า ตัวร้ายสำคัญของเรื่องมากไปกว่าการไปเข้าสิงตัววิกเตอร์ของ มาเฮอร์ชาลา อาลี ทำให้แทนที่ โนว่า จะกลายเป็นตัวร้ายตัวเอ้ที่คนดูจะจดจำในฐานะบอสใหญ่ กลับกลายเป็นตัวผู้ร้ายที่แทบไร้ตัวตนเพราะในหนังเองก็ดันมีไซบอร์กผู้ร้ายตัวโหดๆเยอะไปหมด
จนทำให้การเล่าเรื่องในหนังอีรุงตุงนังไปหมดเพราะพยายามจะปูที่มาของ อลิตา ที่มีการดัดแปลงจากต้นฉบับไปพอสมควรควบคู่ไปกับฉากแอ็คชั่นที่ โรดริเกวซ ดีไซน์ให้มีความน่าตื่นตาตื่นใจมากกว่าการที่จะคำนึงถึงตรรกะของเรื่องราวและแนวคิดด้านปรัชญาของเรื่องราวนั่นเอง

ว่ากันถึงฉากแอ็คชั่นก็ต้องยอมรับว่าหาก คาเมรอน ต้องการให้ ALITA Battle Angel ออกมาเป็นหนังแอ็คชั่น ไซไฟ บันเทิงๆก็ถือว่า โรเบิร์ต โรดริเกวซ คือตัวเลือกที่ใช่แล้วล่ะ เราจะได้เห็นหนังออนไลน์การเนรมิตรเมืองเศษเหล็กที่เหมือนจำลอง เม็กซิโก หลังโลกล่มสลาย รวมถึงฉากที่น่าจดจำมากมายโดยเฉพาะฉาก มอเตอร์บอลที่โดดเด่นทั้งแง่งานสร้างและการดีไซน์ฉากแอ็คชั่นที่ตื่นตาตื่นเต้นจนหัวใจเต้นรัว เรียกง่ายๆว่าสิ่งที่โดดเด่นมากๆสำหรับ ALITA Battle Angel ก็คือฉากแอ็คชั่นนี่แหละที่มาเยอะ มาถี่ และทำได้ดีดูสนุกทุกฉากจริงๆ จนสามารถชดเชยตรรกะพังๆของหนังได้สบายๆ

ส่วนการดีไซน์คาแรกเตอร์และการกำกับส่วนอนิเมชั่นต้องชื่นชมเป็นพิเศษอยู่เหมือนกันนะ เพราะตลอด 2 ชั่วโมงกว่าๆที่คนดูจะต้องอยู่กับตัวละครอนิเมชั่นที่อยู่ท่ามกลางคนแสดงกลับไม่รู้สึกขัดเขินการออกแบบการเคลื่อนไหว แววตา และเสียงพากย์ของ โรซา ซาลาซาร์ ทำให้ อลิตา เป็นตัวละครนางเอกที่สเน่ห์มากและไม่ดูการ์ตูนเหมือนตอนแรกที่เห็นในตัวอย่างหนัง

ซึ่งถือเป็นวิวัฒนาการหนึ่งในการเล่าเรื่องแบบผสานเทคโนโลยีเข้ากับศิลปะการเล่าเรื่องทั้งภาพและเสียงได้อย่างกลมกลืนจริงๆ ส่วนการแสดงของนักแสดงสมทบมองว่า คริสตอฟ วอล์ซ และ มาเฮอร์ชาลา อาลี ได้ทำให้ตัวละครของพวกเขาดูมีเลือดเนื้อ เพราะแม้มีเวลาไม่มากแต่ คริสตอฟ วอล์ซ ก็ใช้เวลาอย่างคุ้มค่าในการปูความเป็นพ่อให้ตัวละคร ดร.อิโต ส่วน มาเฮอร์ชาลา อาลี นี่น่าสงสารสุดเลยเพราะนอกจากจะต้องเป็นผู้ร้ายแบนๆแล้ว ยังถูกยัดบทผีเข้าที่ทำนักแสดงหลายคนกลายเป็นเจ้าอวดมานักต่อนัก แต่เขาก็สามารถใช้บุคลิกเท่ๆและแอ็คติ้งเทพๆทำให้ตัวละครน่าจดจำได้เป็นอย่างดี

รีวิว Alita: Battle Angel


ความรู้สึก
เป็นหนังที่ให้ความรู้สึกตื่นตาตื่นใจทางด้านภาพมากๆ ภาพสวยมาก และการทำCGก็ยิ่งใหญ่อลังการ (แค่ไปดูงานภาพก็คุ้มค่ามากแล้ว) นอกจากนั้นยังเพลิดเพลิน บันเทิง มันส์หยดติ๋ง สนุกสนานอีก รู้สึกว่าได้อะไรกลับไปเยอะจริงๆ

ฟิลลิ่งเหมือนดูหนังแฟนตาซีดีๆ สักเรื่อง เหมือนดู LoTR, Harry Potter, Avartar, Cloud Atlas หรือ Real Steels เลย มีฟิลลิ่งก้ำกึ่งระหว่างหนังเด็กและหนังแอคชั่นสุดมันส์ (อาจเป็นเพราะตัวละครหลักเป็นเด็กเลยทำให้นึกถึงหนังพวก A.I. Artificial Intelligence หรือ Super8 ของลุงสปิลเบิร์ก) แต่ก็มีความผจญภัยและแอคชั่นสุดมันส์แบบ LoTR หรือ The Hobbit แต่อยู่ใน Theme ไซไฟโลกอนาคต

ชื่นชมการดำเนินเรื่องมาก เนื่องจากไม่เคยอ่านเวอร์ชั่นการ์ตูนมาก่อนเลยไม่ค่อยมีปัญหากับหนังเรื่องนี้ คือไม่ได้คาดหวังอะไรไว้มาก มาเก็บทุกอย่างเอาจากที่หนังให้เราจริง พบว่าจริงๆ แล้วการดำเนินเรื่องค่อนข้างสมูทและทำให้เราอินไปกับอลิต้ามากๆ หนังยังเก็บปมอะไรหลายอย่างไว้ ยังไม่ได้คลี่คลาย เป็นไปได้ว่าจะค่อยๆ เล่าไปจนถึงภาคต่อไป นอกจากนี้การวางคิวบู๊สนุกและคมกริบจริงๆ เป็นคนละแบบกับหนังแอคชั่นแบบ John Wick แต่ก็คมกริบในแบบอลิต้า มีมุมและแอคชั่นเท่ห์ๆ หวาดเสียวๆ ระทึกใจมาให้ชมตลอดเรื่องสลับกับเส้นเรื่องหลักและการให้ข้อมูลตัวละครต่างๆ

งานสร้างทำได้อลังการจริงๆ ขอบคุณความทุ่มเทของทีมงานทุกคนมากๆ และขอบคุณตัวเองที่พาตัวเองเข้าไปดู มันสามารถเยียวยาแผลใจจากหนังไซไฟแฟนตาซีฟอร์มยักษ์เรื่อง Mortal Engine ที่เพิ่งดูแล้วผิดหวังไปเมื่อปลายปีได้จริงๆ งานสร้างของอลิต้าเก็บรายละเอียดและทำการบ้านเชิงอาร์ตมาเยอะมากพอสมควร ให้รายละเอียดในเรื่องต่างๆไว้ดีมาก ชื่นชมการใช้ Motion Capture ที่เป็นงานถนัดของโปรดิวเซอร์ James Cameron (ผู้กำกับ Avartar) งานเนียบและถ่ายทอดการแสดงของนักแสดงนำได้ดีมากจนนึกว่าใช้หุ่น AI เล่นจริงๆ

นอกจากส่วนที่ชื่นชมก็มีบางอย่างที่ค้างคาใจ อาจจะรู้สึกว่าภาคนี้มาไว้สำหรับปูไปภาคต่อไป เหมือนกั๊กของไว้ประมาณนึงในช่วงท้ายๆ แล้วรีบขมวดจบ ทำให้รู้สึกติดค้างในเรื่องนี้ และอีกเรื่องคือฉากขายหลายๆฉากถูกเห็นในตัวอย่างหนังไปเสียเกือบ70% ทำให้พอมาดูในภาพยนตร์จริงรู้สึกเหมือนดูมาแล้ว เลยทำให้ตื่นตาตื่นใจน้อยลงไปบ้างเล็กน้อย แต่ก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญอะไรมากนักเมื่อเทียบกับความบันเทิงระดับนี้ที่ได้ในสองชั่วโมง นับว่าคุ้มค่ามากๆที่ได้ดู

สิ่งที่น่าชื่นชม
นอกจากงานออกแบบแล้ว ฉากแอ็คชั่นก็ทำได้ค่อนข้างดี แม้จะมีสัดส่วนที่ไม่เยอะมาก แต่พอถึงฉากเหล่านี้มันก็ทำได้ดีมากประมาณนึง ทำให้หนังดูสนุกมากยิ่งขึ้นไปอีก แต่ที่ต้องชื่นชมซ้ำแล้วซ้ำอีกนั่นก็คือ งานภาพ ที่สวยแทบจะทุกซีน งานซีจีนี่คือคำตอบที่ว่าทำไมเจมส์ คาเมรอนต้องรอจนถึงตอนนี้ถึงจะยอมทำหนังเรื่องนี้ขึ้นมา ส่วนตัวละครอลิตาเอง ถือเป็นจุดเด่นที่สุดของหนัง เพราะดูมีชีวิตชีวา และออกมาดูดีมาก

สรุป 
อาจจะไม่ได้ถึงกับพีคมากมาย แต่ตัวหนังก็ถือว่าทำได้ดีมากประมาณนึง ดูสนุก ดูเพลิน ไม่ผิดหวัง คุณภาพหลายๆ อย่างออกมาดีมากจนอยากให้มีภาคต่อออกมาเร็วๆ เลยทีเดียว
เอาเป็นว่าใครอยากหาหนังมันส์ๆดูสนุก ไม่คิดมาก มีฉากแอ็คชั่นให้เลือดสูบฉีด ALITA Battle Angel คือตัวเลือกที่ใช่เลยล่ะ แถมเข้าช่วงวาเลนไทน์ ให้คนดูกลุ่ม “เหม็นความรัก” ได้ลี้ภัยเข้าโรงไปมันส์กันอีก เยี่ยมไปเลย ฮ่าาาาา

The Lego Movie 2: The Second Part


 ดูหนังฟรี

รีวิว The Lego Movie 2: The Second Part

สำหรับภาคต่อนี้ ฟิลลอร์ดและคริส มิลเลอร์ สองผู้กำกับภาคแรกขยับมาเขียนบทแล้วส่งต่องานกำกับให้ ไมค์ มิตเชล โดยนอกจากการขนคาแรคเตอร์อันจากหนังหลายแฟรนไชส์ดังๆมาปรากฎตัวเรียกเสียงฮาแล้ว สิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือหนังภาคนี้ถูกคิดบทมารัดกุมขึ้น มีดราม่าครอบครัวที่ดูจับต้องได้มากขึ้นแต่ยังไม่ทิ้งมุกจิกกัดที่ดูจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว โดยไฮไลต์สำคัญของภาคนี้คือการที่มันถูกแปลงให้มีความเป็นมิวสิคัลมากขึ้น เพลงแต่ละเพลงนอกจากเล่าเรื่องแล้ว ยังอุตส่าห์แต่งเนื้อเพลงมาล้อเลียนหนังซูเปอร์ฮีโร่ หรือจิกกัดชีวิตตัวละครได้อย่างมีสีสัน ที่สำคัญเพลงยังเล่นสนุกกับคนดูตั้งแต่ต้นยังท้ายเครดิต (คือมีแม้กระทั่งเพลงที่แต่งเพื่อเอนด์เครดิตโดยเฉพาะอ่ะ คิดดูว์)  แบบที่ใครฟังเพลงในหนังแล้วไม่หลอนติดหัวนี่คงเป็นคนใจแข็งมาก แถมยังตื๊ดซะจนอยากเปิดผับในโรงหนังให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย รีวิว The Lego Movie 2

เรื่องย่อ

เมื่อเอเลี่ยนบุกจับตัว ไวล์ดสไตล์ (เอลิซาเบธ แบงส์) และผองเพื่อน เอ็มเม็ต (คริส แพร็ต) จำต้องเลิกแบ๊วแล้วใส่มาดเข้มออกเดินทางข้ามอวกาศเพื่อไปต่อกรกับ ควีนวอตเอฟว่าวอนนาบี (ทิฟฟานี แฮดดิช) ที่จับเพื่อนเอ็มเมตมาล้างสมอง แถมยังบังคับให้ แบตแมน (วิล อาร์เน็ต) แต่งงานกับเธอบังหน้าเพื่อหวังทำลายโลก และในขณะที่เอ็มเมต หมดสิ้นหนทางก็ได้พบกับ เร็กซ์ แดนเจอเวสต์ (คริส แพร็ต) ผู้มีอดีตดำมืดที่ยื่นมือมาช่วยเหลือ งานนี้เอ็มเม็ต จะช่วยเพื่อนของพวกเขาได้หรือไม่ ต้องติดตาม

มาสู่ภาคที่สองกับ เลโก้ เดอะ มูฟวี่ ที่ยังคงความเกรียน นักแขวะ และล้อเลียนกันได้ในทุกฉากๆ ภาคนี้ยังให้สนุกสนานบ้าบอเช่นเคย ปั้นแต่งโลกของเลโก้ให้เข้ากับการดูของผู้ใหญ่ได้ และมีสัญญะกับเนื้อเรื่องที่เข้าไปถึงใจคนได้ เหมาะกับทุกวัย โดยเฉพาะผู้ใหญ่ที่ยังมีหัวใจเป็นเด็กให้ได้พักพิง

เรียกได้ว่ากว่าแฟนๆ จะได้ชมภาคต่อก็ต้องรอคอยกันนานถึง 5 ปี เลยทีเดียว เชื่อว่าบางคนอาจจะจำเรื่องราวในภาคแรกไม่ได้เสียด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่ต้องเป็นกังวลไปเพราะหนังได้ปูเรื่องราวมาให้คร่าวๆ แล้วว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นบ้างและไม่ใช่เรื่องซับซ้อนยากที่จะเข้าใจ ถือได้ว่าการผจญภัยของเหล่าเลโก้ในภาคนี้ได้ยกระดับความอันตรายมากขึ้นไปหลายเท่า เพราะตัวละครทุกตัวนั้นล้วนแล้วแต่ต้องเผชิญหน้ากับอันตรายที่แฝงมาด้วยความบ้องแบ๊ว ทำเอาคนดูอย่างเราอดยิ้มเอ็นดูไม่ได้เลย

ภาคนี้ต่อตรงแหน่วจากภาค 1 หลังจากที่พ่อซึ่งเป็นเจ้าของจักรวาลเลโก้ชั้นใต้ดิน ยอมปลดปล่อยความเพอร์เฟ็คให้ลูกชายของเขาได้สานต่อการด้วยการเล่น เพื่อให้โลกของเลโก้ดำเนินต่อไปอย่างที่มันเป็นตามที่เอมเม็ตขอร้อง แต่เรื่องกลับพีคขึ้นเมื่อครอบครัวดังกล่าวมีลูกสาวคนสุดท้อง! นำมาสู่การมาเยือนจากต่างดาวที่ไม่พูดพร่ำทำเพลง ต่อสู้กันอุดตลุด โดยที่ฝั่งเลโก้กับเมคเกอร์ไม่สามารถสู้ได้เลยซักครั้ง

จนเวลาล่วงเลยมา 5 ปี เบิร์คซิตี้กลายร่างเป็นอะโพคาลิปเบิร์ค ทุกคนเติบโตขึ้น เหี้ยมขึ้น เพื่อไม่ให้ความน่ารักลักพาตัวไป เหลือแต่เอมเม็ตเท่านั้นที่ยังคงไร้เดียงสา ใจดี และมีความสุขกับสิ่งที่เขาเป็น ก่อนที่เขาจะได้นิมิตว่าจะเกิดหายนะ "มามาเกด้อน" ที่จะกลืนทุกอย่างลงในถังมืดมิด โดยดูหนังฟรีทุกอย่างจะเริ่มต้นขึ้นหลังจากเหล่าเมคเกอร์จากภาคแรกถูกลักพาตัวไป และจะจบลงด้วยงานแต่ง เอมเม็ตเป็นคนเดียวที่รอดจากการจับตัว เขาต้องเติบโต ต่อสู้ และช่วยเหลือพวกพ้องกลับมา เพื่อจะเจอบทสรุปหักมุม และทำให้โลกของทุกคนเปลี่ยนไปตลอดกาล

เลโก้ภาคนี้ยังคงเสน่ห์ของมุขตลกเกรียนได้ตลอดเวลา แถมการแขวะหนังเรื่องอื่น ซีรีย์เรื่องอื่นได้สนุกสนานเช่นเคย ส่วนที่ร้องเพลงก็ทำเอาเบื่อๆ ไปบ้าง แต่ใครที่สนุกกับจังหวะบีตมันส์ๆ ก็ทำให้อินได้ แต่สิ่งสำคัญของเรื่องนี้กลับเป็นเนื้อเรื่องที่เข้าถึงอินไซต์ของการเล่นและการเติบโต
สำหรับมุกในหนังนี่ก็แบ่งได้หลายประเภท ตั้งแต่มุกจิกกัดซูเปอร์ฮีโร่ที่นอกจากจะแซวแบตแมนเป็นเพลงได้ฮาและเจ็บแสบมากแล้ว ยังมีมุกที่กัดตัวสตูดิโอตัวเองอย่างหนังฮีโร่ของดีซีที่ดูจะยังเป็นรองมาร์เวลอยู่หลายช่วงตัว หรือจะเป็นความล้มเหลวของหนังจักรวาลดีซีอย่างจัสติสลีคก็เล่นแบบไม่เกรงใจวอร์เนอร์กันเลยทีเดียว แสดงให้เห็นถึงความสร้างสรรค์อันไร้ขอบเขตแถมยังอยู่ในเรตที่เด็กยังดูได้ด้วยนะ เพียงแต่มุกซูเปอร์ฮีโร่ดูจะเหมาะกับวัยรุ่นตอนปลายถึงผู้ใหญ่ที่เข้าโรงหนังในช่วง 15 ปีที่ผ่านมามากกว่าเด็กเล็กๆนะครับ

อีกอันที่ประทับใจคงเป็นมุกเช็คอายุคอหนัง เพราะขุดมาทั้ง ดาย ฮาร์ด ที่อุตส่าห์มี บรูซ วิลลิส ฉบับเลโก้ ด้วย นอกจากนี้ยังอ้างอิงหนังดังๆตั้งแต่ Back to the future, The Matrix และอีกมากมาย โดยที่หนังถ่ายทอดสดมุกเหล่านี้ก็ยังไปตอบโจทย์ของหนังว่าด้วยการเติบโตได้อย่างช่างคิดอีกด้วยนอกนั้นก็เป็นมุกแซวคนบันเทิงประปรายที่ถ้าใครไม่รู้จักก็อาจไม่เก็ตได้เหมือนกัน จนมุกส่วนใหญ่ของหนังดูจะเหมาะกับคนที่ผ่านหนังและเพลงยุค 90 มาแบบหนักหน่วง เสพย์สื่อบันเทิงทั้งหนังทั้งเพลงหนักๆเลยถึงจะเข้าใจมุกในหนังที่เล่นกัน 5 บาท 10 บาทแทบทุกนาที

อีกส่วนประกอบความสนุกคือบรรดานักแสดงที่มาให้แสดง นอกจากคริส แพร็ต ที่พากย์ 2 ตัวละครและบรรดาหน้าเก่าเสียงเก่าที่ยังพากย์ได้สนุกเหมือนเดิมแล้ว หนังยังเพิ่ม ทิฟฟานี แฮดดิช ตลกสาวที่มาให้เสียงราชินีวอตเอฟว่าวอนนาบี แถมร้องเพลงได้ไพเราะอีกด้วย จนหนังออกมาครบเครื่องความสนุกสุดๆไปเลย ซึ่งการที่หนังเพิ่มคาแรกเตอร์มากขึ้นก็ทำให้มีนักแสดงรับเชิญมาพากย์เสียงให้ความบันเทิงมากขึ้นอีกเป็นเท่าตัวอีกด้วย

พอเราตีความ ค่อยๆ เอาสัญญะมาร้อยเรียง เราจะเห็นความขัดแย้งทางความคิดระดับผู้ใหญ่ในเรื่องเหมือนที่เกิดขึ้นในภาคที่แล้ว เช่นตัวพี่ชายที่เติบโตเอาตัวรอด เย็นชากับน้องสาว เปลี่ยนทุกอย่างให้ดิบเถื่อน น้องสาวจะไม่ได้เอาไป ก็ออกมาเป็นภาพแบบ อะโพคาลิปเบิร์ค หรือการพยายามสื่อสารที่ไม่ได้ผลของน้องสาวไปหาพี่ชาย จนเกิดการทำลายล้างไม่มีที่สิ้นสุด ที่สุดท้ายแล้วผลลัพท์จะนำไปสู่สัจธรรมของชีวิต ในที่ๆทุกอย่าง "ไม่ได้สุดยอด" ที่ๆ ทุกอย่างจะต้องไปต่อ

นอกจากนั้นหนังก็ยังความขี้แซะไว้เหมือนเดิมแทบไม่มีผิดเพี้ยน เว้ยเสียแต่ว่าจะเพิ่มมุกใหม่ตามจำนวนหนังของ DC Comic, Fox และ Warner Bros. ที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งหากใครที่ไม่เคยดูหนังของค่ายนี้มาก่อนก็อาจจะไม่ค่อยเข้าใจในหลายๆ มุก เพราะแต่ละมุกที่ยิงมานั้นต้องเป็นคนที่เคยดูหนังมาแล้วถึงจะเข้าใจจริงๆ เรียกได้ว่าเป็นหนังขี้แซะแห่งปีเลยก็ว่าได้ ในส่วนของเพลงประกอบภาพยนตร์ก็ถือว่าทำออกมาได้สร้างสรรค์ไม่แพ้ภาคแรก โดยเฉพาะในเอนด์เครดิตที่เชื่อว่าหลายจะต้องดูจนจบแน่นอน
แน่นอนว่าหนังไม่ได้ให้แค่ความสนุกและตลกโปกฮาอย่างเดียว แต่ยังแฝงเรื่องราวความสัมพันธ์ของเหล่าเลโก้ที่มีความทับซ้อนกับโลกมนุษย์ได้อย่างลึกซึ้ง รวมทั้งยังได้เห็นถึงพัฒนาการ, ความเปลี่ยนของชีวิตที่มีทั้งเรื่องดีและร้าย ซึ่งประสบการณ์เหล่านี้ก็ล้วนแล้วแต่ให้บทเรียนให้เรานั้นได้เรียนรู้ที่จะยอมรับและสิ่งไหนที่ไม่ดีก็ต้องหาทางป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก

รีวิว The Lego Movie 2

ความรู้สึกแรกหลังดูจบ
คือตอนแรกคิดว่า Lego Movie ไม่น่ามีภาคต่อเท่าไหร่ เพราะภาคแรกมันคือดีมาก ระดับ Masterpiece จบครบสมบูรณ์ในตัวมัน พอมีภาคต่อออกมาก็แอบคิดว่าจะซ้ำทางหรือเปล่า ยังคงสเน่ห์เดิมไว้ได้ไหม แต่สรุปก็คือตัวหนังยังคงความสนุกเอาไว้อย่างครบถ้วน โอเคว่าสูตรการดำเนินเรื่องอาจจะเหมือนเดิม แต่รายละเอียดปลีกย่อย เรื่องราว เนื้อหา รวมไปถึงกิมมิคนั้นแตกต่าง และเล่นใหญ่ไปกว่าเดิมมากเลยทีเดียว แต่ก็ไม่ลืมที่จะคงจุดเด่นของภาคแรกไว้

สิ่งที่น่าชื่นชม
มุกตลกนี่แหละคือจุดที่ทำให้ต่อมเนิร์ดแตกมากที่สุด ต่อมฮาก็แตกกระจาย คือมุกยิบมุกย่อย ปั่นนู่นปั่นนี่ แซวหนังเรื่องนู้นเรื่องนี้ จัดเต็มยิ่งกว่าภาคแรก ทำให้หนังค่อนข้างดูเพลินเอามากๆ แถมตัวเรื่องราวในภาคนี้คืออัดมาแทบจะเป็นมหากาพย์การดำเนินเรื่องเลย เพราะตัวเนื้อหามันมีรายละเอียดมากมายเต็มไปหมด แต่ก็ตรงนี้แหละคือจุดที่น่าชื่นชมจริงๆ ที่เขาขยายมันออกมาได้อลังการและยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ส่วนเรื่องของความคิดสร้างสรรค์และงานภาพมันดีมาในหนังตระกูลเลโก้ที่ฉายโรงทุกเรื่องอยู่แล้ว แต่เรื่องของเพลงประกอบอันนี้คือน่าจดจำมากจริง ๆ

สรุป

เป็นหนังที่ดี มีความเป็นผู้ใหญ่พอๆ กับความเป็นเด็ก เป็นส่วนผสมที่น่าสนใจ แต่หนังจำเป็นต้องทำการบ้านด้วยการดูภาคหนึ่งมาก่อน ทำให้มันเป็นตลาดเฉพาะเข้าไปอีก แต่ตัวหนังก็ไม่สนใจจุดนั้น สำหรับทีมงาน เลโก้เป็นอะไรที่เฉพาะมากๆ อยู่แล้ว และภาคภูมิใจกับตัวเองที่เป็นแบบนั้น นั่นทำให้หนังมีความแตกต่างพอสมควร เป็นหนังที่เหมาะกับทุกเพศทุกวัย และทำให้เราเข้าใจโลกของเด็กในผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ในเด็กได้ดีมากๆ

โดยรวม The LEGO Movie 2 ยังสานต่อความสนุกและคุณภาพจากภาคแรกเอาไว้ได้เลย ตัวบทตัวกิมมิคของเรื่องอาจจะไม่คมเท่าภาคแรก แต่รับรองว่าต้องยอมใจในความฮาและความบ้าของหนังที่อัดใส่เราตั้งแต่ต้นเรื่องไปยันเอนด์เครดิตเลยทีเดียว ใครที่ชอบภาคแรก หรือภาคแบทแมนก็ดี ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงครับ

วันจันทร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2563

Door Lock - ห้องหลอนปริศนา

ดูหนังออนไลน์

รีวิว Door Lock - ห้องหลอนปริศนา

หนังระทึกขวัญสัญชาติเกาหลี เรื่องราวเกี่ยวกับหญิงสาวที่อาศัยอยู่ตัวคนเดียวในห้อง แต่หารู้ไม่ว่าทุกค่ำคืนที่เธอนอนหลับเธอไม่ได้อยู่คนเดียว แต่กลับมีบางคนมาอาศัยอยู่ร่วมกับเธอ พล็อตชวนหลอน สุดระทึก ที่ดูแล้วเหนื่อยชะมัด!!! เป็นหนังที่ทรมานคนดูชะมัด ดูไปใจเต้นตุ๊บๆ ไปตลอดทั้งเรื่อง! คุณลองคิดดูว่าถ้าทุกคืนที่คุณนอนอยู่คนเดียว มีคนมานอนกับคุณ ใช้ข้าวของคุณทุกอย่าง มันจะหลอนแค่ไหน! หนังเปิดเรื่องด้วยความสงสัยเต็มไปหมด เล่นเอาคนดูงง หลายๆ คนคงคิดในใจว่า “นี่มันอะไรกันฟะ” “มันเกิดอะไรขึ้น” นั่นแหละคือจุดเริ่มต้นความน่าสนใจของหนังเรื่องนี้เลยทีเดียว รีวิว Door Lock - ห้องหลอนปริศนา

เรื่องย่อ

โจคยองมิน พนักงานธนาคารธรรมดาคนหนึ่งที่อาศัยอยู่คนเดียวในอพาร์ทเม้นท์ หลังจากเลิกงานเธอกลับมาที่ห้องและพบว่าฝาที่ล็อคประตูหน้าห้องของเธอถูกเปิดค้างไว้ เธอจึงเปลี่ยนรหัสผ่าน แต่แล้วในคืนนั้นเธอกลับได้ยินเสียงบางอย่างที่หน้าห้องของเธอ ‘ติ๊ด-ติ๊ด-ติ๊ด-ติ๊ด รหัสผ่านผิดพลาด’ จากเรื่องที่เกิดขึ้นทำให้คยองมินตัดสินใจแจ้งความกับตำรวจ แต่ตำรวจกลับรำคาญ และคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ หลังจากนั้นไม่นานเธอพบร่องรอยการบุกรุกของคนแปลกหน้า ยิ่งไปกว่านั้นยังเกิดคดีฆาตกรรมที่น่าสงสัย เธอรู้สึกว่าตัวเองไม่ปลอดภัยอีกแล้ว เธอจึงตามสืบหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยตัวของเธอเอง
“ฝาที่ล็อคประตูที่เปิดค้างไว้ แผงกดรหัสผ่านที่เต็มไปด้วยลายนิ้วมือ ตัวบุหรี่ที่ตกอยู่หน้าห้อง ห้องที่เคยอาศัยอยู่เพียงคนเดียว กลับมีใครบางคนซ่อนตัวอยู่!”
เป็นอีกหนึ่งแนวหนังที่เกาหลีมักทำออกมาได้เข้มข้นน่าติดตาม กับแนวระทึกขวัญ แต่น่าเสียดายที่นาน ๆ ที่จะมีเข้ามาฉายในบ้านเรา และสำหรับเรื่องนี้ Door Lock ห้องหลอนปริศนา ก็เป็นแนวระทึกขวัญประเภท สตอล์ก หรือโรคจิตสะกดรอยตาม แต่ระดับความคุกคามนั้นเรียกว่าสั่นสะเทือนมาก ๆ เพราะเข้ามาประชิดกันถึงอยู่ในห้องโดยที่เหยื่อไม่รู้ตัวกันเลย

นี่เป็นผลงานของผู้กำกับ ควอนลี ที่ถนัดมาจากงานสายคอเมดี้ดราม่าอย่างเรื่อง My Ordinary Love Story (2014) และจะว่าไปก็ผ่านงานมาเพียงไม่กี่เรื่องเท่านั้น นี่จึงคือการทดลองมาทำสายเข้มขังจริงจังอย่างเต็มตัวครั้งแรก ความน่าสนใจน่าจะอยู่ที่การมาแสดงนำของ กงเฮียวจิน นักแสดงมากฝีมือคนหนึ่งของเกาหลีที่ต้องมารับบทยากบทหนึ่งทีเดียว

เราอาจจะคุ้นชินกับหนังแนวผู้หญิงที่ต้องตกเป็นเหยื่ออยู่บ่อยครั้ง และจุดที่เราเฝ้ารอคือความสะใจในช่วงหลังที่ตัวละครจะสู้กลับและเอาคืน แต่ทว่าหนังเรื่องนี้เป็นการจำลองโลกของผู้หญิงในแบบที่สะท้อนความจริงมากทีเดียว เพราะตัวละครเหยื่อนั้นตกอยู่ใต้ความหวาดกลัวผู้ชายทุกคนที่อยู่ในเรื่อง ไม่เพียงว่าเมื่อเกิดเรื่องราวขึ้น ดูหนังออนไลน์ในฉากเปิดเรื่องเราเห็นความกดดันของสภาพความเป็นหญิงภายในโลกของผู้ชายเป็นใหญ่ ตัวละครหญิงตอนเปิดเรื่องนั่งขดตัวหลบตาในรถไฟฟ้า หวาดระแวงยามเดินในซอยกลับบ้าน แม้แต่เมื่อเข้าห้องที่น่าจะเป็นพื้นที่่ส่วนตัว มันก็ยังไม่รอดพ้นการถูกจ้องมองและคุกคาม

ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดเรื่องด้วยเหตุการณ์ของหญิงสาวคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ตัวคนเดียวในอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่ง ซึ่งวันหนึ่งเมื่อเธอกลับเข้าอพาร์ตเมนต์ของตัวเอง กลับพบว่ามีใครบางคนแอบซ่อนตัวอยู่ในห้องของเธอ มันคือภัยร้ายหลังประตูที่ถูกล็อคสนิทอย่างดี

โจคยองมิน (รับบทโดย กงฮโยจิน) เป็นพนักงานธนาคารสาว ที่ทำหน้าที่ประจำเคาน์เตอร์ teller ซึ่งนับเป็นตัวแทนสาวเมืองในยุคนี้ที่ใช้ชีวิตธรรมดาๆ พบเห็นได้ทั่วไป เธอพักอาศัยในอพาร์ตเมนท์แบบห้องสตูดิโอเล็กๆ (หน้าตาเดียวกับในไตเติลเลยแหละ) ผู้หญิงเรียบร้อยที่ต้องระแวดระวังสวัสดิภาพตัวเอง ในสภาพสังคมที่อาชญากรรมและคดีโรคจิตพลุกพล่าน ประมาทไว้ใจใครไม่ได้ เธอจึงมีบุคลิกพูดน้อยยิ้มยากสักหน่อย แม้ว่าตามเนื้องานเธอจะทำหน้าที่ได้ดี แต่ผลงานน้อย ก็เพราะความไม่ร่าเริง ไม่ช่างเจ๊าะแจ๊ะลูกค้า และไม่มีเรื่องใดๆกับใคร ทั้งๆที่มีพนักงานอื่นคอยดักแย่งลูกค้าเธอไปต่อหน้าต่อตา เธอมีเพียงเพื่อนสนิทคนเดียวที่ไว้ใจคือ โอฮโยจู (รับบทโดย คิมเยวอน) ซึ่งทำงานที่เดียวกัน

เริ่มต้นจากเช้าวันหนึ่ง ขณะจะออกจากบ้าน เธอพบว่า ฝาปิดตัวล็อคประตูถูกเปิดค้างไว้ เหมือนว่ามีใครเปิดมาเพื่อกดรหัส เธอจึงเปลี่ยนรหัสใหม่ทันที  และคืนนั้นเธอถึงขั้นต้องผวาเมื่อได้ยินเสียงพยายามกดรหัส และโยกมือจับประตูรัวถี่ๆ หวังให้เปิดออกได้ ช่างโชคดีจริงที่เธอตั้งรหัสใหม่ รวบรวมสติทำใจกล้าๆไปส่องรูตาแมวประตูก็ไม่เห็นมีใคร จึงเปิดประตูออกมาดู พบเพียงก้นบุหรี่ถูกโยนทิ้งไว้ที่หน้าห้อง
ในขณะที่หนังก็เปิดให้ผู้ชมเห็นว่า ห้องของคยองมิน มีรองเท้าผู้ชาย มีเสื้อผ้าชั้นในของผู้ชายแขวนตากอยู่  และยังเห็นอีกว่ากลางดึกเมื่อเธอหลับสนิทไปแล้ว ก็มีผู้ชายมาเข้านอนกับเธอ ประหนึ่งคู่รักที่ใช้ชีวิตตามปกติร่วมกัน  แม้จะสร้างความลังเลใจให้ผู้ชมได้ชั่วขณะ ว่าเธอมีใครอยู่ด้วยจริงๆหรือไม่

แต่หนังก็ไม่รอช้า พลิกเปลี่ยนเป็นการหยอดบรรยากาศและซาวน์ลึกลับหลอนๆให้ผู้ชมเดาต่อกันได้เองว่า ผู้ชายคนนี้คือส่วนเกินของห้องนี้ แขกที่ไม่ได้เชิญ ในห้องที่ปิดล็อคอย่างดี OMG! เพราะจริงๆแล้วเธออยู่โดยลำพัง รองเท้าเสื้อผ้าเหล่านั้นก็เป็นเพียงของที่ตั้งลวงไว้เผื่อใครประสงค์ร้ายมาเห็นเข้าแล้วเปลี่ยนใจไม่เข้าบ้าน (อันนี้ก็เป็นเทคนิคที่ผู้เขียนก็ใช้นะ และ adapt ใช้กับอีกสถานการณ์อื่นๆด้วย) ถ้าเช่นนั้นแล้ว ผู้ชายคนนี้คือใคร มาได้อย่างไร

เธอขอให้ตำรวจนำไปตรวจหาดีเอ็นเอ แต่เนื่องจากไม่มีอะไรส่อถึงความผิดบุกรุกหรือทรัพย์สินสูญหายที่จะเป็นคดีความได้ ตำรวจจึงไม่ได้ดำเนินการใด (อันนี้ก็พูดยากนะ ตำรวจอาจมองเป็นหตุการณ์บังเอิญทั่วไป เป็นเรื่องจุกจิกกวนใจ ไม่มีอะไรเป็นคดี ในขณะที่ประชาชนมองเป็นเรื่องของสวัสดิภาพที่อยากพึ่งพาตำรวจ เพราะมันอาจเป็นจุดเริ่มต้นของคดีร้ายแรงต่อไปก็ได้ ใครจะรู้)

ดูเหมือนว่าโจคยองมินจะใช้ชีวิตแบบวิตกกังวลเกินเบอร์หรือไม่ อย่าเพิ่งด่วนตัดสิน ต้องตามโปรแกรมหนังไปดูว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเธอบ้าง…

ทุกเช้าเธอตื่นมาด้วยอาการสลึมสลือ เพลียมึนงง ไปทำงานอย่างไม่สดชื่น หนักเข้าหนักเข้าทุกวัน จะเพราะเครียดวิตกเกินไปหรือไม่ ความหวาดระแวงผู้ชายรอบตัวเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นคนแปลกหน้าหรือคนพอจะรู้จักอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเดินถนนในที่มืดเปลี่ยว ขึ้นลิฟท์ด้วยกัน รปภ.หน้าลิฟท์ หรือลูกค้าที่แบงค์ซึ่งมีอาการจิตๆตามวอแวเธอ

หรือแม้แต่หัวหน้าหนุ่ม คิมซองโฮ (รับบทโดย อีชอนฮี) ซึ่งเหมือนจะเป็นคนดีคอยช่วยเหลือเธอ โอฮโยจูเองก็ยังเชียร์ให้สานสัมพันธ์เป็นแฟน จะได้แก้ปัญหาระยะยาว 555 แต่ก็มิวายมีมุมให้ตั้งข้อระแวงสงสัยหัวหน้าคิมจนได้ จนกระทั่งเกิดเหตุบังเอิญชวนสะเทือนขวัญเมื่อเขาเกิดมาตายปริศนาในบ้านของเธอ ตำรวจสายสืบอี (รับบทโดย คิมซองโอ) จึงเริ่มเข้ามาดูแลคดีอย่างจริงจัง

นอกจากนี้การที่เธอพบเบาะแสบางอย่างในห้องโดยบังเอิญ ทำให้เธอและโอฮโยจูตัดสินใจเริ่มติดตามหาความจริงด้วยตัวเอง ว่าภัยร้ายคุกคามประชิดตัวได้แม้ประตูจะล็อคแน่นหนาดีแล้ว เกิดขึ้นได้อย่างไร ใครคือคนร้าย

และเมื่อเนื้อเรื่องเข้าสู่ตัวละครหลักที่กงเฮียวจินแสดงนำ เราจะยิ่งอึดอัดกับความเป็นเหยื่อในกรงขังขนาดใหญ่ของผู้ชาย ทั้งชายที่ชอบแอบตามเธอมาที่ทำงาน เจ้านายที่เหมือนจะสนใจเธอเป็นพิเศษ ตลอดจนคนรอบตัวที่เป็นผู้ชายอื่น ๆ อย่างตำรวจที่เธอแจ้งความด้วย คนเฝ้าตึกที่เธอเช่า เพื่อนบ้านที่ไม่รู้ว่าใครบ้างเพราะไม่เคยทักทายรู้จักมักคุ้น เธอเป็นตัวแทนผู้หญิงที่ถูกกระทำทั้งทางตรงและอ้อม ทั้งทางกาย วาจาและจิตใจอย่างสมบูรณ์

แม้แต่ตอนที่เป็นการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดเธอก็เพียงผู้หญิงธรรมดาที่สั่นกลัวและตัดสินใจได้อย่างไม่ชาญฉลาด ที่อ่อนแอจนบางทีเรารำคาญและทุกข์ทรมานแทน แต่ท่ามกลางความหงุดหงิดขณะชมเราก็ต้องกลับมามองว่า นี่ล่ะผู้หญิงในโลกความเป็นจริงที่เวลาเผชิฐอันตรายเขาไร้ทางสู้ขนาดไหน ไม่มีหรอกฮีโร่หญิงใจบู๊แบบในหนัง ซึ่งตรงนี้น่าจะเป็นความเด่นของหนังที่ปรากฏชัดมาก ผิวเผินเหมือนจุดด้อยในการเล่าเรื่อง แต่กลับเป็นเรื่องน่าชื่นชมที่คิดแบบหัวใจผู้หญิงทั่วไป

และทางออกของหนังต่อคำตอบนั้นก็ออกจะเป็นว่า การที่ผู้หญิงจะเอาชีวิตรอดได้ ต้องกระทำตัวเสมือนชาย หรือนำอำนาจผู้ชายมาใส่สวมอีกที เช่นเดียวกับที่ตัวละครเอกจัดห้องให้มีอุปกรณ์หรือเครื่องแต่งกายของใช้ผู้ชายอยู่ทั่วไปหมดทั้งที่เธออยู่ลำพังเพื่อหลอกผู้ชายอื่น ๆ ว่าเธอมีผู้พิทักษ์ และในขณะตัวละครสมทบอย่างรุ่นน้องนางเอกที่กล้าชนกับอันตรายทั้งหลายก็ถูกนำเสนอในแบบหญิงห้าว หรือออกจะทอมบอยเสียด้วยซ้ำ ก็มีมุมการวิพากษ์ที่น่าสนใจทีเดียว

แต่ถึงกระนั้นก็ต้องยอมรับว่าหนังพยายามสร้างลีลาหลอกล่อผู้ชม ทั้งหักมุม สร้างกลขยักยักย้ายตัวร้ายไปมาจนดูน่าสับสน และเมื่อคิดตรองให้ดีก็พบว่าสอบตกยับเยินในฐานะหนังปริศนาที่ต้องมีตรรกะความสมเหตุสมผลที่ดีในการปะติดปะต่อเรื่องราวหลายเส้นเรื่องให้สู่บทสรุปที่ไม่สร้างความสงสัยต่อไปให้ผู้ชม

และน่าจะเป็นจุดอ่อนเดียวจริง ๆ ของหนัง แต่ก็มากพอที่จะทำให้หนังถูกตัดเกรดตกไป 1 ขั้นทีเดียว แต่ในด้านความเป็นหนังระทึกขวัญก็ต้องยอมรับว่าไม่น่าเบื่อ มีมุกการสร้างสถานการณ์คอยกระตุ้นทั้งความอยากรู้และการเอาใจช่วยตัวละครอยู่ตลอดเวลา ถือว่าดูสนุกอยู่เหมือนกัน

หนังทำได้ดีทั้งการใช้มุมกล้อง การจัดฉาก ใช้ภาพในโทนโลว์คีย์ และวางซาวน์ที่เร้าอารมณ์หลอนๆน่ากลัว ผสมลึกลับชวนติดตามค้นหา และยังบิวท์อารมณ์ระทึกลุ้นตื้นเต้น ในฉากหน้าสิ่วหน้าขวานที่ทยอยหยอดไว้ตลอดเรื่อง ประหนึ่งว่าผู้ชมได้อยู่ในเหตุการณ์ร่วม จนหลายฉากผู้เขียนเผลอหดขาขึ้นมาขดบนเก้าอี้โดยไม่รู้ตัว 555 ในฐานะที่เป็นผู้หญิงที่ต้องอยู่บ้านคนเดียวบ่อยๆ ดูแล้วก็เข้าใจอารมณ์ของตัวละครเลยนะ

รีวิว Door Lock - ห้องหลอนปริศนา


และในสภาวะสังคมยุคนี้ที่อาชญากรมีมากมาย แฝงตัวมาแทบทุกรูปแบบ พัฒนากลเม็ดสารพัดจนแทบจะตามไม่ทัน ตำรวจก็ไล่ไม่ทันบ้าง ดูแลได้ไม่ทั่วถึงบ้าง ช่องโหว่การดูแลก็มีบ้างดังตัวอย่างในหนัง เลยทำให้ผู้ชมโดยเฉพาะผู้หญิงในสังคมเมืองแบบนี้ย่อมอินคล้อยตามไปกับหนังได้ง่าย คงเป็นอีกสาเหตุที่ส่งให้หนังค่อนข้างประสบความสำเร็จ นอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องของความสามารถที่ดีเยี่ยมของกงฮโยจินที่ไม่เคยทำให้ผู้ชมผิดหวังเลย

สรุป

หนังใส่ใจรายละเอียดบอกเล่าให้เห็นถึงนิสัยใจคอของตัวนางเอกได้อย่างน่าชื่นชม แถมยังสะท้อนสังคมได้อย่างน่าสะพรึงกลัว หนังเรื่องนี้บอกเล่าได้เป็นอย่างดีถึงความอันตรายในสังคม ที่ต้องเจอของผู้หญิงที่อยู่ตัวคนเดียว ทั้งโรคจิตคอยแอบตาม คนที่เจอะเจอในชีวิตประจำวัน หัวหน้างาน ถึงแม้คุณจะแข็งแกร่งหรือเป็นระเบียบแค่ไหน แต่เมื่อคุณเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว ต้องมีระแวงกับสิ่งเหล่านั้นบ้างไม่มากก็น้อย ยิ่งถ้าชีวิตจริงใครเป็นผู้หญิงที่อยู่ตัวคนเดียว คุณดูเรื่องนี้จบก็อาจจะระแวง และระมัดระวังไปในคราวเดียวกันมากขึ้นอีกเท่าตัวเลยทีเดียว
หนังมีลูกล่อลูกชน จังหวะหลอก จังหวะหลอน ตื่นเต้น ระทึก ลุ้น ได้อย่างยอดเยี่ยม ถูกที่ถูกเวลา เล่นเอาคนดูหายใจไม่ทั่วท้อง และหายใจไม่เป็นจังหวะตลอดทั้งเรื่องจริงๆ คนดูจะมีอารมณ์ร่วมกับหนังแบบไม่รู้ตัว แถมยังรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยอยู่ตลอดเวลาแน่นอน นั่นแหละคือจุดสนุกของหนังเรื่องนี้
ต้องชื่นชมนักแสดงนำอย่าง กงฮโยจิน มากๆ เธอเอาอยู่แบบสุดๆ เรียกได้ว่าเธอแสดงได้ดูวิตก หวาดกลัวมาก จนมันสามารถส่งผ่านมาถึงคนดูได้ในทุกฉากที่เธอแสดง หนังมันระทึกตื่นเต้น ลุ้น มากกว่าเดิมเพราะการแสดงของเธอเลยจริงๆ

How to Train Your Dragon: The Hidden World

ดูหนังออนไลน์

รีวิว How to Train Your Dragon: The Hidden World

อภิหารไวกิ้งพิชิตมังกร 3

เริ่มต้นจากมิตรภาพเหลือเชื่อระหว่างไวกิ้งหนุ่มกับมังกรไนท์ ฟิวรี ที่น่าสะพรึงกลัว ได้กลายเป็นไตรภาคอีพิคที่บอกเล่าเรื่องราวชีวิตของพวกเขา ในตำนานบทใหม่นี้ ในที่สุด ฮิคคัพและทูธเลสก็จะได้ค้นพบโชคชะตาที่แท้จริงของพวกเขาเสียที นั่นคือการเป็นหัวหน้าหมู่บ้านในฐานะผู้นำของเหล่าเบิร์ค เคียงข้างแอสทริด และการเป็นมังกรผู้นำฝูง ในขณะที่ทั้งคู่กำลังจะขึ้นครองอำนาจ ภัยคุกคามที่ร้ายกาจที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยเผชิญ รวมถึงการปรากฏตัวของไนท์ ฟิวรีเพศเมีย จะทดสอบสายสัมพันธ์มิตรภาพระหว่างพวกเขาอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน รีวิว อภิหารไวกิ้งพิชิตมังกร 3

เรื่องย่อ

ช่วงเวลาที่ชาวไวกิ้งและมังกรหลากพันธุ์อยู่ร่วมกันในเมืองเบิร์คอย่างสงบสุขกำลังจะหมดลง เมื่อ กริมเมล (เอฟ เมอร์เรย์ เอบราฮัม) นักล่ามังกรสุดโหดได้เปิดศึกหวังล้างเผ่าพันธุ์มังกรและชาวเบิร์คให้สิ้นซาก จน ฮิคคัพ (เจย์ บารูเชล) และ แอสทริด (อเมริกา เฟอร์เรรา) สองคู่รักแห่งเบิร์คต้องหาทางปกป้องชีวิตชาวเมืองและเหล่ามังกรโดยมีหมุดหมายสำคัญคือดินแดนลับแลในตำนาน

นับเป็นเวลาถึง 9 ปีแล้วนับจาก How to train your dragon ภาคแรกออกฉายในปี 2010 และมีภาคต่อออกฉายใน 4 ปีต่อมา นอกจากประสบความสำเร็จด้านรายได้แล้ว หนังทั้ง 2 ภาคยังผงาดท้าทายดิสนีย์เข้าชิงออสการ์สาขาอนิเมชั่นยอดเยี่ยม แถมยังมีซีรีส์หนังภาคแยกออกมาให้แฟนๆได้ติดตามกันมาโดยตลอด ซึ่งแม้จุดขายของหนังจะไม่ต่างจากอนิเมชั่นอื่นๆด้วยการสร้างคาแรกเตอร์ “เขี้ยวกุด” เจ้ามังกรพันธุ์เพลิงนิลในแบบที่แทบลบภาพจำตัวมังกรทั้งหลาย

อนิเมชั่นไตรภาคของ Dream Work ที่ได้รับเสียงตอบรับอย่างดีจากภาคก่อนๆ เป็นอีกอนิเมชั่นที่เติบโตไปพร้อมๆกับวัยเด็กของเรา ได้เห็นพัฒนาการของฮิชคัพ จากเด็กชายที่สูญเสียความมั่นใจในตัวเอง ไปจนกลายเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่แห่งหมู่บ้านเบิร์ค ที่ขนความสนุกสนาน ฉากแอคชั่น และบทที่ลงตัวมาให้เช่นเคย

ภาคนี้เล่าเรื่องราวผ่านมาประมาณ 1 ปี ที่ต่อจากภาคที่ 2 พระเอกของเรา Hiccup ได้กลายมาเป็นหัวหน้าหมู่บ้านแทนที่พ่อของเขา ซึ่งเขาและพรรคพวกต้องคอยปกป้องมังกรและให้ที่อยู่อาศัย จากพวกนักล่ามังกร เพื่อสานต่อเจตนารมย์ที่อยากจะให้มนุษย์อยู่ร่วมกับมังกรของเขาเอง แต่นั่นทำให้เขาได้เจอกับวายร้ายคนใหม่ที่ยากจะรับมือ ทั้งหมดต้องต่อสู้ และอพยพไปตามหาสถานที่ซึ่งเชื่อว่าเป็นดินแดนลับแล ที่มนุษย์และมังกรจะสามารถอยู่กันได้อย่างสงบสุข และนี่คือตำนานบทใหม่ครั้งสุดท้ายของพวกเขา

ด้วยหน้าตาที่แทบถอดแบบแมวแบ๊วๆ สร้างความน่าเอ็นดูมากกว่าน่ากลัวหรือน่าเกรงขามแบบมังกรเรื่องอื่นๆ แต่สิ่งที่ ดีน เดอบลัวส์ ผู้กำกับที่รับผิดชอบกำกับหนังไตรภาคนี้ให้ความสำคัญกลับเป็นบทและพัฒนาการของตัวละคร ตั้งแต่ภาคแรกที่เราได้เห็น ฮิคคัพ เลือกทางเดินที่ต่างจากสิ่งที่พ่อคาดหวังเพื่อพิสูจน์ความเชื่อของตนเอง สู่ภาคสองที่ฮิคคัพต้องเผชิญหน้าศัตรูในสงครามเพื่อความอยู่รอดของชาวเบิร์คและพบบทเรียนแรกที่ทำให้เขารู้จักกับความเสียสละจากพ่อของเขาเอง

จนมาถึงในภาค Hidden World นี้เองที่ฮิคคัพ ได้เรียนรู้คุณค่าของความรักและการปล่อยวาง ซึ่งถือเป็นบทเรียนสำคัญที่สุดในการเติบโต และด้วยความประณีตในงานบทภาพยนตร์ก็ทำให้หนังชุด How To Train Your Dragon มีเรื่องราวที่แข็งแรงและคนดูสามารถเชื่อมโยงได้ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาความน่ารักของคาแรกเตอร์มังกรอย่าง เขี้ยวกุด มาปิดช่องโหว่ของหนังเหมือนอนิเมชั่นภาคต่อเรื่องอื่นทำกัน

นอกเหนือจากบทภาพยนตร์ที่ถูกกลั่นกรองมาเป็นอย่างดีแล้ว อีกส่วนที่ดูหนังออนไลน์ไม่พูดถึงไม่ได้คืองานภาพ ซึ่งแม้ How To Train Your Dragon ทั้ง 2 ภาคก่อนหน้าจะมีงานภาพที่สวยงามและน่าจดจำอยู่แล้ว แต่กับ The Hidden World เราก็ยังได้เห็นความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ และทำให้เห็นสเกลงานที่ดูยิ่งใหญ่สมศักดิ์ศรีภาคต่อของอนิเมชั่นฮิต

โดยภาคนี้เราจะได้เห็นการออกแบบเมืองเบิร์คยุดใหม่ที่เป็นบ้านสีสันสดใส เห็นการออกแบบเรือของเหล่านักล่ามังกรที่ดูอึมครึมน่าสะพรึงกลัว ไปจนถึงฉากเมืองลับแลที่ต้องบอกว่าสวยงาม คัลเลอร์ฟูล มากๆ เรียกได้ว่างานภาพนี่น่าประทับใจไม่แพ้หนังคนแสดงทุนสูงๆเลยทีเดียว ซึ่งใครหลงรักซีนโรแมนซ์ระหว่างเจ้าเขี้ยวกุด และ น้องเพลิงนวล จากตัวอย่างหนังขอบอกว่าในหนังถ่ายทอดออกมาได้น่ารักชวนจิกหมอนฝุดๆไปเลย

และแน่นอนว่าส่วนสำคัญที่ทำให้ตัวละครอนิเมชั่นมีชีวิตและสื่ออารมณ์ได้ชัดเจนที่สุดก็หนีไม่พ้นบรรดานักพากย์ทั้ง เจย์ บารูเชล และ อเมริกา เฟอร์เรราที่ให้เสียงฮิคคัพและแอสทริดได้อย่างมีเสน่ห์เหมาะแก่คาแรกเตอร์ รวมถึงบทสมทบที่ได้นักแสดงมากความสามารถทั้ง เคต แบลงเชต, โจนาห์ ฮิลล์ และ คริสเตน วิก ที่ยังกลับมาสร้างสีสันปิดท้ายไตรภาคกันอย่างเต็มที่

ซึ่งตรงนี้โดยส่วนตัวเว็บดูหนังมองว่าเป็นความชาญฉลาดของดรีมเวิร์คที่เลือก “เสียง” ที่ใช่มากกว่าชื่อเสียงและหน้าตาของนักแสดงเพราะมันทำให้เราดูหนังโดยไม่เอาหน้าของดาราคนนั้นๆมาสวมทับตัวละคร และทีละน้อยเสียงพากย์และภาพคาแรกเตอร์ก็ค่อยๆกลมกลืนและมีชีวิตในความทรงจำคนดู
โดยในหนังภาคนี้นอกจากพระเอกนางเองและเหล่ามังกรแล้ว บรรดาตัวละครสมทบยังมีพัฒนาการและบทบาทที่มากขึ้นมากกว่าการสร้างสีสันแบบเดินผ่านไปผ่านมา ซึ่งก็ถือเป็นคุณงามความดีของบทหนังที่เฉลี่ยบทให้ตัวละครทุกตัวได้มีซีนสร้างความประทับใจคนดูได้เป็นอย่างดี

อภิหารไวกิ้งพิชิตมังกร 3

ความรู้สึก

ต้องพูดเลยว่าหนังอนิเมชั่นเรื่องนี้ภาพสวยมากกกกกกกก สวยแบบสวยมากจริงๆ การเคลื่อนไหวของตัวละคร เส้นผม สุดยอดมาก สวยจนยากเกินจะบรรยาย ตอนดูนี่ลืมไปเลยว่าทะเลที่เราเห็นในหนังมันเป็นภาพ CG สวยยังกะภาพจริง ฉากมังกรในเมืองลับแลนี่เล่นเอาเราอ้าปากค้าง และว้าวกับความงดงามนั้นจริงๆ (ที่คุณเห็นในตัวอย่างนั่นแค่ส่วนน้อย ในเรื่องสวยมากกกกก)

หนังอนิเมชั่นเรื่องนี้ดูง่ายมาก เป็นหนังอนิเมชั่นที่เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูดี และในภาคนี้ไม่ต้องเสียเวลาบอกเล่าตัวละครเลย เพราะหลายๆ คนที่มาดูคงรู้จักและรู้สึกผูกพันกับตัวละครเหล่านี้ไปโดยปริยาย นั่นจึงง่ายต่อการเล่าเรื่องของหนังเรื่องนี้อีก ทั้งสนุก ตลก มุกก็ใส่มาถูกจังหวะจะโคน ที่สำคัญตัวเด่นของเรื่องอย่างเขี้ยวกุดก็ยังคงน่ารัก น่าเลี้ยงเช่นเดิม เพิ่มเติมคือมังกรเพลิงนวล สีขาว ที่ดูน่ารัก สวย งดงาม ไม่แพ้กันเลย คือแค่จ่ายค่าตั๋วมาดูมังกรสองตัวนี้มุ้งมิ้งกันก็คุ้มแล้วอะจริงๆ 555

การดำเนินเรื่องในภาคนี้อาจจะไม่เข้มข้นเท่าสองภาคแรก และค่อนข้างจะเรื่อยๆ ไปซะหน่อย แต่มันก็ยังสร้างความสนุกและดึงให้เรามีอารมณ์ร่วมกับหนังอยู่เรื่อยๆ ฉากแอ็คชั่นอาจจะน้อย ไม่หวือหวา ตื่นตาตื่นใจเหมือนอย่างภาค 2 แต่มันก็มีให้เราได้เอ็นจอยกับมันบ้าง

แต่รู้สึกว่าภาคนี้จบได้ลงตัวมาก ถึงแม้ว่าเรื่องนี้อาจจะยังไม่สมบูรณ์แบบเท่าที่ควร แต่มันคือการปิดไตรภาคที่งดงามสุดๆ เราชอบทิศทางในตอนจบของเรื่องนี้มาก เราคิดว่าจบแบบนี้แหละ คู่ควรแก่เรื่องทั้งหมดที่บอกเล่ามาเกือบ 10 ปี หลายๆ คนคงจะยกให้แฟรนไชส์ How to Train Your Dragon ติดหนังอนิเมชั่นในดวงใจอย่างแน่นอน

สิ่งที่น่าเสียดาย

อย่างที่ได้บอกไปว่ามันค่อนข้างจะเรื่อยๆ ตัวร้ายก็เหมือนจะดี แต่รู้สึกว่าง่อยไปหน่อย ตัวร้ายในภาคสองคือยอดเยี่ยมแล้ว จริงๆ ทางค่ายจะให้ตัวร้ายในภาคสองมาโผล่ในภาคสามด้วยซ้ำ อีกอย่างคือ เรารู้สึกว่าจุดพีคและฉากจบในหนังอนิเมชั่นเรื่องนี้มันยังไม่สุด มันควรจะขยึ้และเรียกน้ำตาได้มากกว่านี้ ถ้ามันทำฉากนั้นออกมาให้ดีกว่านี้ รับรองได้ว่าเรียกน้ำตาคนดูได้อีกบานเลย

สรุป

How to Train Your Dragon ตั้งแต่ภาคแรกจนถึงภาคนี้ให้ความสนในไปที่จิตใจของตัวละครเป็นหลัก โดยเฉพาะฮิชคัพ จากนั้นก็ค่อยๆ ปูเอาความสัมพันธ์ของเพื่อน พ่อแม่ คนรัก และหัวหน้าเผ่ามาถักทอให้เกิดภาพความเป็นมนุษย์ ความสัมพันธ์หลักของภาคนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับการเติบโตและความรัก เราจะได้เห็นการตัดสินใจที่เป็นผู้นำแบบสุดๆของฮิชคัพ เราจะได้เห็นการเติบโตระหว่างความสัมพันธ์ที่ไม่ใช่แค่สัตว์เลี้ยง เราจะได้เห็นความเชื่อใจของคนที่เรารัก ประกอบเป็นภาพที่งดงาม ตราตรึงในตอนจบ
สำหรับผมแล้วเป็นหนังที่ทำภาคจบออกมาได้ครอบคลุม มันเหมือนภาพบันทึกชีวิตของฮิชคัพ ที่เต็มไปด้วยจิตนาการ จากเด็กขี้แพ้ไปสู่ผู้นำที่เข้าใจผู้คน มีมังกรน่ารักน่าชังให้เสน่ห์ และเป็นคำบอกลาที่ดีของหนังไตรภาค เราต่างก็เติบโตไปมีชีวิตของตัวเอง และทุกงานเลี้ยงมีวันเลิกลาและสำหรับ  How to Train Your Dragon เป็นการเลิกลาที่งดงามมากๆ เรื่องหนึ่งเลยล่ะครับ

วันเสาร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2563

Escape Room

ดูหนังสด

รีวิว Escape Room - กักห้อง เกมโหด

เป็นหนึ่งในหนังเบอร์รองที่มีหน้าหนังน่าสนใจทีเดียวในเดือนนี้ กับแนวเกมไขปริศนา (Puzzle) เอาชีวิตรอดและหาความจริงเบื้องหลังไปพร้อมกัน ดูพลอตแนวนี้ก็ชวนนึกถึงพวกเกมแนว point & click ไขปริศนาที่ฮิตกันอยู่ช่วงหนึ่งในคอมพิวเตอร์ แล้วปัจจุบันก็โดดมาลงในมือถือให้เล่นกันหลายต่อหลายเกม ยิ่งสมัยนี้มีถึงขนาดเป็นร้านเกมที่สามารถชวนเพื่อนเข้าไปแก้ปริศนาห้องปิดตายซึ่งต้องออกมาในเวลาที่กำหนดด้วย และหากมองไปในโลกของภาพยนตร์ก็มีหนังเจ๋ง ๆ ที่นึกออกไว ๆ ในแนวนี้อย่าง
Cube (1997) Saw (2004) และ Exam (2009) ล้วนแล้วแต่เป็นหนังที่สร้างแฟนกลุ่มเฉพาะอย่างเหนียวแน่นทั้งสิ้นและแน่นอน Escape Room ก็นำอารมณ์ความรู้สึกท้าทายแบบนั้นมาสู่ผู้ชมผ่านตัวละครที่แตกต่างกันทั้ง 6 คนได้อย่างน่าสนใจ รีวิว Escape Room

เรื่องย่อ
คนแปลกหน้า 6 คน ได้รับกล่องลึกลับพร้อมกุญแจที่เชื้อเชิญพวกเขามาไขปริศนาห้องกลไกปิดตายหลากหลายห้อง เพื่อพิชิตเงินรางวัลมหาศาล หากแต่ว่าสิ่งที่ต้องนำมาเสี่ยงอาจหมายถึงชีวิตของพวกเขา ในตอนที่ไม่อาจหันหลังกลับ พวกเขาต้องร่วมมือเล่นเกมเพื่อเอาชีวิตรอดจากห้องนรกเหล่านี้ และค้นหาความจริงที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด

นี่เป็นหนังเรื่องที่ 3 สำหรับ อดัม โรบิเทล ผู้กำกับที่เป็นที่รู้จักกับหนังสยองขวัญภาพติดตาอย่าง The Taking of Deborah Logan (2014) และ Insidious: The Last Key (2018) โดยส่วนสำคัญกับหนังแนวนี้คงต้องดูไปถึงบท ที่ได้มือเขียนบทอย่าง บรากี้ เอฟ. สชูต กับ มาเรีย เมลนิค มาร่วมกันเขียน ซึ่งผลงานที่ชัดเจนสุดของ สชูต คือ Season of the Witch (2010) หนัง นิโคลัส เคจ ปะทะแม่มดยุคกลางที่เลือนลางในความทรงจำเราเหลือเกิน ส่วนเมลนิคนั้นมีเครดิตในการเขียนบทซีรีส์อย่าง American Gods ที่พอคุ้นหูคุ้นตาอยู่บ้าง

แต่ความเหนือคาดก็มาตรงที่ว่าหนังมีความละเอียดในเชิงบทสูงกว่าที่คิดไว้เยอะ ซึ่งบทนี้เองมักจะเป็นจุดอ่อนในหนังแนวนี้ที่ชอบมีรูโหว่ของพลอตให้เห็นมากน้อยต่างกันไป แต่กับ Escape Room ถือว่าทีมเขียนบททำการบ้านมาดีจนน่าชื่นชม ทั้งบทพูดคำคมที่น่าจดจำในช่วงต้นเรื่อง การปูพื้นตัวละครที่แตกต่างกันถึง 6 คน แล้วค่อย ๆ เรียงร้อยเผยปูมหลังผ่านการร่วมเล่นเกมได้อย่างน่าสนใจ เป็นลีลาการเล่าที่ดึงผู้ชมเข้าไปหา เข้าไปสงสัย อยากรู้ความเป็นมาของผู้เล่นแต่ละคน ที่ถูกผูกกับปริศนาในเกมอย่างลึกซึ้ง และไม้เด็ดของหนังก็คงเป็นทางลงหรือบทสรุปของเรื่อง ที่ว่ากันแล้วมักเป็นจุดตายของหนังไฮคอนเซ็ปต์หลาย ๆ เรื่องเสียด้วยซ้ำ แต่กับ Escape Room นั้นถือว่ามีทางลงที่สวยดีทีเดียว ทั้งผูกโยงกับคำใบ้ของตัวละครตอนต้นเรื่อง ทั้งการเชื่อมโยงที่เปิดกว้างและท้าทายไอเดียผู้ชมว่าหากมีภาคต่อจะสนุกขนาดไหน

ฉากเปิดเรื่อง หนังก็ทำให้เราระทึกตั้งแต่ต้นเรื่องเลย มันเลยส่งผลให้การดำเนินเรื่องหลังจากนั้นชวนตื่นเต้นและทำให้เราลุ้นว่าในแต่ละห้อง พวกเขาจะผ่านไปยังไง จะแก้ปริศนาได้ไหม จะรอดกันครบหรือเปล่า? ห้องแต่ละห้อง นั่นแหละคือจุดขายและความสนุกของหนัง แต่ในความสนุกนี้ เราก็รู้สึกติดนิดนึง เพราะดูหนังสดในจุดนี้กลับออกแบบปริศนาในแต่ละห้องได้ดูง่ายจนเกินไป แถมปริศนาแต่ละอย่างไม่เล่นกับคนดูเลย หนังไม่ปล่อยพื้นที่ให้คนดูได้คิดตามเกี่ยวกับการแก้ไขปริศนาในแต่ละห้องเลยแม้แต่นิดเดียว

โดยหนึ่งในอาวุธไม้ตายของหนังที่ต้องบอกว่าดีงามคือเกมปริศนาในแต่ละห้องนั่นเอง มันมีทั้งเวลาที่บีบบังคับ ความกดดันของผู้ร่วมเล่นเกม ตัวปริศนาที่ต้องอาศัยทั้งการสังเกต ความคิดนอกกรอบ พลังกาย และโชค ในแบบที่ว่าดูไปก็ลุ้นร่วมคิดไปกับตัวละคร อยากให้ผ่านให้รอดให้ได้ ซึ่งสนุกมากราวกับได้เล่นเกมนี้เอง ยิ่งระดับความอันตรายของเกมแต่ละห้องเพิ่มสูงขึ้น ความน่าค้นหาและเอาใจช่วยก็ยิ่งทวีคูณ มันให้อารมณ์เหมือน Saw ในแบบที่แฟนตาซีกว่าและสยดสยองน้อยกว่า ซึ่งคงเหมาะกับคนดูกลุ่มกว้างขึ้นด้วย เอาเข้าจริงแค่ฉากเปิดเรื่องเราก็เกร็งปัสสาวะเหนียวแล้วล่ะ ณ จังหวะนั้นรู้เลยว่าหลังจากนี้หนังต้องทำให้เรากระเพาะปัสสาวะอักเสบแหง ๆ แล้วก็ไม่เสียความตั้งใจนั้นเลย

ด้านนักแสดงก็ได้ดาราตัวสมทบจากหลากหลายวงการมาร่วมเล่น ดูเหมือนจะไม่ค่อยน่าชื่นชม แต่กลับเป็นว่าการที่ดาราแต่ละคนไม่ดังมาก ทำให้เราอินกับตัวละครแปลกหน้าเหล่านี้ได้ง่ายด้วย ที่น่าสนใจในกลุ่มนี้ก็มีเช่น เทย์เลอร์ รัสเซลล์ จากซีรีส์เน็ตฟลิกซ์ Lost in Spaceเดบาร่าห์ แอน โวลล์ ที่คุ้นหน้าในซีรีส์ค่ายมาร์เวล Daredevil และซีรีส์ชั้นดีอย่าง True Bloodโลแกน มิลเลอร์ จากหนัง Scouts Guide to the Zombie Apocalypse (2015) และ ไทเลอร์ ลาไบน์ จากหนังอินดี้ดูสนุกอย่าง Tucker and Dale vs Evil (2010) ซึ่งแต่ละคนแบกรับนิสัยและปฏิกิริยาตอบรับกับเกมที่ต่างกัน อันเป็นเคมีที่ทำให้เราดูหนังด้วยความสนุกขึ้นอย่างพอดิบพอดีกับแนวหนังแอคชั่น ไม่จัดจ้านจนต้องชิงออสการ์ แต่ก็อินไปด้วยได้มากพอ
รีวิว Escape Room

อย่างสุดท้ายที่ชอบเลยคือโปรดักชั่นดีไซน์ ทั้งตัวเกม และอาร์ตของห้องแต่ละห้องมีความละเมียดตั้งใจ ที่เห็นชัดเลยอย่างห้องที่ตีลังกากลับหัวนี่คือเจ๋งเลย ยังไม่นับอาร์ตในห้องหลัง ๆ ที่แปลกประหลาด งานภาพที่ไม่น่าเบื่อ กล้องเล่นกับเอกลักษณ์ของห้องแต่ละห้องได้สนุกมากด้วย ข้อด้อยที่ดูหนังผ่านเน็ตพอจับได้อย่างชัดเจนหนึ่งเดียวของหนังคือซีจีหลายฉากที่ดูลอย ๆ อยู่ แต่ก็ไม่ได้ขัดตาจนทำลายความดีงามอื่น ๆ ของหนัง แต่ก็เป็นเรื่องที่หยิบยกมาพูดได้หากจะมองหาจุดไม่ดีของหนัง ซึ่งว่าไปก็จิ๊บจ๊อยมากเหมือนกันเพราะมันไม่ใช่หนังโชว์ซีจีอยู่แล้ว

ความรู้สึก

หลังจากได้ดูหนังแล้วต้องบอกเลยว่าช่วงแรกของหนังนั้นเปิดเรื่องเดินเรื่องวางคอนเซ็ปเรื่องได้ดีน่าติดตามเป็นอย่างมาก ดีซะจนคิดว่ามันต้องจบแบบพีคๆ แน่ๆ แต่แล้วพอมาถึงช่วงกลางเรื่องไปจนจบเรื่องนั้น ไอเดียความแปลกใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นมาช่วงต้นเรื่องก็ได้หดหายไปเรื่องๆ จนกลายเป็นเพียงแค่หนังระทึกขวัญธรรมดาเรื่องนึงเพียงเท่านั้น ถ้าถามว่ามันลุ้นมากมั้ยก็บอกได้ว่าลุ้นมากจริงๆ เพียงแต่ช่วงท้าย การที่เขียนบทไปให้จบอะไรในสไตล์นั้นมันเหมือนเป็นดาบ 2 คม เพราะถ้าจะเล่นตอนจบแนวๆ นี้แล้วควรที่จะเล่นไปให้สุดโต่งไปเลย พอเรื่องนี้มีฉากจบที่พยายามเพลย์เซฟตัวเองต่างๆ นานา มันเลยออกจะน่าเสียดายไปซะหน่อย

สิ่งที่น่าชื่นชมที่สุดของเรื่องนี้คงเป็นงานโปรดักชั่น เพราะแต่ละห้องออกแบบมาได้มีกิมมิคเฉพาะตัว และสวยงามไม่ใช่เล่น บวกกับการถ่ายทำ มุมกล้องต่างๆ ซึ่งสิ่งเหล่านั้น มันกระตุ้นให้หนังสนุกและน่าดูมากขึ้นอีกหลายเท่าตัวเลย

แต่สิ่งที่น่าเสียดายมากๆ คือบทสรุปจบของหนัง มันหาทางจบง่ายเหลือเกิน ที่ใครติตดามแนวนี้มาบ่อยๆ คงจะเดากันได้ไม่ยากเลย เพราะหนังแนวๆ นี้มันแทบจะจบแบบนี้ซะทุกเรื่องเลย อีกทั้งประเด็นรองของแต่ละตัวละครในหนังที่ส่งผลกับหนังเพียงนิดเดียว และเกือบหลุดประเด็นไปซะนี่

สรุป

ถ้าคุณต้องการชมหนังลุ้นระทึก บีบหัวใจ นั่งลุ้นตัวเกร็งแล้วล่ะก็ Escape Room ตอบโจทย์ในส่วนนี้เป็นอย่างมาก แต่ถ้าใครต้องการอะไรมากกว่าความระทึก หรืออะไรที่แปลกใหม่ในหนังสไตล์นี้ ต้องบอกว่าคุณคงจะผิดหวังเบาๆ แต่ส่วนตัวผมเองแล้วถ้าหนังมันตอบโจทย์ความระทึกได้ก็ถือว่าตัวเองดูหนังเรืองนี้สนุกได้แล้วครับ

On the Basis of Sex

ดูหนังสด

รีวิว On the Basis of Sex - สตรีพลิกโลก

เป็นหนังที่มีส่วนผสมหลากหลายแนวรวมอยู่ในเรื่องนี้ เป็นทั้งหนังชีวประวัติบุคคลสำคัญของสหรัฐ , หนังคอร์ตรูมดราม่า , หนังให้กำลังใจคนสู้ชีวิต และ หนังเฟมินิสต์ หรือหนังแนวคิดสตรีนิยม ที่ว่าด้วยวีรกรรมของรูธ เบเดอร์ กินส์เบิร์ก หญิงแกร่งสู้ชีวิตในยุค 50s ที่เอาชนะศาลสูงสหรัฐจนสามารถเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญกว่า 100 ปี ให้ปรับเปลี่ยนเพื่อความเสมอภาคแก่สิทธิสตรี และปัจจุบันเธอยังคงมีชีวิตอยู่กับวัย 85 ปี และตำแหน่งสุดท้ายของเธอคือ หนึ่งในองค์คณะผู้พิพากษาประจำศาลสูงของสหรัฐ รีวิว On the Basis of Sex - สตรีพลิกโลก

เนื้อเรื่อง

ด้วยเรื่องราวที่ว่าด้วยหญิงแกร่ง หนังก็ยังเพียบพร้อมไปด้วยทีมงานหญิงแกร่งทั้งหน้ากล้องและหลังกล้อง เบื้องหน้าคือ เฟลิซิตี้ โจนส์ ดาราสาวฝีมือดีที่มีงานให้เราเห็นกันมาหลายเรื่องแล้วอย่าง Rogue One , Inferno และ A Monster Call และเธอยังเคยเข้าชิงออสการ์มาแล้วจาก The Theory of Everything ในเรื่องนี้เธอเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม หลังจากที่นาตาลี พอร์ตแมน บอกผ่านไปเพราะหนังชะงักอยู่ในช่วงเตรียมการสร้างอยู่นาน

แล้วยังได้ มิมี ลีเดอร์ ผู้กำกับหญิงมากประสบการณ์ที่ห่างหายจากวงการไปนาน แต่หลายคนก็น่าจะจำ The Peacemaker และ Deep Impact ผลงานโดดเด่นในอดีตของเธอได้ และอีกหนึ่งเบื้องหลังคนสำคัญแต่ไม่ได้เป็นผู้หญิงก็คือ แดเนียล สตีเปิลแมน

ผู้เขียนบทภาพยนตร์ เหตุเพราะเขาเป็นหลานชายแท้ ๆ ของรูธ เบเดอร์ กินส์เบิร์ก ซึ่งทำให้มั่นใจได้ว่าเรื่องราวไม่น่าจะผิดเพี้ยนไปจากความจริงมากนัก นอกเหนือจากดูหนังสดการถ่ายทอดเรื่องราว แดเนียล ก็มีทีเด็ดซุกซ่อนไว้ในบทสนทนา ที่ออกจากปากของรูธแล้วสร้างเสียงหัวเราะได้บนถ้อยคำจิกกัดประชดประชัน

หนังย้อนไปเล่าเรื่องราวในยุค 50s ในวันที่เธอเพิ่งสอบเข้าเรียนกฏหมายที่ฮาร์วาร์ดได้สำเร็จ ซึ่งอยู่ในช่วงที่เพิ่งเปิดรับนักศึกษาหญิง แต่ก็โดนสบประมาทตั้งแต่แรกเข้าเรียน ด้วยเหตุที่เธอเข้าเรียนตาม มาร์ติน สามีของเธอซึ่งเรียนอยู่ปี 2 แต่รูธ ก็แสดงให้เห็นว่าเธอทำหน้าที่ได้เปอร์เฟ็คทั้งการเป็นภรรยา แม่ และนักเรียนที่ขยันตั้งใจ รูธ สามารถทำคะแนนได้เป็นที่หนึ่งของชั้น

ก่อนจะย้ายไปเรียนจนจบที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย หนังปูความให้เห็นความกดดันของรูธ ที่ต้องเติบโตมาท่ามกลางสังคมยุคที่สตรีแทบไม่มีบทบาทในสังคม ยังไม่มีสิทธิ์แม้จะออกเสียงเลือกตั้ง ที่มีฐานันดรเหนือกว่าชนผิวสีมาหน่อยเดียวแค่นั้น แม้ว่าเธอจะเรียนจบด้วยคะแนนสูงสุด

รูธใฝ่ฝันอยากเป็นทนาย เธอเดินสมัครงาน 10 กว่าที่แต่ก็ไม่มีสำนักงานกฏหมายสักแห่งยอมรับเธอเข้าทำงาน สุดท้ายรูธก็ลงเอยด้วยการเป็นอาจารย์ ที่ต้องกล้ำกลืนสอนลูกศิษย์ด้วยการยกอ้างคดีสำคัญในประวัติศาสตร์ ที่สตรีต้องถูกตัดสินให้แพ้คดีมากมาย เพราะกฏหมายขีดเส้นข้อจำกัดให้สตรีไว้ 100 กว่าตัวบทกฏหมาย และเมื่อมาร์ติน สามีของเธอได้รับว่าความให้คดีหนึ่งที่ผู้ฟ้องร้องเป็นชาย

แต่ถูกตัวบทกฏหมายขีดข้อจำกัดไว้เช่นกัน รูธ มองเห็นว่านี่คือโอกาสทองของเธอ ที่จะใช้คดีเป็นใบเบิกทางให้บรรดาผู้พิพากษาได้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำทางเพศในกฏหมายของอเมริกาที่สืบทอดมากว่า 100 ปีและถึงเวลาที่สมควรจะต้องปรับเปลี่ยนเสียที จากนาทีที่รูธลุกขึ้นมาขอทำคดี ก็ทำให้ดีกรีของหนังเร่งร้อนขึ้นอย่างรู้สึกได้ชัด

ด้วยความที่หน้าหนังเป็นทั้งหนังย้อนยุคไปถึง 60 ปีที่แล้ว และยังเป็นหนังที่ว่าด้วยวงการกฏหมาย มีทั้งอัยการ ทนาย และบรรยากาศในศาล จึงไม่ใช่หนังที่เรียกความสนใจจากผู้ชมในวงกว้างได้มากนัก แต่ถ้าเป็นคนที่ชอบหนังแนวคนตัวเล็กล้มยักษ์ด้วยข้อกฏหมายอย่าง A Civil Action (1998), Erin Brockovich (2000), Spotlight (2015) ก็น่าจะสนุกไปกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน หนังเล่าเรื่องให้ดูง่ายกว่า Spotlight

แต่ก็ไม่ถึงกับเอาใจตลาดแบบ Erin Brockovich เหตุเพราะเป็นหนังในแวดวงกฏหมายอย่างลึกซึ้งจริงจัง จึงทำให้หนังอัดแน่นไปด้วยบทสนทนา เรียกได้ว่าแทบไม่มีสักนาทีที่ซับไตเติ้ลจะห่างหายไปจากจอหนัง เป็น 2 ชั่วโมงที่ต้องอ่านซับไตเติ้ลหนักมาก และทุกถ้อยคำก็เต็มไปด้วยศัพท์เฉพาะทางกฏหมายยาก ๆ และหลาย ๆ ฉากที่บทสนทนาจะอ้างอิงคดีนั้น คดีนี้ มีชื่อบุคคลจากคดีต่าง ๆ ซึ่งว่าตามตรงก็ตามเนื้อหาไม่ทันได้ครบถ้วนหรอก แต่กระนั้นประเด็นของคดีหลักที่รูธหมายมั่นปั้นมือจะต่อกรกับศาลสูง ก็ยังน่าติดตาม เว็บสตรีมหนังและจับความสนใจคนดูไว้ได้ตลอดรอดฝั่ง

หนังปูให้เราเห็นถึงความยากลำบากของรูธ ที่จะดันคดีนี้ให้ไปถึงศาลสูง ทั้งการฝึกซ้อม ศึกษาคดีในอดีต หาแนวร่วม และเมื่อหนังเปิดเผยว่าคู่ต่อสู้ของเธอในคดีนี้ล้วนเป็นอดีตอาจารย์จากฮาร์วาร์ดของเธอ ยิ่งทำให้เห็นว่านี่เป็นคู่มวยที่ต่างชั้นกันเหลือเกิน แล้วหนังก็ขับเคี่ยวอารมณ์จนพาเรามาถึง 15 นาทีสุดท้าย ที่ทำได้ตึงเครียด กดดัน

แต่ก็ชวนลุ้นทั้ง ๆ ที่รู้ว่าสุดท้ายจะลงเอยอย่างไร เน้นย้ำว่ายกสุดท้ายที่เธอได้แถลงกับศาลสูงนั้น คม เฉียบ ลึกซึ้ง และได้ใจความ เห็นพ้องจริงที่ทำให้ศาลหยุดและตั้งใจฟัง ส่วนนี้ต้องชื่นชมกับคุณ เจไดยุทธ ที่แปลซับไตเติ้ลจากกฏหมายยาก ๆ ออกมาได้ความหมายภาษาไทย เชื่อว่าทำการบ้านมาพอสมควรล่ะ

และตัวหลักที่จับให้คนดูจดจ่ออยู่กับหนังได้ก็คือการแสดงของเฟลิซิตี้ โจนส์ ที่ถ่ายทอดความรู้สึกมากมายที่เธอเก็บไว้มาถึงผู้ชมได้ครบถ้วน และเห็นได้ชัดถึงความเป็นนักสู้ผ่านสายตาของเธอในหลาย ๆ ตอน และการที่เธอต้องประกบกับ อาร์มี่ แฮมเมอร์ ผู้มารับบทมาร์ติน สามีของเธอนั้น ยิ่งทำให้เฟลิซิตี้ ที่สูง 1.60 เมตร ก็เป็นมาตรฐานปกติของผู้หญิง

แต่อาร์มี่ แฮมเมอร์ นั้นเป็นนักแสดงชายตัวโคตรสูง 1.96 เมตร ก็เลยทำให้ภาพลักษณ์”รูธ”ของเธอนั้นเป็นสาวน้อยตัวเล็ก ดูช่างอ่อนแอบอบบางมากขึ้นไปอีก แต่ขณะเดียวกันเธอก็ทำให้เราเชื่อได้ว่าหญิงตัวเล็กคนนี้เป็นนักสู้ มีความภูมิฐาน และมีสติปัญญาที่จะต่อกรกับศาลสูงได้แม้จะเป็นมือใหม่ ที่ผู้คนรอบข้างต่างชี้ชัดว่าเธอไม่มีทางเอาชนะได้

รีวิว On the Basis of Sex

อีกรายที่เป็นคนโปรดของผู้เขียนเองคือ แคธี เบตส์ ดารายอดฝีมือรุ่นลายคราม ดีกรี 1 ออสการ์ แคธี่ โผล่ออกมาแค่ 2 ฉากรวมแล้วไม่น่าจะถึง 10 นาทีด้วยซ้ำ ในบทโดโรธี แคนยอน ทนายหญิงรุ่นเก๋าชื่อดังที่เราได้ยินรูธเอ่ยชื่อเธอมาหลายครั้ง ก่อนที่เธอจะปรากฏตัว แล้วทุกนาทีที่แคธี อยู่บนจอก็สะกดความสนใจให้อยู่กับเธอได้ ไม่เคยทำให้เสียชื่อดีกรี 1 ออสการ์ของเธอเลย

ความรู้สึก

สิ่งที่เจ๋งมากๆ ที่เราเห็นตั้งแต่เริ่มยันจบก็คือ Tone และ Mood ของหนัง ที่คุมเอาไว้อย่างดี เริ่มตั้งแต่การแต่งตัวของ Ruth ที่ตั้งแต่เริ่มเรื่อง เธอจะใส่ชุดที่สีโดดเด่น แตกต่างจากคนอื่นๆ เพื่อให้เห็นถึงความแตกต่าง แปลกแยกจากผู้ชาย ให้เห็นถึงสภาพสังคมในยุคตอนนั้น และในตอนจบเธอจะใส่ชุดสีเดียวกันเพื่อบ่งบอกถึงความเท่าเทียมกันในเพศสภาพ เท่านั้นยังไม่พอ หนังแต่ละองค์ยังคุมโทนของภาพตลอดทั้งเรื่องอีกด้วย นับว่างานด้านภาพสุดยอดจริงๆ หนังยังใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ ที่บ่งบอกถึงสภาพสังคมในยุคนั้นๆ เช่นการที่คนผิวสีทำชนชั้นแรงงาน ผู้หญิงด้อยกว่า ชายเป็นใหญ่ อะไรทำนองนั้น

สรุป

แม้ว่าOn The Basis Of Sex จะไม่ใช่หนังในกลุ่มเอาใจตลาด แต่ก็เป็นหนังที่ให้ความบันเทิงได้จริง ถ้าเป็นคนที่ชอบหนังว่าความในศาลจะยิ่งถูกใจเป็นพิเศษ เป็นหนังที่ให้ครบทั้งความบันเทิง และความรู้เรื่องราวสำคัญในการพลิกหน้าประว้ติศาสตร์กฏหมายสหรัฐฯ และน่าจะส่งผลถึงทั้งโลก ที่มีผลมาจากสตรีผู้นี้ รูธ เบเดอร์ กินส์เบิร์ก และนาทีสุดท้ายที่ตัวจริงของเธอมาปรากฏโฉมให้เห็น ก็เรียกเสียงเฮด้วยความชื่นชมได้เช่นกัน

Glass - คนเหนือมนุษย์

ดูหนังฟรี

รีวิว Glass - คนเหนือมนุษย์

หนังไตรภาคของ M.night Shamaran ที่ใช้เวลาเดินทางนานถึง 19 ปีจากจุดกำเนิดกำกับหนังเรื่องแรก Unbreakable หนังฮีโร่แนวจิตวิทยาสมจริง และSplit หนังฆาตรที่มีสัญญะแบบปีศาจภายใต้โรคจิตเภทหลายบุคลิก ซึ่งคงเอกลักษณ์ความเป็นเอมไนท์ไว้เต็มคราบ ทั้งองค์ประกอบภาพที่ผิดแปลก เต็มไปด้วยการปิดบัง ภาพที่บิดเบี้ยว การตัดต่อที่เนิบช้ากดดัน และการเล่าเรื่องที่ไม่หวือหวา โดยหันไปให้ความสำคัญกับความนิ่งเฉยในตัวละครต่างๆ ความคิดที่ปะเดปะดังเข้ามาในช่วงเวลาต่างๆ พร้อมกับ Easter Egg ประจำตัวของซีรีย์ที่ทำให้แฟนๆรู้สึกคุ้นเคย รีวิว Glass - คนเหนือมนุษย์

เรื่องย่อ

หลัง เดวิด ดันน์ (บรูซ วิลลิส) ฮีโร่กระดูกเหล็ก และ เควิน (เจมส์ แม็คอวอย)ชาย 24 บุคลิกอันตราย ถูกจับเข้าโรงพยาบาลจิตเวศ พวกเขาต้องทุกข์ทรมานจากการรักษาของ ดร. เอลลี สเตเปิล (ซาราห์ พอลสัน) จิตแพทย์ผู้หวังเปลี่ยนคนไข้ให้เลิกหลงผิดในพลังพิเศษ โดยหารู้ไม่ว่าจอมวางแผนอย่าง อีไลจาห์ กลาส (แซมมวล แอล แจ็คสัน)อดีตคู่แค้นของดันน์ก็มีแผนในใจที่หวังให้โลกได้เห็น ฮีโร่ และ ผู้ร้าย เปิดศึกนองเลืองกันบนอาคารที่สูงที่สุดในเมือง

หนังว่าด้วยเรื่องของการบรรจบของสองเส้นเรื่องระหว่าง Unbreakable ฮีโร่ประจำเมืองฉายา Overseer หรือผู้คุมกฏ ที่ออกเตร่ช่วยเหลือผู้คนใต้ผ้าคลุมฝนกับความมืดมิด และ Split คนหลายบุคคลิกที่มีตัวอันตรายระดับสูง เขาเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่มีพลังทำลายมากกว่ามนุษย์ทั่วไปมาก ที่ทั้งหมดจะลงเอยที่สถาณจิตเวชเรเวน ภายใต้การนำทีมของจิตแพทย์เอลี่ ซึ่งเชื่อมั่นว่าพวกเขาทั้งสอง และรวมไปถึง Mr.Glass ตัวร้ายภาคแรกนั้นสำคัญตนผิดคิดว่าเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ โดยพยายามล้มทฤษฏีของ Mr.Glass ที่อธิบายเกี่ยวความน่าจะเป็นของการ์ตูน และใช้เหตุผลที่เป็นไปได้ชักจูงให้พวกเขากลายเป็นคนธรรมดา
แต่ Mr.Glass เป็นอัจฉริยะ เขาเป็น Master Mind นักวางแผนการที่สุดยอด และนั่นจึงนำไปสู่ตอนจบที่หักมุมต่อเนื่องจนจบได้สมบูรณ์แบบสุดๆ

โดยหนังจะเป็นการดำเนินเรื่องโดยพุ่งไปที่ 3 ตัวละครหลักที่มีพลังเหนือมนุษย์นั่นก็คือ Kevin Wendell Crumb รับบทโดย James McAvoy จากเรื่อง Split ปี 2016 ชายผู้ใกล้เคียงกับคำว่าปีศาจมากที่สุด เขาเป็นผู้มีบุคลิกที่หลากหลายกว่า 23 บุคลิก และบุคลิกที่ 24 ที่น่ากลัวที่สุดของเขาก็ได้ตื่นขึ้นมาแล้วในท้ายเรื่อง, David Dunn รับบทโดย Bruce Willis จากเรื่อง Unbreakable ปี 2000 ชายผู้ใกล้เคียงกับคำว่าฮีโร่มากที่สุด

เพราะเขามีความสามารถในการมองเห็นอดีตของคนได้โดยการสัมผัสอีกทั้งตัวเขายังเป็นมนุษย์ที่แข็งแกร่ง ไม่ยอมหัก ไม่ยอมตายอีกด้วย และสุดท้าย Elijah Price รับบทโดย Samuel L. Jackson ชายผู้ใกล้เคียงกับคำว่า วายร้ายมากที่สุด เขาเป็นชายที่ร่างกายอ่อนแอมากๆกระดูดหักง่าย แต่มันก็แลกมาด้วยความฉลาดมากๆที่เขามี เขาผิดหวังจากโลกจึงทำให้ความคิดของเขากลายเป็นวายร้ายตัวฉกาจ ดูหนังฟรีปรากฏตัวครั้งแรกในเรื่อง Unbreakable และในปี 2019 เขากำลังจะกลับมาพร้อมกับหนังที่เป็นชื่อของตัวเขาเอง Glass ที่จะเป็นการรวมหนังอีก 2 เรื่องที่มีก่อนหน้านี้มาอยู่ในจักรวาลเดียวกัน...

นับว่า Glass เป็นโปรเจคต์ในฝันที่ เอ็ม ไนต์ ชยามาลาน เจ้าพ่อหนังหักมุมอยากสร้างมาร่วม10กว่าปี โดยนำตัวละคร ดันน์ และ กลาส มาจาก Unbreakable (2000) และ เควิน มาจาก Split (2016) ถักทอเรื่องราวระหว่างฮีโร่กับอสูร โดยไม่ลืมมีมุกจิกกัดการเมืองอเมริกาตามสไตล์ของผู้กำกับ จะว่าไปสไตล์หนังของ Glass คือถอดความ “Unbreakable” มาเลยแหละ

เป็นหนังของกี๊คการ์ตูนคอมิกแบบพูดถึงจักรวาล-ประวัติศาสตร์คอมิกจนเชื่อว่าเหล่า กี๊คการ์ตูน คือกรี๊ดสลบเลย และยังคงสไตล์ ชยามาลาน ทั้งอารมณ์ขัน มุกจิกกัดสังคม รวมถึงการปรากฎตัวเป็นคาเมโอ ของผู้กำกับเองที่คราวนี้ ดูแกมันส์มากให้ตัวเองเล่นซะยาวเชียว จนผลลัพธ์คือหนังที่ดูสนุกนะครับ แต่ก็เฉพาะกลุ่มพอควร

เพราะถ้าคนดูกลุ่มที่ไม่เชื่อในสิ่งที่ผู้กำกับเล่าก็จะเกลียดไปเลยเหมือนตอน Unbreakable นั่นแหละ โดยแก่นเรื่องแล้วสิ่งที่ Glass พยายามนำเสนอคือเรื่องราวของ ‘ตัวตน’ ซึ่งตรงนี้ยอมรับเลยว่า ชยามาลาน ได้โชว์ทักษะอันรุ่มรวยในการเล่าเรื่องได้ดีจริงๆทั้งการจับตรรกะของคอมิกเรื่องราวฮีโร่-ผู้ร้าย มาผสมเข้ากับการวิพากษ์ให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำทาง

ซึ่งหากมองให้ลึก การที่ กลาส มองคอมิกในฐานะประวัติศาสตร์ชิ้นหนึ่งแต่รัฐบาลไม่ต้องการให้คนเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงมิหนำซ้ำพวกเขายังพยายามใส่ความคนอย่าง ดันน์ เควิน และ กลาส ให้กลายเป็นเพียงคนบ้า ก็ไม่ต่างจากรัฐบาลเผด็จการที่หาเรื่องใส่ไฟคนเห็นต่าง หรือ คนตั้งคำถามกับการบริหารประเทศของรัฐ จนตรรกะที่ดูเพ้อเจ้อกลับค่อยๆแข็งแรงด้วยแมสเสจที่หนังกำลังพูดถึงอย่างมั่นอกมั่นใจนั่นเอง เพราะหากแทนตัวละครด้วยชนกลุ่มน้อยทั้งคนผิวสี ชนพื้นเมือง หรือชาวต่างชาติ ก็ไม่ต่างจากเรื่องจริงที่เจอได้ทั่วไปในอเมริกา

ซึ่งนั่นทำให้ Identity หรือ ตัวตน ที่แม้ในเรื่องจะแทนค่าเป็น ฮีโร่อย่างดันน์ , อสูรอย่างเควิน หรือ จอมบงการอย่างกลาส กลายเป็นประเด็นที่หนังต่อยอดถึงขั้นไปพูดถึงอำนาจของปัจเจกชนที่กล้าลุกมาเปลี่ยนแปลงประเทศจนรัฐสั่นคลอน ซึ่งถือเป็นประเด็นการเมืองร่วมสมัยที่ชยามาลานเลือกเล่าในยุครัฐบาล โดนัลดฺก์ ทรัมป์ หลัง The Village (2004) ที่ชยามาลานพูดถึงการปกครองด้วยความกลัวในสมัยรัฐบาล จอร์จ ดับเบิลยู บุช ทำให้เห็นว่าภายใต้หนังที่ดูเหมือนรวมจักรวาลฮีโร่ตามกระแสกลายเป็นงานตั้งคำถามกับสังคมได้อย่างลุ่มลึกอย่างไม่น่าเชื่อ

แต่เห็นหนังออนไลน์วิเคราะห์การเมืองในหนังอย่าเพิ่งมองว่าหนังออกมาเคร่งเครียดน่าเบื่อนะครับ ตรงกันข้ามเลยหนังมีมุกฮาๆหลายมุกเลย ซึ่งส่วนใหญ่มาจากจอมขโมยซีนอย่าง เจมส์ แม็คอวอย ที่เล่นเป็นเควินและเหล่าตัวตน 24 ตัวตนได้อย่างมีสีสัน ส่วนบรูซ วิลลิส ก็ทำให้เราหายคิดถึงด้วยบทเท่ๆอย่างเดวิด ดันน์ ฮีโร่ศาลเตี้ยที่แม้จะชราภาพแต่ความเท่ไม่ได้ลดลงเลย

หรือกระทั่งคนที่ถือเป็นต้นเรื่องอย่าง แซมมวล แอล แจ็คสัน ก็ทำให้ตัวละคร กลาส ที่เหมือนด้านตรงข้ามกับ นิค ฟิวรี่ ที่ดูฉลาดคาดเดาไม่ได้จนหนังดูสนุกมาก และไม่กล่าวถึงไม่ได้คือการปรากฏตัวของน้อง อันยา เทเลอร์ จอย ที่ออกมาแต่ละทีนี่ใจบางมาก ทั้งสวย น่ารัก หุ่นทรมานจิตใจ แถมเล่นดีจนเราเชื่อเลยว่า ต่อให้ต้องเป็นอสูรก็ยอม หากได้ใกล้ชิดน้องจอย ฮ่าาาาา

รีวิว Glass - คนเหนือมนุษย์

หนังสนุกระดับหนึ่ง มีกลิ่นอายของเอ็มไนท์มากมายให้คิดถึง ไม่ว่าจะมุมกล้องที่ผิดแปลกจากองค์ประกอบภาพทั่วไป การนำเสนอเนื้อเรื่องแบบดั้งเดิมผ่านการเล่าแบบเก่าๆ ซึ่งก็ทรงพลังในแบบของมัน หนังอาจช้าไปบ้าง ฉากแอคชั่นน้อยไม่หวือหวา แต่ความจริงจังของมันที่เน้นไปที่ความสมจริงและด้านจิตใจ ทำให้นึกถึงหนังเรื่องเก่าๆ ของเอ็มไนท์ ค่อยๆ ประคับประคองคนดูให้ไปถึงตอนจบที่ประเคนข้อมูลที่เราพลาดกลับมา และทำให้เรารู้สึกว่า อ้อ..มันเป็นแบบนี้นี่เอง (สำหรับคนทั่วไปๆอาจรู้สึกช้าไปหน่อยจริงๆ)

ซึ่งเอ็มไนท์ชื่นชอบการเล่าหนังหักมุมมากๆ และหนังเรื่องนี้ก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวัง เต็มไปด้วยสัญญะ ไว้ใจให้คนดูตีความต่อเรื่องกันเอาเอง โดยเฉพาะตอนจบของเรื่องที่ทำออกมาได้สมบูรณ์ในแบบของมัน
“ถ้าคุณเปิดใจรับพรสวรรค์ คุณจะเป็นอะไรก็ได้” ในความเป็นจริงบรรทัดนี้แอบซ่อนเอาไว้ในตัวละครทุกตัวของ Glass สัญญะของการ Balance และ Broken นั้นน่าสนใจ ทุกคนต้องการเป็นคนพิเศษ ตามหาความหมายว่าตัวเองเกิดมาทำไม แต่การกลายเป็นคนธรรมดาเพื่อความยุติธรรมนั้น มันออกจะโหดร้ายกับความเป็นมนุษย์ในตัวเรา โดยหนังเรื่องนี้ได้สะท้อนความเป็น Defence Mechanism ของมนุษย์จาก Balance ออกได้อย่างจับต้องได้มากๆ สมกับเป็นหนังที่มีโครงสร้างจากจิตใจของมนุษย์จริงๆ

สรุป

Glass ไม่จำเป็นต้องดูภาคเก่าๆ มาก็สนุกได้ การที่หนังมีแก่นเรื่องที่แข็งแกร่ง การแสดงระดับเทพ ตัวละครที่มีเสน่ห์ และตอนจบที่บริบูรณ์ด้วยการหักมุม ทำให้ Glass กับเอ็มไนท์มีความแตกต่างกับหนังทั่วไปมากๆ สำหรับคนที่ชื่นชอบหนังหักมุม คาดเดาเรื่องได้ยาก มีกลิ่นอายแปลกๆ หนังเรื่องนี้เหมาะกับคุณแน่นอน

Spider-Man: Into the Spider-Verse

ดูหนังฟรี

รีวิว Spider-Man: Into the Spider-Verse

SPIDER-MAN: INTO THE SPIDER-VERSE ภาคล่าสุดของโซนี่จะเป็นเรื่องราวของไมลส์ เด็กชายผิวสีที่ค้นพบว่าตัวเองก็เป็นหนึ่งในสไปเดอร์แมนอีกคน และพบว่าในจักรวาลนี้ไม่ได้มีเพียงแค่เขาเท่านั้นที่เป็นสไปเดอร์แมน เขาเริ่มออกช่วยเหลือผู้คนรวมถึงคนที่เขารักนั่นคือพ่อ ซึ่งเราจะได้เห็นสไปเดอร์แมนอีกหลายคน รีวิว Spider-Man: Into the Spider-Verse

นับเป็นยุคทองของสไปเดอร์แมนจริง ๆ เพราะนอกจากหนังฉบับ ทอม ฮอลแลนด์ จะไปได้ดีกับค่ายมาร์เวลจนมีภาคต่อเตรียมเข้าฉายปีหน้าในชื่อ Spider-Man: Far From Home และเกมที่ลงในเครื่อง PS4 ก็กระแสดี ยอดขายสูงจนอาจมีภาคต่อเช่นกัน แต่กระนั้นจะมาในรูปแบบไหนอีกเท่าไหร่ก็เชื่อว่าแฟน ๆ สไปดี้ก็คงยินดีที่จะอุดหนุนไม่มีทางเอียนไปง่าย ๆ เป็นดังนั้นแล้วค่ายโซนี่เลยจัดแอนิเมชั่นเข้ามาปลุกกระแสให้หนักขึ้นไปอีกในชื่อ Spider-Man: Into the Spider-Verse ซึ่งบ้านเราจะเข้าฉายหลังปีใหม่นี้เลย

โดยดูหนังฟรีจับความจากฉบับคอมิกส์ชื่อ Spider-Verse เมื่อปี 2014 เขียนเรื่องโดย แดน สลอตต์ ที่เนื้อหาเกี่ยวกับภัยคุกคามข้ามมิติจักรวาลของครอบครัวนักฆ่าแมงมุมของ มอร์ลัน ที่ตามล่าผู้ได้รับพลังแมงมุมในแต่ละจักรวาลมาสังเวยตามความเชื่อจนมาถึงโลกของเรา แต่สำหรับในฉบับหนังแอนิเมชั่นที่เราจะได้ดูนี้จะดัดแปลงเรื่องราวเป็นการทดลองของ วิลสัน ฟีสก์ หรือรู้จักกันดีในนาม คิงพิน มาเฟียตัวร้ายแห่งจักรวาลมาร์เวลคู่ปรับใหญ่ของสไปเดอร์แมน ที่พยายามลบความผิดพลาดในอดีตที่ทำให้สูญเสียลูกและเมียไป โดยการสร้างประตูมิติและหวังจะนำพาลูกกับเมียของตนในอีกจักรวาลหนึ่งกลับมา แต่ผลข้างเคียงที่จะเกิดขึ้นคือจะทำให้โลกของเราเกิดการล่มสลายเพราะความทับซ้อนของต่างมิติ ทั้งยังส่งผลให้เหล่าสไปเดอร์แมนในมิติอื่นหลุดเข้ามายังโลกนี้ด้วย

ความเปลี่ยนแปลงอีกประการคือการยกตัวเอกที่ไม่ใช่ ปีเตอร์ ปาร์กเกอร์ ในวัยผู้ใหญ่หรือเด็กมานำ  แต่เปลี่ยนมามองผ่านสายตาของ ไมลส์ โมราเลส เด็กผิวสีที่บังเอิญได้รับพลังแมงมุมและยังหาวิธีจัดการกับพลังที่ได้รับมาอย่างยากลำบาก ซึ่งจะคล้ายกับปีเตอร์ตอนวัยรุ่นเลย สำหรับคอคอมิกส์หรือสื่ออื่นที่ไม่ใช่หนังน่าจะคุ้นเคยกับไมลส์มาพอสมควรเพราะเขาโลดแล่นในฐานะสไปเดอร์แมนแทน ปีเตอร์ ปาร์กเกอร์ มาได้พอสมควรแล้ว แต่สำหรับคอหนังนี่คือการตัวครั้งแรกและยังได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ของสไปเดอร์แมนที่มีมากกว่าหนึ่งคนเลยด้วย

แอนิเมชั่นนี้เป็นผลงานการกำกับของ บ๊อบ เพอซิเชตตี้ (มือเขียนบท The Little Prince (2015)ปีเตอร์ แรมซี่ย์ (ผู้กำกับ Rise of the Guardians (2012) และ ร็อดนี่ ร็อธแมน (มือเขียนบท 22 Jump Street (2014) โดยมี ฟิล ลอร์ด ที่เคยเขียนบทหนังอย่าง The Lego Movie (2014) มาดัดแปลงเรื่องราวด้วย ก็นับว่าลงตัวเมื่อมองโจทย์ว่าอยากทำแอนิเมชั่นที่มีความหลากหลายในการนำเสนอ (The Little Prince กับ Rise of the Guardians) มีมุกตลกเจือ (22 Jump Street) และสามารถผูกเรื่องราวมากมายหลายมิติหลายตัวละคร ที่ประหนึ่ง The Avengers ของจักรวาลสไปเดอร์แมนให้มารวมกันได้ลงตัว (The Lego Movie) คือมองขาดมาก

นอกจากนี้หนังถ่ายทอดสดยังมีดาราที่คาดไม่ถึงมาให้เสียงพากย์อีกทั้ง เฮลีย์ สไตน์เฟลด์ ที่กำลังร้อนแรงกับหนัง Bumblebee ก็มาให้เสียง เกวน สเตซี่ ในจักรวาลที่เธอโดนแมงมุมกัด มาเฮอร์ชาลา อาลี ดาราผิวสีที่มีลุ้นออสการ์อีกครั้งกับหนัง Green Book ที่แอบเชียร์อยู่เหมือนกันมาให้เสียง อารอน โมราเลส อาสุดรักของไมลส์ซึ่งสร้างจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตไมลส์ไม่ต่างกับลุงเบนในจักรวาลนี้เลยทีเดียว ดราหนุ่มจากหนัง Wonder Woman อย่าง คริส ไพน์ มาให้เสียง ปีเตอร์ ปาร์กเกอร์ ในมิติของไมลส์ซึ่งเขาสวมบทสไปเดอร์แมนมาก่อนหน้าไมลส์จะโดนแมงมุมกัด และคนที่ต้องกล่าวถึงอีกคนคือ นิโคลัส เคจ ที่ไม่เห็นชื่อแกในตารางหนังทำเงินมานานเหลือเกิน ก็มาแจมโดยให้เสียง สไปเดอร์แมนนัวร์ ฮีโร่สายดาร์กจากมิติที่ยังอยู่ในทศวรรษ 60 ด้วย

นอกจากนี้ยังมีคาแรกเตอร์เด่นอีกเพียบทั้ง เพนี ปาร์กเกอร์ เด็กสาวที่สื่อสารกับพ่อของตนเองซึ่งกลายเป็นแมงมุมอยู่ในร่างหุ่นยักษ์ ปีเตอร์ บี. ปาร์กเกอร์ สไปเดอร์แมนสุดอาภัพที่มาจากมิติซึ่งเขาล้มเหลวในชีวิตแทบทุกด้านจนหมดอาลัยตายอยากในการเป็นฮีโร่ และ สไปเดอร์แฮม หมูพลังสไปเดอร์หนึ่งเดียวในทุกมิติ ซึ่งแต่ละตัวก็มีการสร้างความแตกต่างได้อย่างน่าสนใจทั้งเพนีที่มาแบบอนิเมะ 2 มิติสไตล์อเมริกัน สไปเดอร์แฮมมาสไตล์การ์ตูนเน็ตเวิร์ค สไปเดอร์แมนนัวร์ก็มาแบบแอนิเมชั่นขาวดำ ซึ่งล้อไปกับแนวคอมิกส์ของแต่ละตัว และยังมีการนำเสนอที่ซ้อนกันระหว่างแอนิเมชั่นและคอมิกส์ที่แปลกดี อย่างการใช้ช่องคำพูดช่องบรรยายแบบคอมิกส์มาแทนความคิดของตัวละครหลักอย่างไมลส์หลังจากได้พลัง หรือใช้ในการเล่าเรื่องเปิดตัวของสไปเดอร์แต่ละคนที่ขยี้ซ้ำ ๆ จนกลายเป็นมุกได้ฮาไปอีก และที่สำคัญซึ่งเราเล่าไม่ได้คือ ยังมีตัวละครที่แฟน ๆ สไปดี้จะต้องว้าวอีกหลายตัวเลย ซึ่งบางตัวต้องรอหลังเครดิตจบ และอยากบอกว่า สมการรอคอยมาก แบบไม่คิดว่าพี่แกจะเล่นมุกนี้จริง ๆ

รีวิว Spider-Man: Into the Spider-Verse

โดยเฉพาะการปรากฏตัวของคนที่คุณก็รู้ว่าใครซึ่งได้มาให้เสียงเรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้ายก่อนจากไป ก็เป็นฉากที่ทรงคุณค่ามาก ๆ (และแอบฮาด้วย)

นอกจากความสนุกและทีมงานคับคั่งที่น่าชื่นชมแล้ว ส่วนของข้อคิดและดราม่าก็เยี่ยมด้วย โดยเฉพาะการสอนกันและกันให้บทเรียนผ่านจุดบกพร่องของแต่ละตัวละคร เฉพาะอย่างยิ่ง ปีเตอร์ ปาร์กเกอร์ ผู้สมบูรณ์แบบ ปีเตอร์ บี. ปาร์กเกอร์ผู้ล้มเหลว และ ไมลส์ โมราเลส เด็กธรรมดาซึ่งได้รับพลังแบบไม่ตั้งใจและได้มองเห็นชีวิตทั้งสองแบบจากฮีโร่หลาย ๆ คนทั้งที่เป็นตัวอย่างและบทเรียน เป็นการส่ง-รับความเข้าใจต่อคำว่า ฮีโร่ ได้อย่างเปรียบเปรยและคมคายมาก

จุดด้อยเดียวแต่อาจมีปัญหากับผู้ใหญ่ที่วัยสูงสักหน่อย คือ ความมีเอกลักษณ์ด้านภาพสูง เรียกว่าอินดี้เลยล่ะ การผสผสานแนวแอนิเมชั่นหลากหลายทั้งสองมิติสามมิติ สไตล์จัดจ้านสีสันสดใสแสบซ่าน และพร็อพเพียบทั้งกล่องข้อความเอฟเฟ็กต์คอมิกส์ ภาพแอนิเมทที่เหลื่อมเหมือนเฟรมเรตต่ำแต่ดูเป็นความจงใจที่จะสร้างสไตล์ ตลอดจนการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ววุ่นวายมาก ๆ คือต้องเป็นคนเปิดใจหรือชอบอะไรแบบนี้หน่อย บางฉากเรียกว่าเก็บรายละเอียดไม่ทันจริง ๆ แต่โดยรวมดูสนุกเมามันมาก ทว่าคนที่มีปัญหาด้านการมองภาพโมชั่นเหลื่อม ๆ อาจมีอาการเมาได้จึงต้องเตือนกันไว้ก่อน

สรุป

โดยรวมแล้ว Into the Spider-Verse เป็นภาพยนตร์อนิเมชั่นซุปเปอร์ฮีโร่ที่สมบูรณ์แบบ และไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง ที่จริงหนังยังมีข้อดีอีกเยอะมาก แต่มันเยอะจนนึกออกมาเป็นคำพูดไม่หมด อยากให้ทุกคนได้ไปลองพิสูจน์ด้วยตาตัวเองจะดีกว่า ยิ่งถ้ามีโอกาสดูใน IMAX จะดีมากยิ่งขึ้นเลย เพราะมันช่วยให้งานภาพ และ เสียง ทำงานกับเราได้ดียิ่งขึ้น เต็มอิ่มยิ่งขึ้นไปอีกครับ
รีวิวมาขนาดนี้ก็ต้องดูแล้วครับ ขนาดผมไม่ได้คิดอะไรตอนไปดู พอดูจบก็รู้สึกชอบมากๆ ยังไงๆ ก็ไปดูนะครับคุ้มแน่นอน (จริงๆ แล้วก็อยากไปจัด IMAX สักรอบแต่ไม่มีเวลาเลยครับ)

Dolittle

ดูหนังออนไลน์

รีวิว Dolittle - ด็อกเตอร์ ดูลิตเติ้ล

ออกแบบฉากสวย ซีจีงดงาม การมาดูหนังเรื่องนี้บนจอใหญ่ๆ คือตัวเลือกที่ดีที่สุด อีกทั้งยังมีเทคนิคการถ่ายทอดและเรียนรู้ภาษาสื่อสารกับสัตว์ที่น่าทึ่งอีกด้วย และนี่เป็นหนังเรื่องแรกในรอบ 6 ปีของ โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ ที่เขารับบทอื่นที่ไม่ใช่ โทนี่ สตาร์ก ถือเป็นการฉีกบทบาทที่เขายังทำได้ดีเช่นเคย และหากใครอยากเห็นคู่พ่อลูกในจักรมาร์เวลมาเจอกันอีกครั้งก็ต้องไม่พลาด เพราะ ไอรอนแมน กับ สเปอร์เดอร์แมน มาอยู่ในหนังเรื่องเดียวกันอีกครั้ง (ถึงอีกคนจะมาแค่เสียงก็ตาม) หนังสอดแทรกข้อคิดอยู่ตลอดทั้งเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง คุณธรรมสัจธรรม การสร้างสัมพันธ์มิตรภาพ หรือ ความสูญเสียและการปล่อยวาง ที่ทุกเพศทุกวัยจะเข้าถึงได้เป็นอย่างดี รีวิว Dolittle

เรื่องย่อ

หลังสูญเสียคนรัก ดร.ดูลิตเติ้ล (โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์) คุณหมอที่สามารถพูดภาษาสัตว์ได้ทุกตัวเลือกปิดกั้นตัวเองจากโลกภายนอกและผู้คนแล้วใช้ชีวิตอยู่กับสัตว์นานาชนิด จนกระทั่งการบุกรุกของ สตับบินส์ (แฮรี คอลเล็ต) ลูกชายนายพรานผู้มาพร้อมกระรอกที่เขาเผลอยิงโดยไม่ตั้งใจมาให้รักษา กับ เลดีโรส (คาร์เมล ลาเนียโด) เจ้าหญิงน้อยที่มาตามตัวดูลิตเติ้ลเข้าเฝ้าถวายการรักษาพระราชินีวิกตอเรีย (เจสซี บัคลีย์) จนได้พบว่าพระราชินีถูกลอบวางยาพิษและหนทางเดียวที่จะถอนพิษได้คือต้องไปหาผลไม้ในตำนานยังดินแดนไกลโพ้น แล้วการผจญภัยระหว่าง สองคนกับเหล่าสัตว์นานาชนิดก็ทำให้พวกเขาต้องเดินทางออกจากโลกใบเดิมที่คุ้นตาไปสู่โลกที่กว้างขึ้นเพื่อหาผลไม้มาถอนพิษให้พระราชินีก่อนแผนการของลอร์ด โธมัส แบดจ์ลีย์​(จิม บรอดเบนต์) ที่หวังครองบัลลังก์แทนพระราชินี กับ ดร.แบลร์ มัดฟลาย (ไมเคิล ชีน) หมอหลวงที่สมคบกันจะทำให้ประเทศตกอยู่ใต้อำนาจของทรราช และอาจทำให้บ้านที่เขาและเหล่าสรรพสัตว์ใช้ซุกหัวนอนต้องถูกยึดไปโดยปริยาย

นับเป็นเวลา 100 ปีแล้วที่ Dr. Dolittle ของ ฮิวจ์ ลอฟติง ได้โลดแล่นไปตามสื่อต่าง ๆ โดยเฉพาะภาพยนตร์เองก็มีการสร้างในหลายเวอร์ชัน โดยย้อนกลับไปปี 1998 ทั่วโลกได้รู้จักกับ Dr. Dolittle ผ่านการแสดงของ เอดดี เมอร์ฟี ดาราตลกผิวสีกับมุกทะเล้น ๆ ใบหน้ากวน ๆ และเหล่าสารพัดสัตว์พูดได้ที่มาสร้างเสียงหัวเราะและความน่ารักโดยดัดแปลงให้เรื่องราวเกิดขึ้นในยุคปัจจุบันจนหนังทำเงินกลายเป็นหนังบล็อกบัสเตอร์มีภาคต่อตามมาในปี 2001 และยังมีหนังแบบส่งตรงวิดีโอตามมาอีก

นั่นทำให้เห็นว่าเรื่องราวของ ดร.ดูลิตเติ้ล คุณหมอสารพัดสัตว์ยังคงสัมผัสใจผู้คนแม้กาลเวลาจะผ่านมานานแค่ไหน แต่คล้อยหลังมาเพียง 19 ปีเราก็ได้ดูเรื่องราวของคุณหมอสารพัดสัตว์กันอีกครั้งในผลงานกำกับของสตีเฟน กาแกน ที่เคยมีงานกำกับเขียนบทระดับออสการ์อย่าง Traffic(2000) และ Syriana (2005) แต่คราวนี้กาแกนยึดการเดินเรื่องในยุควิคตอเรี่ยนของอังกฤษตามนิยายอีกครั้ง โดยได้โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ ที่เพิ่งจบภารกิจกับเหล่าอเวนเจอร์มารับบท ดร.ดูลิตเติ้ล คุณหมอที่พูดคุยกับสัตว์ได้ ซึ่งแน่นอนว่าการได้นักแสดงที่ดีก็ทำให้หนังที่มีภาพลักษณ์การเล่าเรื่องดูเชย ๆ และ ซ้ำ ๆ ดูดีขึ้นมาอย่างไม่เคยคิดมาก่อนเลยล่ะ

ประการแรกเลยคือ ดร.ดูลิตเติ้ล ในฉบับนี้ถูกดัดแปลงจากฉบับนิยายที่เป็นหนุ่มโสดให้กลายเป็นหนุ่มหม้ายที่สูญเสียภรรยานักสำรวจสุดที่รักไป จนตัวเขาไร้ซึ่งหัวจิตหัวใจจะออกเดินทางไปไหนแม้แต่จะออกจากบ้านแม้เพียงก้าวเดียว ดังนั้นพฤติกรรมเพี้ยน ๆ ต่าง ๆ ที่โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ ต้องแสดงออกก็ถูกคิดมาละเอียดแล้วว่าเกิดจากดรามาที่เป็นเรื่องราวเบื้องหลังของตัวละคร

ซึ่งเขาก็ทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม ความเพี้ยน ความอบอุ่น ความน่ารักของเขากับเหล่าสรรพสัตว์ก็ทำให้ดร. ดูลิตเติ้ลในเวอร์ชันนี้เข้าถึงหัวใจเด็ก ๆ ได้ไม่ยาก แถมยังพอดีแบบไม่เพี้ยนเกินไปเหมือนเชอร์ล็อกโฮล์มแต่ก็ไม่ได้เท่เกินมนุษย์แบบโทนี สตาร์ก จะมีเสียดายหน่อยก็ตรงที่หนังเร่งจังหวะในการเล่าเรื่องเหลือเกินทำให้ฉากที่พยายามจะเล่าดรามามีพื้นที่ของมันน้อยเกินไป แต่หากพิจารณาว่ากลุ่มเป้าหมายของหนังคือครอบครัวและเด็ก ๆ เรื่องการเล่าเรื่องที่ดูเร่งรีบไปหมดแบบนี้ก็ดูจะสนองตอบครอบครัวยุค 4G 5G แบบนี้ดีเหมือนเกิน

อีกจุดที่ดูหนังออนไลน์เป็นข้อดีมาก ๆ คือความฮาของหนังโดยเฉพาะมุกจากเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายที่ได้เหล่าดารามาให้เสียงพากย์ โดยเฉพาะบทนำอย่าง โพลี ที่ได้เอมมา ธอมป์สันผู้ผูกขาดบทสาวใหญ่ใจดีก็ทำให้โพลีมีเสน่ห์และเป็นตัวนำพาเรื่องราวไม่น้อย ซึ่งเรื่องราวบางส่วนก็ถูกบอกเล่าผ่านเสียงของโพลีด้วย
ส่วนกระรอกตัวฮาอย่างเควิน ก็ได้ เครก โรบินสัน ดาราตลกผิวสีมาพากย์ได้กวนชวนหัวเราะมาก ๆ และที่ถือเป็นตัวขโมยซีนมาก ๆ ก็หนีไม่พ้น ชีชี่ ลิงกอริลลาขี้กลัวที่ได้ รามี มาเล็ก จาก Bohemian Rhapsody และ Mr. Robot มาพากย์ได้อย่างมีเสน่ห์คู่กับบท โยชิ หมีขั้วโลกขี้หนาวที่ได้อดีตนักมวยปล้ำอย่าง จอห์น ซีนา มาพากย์ได้อย่างน่ารัก น่าชัง นอกนั้นบทของสัตว์ตัวอื่นก็ถูกเฉลี่ยกันไปอย่าง ทอม ฮอลแลนด์ ที่มาพากย์เป็น จิ๊ป หมาคู่ใจของดร.ดูลิตเติ้ล เพื่อหวังขายว่านี่คือการกลับมาร่วมงานกันต่อจากอเวนเจอร์ก็กลายเป็นเพียงตัวประกอบไปอย่างน่าเสียดาย

มาว่ากันถึงโปรแกรมหนังความลงตัวของหนังกันบ้าง ด้วยความที่นิยายมีมาเกิน 100 ปี ดัดแปลงมาครบทุกสื่อแล้ว ดังนั้นการที่ทุกคนรู้จักเรื่องราวและคาแรกเตอร์ของดร. ดูลิตเติ้ล จนทะลุขนาดนี้แล้วก็เหมือนกาแกน จะไม่ได้สนใจเล่าที่มาที่ไปของ ดร.ดูลิตเติ้ล นักโดยหนังใช้อนิเมชันสไตล์โรโตสโคป (ถ่ายหนังมาแล้ววาดทับทีละเฟรมให้กลายเป็นการ์ตูน) มาบอกเล่าเรื่องราวที่มาที่ไปของดร.ดูลิตเติ้ลตอนต้นเรื่องเพื่อปูที่มาพฤติกรรมเพี้ยน ๆ ของเขาเท่านั้น

แต่กลับไม่ได้สำรวจสภาพจิตใจของตัวดูลิตเติ้ลฉบับนี้นัก ซึ่งก็น่าเสียดายที่การที่หนังฉบับนี้เป็นฉบับแรกที่ตัดคำว่า ด็อกเตอร์ ออกจากชื่อเรื่องให้เรารู้สึกถึงความเป็นมนุษย์มากขึ้นแต่ดันเล่าให้เขากลายเป็นผู้วิเศษเสียยิ่งกว่าเวอร์ชันอื่นเสียอีก และแม้บทจะบังคับให้เขาต้องกลับไปสู้กับพ่อตา (รับบท โดย อันโตนิโอ บันเดอราส) แต่ก็ดันไม่มีอะไรมากไปกว่าการสร้างฉากผจญเสือดุร้ายอย่างแบร์รีแค่นั้นเอง และถ้าพ้นจากดรามาที่เราว่ายังไม่ขยี้ให้สุดแล้ว

รีวิว Dolittle

ด้านการเล่าเรื่องราวแนวผจญภัยเองที่อุตส่าห์อัดทั้งฉากขับเรือรบไล่ล่า เอาอานใส่ให้ปลาวาฬช่วยเร่งสปีดเรือ ระเบิดเมือง สู้เสือ ไปจนถึงผจญมังกร หนังก็เลือกให้ปมทุกอย่างเริ่มง่ายจบง่ายขาดความตื่นเต้นสำหรับคนดูวัยผู้ใหญ่มากไปหน่อย แต่อย่างว่าหากมองว่านี่คือหนังครอบครัวก็คงต้องทำใจละครับยังดีที่หนังมีทั้งมุกฮาและฉากผจญภัยที่น่าตื่นตาอัดมาถี่พอสมควรแต่เชื่อว่าเด็ก ๆ จะชอบแน่นอน

สรุป

ภาพรวมของ Dolittle ด็อกเตอร์ ดูลิตเติ้ล เป็นหนังแฟนตาซีผจญภัย ที่ดูได้เพลินๆ และเหมาะทั้งเด็กและผู้ใหญ่ หนังยังคงสอดแทรกข้อคิดต่างๆ และแนวทางในการดำเนินชีวิตของคน เป็นการลงรายละเอียดและขยายความเรื่องเกี่ยวกับรู้สึกของคนให้กลายเป็นเรื่องเข้าใจได้ง่ายๆ และลึกซึ้ง เป็นหนังอีกเรื่องที่มีโทนความสดใสและเหมาะกับการเสพตั้งแต่ช่วงต้นปีแบบนี้

Dolittle คือหนังที่เราแนะนำให้ครอบครัวพากันไปสนุกในโรงภาพยนตร์มากกว่าคอหนังที่ต้องการหาหนังแอ็กชันผจญภัยสนุก ๆ น่าตื่นเต้นดู เพราะแม้หนังจะมีซีนน่าตื่นตาตื่นใจอยู่เยอะ แต่โทนการเล่าเรื่องดูจะเอาใจเด็ก ๆ มากกว่าผู้ใหญ่ ยังดีที่ได้มุกฮา ๆ และการพากย์ที่มีเสน่ห์จากเหล่าดาราดังมาทำให้เรื่องราวมีสีสันและงานโพรดักชันที่ทำได้ในระดับไม่น่าเกลียดก็ทำให้ Dolittle เหมาะมากกับการเป็นหนังครอบครัวเปิดปี 2020 ได้อย่างหรรษา

วันจันทร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2563

Spies in Disguise

ดูหนังออนไลน์

รีวิว Spies in Disguise - ยอดสปายสายพราง

หนังเรื่องนี้นับเป็นแอนิเมชันเรื่องแรกของค่าย Blue Sky ที่ออกฉายหลังจากดิสนีย์ได้เข้าซื้อค่ายฟ็อกซ์เรียบร้อย ซึ่งตัวค่ายแอนิเมชันเองก็มีผลงานมาก่อนหน้านี้มากมาย ที่สร้างชื่อจริงจังเลยก็คือแฟรนไชส์ Ice Age และหนังคำชมเยี่ยมอย่าง The Peanuts Movie (2015) ซึ่งเป็นอีกค่ายที่มักมีหนังส่งเข้าฉายโรงแทบทุกปี โดยเรื่องสุดท้ายที่เข้าฉายบ้านเราคือหนังแอนิเมชันกระทิงหัวใจคิวต์อย่าง Ferdinand (2017) จึงเห็นได้ว่าหนังสายลับเรื่องนี้ที่ใช้เวลากว่า 2 ปี ในการผลิตน่าจะได้รับการดูแลอย่างพิถีพิถันทีเดียว ทั้งนี้อาจเพราะเป็นการให้โอกาสผู้กำกับหน้าใหม่จากสายโปรดักชันเดิมของค่ายขึ้นมาทำหนังใหญ่เต็มตัวครั้งแรกอย่าง นิก บรูโน และ ทรอย เควน และยังเป็นการเปลี่ยนทัศนวิสัยในการผลิตแอนิเมชันของค่ายที่ต่างจากเดิมมาก สังเกตดี ๆ ว่าบลูสกายไม่ค่อยเน้นหนังที่ใช้มนุษย์เป็นตัวเดินเรื่อง ทั้งด้านการดีไซน์เองก็ชวนให้นึกถึงหนังแอนิเมชันฝั่งค่ายโซนี หรือดิสนีย์มากเสียกว่าของฟ็อกซ์ด้วย หรือจะตัวพลอตเองก็ตามนี่ไม่ใช่หนังในสไตล์เดิมของค่ายบลูสกายเลยก็ว่าได้ มันคงเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ใหม่ ใหญ่ และเสี่ยงจนต้องใช้เวลากับมันมากขึ้นก็ว่าได้ รีวิว Spies in Disguise

เรื่องย่อ 

เรื่องราวของคู่หูคู่ฮาและการออกจารกรรมข้ามชาติ แลนซ์ สเตอร์ริ่ง (วิล สมิธ) สายลับที่เจ๋งที่สุดในโลก เขาเท่ มีเสน่ห์ มีฝีมือร้ายกาจ การช่วยโลกคืออาชีพของเขา ไม่มีใครจะทำได้ดีไปกว่าเขาอีกแล้ว และ วอลเทอร์ (ทอม ฮอลแลนด์) คนที่มีจิตใจดีและแทบจะตรงข้ามกับแลนซ์โดยสิ้นเชิง ซึ่งเขาอาจไม่ใช่คนที่พูดคุยได้เก่งนัก และแม้ว่าเขาจะขาดความสามารถในการเข้าสังคม แต่ความสามารถเหล่านั้นก็ถูกทดแทนด้วยความฉลาดและช่างประดิษฐ์ วอลเทอร์เป็นนักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะผู้ประดิษฐ์อุปกรณ์ที่ใช้ในภารกิจต่าง ๆ ของแลนซ์นั่นเอง แต่เมื่อเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น เมื่อทั้งสองต้องหันมาเชื่อมั่นในตัวกันและกันในแง่มุมใหม่ ๆ และนี่เองที่หากพวกเขาไม่เรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกันเป็นทีม โลกทั้งใบอาจตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง

ว่ากันตามตรงดูหนังออนไลน์ได้ชมทีเซอร์ของหนังเรื่องนี้กันมาร่วมปีแล้ว (1 พฤศจิกายน 2018) แต่ตัวหนังก็ดีเลย์เลื่อนฉายมาอีกร่วม 4 ครั้ง จนกระทั่งกลายเป็นหนังแอนิเมชันเรื่องสุดท้ายที่เข้าฉายในทศวรรษ 2010s ไปในที่สุด ซึ่งปกติเลื่อนแบบนี้มักเกิดจากกรณีหนังมีปัญหา แต่มองอีกมุมถ้าแก้ไขแล้วดีก็ถือว่าได้งานที่พิถีพิถันขึ้นมาเหมือนกันเพราะมีเวลาปรับปรุงเยอะขึ้น แล้วหนังเรื่องนี้ก็เข้าเกณฑ์หลังเพราะว่า หนังทำมาสนุกมากกกกกกก

หนังได้แรงบันดาลใจห่าง ๆ อิงจากแอนิเมชันขนาดสั้นของ ลูคาส มาร์เทล เรื่อง Pigeon: Impossible (2009) เกี่ยวกับความวายป่วงระหว่างสายลับกับนกพิราบที่บังเอิญได้ครองอาวุธไฮเทคล้ำสมัยของสายลับนิรนามนั้นเข้า (ลองหาดูในยูทูบได้เป็นหนังใบ้ที่สนุกดี) โดยชื่อของแอนิเมชันสั้นถูกนำมาใช้ในฐานะชื่อระหว่างงานสร้าง (Working Title) ของหนังเรื่องนี้ด้วย

ทั้งนี้ก็ต้องยกเครดิตให้ แบรด โคปแลนด์ จาก Ferdinand และ ลอยด์ เทย์เลอร์ จาก The Wild (2006) ที่ศึกษางานหนังสปายและหนังแนวคู่หูผิดฝาผิดขั้วมาดี แม้จะเป็นแนวที่ทำซ้ำกันมาเยอะมาก แต่หนังเรื่องนี้ก็ใช้ทั้งสูตรสำเร็จแนวคู่หู แนวแอ็กชัน แนวสายลับที่มีอุปกรณ์ไฮเทคพิศดารมากมาย ผสมการพลิกแพลงเรื่องราวนอกกรอบแบบแนวไซไฟที่คนกลายเป็นนกพิราบมาสร้างทางใหม่ให้หนังได้ ซึ่งที่ลองทำแผลง ๆ ได้ง่ายเพราะแก่นกลางจากแนวหนังสูตรสำเร็จมันแข็งแรงพอด้วยนั่นเอง

สำหรับตัวละครก็แทบจะออกแบบมาให้เหมาะเจาะกับดาราที่มารับพากย์เสียงเลยไม่ว่าจะสายลับผิวสีสุดเนี้ยบเครางามนาม แลนซ์ ที่ได้ วิล สมิธ มารับบท (และหน้าตาตัวละครนึกว่าเป็นวิล สมิธเองเลยด้วย) หรือจะหนุ่มน้อยแสนเนิร์ดแสนซนอย่าง วอลเทอร์ ที่ชวนให้นึกถึงคาแรกเตอร์กวน ๆ แบบ ทอม ฮอลแลนด์ อยู่มากเหมือนกัน โดยชื่อของ 2 ตัวละครนำก็เป็นการตั้งเพื่อให้เกียรติคารวะแด่ วอลเทอร์ แลนซ์ (Walter Lantz) แอนิเมเตอร์ชั้นครูผู้ให้กำเนิดตัวละคร Woody Woodpecker ด้วย เมื่อคาแรกเตอร์ดีไซน์และคนพากย์ลงตัวหนังก็รอดไปเกินครึ่งตัวแล้ว

เพราะเว็บดูหนังต้องยอมรับว่า 2 ตัวละครนี้คือคีย์หลักของเรื่องจริง ๆ คอนทราสต์ระหว่างสายลับอันดับหนึ่งของโลกที่มั่นใจในตัวเอง บินเดี่ยวไม่ชอบทำงานเป็นทีม ทั้งยังยึดคติโลกนี้มันโหดร้าย ต้องใช้ไฟต้านไฟ จะใจดีกับวายร้ายไม่ได้เด็ดขาด กับอีกคนเป็นเด็กหนุ่มโลกสวยนักประดิษฐ์ที่เชื่อว่าความเพี้ยนที่ทุกคนมองข้ามหัวตลอดเวลาของเขา สักวันจะนำโลกสู่สันติสุขได้ โดยที่ไม่ต้องประหัตประหารใครอีก เขาเลยออกแบบอุปกรณ์มหัศจรรย์มากมายที่ไม่อาจฆ่าใครได้ทั้ง ระเบิดกากเพชรที่ฉายรูปแมวเหมียวเพื่อให้วายร้ายจิตใจอ่อนโยนลง เป็นต้น คือพลอตง่าย ๆ แค่นี้ล่ะแต่เอามาขยี้ความขัดแย้งได้สนุกนักแล
มาพูดถึงส่วนที่น่าชื่นชมแบบเกินความคาดหวังกันบ้างนั่นก็คือฉากแอ็กชัน ที่มันพะยะค่ะ มาก ๆ เด่นสุด ๆ ก็มุมกล้องบางฉากที่ทำดีอย่างกับหนังแอ็กชันเพียว ๆ ด้วยซ้ำ มุกต่าง ๆ ก็เป็นมุกสถานการณ์ที่ฮาแบบเข้าใจง่ายทั้งยังอาศัยจุดเด่นของคาแรกเตอร์มาเล่นได้อย่างดี โดยเฉพาะเรื่องธรรมชาติของนกพิราบที่เล่นได้ไม่รู้เบื่อ

ช็อตซึ้ง ๆ ก็มีมาแบบพอกระแทกใจแต่ไม่ถึงคร่ำครวญ มาพอให้ชวนคิดได้อย่างดี โดยเฉพาะเรื่องของวิธีต่อสู้กับความเลวร้ายด้วยความรุนแรงเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ และสูตรสำเร็จที่พลาดไม่ได้อีกประการคือหนังมีตัวร้ายที่ดี ดีในที่นี้คือมีภูมิหลังการกระทำที่น่าเห็นใจมีมิติ และมีความฉลาดเก่งกาจโหดเหี้ยมจนรู้สึกได้ว่าฮีโรสามารถพ่ายแพ้ได้จริง ๆ ซึ่งก็ได้ เบน เมนเดลสัน ตัวร้ายจาก Rogue One (2016) และ Ready Player One (2018) มาให้เสียงพากย์ที่ดูน่ายำเกรงด้วย

รีวิว Spies in Disguise

ส่วนความตื่นตาตื่นใจก็เว่อมากมันมากเช่นกัน ทั้งฉากตะลุยรังยากูซ่าในญี่ปุ่น หรือฉากตะลุมบอนในเม็กซิโก ฉากเพลี่ยงพล้ำในเวนิส และที่เด็ดดวงก็ต้องยกให้ฉากปิดท้ายเรื่องที่จัดหนักแบบครีเอตสุด ๆ เป็นอีกเรื่องที่แนะนำสำหรับคอการ์ตูนและคอหนังสายลับครับ เปิดปีดูหนังอิ่มสุขแบบนี้น่าจะได้อารมณ์ดีไปตลอดปีเลยนะ หนังเปิดรอบพิเศษตั้งแต่วันนี้ไป และจะเข้าฉายจริงแบบเต็มโปรแกรมวันที่ 9 มกราคม ใครสะดวกตอนไหนก็จัดไปเลย

สรุป

เห้ยมันบันเทิงและเพลินเกินคาดแหะ มันเป็นหนังอนิเมชั่นที่ไม่ได้พยายามเล่นท่ายาก ไม่ได้สอดแทรกข้อคิดอะไรมากมาย เน้นบันเทิงล้วนๆ และมันก็ทำสำเร็จในแบบที่มันควรจะเป็น พล็อตเรื่องโดยรวมดูธรรมดามาก ไม่ได้หักมุมแบบหนังสายลับจ๋าอะไรแบบนั้น แต่มันมีลูกเล่นให้เยอะกว่าตรงที่สายลับกลายเป็นนกพิรายเนี่ยแหละ

เคมีของสองนักแสดงเข้ากั๊นเข้ากัน ตัว Will Smith กับ Tom Holland จะเรียกว่านอกจากเสียงพากย์แล้ว ดูไปดูมา การแสดงท่าทางต่างๆ ของตัวละครยังกะเอาสองนักแสดงนั้นมาเล่นกันจริงๆ เลย คาแรคเตอร์คือไม่ต้องมีเสียงก็ดูออกว่าเป็นสองคนนี้อะจริงๆ Will Smith ก็มีความกวน เล่นเป็นแบบสายลับ เลิศเลอเพอร์เฟ็คได้ฮาดี ส่วน Tom Holland ก็เหมือนเล่นเป็น Peter Parker เนิร์ดๆ ฉลาดๆ และก็เรียกเสียงฮาได้เช่นกัน

ฉากเปิดเรื่องทำได้ดีมาก รวมถึงฉากแอ็คชั่นต่างๆ ไหลลื่นและสนุก มุกตลกหลายๆ ฉากก็ฮา หลายฉากก็หึๆ แต่ไม่แย่เลยจริงๆ เรายังคงชอบในเคมีของสองตัวละครนำ มีพวกนกตัวอื่นแย่งซีนดี โคตรฮาจริงๆ ทางด้าน CG ของเรื่องนี้ต้องบอกว่าไม่ธรรมดา สวยเลยแหละ บางฉากนี่นึกว่าถ่ายจริง น่าเสียดายที่ฉากแอ็คชั่นหรือฉากโชว์ความเจ๋งของ Lance Sterling มีน้อยไปหน่อย และเนื้อเรื่องธรรมด๊าธรรมดา มีช่องโหว่ในบางจุดที่ชวนให้เราสงสัยว่าเหตุการณ์ที่ตัวละครพูดถึงมันเป็นมายังไง