รีวิว Ashfall - นรกล้างเมือง ภารกิจหยุดวิกฤติภูเขาไฟเพ็กตู
ลำพังแค่พลอต Ashfall ก็ทำให้นึกถึงหนังฮอลลีวูดดัง ๆ ในอดีตเพียบ ยิ่งมีฉากไปช่วยนักโทษแหกคุกเพื่อทำภารกิจกู้โลกก็ทำให้นึกถึง The Rock (199ุ6) และพอมีภูเขาไฟระเบิด โอ้โหทีนี้ลิสต์หนังฮอลลีวูดดัง ๆ มาเพียบลำพังแค่ยุค 90s ก็มีทั้ง Volcano (1997) และ Dante’s Peak (1997) ยังไม่พอ เมื่อมีภารกิจเอานิวเคลียร์ไปกู้วิกฤติก็แน่นอนงานนี้หนังดังอย่าง Armageddon (1998) ก็มาจนเรียกได้ว่า Ashfall ก็ไม่ต่างจากหนังเกาหลีสายบันเทิงทั่วไปที่เป็นเหมือนร่างทรงหนังฮอลลีวูดบล็อกบัสเตอร์ดัง ๆ อีกที แต่บอกแบบนี้อย่าพึ่งนึกว่าหนังจะลอกโครงเรื่อง ฉาก หรืออะไรจากหนังดัง ๆ มาแบบหน้าด้าน ๆ นะครับ ตรงกันข้าม ผู้กำกับอย่าง อี ฮเยจุน และ คิม บยองซู กลับเอาวัตถุดิบสไตล์แฮมเบอร์เกอร์มาผัดรวมวัตถุดิบชั้นดีของหนังเกาหลีอย่างพลอตดราม่าสะเทือนอารมณ์ และการแสดงแบบเชื่อมือได้จากนักแสดงแถวหน้าของประเทศควบคู่ไปกับงานสเปเชียลเอฟเฟกต์ที่พยายามทำให้ทัดเทียมกับฮอลลีวูด จนผลลัพธ์ของหนังออกเป็นหนังบันเทิงที่ทำหน้าที่ของมันได้อย่างขยันขันแข็ง ดูไปเหงื่อซึมมือ ดูไปน้ำตาซึม แถมเคล้าเสียงหัวเราะแบบไม่ขาดแคลนอารมณ์ขันเลยแหละ รีวิว Ashfall - นรกล้างเมืองเรื่องย่อ
เมื่อเกิดเหตุภูเขาไฟเพ็กตูปะทุครั้งใหญ่ตามการคาดการณ์ของ ดร.คังบงแร (มา ดงซอก) นักธรณีวิทยาที่เสนอแผนให้นำระเบิดนิวเคลียร์ไปวางยังใกล้ปล่องภูเขาไฟเพื่อหยุดวิกฤติครั้งนี้ งานนี้ชะตากรรมของสองเกาหลีจำต้องพึ่งพาทีมปฏิบัติการสุดระห่ำนำโดย โจ อินชาง (ฮา จองอู) เจ้าหน้าที่เก็บกู้ระเบิดชาวเกาหลีใต้ที่ต้องมาปฏิบัติงานในวันสุดท้ายก่อนเกษียณเพื่อไปใช้ชีวิตกับ จียอง (แพ ซูจี) ภรรยาท้องแก่ แต่ภารกิจครั้งนี้กลับอันตรายกว่าครั้งไหน ๆ เมื่อต้องอาศัยนักโทษที่รู้หนทางไปโจรกรรมหัวรบนิวเคลียร์ที่ทางเกาหลีเหนือซ่อนไว้อย่าง ลี จุนพยอง (อี บยองฮอน) สายลับสองหน้าชาวเกาหลีเหนือสารพัดพิษที่หวังใช้ภารกิจนี้เพื่อกลับไปไถ่บาปส่วนตัว เมื่อธรณีพิโรธ ! เจอกับคนคลั่ง ! การหักเหลี่ยมเฉือนคมเพื่อเอาไฟไปสู้ไฟต้องพึ่งทีมพระกาฬอย่างพวกเขามากกว่าครั้งไหน ๆถ้าดูหนังสดจากแค่ตัวอย่างนึกว่านี่คือหนังภัยพิบัติอย่างพวก The Day After Tomorrow, The Wave, 2012 อะไรทำนองนี้ แต่พอดูแล้วมันไม่ใช่แบบนั้นแหะ มันคือหนังที่เอาภัยพิบัติมาเป็นแค่ส่วนประกอบหนึ่งของหนังเท่านั้น หนังไม่ได้โฟกัสความวินาศสันตะโรของภูเขาไฟปะทุนี่เท่าไหร่ มีแค่ประมาณไม่ถึง 10% ของหนังได้ ที่เหลือจะเป็นการปฏิบัติภารกิจของพระเอกเสียมากกว่า
จริงๆ หนังเปิดเรื่องด้วยเหตุการณ์ภัยพิบัติออกมาได้ดีเลยนะ แต่ CG ช่วงต้นดูลอยๆ ชอบกล ก็มีจุดที่ดูดีบ้าง แต่หลายจุดก็ไม่ ดูแบบมีครบวัตถุดิบที่หนังแนวนี้ควรจะมี ทั้งการเอาตัวรอด แบ่งเล่าเรื่องหลายๆ ส่วน แต่หนังดั๊นไปโฟกัสและให้ความสำคัญผิดจุดจริงๆ
หนังให้ความสำคัญกับการปฏิบัติภารกิจของกลุ่มพระเอก แอ็คชั่นเอยอะไรเอยมากเกินไป จนหลายๆ ครั้งเราลืมไปเลยว่านี่มันเกิดภัยพิบัติอยู่ คือไอ้กลุ่มพระเอกเนี่ยมันต้องทำภารกิจบางอย่างแข่งกับเวลาเพื่อช่วยกอบกู้ประเทศชาติอะไรทำนองนี้ แต่ระหว่างทางที่ทำภารกิจเราไม่ได้รับรู้หรือสัมผัสกับอันตรายของภัยพิบัตินั้นเท่าไหร่เลย ไม่ว่าจะการเกิดหรือผลกระทบต่างๆ ก็ตาม คือก็มีบ้างแหละ
แต่น้อยแบบน้อยมากจริงๆ เสียดายที่หนังอุตส่าแบ่งเรื่องราวออกเป็นหลายส่วนให้เล่าแล้วแท้ๆ แต่หนังดันเลือกเล่าในมุมนั้น มันสามารถเล่าให้มันวินาศสันตะโรกว่านี้ได้อะ แต่หนังอยากจะเล่าภารกิจแบบนั้นอะ ตลอดทั้งเรื่องเลยกลายเป็นความรู้สึกที่น่าเสียดายแทน ระหว่างทางมันยังขาดฉากแบบหึ้ย ตื่นเต้น ลุ้นตัวเกร็งไรงี้ด้วย คือถ้ามันจะเน้นหนักภารกิจมันก็ได้แหละ แต่ความรู้สึกส่วนตัวคือภูเขาไฟปะทุ มันดูรุนแรงตอนต้นเรื่อง ถ้าหยิบความรุนแรงและผลกระทบจากเหตุการณ์เหล่านั้นใส่ๆ มาให้เหล่าตัวละครเอกได้เผชิญระหว่างภารกิจมาเรื่อยๆ นะ มันจะดีกว่านี้มาก
หนังยังมีฉากที่ดูแล้วแบบจั้มหลายฉากมาก มีฉากนึงที่แบบเห็นได้ชัดเลยเกี่ยวกับตัวนางเอก คือตอนแรกเจออันนี้ จนไปนี้ แล้วมาโผล่นี่ เอ๊า อะไรวะ มันไปไงมาไงของมัน ที่สำคัญเรายังไม่รู้สึกอยากเอาใจช่วยตัวละครพวกนั้นเลยจริงๆ จุดคอนฟลิกหรือความดราม่าในเรื่องนี้อ่อนมากกับทุกตัวละครเลย มันไม่สามารถทำให้อินได้จริงๆ บทจะคลี่คลาย แก้ปัญหาก็ลงเอยง่ายเหลือเกิน
อีกจุดที่ทำให่หนังโดดเด่นคือการเล่นกับประเด็นการเมืองตั้งแต่เรื่องเกาหลีเหนือ เกาหลีใต้ ที่ดูจะเอาเป็นประเด็นที่ทำให้หนังเริ่มแตะการเมืองเบา ๆ อย่างการให้ทหารเกาหลีใต้ไปช่วยนักโทษเกาหลีเหนือที่เป็นคนทรยศชาติก็ทำให้เห็นว่า ท้ายที่สุดเมื่อเกิดปัญหาทางเกาหลีใต้ก็พร้อมจะลงมาทำตัวเป็นฮีโรมากกว่า แถมในหนังยังมีภาพรูปปั้นท่านผู้นำถล่มจนกองบนพื้นก็แอบสะท้อนภาพชาตินิยมที่แอบกัดทางฝั่งเกาหลีเหนือว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์ร้าย ๆ ก็น่าจะทำให้ประชาชนยิ่งลำบากไปกันใหญ่
เพราะระบอบเผด็จการไม่น่าทำให้คนมีความสุขได้ แต่ช้าก่อน..หากคิดว่าหนังจะเล่นงานแค่เกาหลีเหนือฝั่งเดียว เพราะแท้จริงหนังยังแอบใส่การจิกกัดเกาหลีใต้ด้วยการที่ภารกิจต้องถูกขัดขวางเพียงเพราะ “ไอ้กัน” อยากจะยึดหัวรบนิวเคลียร์ที่เกาหลีเหนือซ่อนไว้ จนเกิดการปะทะกันขึ้น แถมมีเรื่องคนเกาหลีที่ถูกช่วยเหลือหลังจากชาวอเมริกันได้อพยพอีกก็สะท้อนภาพผู้นำอ่อนแอจนสหรัฐอเมริกาเข้ามามีบทบาทในประเทศได้อย่างเจ็บแสบทีเดียว
แต่หากดูหนังผ่านเน็ตมอง Ashfall ในฐานะหนังหายนะภัย ก็คงต้องบอกว่ามันไม่ได้ชวนเซอร์ไพร์สในแง่เทคนิคอะไรมากนัก เพราะบอกตามตรงว่าหลายซีน ซีจี ก็ยังไม่ได้ดีมาก ส่วนฉากที่ภูเขาไฟระเบิดแล้วสร้างความวินาศสันตะโรก็ทำได้ตื่นเต้นดี แต่ยังไม่ถึงขั้นชวนว้าวเหมือนตอนเราดูหนังภูเขาไฟดัง ๆ ที่กล่าวถึงไปในย่อหน้าที่แล้วเท่าไหร่ แล้วอะไรล่ะคือจุดเด่นของมัน ก็ต้องตอบว่าเป็นการใส่ดราม่าและซับพลอตที่ซับซ้อนนี่แหละ
เพราะภายใต้พลอตหนังหายนะ มันยังซ่อนทั้งเรื่องราวโรแมนติกระหว่าง โจ อินชาง และ จียอง เมียท้องแก่ที่สัญญากันว่าจะหนีไปด้วยกันให้ทันมาคอยทำให้เราเอาใจช่วย โดยเฉพาะการดึง แพ ซูจี ที่เพิ่งฮอตจากซีรีส์ Netflix สุดดังอย่าง Vagabond มาเพิ่มความสดใสและด้านโรแมนติกให้เรื่องราว นอกจากนี้ยังมีเรื่องดราม่าความผิดบาปในอดีตของ ลี จุนพยอง ที่ได้ อี บยองฮอน ดาราเกาหลีอินเตอร์มาเล่นดราม่าจนทำให้จากตัวละครที่คนดูพร้อมจะเกลียดกลายเป็นเกลียดไม่ลงเมื่อรู้ว่าเขาทำทุกอย่างเพียงเพื่อไถ่บาปต่อคนสำคัญในชีวิต
หรือจะเป็นแนวหนังรักชาติที่สื่อผ่านตัวละคร ดร.คังบงแร ของ มา ดงซอก จาก Train to Busan หนังซอมบี้สุดดังที่ส่งให้เขากลายเป็นดาราระดับนานาชาติ เหล่านี้ล้วนเป็นส่วนผสมต้นตำหรับเกรดเอที่ทำให้ Ashfall กลายเป็นหนังบล็อกบัสเตอร์ดูสนุกและลุ้นเหงื่อซึมมือ บวกกับบทหนังที่ดีในแง่การให้ความบันเทิงเพราะสถานการณ์ต่าง ๆ ก็ใจร้ายกับตัวละครเหลือเกิน และเมื่อมาเกิดกับตัวละครที่คนดูเทใจให้ก็ย่อมทำให้เราอดลุ้นตามไม่ได้เลยสักวินาที
ถือว่าเรื่องนี้เอาดารามาเรียกแขกก็ว่าได้ ทว่าดันน่าเสียดายมากที่แต่ละคนไม่ได้มีฉากให้โชว์ของหรือแสดงความสามารถสักเท่าไหร่ เอาจริงๆ พวกเขาก็รับผิดชอบและแสดงหน้าที่ตัวเองได้ดีนะ ก็มีแค่ ฮา จองอู (ที่เคยเล่นเป็นหัวหน้ายมทูต Along With the Gods) กับ อี บยองฮอน (สตอร์ม ชาโดว์จาก G.I. Joe) เท่านั้นแหละที่เด่นๆ แต่ก็ไม่ได้มีฉากให้น่าจดจำอะไร ที่เหลือกลายเป็นตัวประกอบไปเลย มา ดงซอก (จาก Train to Busan) ก็ไม่ได้ทำอะไรมากเลย โดยเฉพาะ เบ ซูจี เอาชื่อมาขายชัดๆ ไม่แน่ใจว่าตัวเธอกับฉากภัยพิบัติอะไรออกมาเยอะกว่ากัน
สรุป
Ashfall คือหนังเกี่ยวกับภัยพิบัติที่ไม่ได้เน้นภัยพิบัติ เปิดเรื่องได้ดี แต่ซีจีไม่ค่อยเนียน จริงๆ มันก็ไม่ถึงกับแย่นะ มันให้ความรู้สึกเฉยๆ มากกว่า ยิ่งถ้าไปเทียบกับตัวอย่างและชื่อหนังที่แปลไทยนะ เรียกได้ว่าน่าผิดหวังเลยแหละกล่าวอย่างไม่เวอร์เกินจริงก็ต้องบอกว่า Ashfall เหมาะเป็นหนังดูเพื่อความบันเทิงแบบไม่คิดมาก หนังมีการใส่สถานการณ์มาให้เราลุ้นระทึกได้ตลอด บางเหตุการณ์ก็อาจไม่เมกเซนส์บ้าง แต่พอมันเกิดกับตัวละครที่่ถูกปูไว้ดีแล้ว-คนดูหลงรักและเห็นใจก็ทำให้ยากที่จะไม่เอาใจช่วยพวกเขาและเธอไปตลอดเรื่องกันเลยเชียวแหละ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น