วันศุกร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2563

Star Wars The Rise of Skywalker

ดูหนังออนไลน์

รีวิว Star Wars: The Rise of Skywalker

 กำเนิดใหม่สกายวอล์คเกอร์

มหากาพย์ของสงครามอวกาศเดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดของไตรภาคใหม่ เหตุการณ์หลังจาก ไคโลเรน นำกองทัพกวาดล้างกลุ่มกบฎ ซึ่งคราวนี้แตกพ่าย โดยมี เรย์ หญิงสาวตัวละครหลักของไตรภาคนี้ นำเจ้าหญิงเลอาห์และกลุ่มกบฎขึ้นยานมิลเลนเนียมฟัลคอน หลบหนีไป ในขณะที่ลุค สกายวอล์คเกอร์ ได้ใช้พลังเจไดเฮือกสุดท้ายในการไคโลเรน ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตไปตามวิถีของเจได เรื่องราวต่อไปใน Star Wars IX จะเป็นอย่างไรต้องไป Star Wars The Rise of Skywalker

เรื่องย่อ

ชะตากรรมของฝ่ายต่อต้านถูกเดิมพันด้วยการตามหาตัว พัลพาทีน (เอียน แมกเดียมิด) จักรวรรดิชั่วร้าย เป็นภารกิจที่ต้องร่วมมือกันของเรย์ (เดซี ริดลีย์) ฟิน (จอห์น โบเยกา) โพ (ออสการ์ ไอแซก)และ C3PO กับ BB8 คู่หูแอนดรอยด์สายซับ ก่อนกาแล็กซีจะต้องเผชิญหน้ากับการล้างเผ่าพันธุ์ครั้งใหญ่อีกครั้ง
ในขณะที่เรย์เองก็เริ่มสับสนกับทางเลือกบนวิถีแห่งเจได และการผสานพลังระหว่างเธอกับไคโล เรน (อดัม ไดร์ฟเวอร์) ที่อาจจะดึงเธอเข้าสู่ด้านมืดได้อย่างง่ายดายรวมถึงชาติกำเนิดที่แท้จริงของเธอที่อาจพลิกชะตากรรมของทั้งกาแล็กซีไปตลอดกาล มาร่วมกันลุ้นกับปัจฉิมบทสุดท้ายของมหากาพย์สตาร์ วอร์ส ได้แล้ววันนี้

หลังปลุกตำนานสตาร์ วอร์ส ด้วย The Force Awakens เจ เจ เอบรามส์ ก็ได้ฤกษ์กลับมาปิดตำนานที่เขาปลุกพลังแฟนบอยทั่วโลกขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากส่งไม้ต่อให้ ไรอัน จอห์นสัน ผู้กำกับหัวก้าวหน้า (ที่เพิ่งปล่อย Knives Out มากวาดเสียงชมจากนักวิจารณ์) จนทำให้ The Last Jedi กลายเป็นภาคที่นักวิจารณ์ชมแต่แฟนหนังต่อต้านจนดิสนีย์ต้องดึงตัว เจ เจ เอบรามส์ กลับมากุมบังเหียนการปิดตำนานครั้งนี้ให้ได้ใจแฟนบอยที่สุด

มันเลยหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เราจะเกิดอาการเดจาวูกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับ ไตรภาคต้นฉบับ อย่าง A New Hope, The Empire Strike Back และ Return of the Jedi ในแง่คุณภาพที่ภาค 2 ดูจะอยู่เหนือภาคอื่น ๆ และการปิดตำนานในไตรภาคนั้นก็ลงเอยด้วยการเป็นหนังบันเทิงล้วน ๆ ซึ่งก็คือสิ่งที่ The Rise of Skywalker ไม่ได้หลุดพ้นแต่อย่างใด แต่กระนั้นหากจะบอกว่ามันเป็นหนังชั้นเลว ก็คงต้องขอค้านสุดตัวทั้งในฐานะแฟนบอยของซีรีส์สตาร์ วอร์ส และในฐานะคนดูหนังเพื่อความบันเทิงคนหนึ่ง

เอาเข้าจริงแล้ว ดูหนังออนไลน์ว่าวัตถุดิบและเชื้อเพลิงของพลังใน The Rise of Skywalker ไม่ใช่สิ่งใดเลยนอกจากความรักและศรัทธาของแฟน ๆ Star Wars และนั่นเป็นสิ่งที่ เจ เจ เอบรามส์ และทีมเขียนบทของเขาตระหนักดี ดังนั้นในภาคนี้เราเลยได้เกิดอาการ เดจาวู กับหลายซีนที่หนังนำเสนอทั้งตัวละครและนักแสดงจากไตรภาคต้นฉบับ ฉากสงครามอวกาศที่แม้จะดูยิ่งใหญ่ขึ้นแต่ยังจิตวิญญาณเดิมของสตาร์ วอร์ส แล้วมาผสมผสานการกำกับสไตล์ เอบรามส์ ที่มีทั้งอารมณ์ขัน ประเด็นครอบครัว และกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่หนังสตาร์วอร์สพึงมีเช่น สมดุลแห่งพลัง หรือวิถีแห่งเจได

ที่แม้จะถูกบิดด้วยกฎเกณฑ์ใหม่จนถูกต่อต้านมาจากภาคที่แล้วอย่างการให้ เจไดเป็นผู้หญิง (กฎเดิมคือเจไดต้องเป็นผู้ชายเท่านั้นเหมือนนักบวช) แต่หนังก็หาทางลงสวย ๆ ให้ตัวละครเป็นที่ยอมรับได้อย่างสวยงาม รวมถึงการเสิร์ฟแบบจานใหญ่ใส่สารพัด อะไรคนดูชอบใส่หมด.. อยากได้แอนดรอยด์น่ารักภาคนี้นอกจาก BB8, R2D2, C3PO แล้ว ภาคนี้ยังเพิ่ม D-O น้องดรอยด์ติดล้อที่ได้โมเมนต์ให้แฟน ๆ ได้เปล่งเสียง “น้อน….” ออกมาเต็มไปหมด

หรือโมเมนต์ซึ้ง ๆ ที่ใครไม่ใช่แฟนสตาร์วอร์สอาจไม่เข้าใจว่าทำไมทำหลายคนน้ำตาซึม รวมถึงที่เป็น “ที่สุดเลยเว้ยแก” คือการพาเรากลับไปยังไตรภาคต้นฉบับที่ยังอยู่ในใจด้วยหลากหลายกลวิธีเท่าที่หนังเรื่องหนึ่งจะทำได้ แถมเราต้องยอมรับว่า เจ เจ เอบรามส์ รู้ดีว่าเขากำลังทำหนังให้แฟนสตาร์ วอร์ส ชมเป็นหลัก และเขาก็ยังทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยม แม้หนังจะเดินอยู่ท่ามกลาง
“ความไม่ใหม่” ที่หลายคนค่อนขอดก็ตาม

หนึ่งในหัวใจหลักของหนังคือเรื่องครอบครัวและความรัก ซึ่งเราอาจกล่าวได้ว่าข้อดีที่สุดของ The Rise of Skywalker คือการผสานอารมณ์โรแมนติกเข้ามาในเรื่องราวนี่แหละ เพราะหากกล่าวถึง สตาร์ วอร์ส ให้กับคนที่อยู่นอกเหนือ “กาแล็กซีอันไกลโพ้น” แล้ว อาจไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมาดูหนังที่ตัวละครยุ่บยั่บ และมีเนื้อหาซับซ้อนเชิงปรัชญาเช่นนี้ ก็คงเป็นอารมณ์โรแมนติกนี่แหละ

นับตั้งแต่ความสัมพันธ์รักสามเศร้าระหว่าง ลุค สกายวอล์คเกอร์ และ ฮาน โซโล กับ เลอา ในไตรภาคต้นฉบับ ถึงเจ้าหญิงอมิดาลากับอนาคิน สกายวอล์คเกอร์ ในไตรภาคปฐมบท มาสู่ไคโล เรนและเรย์ในไตรภาคปิดตำนานสกายวอร์ลเกอร์ ที่ต้องยอมรับว่ามันกลายเป็นส่วนผสมชั้นดีให้หนังไซไฟที่ดูฮอร์โมนเพศชายพลุ่งพล่านได้มีพื้นที่ให้สาว ๆ ได้คล้อยตามไปกับหนังสงครามอวกาศชุดนี้ได้

ซึ่ง The Rise of Skywalker ก็นำอารมณ์โรแมนติกที่ปูไว้ในภาค The Last Jedi มาสานต่อไ้ด้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะด้วยเนื้อเรื่องที่คราวนี้ก็ยังวนเวียนกับ ด้านมืด ด้านสว่าง การเอาความรักฉบับ “จิตบลูทูธ” ของทั้งคู่มาใช้เป็นกลไกในการเล่าเรื่องก็นับว่าชาญฉลาดไม่น้อย และที่สำคัญเคมี ระหว่าง เดซี ริดลีย์ กับ อดัม ไดร์ฟเวอร์ ก็ชวนจิ้นจนเผลอฟินตามไม่ได้เสียด้วย โดยเฉพาะฉากเด็ดที่อยากให้ไปดูในหนังเอาเอง งู้ย…เขิลลลล.

ต่อจากนี้ เราอาจจะยังบอกไม่ได้ชัดเจนว่านอกเหนือจากหนังและซีรีส์จากจักรวาลสตาร์ วอร์ส ที่จะลงในช่อง Disney+ แล้ว เราจะมีโอกาสได้ชมหนังชุดนี้ในโรงอีกหรือไม่ แต่กับ The Rise of Skywalker แม้จะมีคะแนนมะเขือเน่ามาทำให้หวั่นไหวอยู่บ้าง แต่จากการชมจริง ตัวหนังก็ทำหน้าที่ปิดตำนานได้ดี มีหลายโมเมนต์ให้ได้หัวเราะ ปรบมือ และเสียน้ำตาให้มัน จนไม่อยากให้พลาดเพียงเพราะ “หนังมันไม่ใหม่” เท่านั้นเองครับ

Star Wars The Rise of Skywalker


ความรู้สึก

ส่วนตัวโปรแกรมหนังเองนั้นค่อนข้างที่จะชอบภาคนี้นะ ไม่ว่าจะเป็นการใส่ Easter Egg ต่างๆ ตัวละครเก่าๆ โดยเฉพาะการอ้างอิงถึงหนังทั้ง 2 ไตรภาคก่อน ในเรื่องนี้ด้วย ทำให้อบอุ่นหัวใจเหมือนได้เจอเพื่อนเก่า แต่ก็ต้องบอกจริงๆว่าช่วงแรกของหนังมีความเล่าเรื่องราวเร็วมาก เร็วชนิดที่ว่าเกือบตามเรื่องราวไม่ทันเลย

ผมเองหลังดูจบก็ลองมาคิดๆดูว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้หนังมันต้องเร่งขนาดนี้ มันน่าจะเป็นผลมาจากภาคก่อนหรือเปล่าที่พยายามที่จะทิ้งสิ่งเก่าๆลองอะไรใหม่ๆ ฆ่าสโนคตายแบบเร่งรีบมากในภาคก่อน ทำให้ภาคนี้ต้องหาทางปูเรื่องไปยังบอสใหญ่อย่างพัลพาทีนในช่วงต้นๆเรื่อง (อันนี้จริงองก์แรกในหนังภาคนี้ ถ้าถูกตัดไปลงเป็นช่วงท้ายๆของภาคก่อน น่าจะพีคไม่น้อย) และหนังก็จะไม่ต้องรีบเล่าแบบรีบๆอย่างที่เป็นอยู่แบบนี้ด้วย

แต่อย่างที่บอกไปข้างต้นพอหนังตั้งใจจะเซอร์วิซแฟนอย่างเต็มรูปแบบก็กลายเป็นดาบสองคม เพราะถ้าถอดความเป็นแฟนบอยออกไปแล้วมาดูในเรื่องของบทหนังจริงๆ มันค่อนข้างเละเทะสะเปะสะปะมากๆ แล้วที่ดูมีปัญหามากที่สุดก็คือการเล่าเรื่องที่มาอย่างรวดเร็ว เร็วมาก เร็วจนเกินไป เร็วชนิดที่ว่าคุณอาจไม่เคยเห็นหนังเรื่องไหนที่เปลี่ยนซีนไวมากขนาดนี้

ซึ่งแน่นอนว่ามันทำให้เรายังแทบไม่ได้อินหรือรู้สึกใดๆ กับซีนก่อนหน้านั้นเลยแม้แต่น้อย แล้วเป็นแบบนี้ตลอดทั้งเรื่องจนพอหนังจบคุณก็อาจไม่ได้เข้าถึงอารมณ์อะไรซักอย่างในหนังได้เลย มันเลยน่าเสียดายมากที่เรื่องราวดีแบบนี้ แต่การกำกับในภาพรวมของ เจเจ กลับพลาดไปซะหมด แต่จะโทษเค้าอย่างเดียวก็ไม่ได้นัก เพราะด้วยความที่ค่ายวางทิศทางของไตรภาคนี้แปลก ๆ อย่างเช่นการเปลี่ยนผู้กำกับทุกภาค ทำให้หนัง 2 ภาคก่อนหน้านี้มันอาจจะดี แต่ก็ดีในแบบของตัวเอง แต่พอภาคนี้มันต้องจบ ต้องสรุปแล้ว มันเลยยากมากจริงๆ

สรุป

ถ้าคุณเป็นคนที่ดูสตาร์วอร์สมาทุกภาค แน่นอนครับว่าไม่ควรพลาดอยู่แล้ว เพราะมันก็เป็นอะไรที่จบและสรุปแล้วจริง ๆ ซึ่งในส่วนเรื่องราวมันทำได้ดี แต่อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าอาจจะต้องเผื่อใจไว้บ้างจริงๆ หรือทางแก้แบบเฉพาะกิจอาจจะเป็นการไปดูซ้ำเพื่อซึมซับอารมณ์ในแต่ละฉากได้ดียิ่งขึ้นก็เป็นได้ครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น