วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2563

The Old Guard

ดูหนังฟรี

รีวิว The Old Guard - ดิ โอลด์ การ์ด

จากกราฟิกโนเวลเรื่องดังของ “เกร็ก รักคา” The Old Guard มีความยาวทั้งสิ้น 5 เล่มตีพิมพ์ในปี 2017 ความกิ๊บเก๋คือในเวอร์ชั่นภาพยนตร์ตัวเกร็กเองได้รับหน้าที่ในการดัดแปลงงานของตัวเองให้กลายมาเป็นบทภาพยนตร์ ตัวหนังแม้จะมีไม่อะไรแปลกใหม่นักแต่ก็ดูได้เพลินๆไม่เสียเวลาแต่อย่างใด รีวิว The Old Guard

เรื่องย่อ

เรื่องของกลุ่มคนที่มีพลังอมตะ " ตายเเล้วฟื้น " โดยไม่มีสาเหตุ ต้องใช้ชีวิตมาหลายยุคหลายสมัย เพื่อหาเหตุผลของการมีอยู่ถึงพลังนี้ รวมถึงต้องหลบหนีเเละต่อสู้กับกลุ่มคนที่ต้องการพลังอมตะ เพื่อสร้างผลประโยชน์ให้กับตัวเองโดยไม่สนความเป็นความตายของพวกเขา ทหารรับจ้างที่มีชีวิตอมตะกลุ่มเล็กๆ รวมตัวกันอย่างลับๆ และนำโดยนักรบชื่อแอนดี้ (ชาร์ลิซ เธอรอน) ทุกคนต่อสู้เพื่อปกป้องโลกมนุษย์มาเป็นเวลาหลายร้อยปี แต่เมื่อต้องไปปฏิบัติภารกิจเร่งด่วนที่ทำให้ความสามารถที่ไม่ธรรมดาของกลุ่มเปิดเผย ไนล์ (คิคี เลย์น) ซึ่งเป็นนักรบอมตะคนล่าสุดจึงต้องตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมกลุ่มเพื่อช่วยเหลือทุกคน หรือว่าจะกลับไปใช้ชีวิตกับครอบครัวดังเดิม


เน็ตฟลิกซ์ นำเสนอหนังเข้าใหม่ที่น่าจับตามองอีกครั้ง เพราะได้หน้าสวย ๆ ของ ชาร์ลิส เธอรอน มานำทีมก็เรียกความสนใจจากคอหนังฝรั่งได้มากโขอยู่แล้ว ยิ่งงานหลัง ๆ ของเธอในแนวแอ็กชันก็เรียกได้ว่าผลงานคุณภาพมาต่อเนื่อง ตั้งแต่บทรองที่เด่นเหมือนบทนำคู่ใน Mad Max: Fury Road (2015) หรือการเป็นจอมวางแผนที่สวยร้ายสุด ๆ ในหนังรถแข่งกู้โลกอย่างตระกูล Fast แล้วยิ่งมาประกอบกับเรื่องย่อของหนังว่าด้วยเหล่าคนอมตะที่มีชีวิตยืนยาวมาหลายศตวรรษ ฆ่าก็ไม่ตาย และได้รวมกลุ่มกันต่อสู้กับความอยุติธรรมในสมรภูมิต่าง ๆ ทั่วโลกอีก เรียกว่าทรงมาแบบตีหัวเข้าบ้านสบาย

ส่วนด้านผู้กำกับก็ได้ จีนา พรินซ์-บายเดวูด ผู้กำกับสาวเชื้อสายแอฟริกันที่ทำผลงานสายดราม่าเกี่ยวกับคนแอฟริกัน-อเมริกันได้รางวัลมาแล้วมากมาย นี่ก็เป็นการจับทางหนังตลาดที่พลิกไปแอ็กชันจ๋าครั้งแรกของเธอเช่นกัน ก็อาจเป็นกระแสใหม่ของฮอลลีวูดที่ให้โอกาสผู้กำกับหญิงมาสร้างความแตกต่างในกลุ่มหนังแอ็กชันหรือหนังซูเปอร์ฮีโรกันมากมายในช่วงหลายปีหลัง

เนื้อเรื่อง

สำหรับเนื้อเรื่องจะเป็นการดัดแปลงจากกราฟิกโนเวลของ เกร็ก รักคา นักเขียนที่มีผลงานโลดแล่นอยู่ทั้งค่าย DC และ Marvel เรียกว่าจับมาหมดแล้วทั้ง แบทแมน ซูเปอร์แมน สไปเดอร์แมน หรือ เอ็กซ์เมน สำหรับ The Old Guard เป็นกราฟิกโนเวลความยาว 5 เล่มที่ตีพิมพ์ในปี 2017 ซึ่งเมื่อจะมีการนำมาทำเป็นหนัง ตัวรักคาเองก็ขอทำการเขียนบทดัดแปลงด้วยตนเอง โดยตัวเขาก็มีผลงานการเขียนบทซีรีส์โทรทัศน์และวิดีโอมาพอสมควรแล้วด้วย ดังนั้นบทที่ปรากฏแก่สายตาเราจึงแทบจะเป็นงานที่ออกมาแทบจะเป็นเนื้อเดียวกับตัวกราฟิกโนเวลเลยทีเดียว ยิ่งบางฉากนั้นคล้ายถึงขนาดมุมกล้องในหนังสือทีเดียว

ต้องบอกว่าจากพล็อตจากตัวอย่างดูหนังฟรี และความเว่อร์ของแนวนี้ที่เคยมีหลายเรื่องทำมาก่อนเยอะแยะแล้ว ตัวอย่างซีรีส์ Highlander (1992–1998) คนอมตะที่ต้องสู้กันเองเปลี่ยนผ่านความทรงจำรุ่นต่อรุ่นมาเป็นพันปี ทำให้ผู้เขียนคิดว่าเรื่องนี้ที่หยิบพล็อตแนวนี้มาทำใหม่อีกเรื่องน่าจะมีอะไรเด็ดๆ มากกว่านี้ซ่อนอยู่ แต่คงหวังมากไปเพราะสุดท้ายตัวเรื่องยังถือว่าอยู่ในขั้นธรรมดาสามัญมาก หลักๆ คือแค่มนุษย์อมตะที่ไม่รู้ว่าอมตะจากอะไร (เรื่องอื่นๆ ก็มักจะประมาณนี้) พยายามค้นหาสาเหตุของการเป็นอมตะที่จริงๆ

แล้วก็ยังทนทุกข์ทรมานจากการไม่ตายได้เช่นกัน ทั้งอาการเจ็บที่ยังคงอยู่ การเห็นคนที่รักตายจากไป คบค้าสมาคมสนิทกับใครก็ไม่ได้เพราะกลัวความลับถูกเปิดเผย ด้วยความโดดเดี่ยวนี้เองจึงทำให้พล็อตมนุษย์อมตะแนวนี้มีอะไรแทบเหมือนกันทั้งหมด แต่แค่เปลี่ยนตัวร้ายเป็นรุ่นๆ ไปเท่านั้น ซึ่งในเรื่องนี้ทีมตัวเอกที่มีกัน 4 คนต้องมาเจอกับ CEO เจ้าของบริษัทยาที่ต้องการไขความลับชีวิตอมตะของพวกเขา โดยอ้างว่าทำเพื่อมนุษย์ชาติ แต่จริงๆ คือเพื่อหากำไรเข้าบริษัท ซึ่งมันก็เบๆ มากกับสูตรสำเร็จแบบนี้ (ถ้าใครไม่เคยดูหนังพล็อตแนวนี้อาจจะว้าวก็ได้)

ด้านฉากต่อสู้

แต่สำหรับงานนี้ของจีน่าก็ต้องบอกว่าในส่วนของแอ็กชันนั้น ไม่ได้แปลกใหม่แต่อย่างใด เป็นหนังขนบหลังจอห์น วิกฟีเวอร์ที่เน้นการยิงแม่นยำเน้นเข้าจุดตายว่องไว ผสมการใช้ปืนกับการรุกประชิด ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ดีถ้าเราไม่ได้เห็นกันจนเกร่อเสียแล้วในช่วงปีหลัง ๆ หนังถ่ายทอดสดและยิ่งมุมกล้องเองก็ไม่ได้สร้างสีสันใหม่ ๆ อะไรเท่าใดนัก ฉากต่าง ๆ ในเรื่องก็แบนไร้ความน่าจดจำ แม้แต่ไคลแมกซ์ของเรื่องที่ฉากควรอลังที่สุดก็ยังแบนราบไร้ความน่าสนใจ ไม่ได้สร้างความรู้สึกกดดันหรือยิ่งใหญ่อะไรได้เลย ในความเป็นหนังแอ็กชันเลยขาดความว้าวไปเยอะมาก ๆ

ที่ฉากแอ็กชั่นเรื่องนี้ไม่ได้เข้มข้นอะไรมากอีกส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะผู้กำกับ Gina Prince-Bythewood ที่ดูเครดิตการทำงานแล้วมีแต่หนังแนวดราม่าแทบทั้งนั้น พอต้องมากำกับหนังแอ็กชั่นเต็มสูบ ก็เลยเหมือนไม่ใช่งานถนัดของเธอนัก และในส่วนดราม่าของเรื่องเองที่พยายามปั้นตัวละครน้องใหม่มาเข้าทีมด้วยอารมณ์สับสนยังอยากกลับไปหาพ่อแม่ที่บ้าน เรื่องก็ไม่ได้รู้สึกหน่วงอะไรนัก เรียกว่าแทบจะไม่มีอารมณ์ร่วมให้คนดูรู้สึกไปตามนั้นเลย

ส่วนตัวนางเอกก็มีย้อนอดีตไปไกลหน่อยสมัยยังรบพุ่งขี่ม้าใส่เกราะฟันกัน ซึ่งก็เหมือนจะพยายามบิ้วให้ซึ้งว่ามีสมาชิกรุ่นก่อนที่ตายเพราะพลังอมตะหายไปโดยไม่รู้สาเหตุ แล้วก็มีสมาชิกอีกคนที่โดนถ่วงลงก้นทะเลแต่เธอตามหาไม่เจอ ซึ่งเรื่องก็ใส่มาแบบหยอดไว้กะทำภาคต่อกันตรงๆ แต่ระหว่างที่ดูแล้วเจอฉากนี้คนดูก็คงเผลอคิดไปว่าอาจจะเป็นบอสหรือตัวร้ายจริงในภาคนี้ก็ได้ แต่พอไม่ใช่ก็เหมือนโดนหลอกเฟลนิดๆ (จุดนี้ใส่ไว้เพื่อทำภาคต่อในเอนด์เครดิตโดยตรง)

รีวิว The Old Guard


ด้านตัวบท

ยังไม่นับว่าบทมันทื่อเสียจนแค่วางตัวละครมา เราก็แทบเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้นในหนังได้เลย อย่างเรื่องที่ว่า ชาร์ลิส เธอรอน เป็นตัวละครนำของทีมอมตะ ซึ่งดาราคนอื่นบารมีห่างชั้นแบบไกลเกินไป (ดาราที่พอสูสีอย่าง จิวีเทล เอจิโอฟอร์ จากหนัง Doctor Strange ก็กลายเป็นตัวละครในฝั่งอื่นเสียอีก) พอเมื่อมีตัวละครใหม่อย่างไนล์เข้ามาในทีมแบบที่บทจงใจปั้นให้เป็นตัวละครนำเต็มที่ และเมื่อมีการเล่าถึงความตายของคนอมตะในอดีต ใครที่ดูหนังมามากพอควรก็แทบเดาชะตากรรมของแอนดี้และคณะได้แล้ว นี่ยังไม่นับความตื้นด้านพลอตของตัวละครหนึ่งในทีมที่แทบจะเอาไปหลอกใครให้ตกใจกับการหักมุมไม่ได้เลยด้วยนะ

ข้อดีของการได้จีน่ามาที่เห็นชัดคือความลึกของมิติตัวละครบางตัวผ่านการสนทนา อย่างตอนที่ บุ๊กเกอร์ เล่าถึงความตายของลูกชายคนสุดท้องของเขาด้วยความเจ็บปวดที่ทำให้เข้าใจสิ่งที่ส่งผลต่อพฤติกรรมของเขาต่อ ๆ มา หรือการสื่อสารผ่านสายตาของตัวละคร แอนดี้ ที่สะท้อนประสบการณ์ความโศกเศร้าสะสมหลายศตวรรษ โดยแทบไม่ต้องมีคำพูดใด ๆ การกำกับการแสดงและสื่อสารด้านดราม่าเหล่านี้เสียอีกที่กลายเป็นจุดแข็งให้หนังเรื่องนี้

และยังอาจต้องนับการแคสต์นักแสดงสาวจากหนังสายรางวัลอย่าง กิกิ เลน จากหนัง If Beale Street Could Talk (2018) ที่ถูกพูดถึงในเวทีออสการ์ปีนั้นพอสมควรมารับบท ไนล์ ที่ต้องเด่นรองจากเธอรอนเลย ก็น่าจะเพราะการได้จีน่ามากำกับเรื่องนี้ด้วยนั่นล่ะ ทว่ามันก็ไม่ได้ตอบความคาดหวังของผู้ชมที่ตั้งใจมาดูหนังแอ็กชันมันสะใจเท่าไร หรือนักแสดงคุณภาพหลาย ๆ คนก็ไม่ได้เป็นที่สนใจของคนดูหนังแอ็กชันอยู่แล้ว กลายเป็นรู้สึกแปลก ๆ กับเหล่าตัวละครที่จงใจให้หลากเขื้อชาติหลากเพศสภาพอะไรพวกนี้เสียด้วยซ้ำ เรียกว่าแข็งก็ดีแต่ผิดที่ผิดทาง

จุดนี้อาจต้องว่าไปถึงเนื้อหาของรักคาที่วางพื้นฐานด้านปรัชญาหรือธีมของเรื่องไว้ด้วยว่าตื้นเขินเกินไปสักหน่อย ในยุคแห่งผลิตผลของเรื่องเล่าความเป็นอมตะ เราได้เห็นปรัชญาของหนังอย่าง Highlander ที่ความเป็นอมตะถูกผูกกับผู้คน/ความสัมพันธ์/ความรู้และอุดมการณ์ การสิ้นสุดของความเป็นอมตะที่ยุติลงด้วยการถูกตัดหัวและการถ่ายทอดความรู้ต่อเนื่องกันไป

ทำให้บรรยากาศถูกปกคลุมด้วยความลึกของวิธีคิดต่าง ๆ ของแต่ละตัวละคร หรือใหม่หน่อยอย่าง Ajin ของญี่ปุ่นที่สะท้อนความบ้าคลั่งไร้เหตุผลของมนุษย์ และความน่ากลัวจากความหวาดระแวงในหมู่คน การมองคนไม่เป็นคน และการนำเสนอการต่อสู้ของหลากหลายอุดมการณ์ความคิด ผ่านฉากแอ็กชันขนาดใหญ่และกลยุทธ์การปะทะกันอย่างถึงกึ๋น

เมื่อมองกลับมายัง The Old Guard ที่ถึงแม้จะมีความพยายามนำเสนอหลาย ๆ แง่มุมที่หนังเรื่องก่อน ๆ ว่ามาแต่ก็เบาบางมาก ฉากที่เพื่อนของไนล์เริ่มหวาดระแวงที่รอดตายอย่างปาฏิหาริย์ดูไม่สมเหตุสมผลและดูประหลาดขึ้นทันทีเมื่อเราเทียบกับสิ่งที่ตัวละครใน Ajin เผชิญในการตายครั้งแรก ความสัมพันธ์ของกลุ่มคนอมตะถึงจะดูสมเหตุสมผล แต่ลึก ๆ เราก็จะมีความขัดแย้งในความคิดและการกระทำของตัวละคร

เหมือนว่าบทวางด้านลึกของตัวละครไว้สับสนตัวเอง ยิ่งเมื่อไปดูความสำคัญของตัวตนและภาระแห่งตัวตนของการเป็นอมตะนั้น ก็ถูกนำเสนอแบบทื่อ ๆ เหมือนประสบการณ์ที่ผ่านมาไม่ได้ช่วยให้ตัวละครอมตะเหล่านี้ตระหนักอะไรเลย ราวกับเหตการณ์ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงในใจพวกเขาให้กลายเป็นฮีโรช่วยโลกนั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยในช่วงหลายร้อยหลายพันปี ทั้งที่ในหนังมันเป็นแค่จุดง่าย ๆ ไม่ได้ซับซ้อนหรือต้องการปัจจัยพิเศษให้เกิดเหตุการณ์ตกผลึกเลยสักนิด ความน่าเชื่อถือต่อหนังเรื่องนี้เลยต่ำเตี้ยลงไปพอสมควร

จริง ๆ มันก็ไม่ควรเอาหนังเรื่องนี้ไปเทียบกันเรื่องอื่น ๆ หรอกเพราะต่างคนก็ต่างมีจุดอยากนำเสนอที่ต่างกัน เพียงแค่อยากสื่อว่าในยุคที่ปมประเด็นนี้ถูกนำเสนออย่างหลากหลายน่าสนใจมากขนาดนี้ การไม่ทำการบ้านอะไรเลย และย่ำอยู่กับไอเดียที่เชยเอามาก ๆ แล้ว ก็ไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นมาเลย

โดยรวม

ก็ถือว่าเป็นหนังทุนสูงของ Netflix ที่มีงานโปรดักส์ชั่น CG ได้มาตรฐาน แต่ว่าตัวเรื่องไม่ได้แปลกใหม่ ฉากแอ็กชั่นแค่ได้มาตรฐานทั่วไปยังไม่ถึงขั้นมีซีนน่าจดจำอะไรนัก และก็จบแบบเตรียมทำภาคต่อชัดเจน เข้าใจว่าเป็นเหมือนแนวทางใหม่ของเน็ตฟลิกซ์ที่ต้องการทำหนังจากดาราดังทุนสูงในลักษณะยาวเป็นซีรีส์ได้ ซึ่งเท่าที่ดูก็น่าจะประสบความสำเร็จดีเพราะอันดับยอดคนดูสูงแซงซีรีส์ดังๆ เกือบเท่าตัวทั้งนั้น เรื่องนี้ก็มาแนวเดียวกันย่อยง่าย ดูเอาเพลินๆ แปบๆ จบ ยอดก็น่าจะดีถล่มทลายเช่นกันครับ

สรุป

นี่เป็นหนังที่ดูเอาเพลินเอาสนุกได้เลยล่ะ ไม่ถือว่าเสียเวลาแต่อย่างใด อาจดูดีกว่าเอาไปทำเรื่องไร้สาระอื่น ๆ เสียด้วย ทว่ามันไม่มีอะไรให้น่าจดจำเอาเสียเลย เป็นอาหารที่ผ่านเข้าปากแล้วไหลลงทวารได้สบายโดยร่างกายไม่ต้องเพิ่มภาระการดูดซึมใด ๆ ให้เหนื่อย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น