รีวิว Into The Night - อินทู เดอะ ไนท์
ซีรีส์ Netflix จากเบลเยียมขนาดสั้นๆ 6 ตอนจบซีซั่นแรก เรื่องแนวทริลเลอร์กึ่งไซไฟพล็อตแปลกแนววันสิ้นโลกที่มาฉับพลันจากแสงอาทิตย์ หนังโฟกัสไปที่กลุ่มผู้เหลือรอดบนเครื่องบิน ที่ถูกจี้นำขึ้นบินโดยทหารจากนาโตที่ได้ยินข่าวว่าแสงอาทิตย์กำลังไล่ฆ่าคนบนโลก พวกเขาจึงต้องเดินทางร่วมกันเพื่อไปหาจุดหมายปลายทางที่ซ่อนตัวจากแสงอาทิตย์ให้ได้ รีวิว Into The Night
เรื่องย่อ
ทหารจากนาโต้คนหนึ่งแย่งปืนเจ้าหน้าที่สนามบินแล้วบังคับให้เครื่องบินที่เพิ่งเปิดให้ผู้โดยสารขึ้นได้ไม่กี่คนออกบินทันที เขาสติแตกบังคับให้บินไปทิศตะวันตกเพื่อหนีเวลากลางวัน และบอกว่ากำลังช่วยชีวิตทุกคนบนเครื่องอยู่ เพราะตอนนี้เกิดเหตุการณ์ประหลาดที่ใครก็ตามที่ถูกดวงอาทิตย์สาดส่องจะต้องตายทันที!
เรื่องย่อข้างต้นคงทำให้ใครที่อ่านน่าจะสนใจซีรีส์พลอตไซไฟเจ๋ง ๆ แบบนี้ได้ไม่ยาก ลองนึกภาพว่าถ้าแสงอาทิตย์ทำให้คนตายได้แล้วคุณอยู่บนเครื่องบินที่ต้องบินหนีไปทางตะวันตกเรื่อย ๆ โดยคำนวณเวลาและปริมาณน้ำมันเพื่อแวะเติมและหนีช่วงเช้าไปเรื่อย ๆ ขณะเดียวกันก็ได้แต่ดูข่าวว่าผู้คนที่อยู่บนพื้นก็ทยอยตายลงเรื่อย ๆ ไล่จากฝั่งเอเชียมาแบบว่าถึงจะหลบในอาคารไม่โดนแสงโดยตรงก็ยังไม่รอด นี่คงเป็นอวสานโลกแบบไม่ต้องสงสัย คือแค่ไอเดียเรื่องก็น่าสนุกแล้วล่ะ
ต้องถือว่าพล็อตเรื่องนี้น่าสนใจเอามากๆ แม้ว่าหนังวันสิ้นโลกแนวๆ นี้ อย่างเรื่องการโดนแสงอาทิตย์ล้างโลกจะเคยมีมาก่อนแล้ว (ที่จำได้ดูหนังสดเรื่องหนึ่งคือ Next ของนิโคลาจ เคจ) ซึ่งก็พยายามยกทฤษฎีเปลวสุริยะผิดปกติจนทำให้รังสีจากดวงอาทิตย์มาถึงโลกรุนแรงกว่าเดิม เรื่องนี้ก็คล้ายๆ กัน แต่ตัดเรื่องความร้อนเผาไหม้โลกออกไป กลายเป็นมนุษย์โดนรังสีจนทำให้ตายฉับพลัน
แม้จะซ่อนตัวในบังเกอร์หลุมหลบภัยใต้ดินก็ยังไม่รอด แล้วที่ไหนจะรอดได้ล่ะ หนังใช้จุดนี้มาเดินเรื่องโดยผ่านเครื่องบินไปยังที่มืดตลอดเวลา นี่จึงคล้ายๆ เป็นหนังแนวสถานที่ปิดไปในตัว แต่ว่าก็มีช่วงเปิดให้ลงพื้นได้เป็นระยะๆ จากข้อจำกัดเรื่องการหาน้ำมันมาเติมให้บินต่อไปได้ ซึ่งเรื่องแทบจะ 80% อยู่ในเครื่องบินตลอดเวลา คนเขียนบทก็เก่งที่พยายามหาเรื่องให้เกิดขึ้นได้ตลอดเวลาโดยแบ่งเป็น อุปสรรคทางเทคนิคกับปัญหาจากคนในเครื่องด้วยกันเอง
ในส่วนอุปสรรคทางเทคนิคทั้งจากเครื่องบินและผลกระทบของแสงอาทิตย์ต้องขอชมเลยว่าหนังคิดมาหลายอย่างแปลกใหม่ เริ่มตั้งแต่การบินยังไงให้หนีพ้นแสงอาทิตย์ที่สาดส่องบนโลกตลอดเวลา อาหารและน้ำที่ไม่ใช่แค่หมด แต่ถูกแปรเปลี่ยนโมเลกุลไปจากรังสีดวงอาทิตย์จนกินไม่ได้ การที่ขาดอินเตอร์เน็ตใช้หรือข้อมูลในโลกไม่อัพเดทเลยจะเกิดผลกระทบยังไง ซึ่งหลายจุดอ้างอิงทฤษฎีวิทยาศาสตร์ได้อย่างน่าเชื่อถือ ตัวเรื่องเดินเรื่องไวตั้งแต่ตอนแรก พร้อมกับก็ใส่ปัญหาใหม่มาแทบทุกตอน และก็เดินทางไปแก้ไขไปทีละจุดได้อย่างน่าติดตาม มีความสมเหตุผลให้เราเชื่อถือได้ว่า ถ้าโลกเป็นแบบนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง และจะเอาตัวรอดกันได้ยังไงกับหายนะล้างโลกขนาดนี้
โดยนี่เป็นซีรีส์สัญชาติเบลเยียม ที่มีความนานาชาติมากเพราะตัวละครจากต่างที่จำเป็นต้องใช้ภาษาสื่อสารกันหลากหลายมากทั้งฝรั่งเศสที่เป็นภาษาหลักของเรื่อง แล้วยังมีภาษาอังกฤษ อิตาลี รัสเซีย อาหรับ ตุรกี โปแลนด์ ใช้เล่นได้อีก ความโชคดีคือเราได้อ่านซับไทยทั้งหมดโดยไม่ต้องสนใจว่าตัวละครพูดภาษาอะไรกัน และในแต่ละตอนจะใช้ชื่อตัวละครเป็นชื่อตอนเพื่อขยายปมในตัวละครตัวนั้น ซึ่งทั้งไอเดียทั้งคอนเซ็ปต์ตัวละครนานาชาติเป็นตัวตั้งต้นที่น่าสนใจให้น่าจะทำซีรีส์ออริจินัลเน็ตฟลิกซ์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก ยิ่งได้ครีเอเตอร์ที่ผลงานดีอย่าง เจสัน จอร์จ ที่เคยอำนวยการผลิตซีรีส์ดี ๆ อย่างซีรีส์ญี่ปุ่น The Naked Director และเว็บสตรีมหนังซีรีส์เจ้าพ่อยาเสพติด Narcos มาคุมการผลิตและเขียนบทด้วยตนเองแบบนี้ด้วยก็ไม่แปลกที่ใคร ๆ ก็คงพูดถึงซีรีส์นี้
ตัวละคร
ด้วยความที่เล่นกับที่จำกัด ดาราตัวหลักจึงมีหลายคนมาก หนังก็คัดนักแสดงมาได้ดี มีเอกลักษณ์หลากเชื้อชาติความเชื่อแตกต่างกันชัดเจน แต่แอร์ไทม์ที่ให้เวลาเยอะสุดจะอยู่ที่บทในห้องนักบิน ผ่านอดีตทหารสาว “ซิลวี” ที่รับหน้าที่เป็นนักบินผู้ช่วยกับตันที่โดนยิงที่มือตั้งแต่ตอนเปิดเรื่อง ซึ่งเธอก็ทำได้ดีดูแล้วเป็นตัวละครหลักที่มีความเป็นผู้นำจนกลายเป็นตัวเอกฝ่ายดีอย่างชัดเจน ส่วนฝ่ายร้ายบทก็ตกไปอยู่กับ “แทแรนซิโอ” ทหารนาโตชาวอิตาลีที่บุกมาจี้เครื่องบินในตอนเริ่ม ซึ่งบทก็ให้หมอนี่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายสลับไปมา เหมือนต้องการสับขาหลอกคนดู ซึ่งนักแสดงก็หน้าเหมือนโจรจี้เครื่องบินตามสูตรหนังแนวนี้อยู่แล้ว คนดูก็ปักใจเชื่อได้ง่ายๆ ว่าหมอนี่แหละตัวร้ายของเรื่องนี้
การดำเนินเรื่อง
แต่ส่วนอุปสรรคที่เกิดขึ้นจากคนด้วยกันเองกลับเป็นปัญหา โอเคเราเข้าใจล่ะว่าหนังแนวที่ปิดแบบนี้มันไม่พ้นต้องหาเรื่องดราม่าคนกับคนใส่เข้ามา ซึ่งหนังก็พยายามทำให้ดราม่าหลายอย่างสมเหตุผล และเป็นตัวขับเคลื่อนเรื่องไปในทิศทางที่คู่กับการเอาตัวรอดได้ดี อย่างการหาสถานที่บนโลกที่ปลอดภัย แต่สิ่งที่รับรู้ได้ตอนนั้นคือไม่มีข่าวสารที่แน่นอนอีกต่อไปแล้ว ก็ทำให้คนในกลุ่มต้องแตกคอกันว่าจะเอายังไงกันแน่
แต่อย่างดราม่าพวกนิสัยเสียทะเลาะเบาะแว้งพูดไม่เข้าหูแล้วทำร้ายกัน หรือพวกดราม่าแบ่งแยกคนดีคนไม่ดี พวกนี้ค่อนข้างเป็นสูตรสำเร็จที่น่าเบื่อ แถมหนังมักใช้ตัวละครแบบเดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย สลับไปมา ซึ่งอาจจะต้องการให้เรื่องดูมีลับลมคมในว่าใครเชื่อได้หรือไม่ได้ แต่ด้วยเวลาต่อตอนที่สั้นเพียง 30 นาทีจำนวน 6 ตอนจบซีซั่น 1 ทำให้การเปลี่ยนนิสัย (หรือสันดาน) ของตัวละครหลายตัวดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือสักเท่าไหร่ เพราะเรื่องมันไวมากแค่ผ่านไปวันกว่าเองๆ (เรื่องนี้นับเวลายากเพราะมีการบินคร่อมโซนให้มืดตลอดเวลา)
แม้จะมีความพยายามให้ทุกตอนเริ่มเรื่องมีฉากแฟลชแบ็คกลับไปเล่าเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนสั้นๆ แต่มันก็ไม่พอที่จะทำให้คนดูเข้าใจบุคลิกนิสัยที่เปลี่ยนไปบนเครื่องได้มากนัก ซึ่งหนังจงใจยัดเข้ามาเยอะมากเพื่อลากเรื่องให้มีอุปสรรคเล่นอะไรกันได้นานๆ แต่ก็กลายเป็นความน่าเบื่อที่ต้องเห็นดราม่าคนทะเลาะกันเป็นตัวเดินเรื่อง แทนที่จะเป็นอุปสรรคจากทางด้านอื่นที่พอเรื่องหยอดมาแต่ละครั้งสนุกกว่ามากมายหลายเท่า
ปัญหาการสร้างตัวละคร
ทว่าส่วนผสมตั้งต้นดี ๆ ที่ว่ามาก็มายับเยินจากปัญหาการสร้างตัวละครที่ทุกตัวเหมือนคนมีอาการทางจิต อารมณ์กับตรรกะเหตุผลเปลี่ยนเป็นว่าเล่นแทบทุกนาที และเป็นกับทุกตัวละครหลัก จนเราไม่สามารถคาดเดาหรือยึดสายตาตัวละครไหนแทนตัวเราในการติดตามเรื่องได้เลย ปัญหาที่ว่ามานี้เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนแรกยันตอนที่ 6 อันเป็นตอนสุดท้ายของซีซันแรก โดยที่ชื่อตอนที่เอามาจากตัวละครก็ไม่ได้เป็นว่าตัวละครนั้นจะเป็นพระเอกหรือเปลี่ยนมุมมองเป็นตัวละครนั้นในแต่ละตอนแต่อย่างใด
เพียงเพิ่มฉากภูมิหลังตัวละครนั้นเข้ามานิดหน่อยแล้วก็เล่าเรื่องปกติต่อไปแบบเสียของมากที่อุตส่าห์ตั้งชื่อตอนเป็นตัวละคร และกับความยาวแต่ละตอนแค่ 40 นาทีโดยประมาณที่แค่เหตุการณ์ก็ขับเคลื่อนเรื่องได้มากพอแล้ว ก็ไม่แน่ใจว่าจำเป็นต้องใส่การเปลี่ยนแปลงตัวละครไปมามากมายขนาดนี้ทำไมเช่นกัน พูดแบบนี้ก็จะหาว่าอคติในการรับชมมากเกินไปต้องขอยกตัวอย่างพอให้เห็นภาพนิดหน่อย
ตัวละคร ซิลวี่ อดีตทหารที่เพิ่งสูญเสียแฟนจากโรคร้ายเธอเอาเถ้ากระดูกของเขามาขึ้นเครื่องเพื่อไปโรยกระดูก ซึ่งเธอน่าจะเป็นตัวละครที่แทนสายตาผู้ชมมากสุดแล้วทั้งบทที่ชงให้เธอทั้งซีซันและชื่อเธอที่เป็นชื่อตอนแรกด้วย แต่แค่ฉากแรกเมื่อเธอตกอยู่ในสถานการณ์มีคนถือปืนบุกขึ้นเครื่องมาและร้องขอให้ใครก็ได้ที่เคยขับเครื่องบินมาช่วยนักบินอีกคนขับ เธอก็รีบเสนอตัวเพราะเคยขับเฮลิคอปเตอร์มาก่อนทันทีแบบไม่ลังเล แต่พอเข้าไปห้องนักบินได้สักพักเธอก็เพิ่งนึกได้ว่า เฮ้ยอย่าไปยอมมันสิ ให้มันยิงฉันเลย
แต่นักบินอย่าเอาเครื่องขึ้นนะ นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความไม่แน่นอนของคาแรกเตอร์ตัวละครอย่างซิลวี่เท่านั้น ยิ่งฉากหลัง ๆ ที่นักบินมีปัญหาและซิลวี่ต้องเลือก 2 ตัวละครมาช่วยจับนักบิน เธอก็ใช้ตรรกะที่ดีของเธอเลือกคู่กัดที่เพิ่งมีปัญหาขนาดไล่ให้อีกคนลงจากเครื่องไปตายมาช่วยกัน ซึ่งหนึ่งในคนนั้นเป็นชายแก่ ๆ ดูอ่อนแอเกินจะมาจับใครได้ และทั้งที่บนเครื่องมีผู้ชายตัวใหญ่ ๆ ไม่มีปัญหากันให้เลือกอีกมาก แต่ซิลวี่ก็ไม่เลือกครับ และคู่ที่มีปัญหากันนี้ก็รีบมาช่วยกันแบบไม่มีแง่งอนกันด้วย ร่วมมือกันดีมาก เราก็คิดว่าเออดีจะฆ่ากันเมื่อไม่กี่นาทีก่อนตอนนี้รักกันดีละจะได้ร่วมมือร่วมใจกันทั้งเครื่องเสียที แต่ป่าวครับ เขาก็ร่วมมือกันตามบทแค่ฉากนี้ล่ะ แล้วก็กลับไปมีปัญหากันต่อ (จ้ะ เอาที่สบายใจเลย)
ต่อมาก็ตัวผู้พันแทรันซิโอที่สติแตกยึดเครื่องตั้งแต่ตอนแรก เขาให้เหตุผลว่าดวงอาทิตย์กำลังจะฆ่าทุกคนแต่ไม่มีใครเชื่อเขา เขาเลยต้องเอาปืนมาขู่ให้เอาเครื่องหนีก่อนเรื่องอื่นว่ากันทีหลัง แต่พอต่อมาเมื่อทุกตัวละครรู้แล้วว่าเรื่องที่แทรันซิโอพูดเป็นจริง ในภาวะที่ผู้ชมคิดว่าศัตรูเชิงคอนเซ็ปต์อย่างปรากฏการณ์ธรรมชาติมันรับมือยากขนาดนี้คนที่ช่วยทุกคนไว้และน่าจะมีข้อมูลมากสุดสมควรจะเป็นผู้นำที่บอกว่าควรจะเอายังไงต่อไป
สิ่งที่แทรันซิโอเลือกคือเขาขอปืนที่โดนแย่งไปคืนและใช้มันขู่ทุกคนต่อไป ไม่พอเมื่อนักบินคนเดียวของเครื่องอย่าง มาธิว ตัดสินใจทางเทคนิคเรื่องการแวะพักและจุดหมายตามปริมาณน้ำมัน แทรันซิโอก็ใช้ตรรกะว่าเราควรโหวตกันแบบประชาธิปไตยในทุกเรื่องสิแม้แต่เรื่องเทคนิคการบินที่เขาเองก็ไม่มีความรู้ และเพื่อการสร้างมิติตัวละครให้สับสนพอ ๆ กันทุกตัวคนเขียนบทก็ให้แทรันซิโอประกาศกร้าวเรื่องปืนในมือเขาต่อ เป็นนักประชาธิปไตยแบบฟาสซิสต์ที่ผู้ชมต้องเข้าใจตรรกะเขาเอาเอง และจากว่าที่ผู้นำกลุ่มในซีรีส์ปกติเขาก็พัฒนาตัวเป็นตัวสร้างปัญหาอีกตัว
จริง ๆ มันก็น่าสนใจดี ถ้ามันจะมีตัวปัญหาสักตัวบนเครื่อง ทว่าขอโทษเถอะ ในซีรีส์ที่ทุกตัวละครพยายามสร้างปัญหาและหาเรื่องทะเลาะกันทุกอย่างราวกับว่าการเหม็นขี้หน้าทุกคนคือเรื่องใหญ่ที่สุด และไอ้ดวงอาทิตย์ที่กำลังทำมนุษยชาติสูญพันธุ์อยู่ด้านนอกนั้นไม่มีความสำคัญแต่อย่างใดอีกต่อไป ผู้ชมคงได้แต่ภาวนาให้คนเขียนบทช่วยเลิกพัฒนากลุ่มตัวละครแบบงี่เง่า ช่วยสร้างตัวละครที่เรายึดเป็นแก่นให้ติดตามดี ๆ ตรระกะเป้าหมายบุคลิกภาพของตัวเองแบบนิ่ง ๆ ได้สักตัวทีเถอะ แต่ก็นะจนจบซีซันเราก็แค่ต้องทนไอ้ตัวละครกลุ่มนี้ต่อไปแบบ อะไรของพวกเอ็งครับ ไปเรื่อย ๆ ตลอดเรื่อง
ปัญหาทั้งหมดเกิดจากอะไร จากการพิจารณาแล้วก็น่าจะมาจากการที่คนเขียนบทอยากให้เรื่องเดินไปตามเหตุการณ์ที่คิดวางไว้ทั้งหมดแล้ว ตอนนี้ตัวละครต้องทำแบบนี้เพื่อแบบนี้ และคนเขียนบทก็มีอีกโจทย์ที่ต้องทำไปพร้อมกันคือพัฒนาความขัดแย้งของตัวละครทุกตัวให้มีปมมีคอนฟลิกต์ห้ามร่วมมือกันง่าย ๆ ให้เรื่องน่าสนใจมีมิติของตัวละครอยู่ตลอด แต่ทั้งเหตุการณ์และการพัฒนาตัวละครมันไปด้วยกันไม่ได้ ตัวละครเลยมีความคิดแกว่งไปแกว่งมาปมในใจก็จะมี ทะเลาะก็ต้องทะเลาะ แต่พอถึงฉากนี้ต้องทำแบบนี้ให้เรื่องมันเดินต่อไปได้ ซึ่งที่ว่ามามันเป็นปัจจัยที่ทำลายตัวซีรีส์เองลงเรื่อย ๆ ดูจนจบก็ไม่มีตัวละครไหนที่รู้สึกผูกพันหรือเชียร์เลย
สรุป
ก็ต้องถือว่าเป็นซีรีส์ที่กล้าฉีกแนวทางเดิมๆ ของการเล่นที่จำกัดโดยทั่วไปมาอยู่บนเครื่องบิน หนังมีโปรดักชั่นที่ลงทุนสูงพอตัว ทำหลายๆ อย่างออกมาได้น่าเชื่อ แต่ก็ไม่ได้เผยให้เห็นฉากสเกลใหญ่ของโลกสักเท่าไหร่เลย ทุกอย่างถูกบีบมาอยู่บนเครื่องเป็นส่วนใหญ่ 80% ของเรื่อง ที่อุดมไปด้วยดราม่าปัญหาคนทะเลาะกันบ่อยมากจนแอบเบื่อบ้าง แต่ยังดีที่พวกอุปสรรคทางเทคนิคด้านอื่นๆ น่าติดตาม ลุ้นระทึกสนุกได้จริง แม้เรื่องจะตัดจบแล้วยังไม่เคลียร์อะไรสักเท่าไหร่เลยก็ตามที
สิ่งที่ดีที่สุดในเรื่องนี้ก็คงเป็นไอเดียตั้งต้นที่ดี ซึ่งก็เป็นอย่างเดียวจริง ๆ ที่ทำให้ดูได้จนจบซีซันแรกว่าเรื่องมันจะสรุปไอเดียตัวเองอย่างไร และใครชอบดราม่าที่ตัวละครทุกตัวทะเลาะกันตลอดเรื่องแบบไม่ต้องมีเหตุผลนำมาก่อนแต่อย่างใดก็น่าจะชอบเรื่องนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น