รีวิว Hak Ma Yom Ma Yam - ฮักมะย๋อมมะแย๋ม
เรื่องย่อเรื่องราวความรักที่เต็มไปด้วยอุปสรรคของ บักโจ้ (รับบทโดย วัชรพงษ์ ปัทมะ) ชายหนุ่มสุดซื่อที่ถูกสถานการณ์บีบคั้นให้ต้องร่วมมือกับ จู๋ (แสดงโดย เจี้ย แปซิฟิก) หลอกลวงครอบครัวของ แมว (รับบทโดย สุภาพร สมวิจิตร) เพราะหวังล้วงสูตรลับ “แจ่วบอง” ประจำตระกูล มาขายเพื่อเอาเงินไปสู่ขอแฟนสาว ตั๊ก (แสดงโดย พราวภิชณ์ษา สุทธนากาญจน์) แต่เรื่องราวกลับพลิกผันเมื่อตัวเขานั้นกลับไปตกหลุมรักแมวซะงั้น ขณะเดียวกันแมวที่เริ่มมีใจให้กับบักโจ้ก็ต้องผิดหวังเมื่อรู้ว่าชายหนุ่มที่เธอรักและไว้ใจเข้ามาเพียงเพื่อหาผลประโยชน์เท่านั้น บักโจ้จะทำอย่างไรเพื่อเรียกความเชื่อใจและหัวใจของแมวให้กลับมาได้อีกครั้ง
สิ่งที่อยากเล่าให้ฟังเป็นอันดับแรกคือ ได้ยินว่าผมกำลังจะไปดูหนังที่มีชื่อเรื่องว่า “ฮักมะย๋อมมะแย๋ม” ก็เกิดปฏิกิริยาแปลกๆ แตกต่างกันออกไป บางคนสงสัยว่ามันเป็นหนังเกี่ยวกับอะไร (วะ) เพราะว่าชื่อแปลกเหลือเกิน หลายคนก็ไม่เคยได้ยินชื่อ (น่าจะเพราะการโปรโมตที่ไม่ทั่วถึง) และหลายคนก็พูดชื่อหนังผิด แต่ก็นั่นแหละครับ มันไม่ใช่ความผิดของตัวหนัง แม้ว่ามันอาจจะยากและทำให้เขินจนพูดผิดพูดถูกตอนยืนซื้อตั๋วหน้า Box Office อยู่บ้าง แต่หนังเรื่องนี้ก็มีชื่อที่เป็นเอกลักษณ์ไปแล้วเรียบร้อย
ว่ากันที่ตัวหนัง
หนังฟอร์มเล็กเรื่องนี้คือการร่วมกันจับมือระหว่างการจัดจำหน่ายและโปรโมตของ M Pictures ในฝั่งไทย กับทีมโปรดักชันอย่าง “แข้วแห้ง โปรดักชัน” จาก สปป.ลาว และได้ผู้กำกับ “เจี้ย แปซิฟิค” ที่เคยมีผลงานกำกับ “ฮูปเงา” (คำว่าภาพยนตร์ในภาษาลาว) มาหลายเรื่อง และเรื่องนี้คือการข้ามพรมแดนมากำกับหนังไทยลาวเรื่องแรก ที่สำคัญคือยังลงทุนเล่นฮูปเงาเรื่องนี้เองด้วยอีกต่างหาก พร้อมด้วยนักแสดงไทย-ลาวที่มาร่วมสนุกกันอย่างคับคั่ง และแถมยังมีแขกรับเชิญที่เรารู้จักกันดีอย่าง หม่ำ ม๊กจ๊ก (เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา สายสิน วงษ์คำเหลา และเจเน็ต เขียวมาร่วมด้วยอีกต่างหาก รีวิว Hak Ma Yom Ma Yam เกี่ยวกับหนัง
แม้ว่าตัวหนังจะตั้งตัวเป็นโรแมนติกคอมเมดี้ แต่เอาจริง ๆ ตัวหนังน่าจะหนักไปทางฝั่งคอมเมดี้เสียเป็นส่วนมาก คือมันก็คงไม่ถึงกับลามจนทำให้ส่วนโรแมนติกหายไปเลยนะครับ แต่ตัวหนังให้ความเน้นหนักกับคอมเมดี้จริงๆ เพราะไม่ว่าตัวละครจะทำอะไร ไม่ว่าตัวละครจะอยู่ในมู้ดไหน โทนอะไร ก็จะต้องมีมุกแลบออกมาเสมอในเกือบทุกซีน (คือมันมีมุกเกือบทุกซีนจริง ๆ นะ) แม้ว่าตัวละครจะเศร้าสร้อยอาลัย หรือเสียอกเสียใจเจ็บเจียนตายขนาดไหนก็ตาม ก็จะต้องมีมุกแพลมออกมาด้วยเสมอตามหลักปรัชญาที่ว่า “ยิงร้อยฮาสี่ก็ดีใจแล้ว”
อย่างที่ดูหนังออนไลน์บอกว่า แทบทุกซีนในหนังเรื่องนี้ยิงมุกเก่งงงง ที่สำคัญคือเป็นมุกแบบทุกชนิด ทุกขนาดด้วย ไม่ว่าจะมุกเล่นใหญ่ มุกทุ่มทุนเล่นหรือมุกห้าบาทสิบบาทก็ตามที ยกตัวอย่างบางส่วนแบบที่ไม่สปอยล์ก็เช่น มุกที่โจ้กำลังเสียใจหลังจากที่ตั๊กบอกเลิก เพราะว่าคล้อยตามแม่ที่อยากได้ลูกเขยที่ฐานะดีกว่า ซึ่งถ้าร้องไห้เสียใจก็คงธรรมดาไป อ้ายโจ้ก็เลยนอนร้องไห้บนแคร่ฟังวิทยุ หวังจะฟังเพลงอกหักเพื่อปลอบใจ
แต่ก็ดันมีโฆษณาสินค้าฮา ๆ มาแทน หรือตอนร้องไห้เอาหลังพิงเสาไม้นอกบ้าน จังหวะที่ทรุดตัวลงไปปรากฏว่าเสี้ยนตำหลัง! หรือแม้แต่แมว ที่รู้ว่าโจ้เข้ามาในบ้านเพียงเพื่อหวังจะขโมยสูตรแจ่วบอง และตัวเองก็เริ่มจะแอบชอบโจ้ ก็เลยนั่งร้องไห้เสียใจกับฟูกบนบ้าน แต่เสียใจเปล่า ๆ ก็จะดูธรรมดาไป ก็เลยเอี้ยวตัวผายลมไปหนึ่งดอก แล้วพ่อของแมวก็ดันเข้ามาตอนที่กลิ่นยังไม่สลายตัวดี ก็เลยได้อรรถรสปลอบใจแบบมีกลิ่นกันไป (ทั้งสองมุกนี้มีอยู่ในตัวอย่างหนัง)
เรียกว่าในทุกฉาก ทุกซีน หนังเรื่องนี้สามารถหาช่องทางในการยิงมุกได้เรื่อย ๆ แล้วมันก็เข้าสูตรยิงร้อยฮาซะสี่เสียด้วย เพราะเอาจริง ๆ แม้ว่ามุกในหนังจะเต็มเอี้ยดแบบนับไม่ถ้วน แต่มุกตลกก็เป็นอะไรที่อัตวิสัย คือความตลกไม่ตลกนั้นมันก็ต้องแล้วแต่รสนิยมของแต่ละคนอ่ะนะ ซึ่งเท่าที่ตัวผมเองดูหนังเรื่องนี้จนจบ ผมมีความรู้สึกว่า มุกในหนังบางมุกก็ทำงานจริง ๆ คือบางมุกมันก็เซอร์จัด ๆ จนกลั้นขำไม่ไหว บางมุกดูแล้วก็ร้องว่าอะไรว้า… อย่างเช่นมุกนักธุรกิจผิวสีและลูกสมุนที่มาในมาดของฝ่าบาททีชาล่า (แต่เว้าลาว) แต่บางมุกก็เดาทางง่ายไปจนแป้ก และบางมุกก็ซับซ้อนจนไม่รู้ว่าทำไปทำไม อะไรแบบนี้นี่แหละที่ผมบอกว่ามันคือการยิงร้อยฮาสี่ก็ดีใจแล้ว
ส่วนตัวบท
อย่างที่เว็บดูหนังจั่วหัวว่ามันเป็นมนต์ฮักลูกทุ่ง คือเป็นมนต์รักลูกทุ่ง อารมณ์ประมาณไอ้หนุ่มคนจนรักกับสาวคนรวยที่ทางบ้านเรียกสินสอดแพง ๆ พระเอกเลยต้องหาวิธีที่จะได้สินสอดให้ได้เร็วที่สุด ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ได้ใหม่อะไร แต่ก็ยังโชคดีที่ตัวหนังเองเกี่ยวพันและเชื่อมโยงกับเรื่องราวใน สปป. ลาว ตัวหนังเลยพาออกไปเล่าเรื่องต่อที่ลาว ด้วยการให้พระเอกแฝงตัวเข้ามาที่บ้านของแมว เพื่อที่จะขโมยสูตรแจ่วบองประจำตระกูลของแมวไปขายกับอ้ายจู๋ เพื่อแลกกับเงินที่จะไปสู่ขอกับแม่ของตั๊กที่เมืองไทยซึ่งถ้าให้เดาเจตนาของอ้ายเจี้ย ขอเดาเอาว่า คงต้องการคุมทิศทางหนังให้เป็นคอมเมดี้ที่ดูเพื่อความบันเทิงเป็นหลัก ซึ่งพอเป้าหมายเป็นแบบนั้น ก็เลยกลายเป็นว่าทำให้การดำเนินบทดูง่ายไปซะทุกอย่าง ทุกการกระทำของตัวละครนั้นมาแบบง่าย ๆ บทจะได้ก็ได้ง่าย บทจะไม่ได้ก็ไม่ได้ บทจะเจอก็เจอซะง่าย ๆ ซะอย่างนั้นแหละ
และอีกจุดที่น่าสังเกต (และส่วนตัวผมเองค่อนข้างชอบ) คือส่วนของการถ่ายทำประเทศลาวนั้น ไม่ได้เป็นการถ่ายภูมิทัศน์และสถานที่ท่องเที่ยวของเมืองลาวมาแบบสวย ๆ เหมือนหนังเรื่องอื่น แต่เป็นชนบทลาวในแบบเรียล ๆ คือเรียลสุด ๆ บ้านตามต่างจังหวัดและทางลูกรังต้องเป็นแบบนี้แหละ ไม่ใช่บ้านทรงไทยหรือกระต๊อบมุงจากเหมือนบ้านคนจนในละครหลังข่าว
ส่วนทางด้านตัวละครนั้น ต้องบอกว่า ถ้าอยากจะไปดูจริง ๆ มันคงไม่สนุกแน่ถ้าจะหวังผลทางดราม่าเข้มข้น หรือทำอะไรจริงจัง ๆ เช่นมีบทโหดร้าย หรือเศร้าสร้อย เพราะตัวละครทุกตัวในหนังถูกออกแบบมาเพื่อหวังผลทางความบันเทิงล้วน ๆ ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนในร่างฝ่าบาททีชาล่าและลูกน้อง หรือตัวของอ้ายจู๋ ที่แม้หน้าตาท่าทางจะพร้อมกับการเป็นเสี่ยโหด ๆ
แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนโหมดกลายเป็นเสี่ยติงต๊องได้ในทันทีซะงั้น และรวมไปถึงตัวละครหลัก ไม่ว่าจะเป็นโจ้ พระเอก ตั๊ก นางเอกฝั่งไทย หรือแม้แต่แม่ของโจ้ พ่อของแมว หรือตัวของแมว นางเอกฝั่งลาว (ที่มีดีกรีเป็นถึงมิสยูนิเวิร์สลาว 2017) ก็พร้อมที่จะปล่อยมุกกันแบบไม่ห่วงสวย อีกจุดที่อยากพูดถึงคือ แขกรับเชิญอย่างลุงหม่ำ แม้ว่าหนังจะขยันยิงมุกขนาดไหน แต่การมาของ “ลุงหม่ำ” นายสิน ลูกน้องคู่ใจ และเจเน็ต เขียว ในบทแม่ของตั๊กนั้นเป็นการมาในฐานะ “แขกรับเชิญ” เท่านั้น คือเป็นแขกรับเชิญจริง ๆ นะครับ อย่าหวังว่าจะให้ลุงหม่ำและพี่เจเน็ตเล่นอะไรที่เบอร์ใหญ่ขโมยซีนเกินกว่าเส้นของคำว่า Cameo โดยเด็ดขาด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น