รีวิว El Camino - ดับเครื่องชน คนดีแตก
หนังภาคต่อของซีรีส์ Breaking Bad กับ บทสรุปชีวิตของ เจสซี พิงค์แมน ว่าเจออุปสรรคอะไรอีกบ้างหลังจากตอนจบของซีรีส์ แล้วเขาจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ยังไง รีวิว El Camino
เรื่องย่อ
หลังปิดตำนานเจ้าพ่อยาเสพติดอย่าง วอลเทอร์ ไวต์ ชะตากรรมของ เจสซี พิงค์แมน (อารอน พอล) ยังคงดำเนินต่อหลังหนีการคุมขังของ ทอดด์ (เจสส์ เพลมอนส์) อาชญากรจอมซาดิสม์และพรรคพวกมาได้ เจสซี ต้องหาทางหนีการจับกุมทั้งตำรวจและแก๊งค้ายา รวมถึงหาเงินที่ซ่อนไว้เพื่อหวังไปเริ่มชีวิตใหม่ แต่แล้วอดีตอันเลวร้ายก็ตามหลอกหลอนเขาไม่เลิก
หลังปิดฉาก Breaking Bad ซีซันที่ 6 (บางแหล่งนับเป็นครึ่งหลังของซีซัน 5) ไปในปี 2013 พร้อมเกียรติยศได้ติดอันดับซีรีส์ที่มีบทโทรทัศน์ยอดเยี่ยมที่สุดของอเมริกาในลำดับที่ 13 จนเป็นที่เลื่องลือทั้งในหมู่คอซีรีส์และนักเรียนหนังว่าเป็นซีรีส์ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตต้องดู! จนเรื่องราวของวอลเทอร์ ไวต์ อดีตครูสอนเคมีที่หันหลังให้ศีลธรรมแล้วร่วมมือกับ เจสซี พิงค์แมน ลูกศิษย์ตัวเองลักลอบผลิตยาไอซ์ขาย
เพื่อหวังหาเงินก้อนสุดท้ายให้ลูกเมียก่อนตัวเองจะถูกมะเร็งพรากชีวิตไป ได้รับการสานต่อทั้งฉบับรีเมกของ โคลัมเบีย หรือกระทั่งการมาผลิตซีรีส์ไซด์สตอรีร่วมกับเน็ตฟลิกซ์ จนเกิด Better Call Saul ซีรีส์สุดฮิตที่ว่าด้วยเรื่องราวของ ซอล ทนายความลิ้นสาลิกาที่ช่วยอาชญากรให้รอดจากเงื้อมมือกฎหมาย แต่กระนั้นเรื่องราวที่ถือเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่หายไปจริง ๆ กลับเป็นเรื่องของ เจสซี พิงค์แมน อดีตลูกศิษย์ของวอลเทอร์ ไวต์ นั่นเอง
เนื้อเรื่อง
จากตอนจบของ ซีรีส์ Breaking Bad หลังจาก เจสซี พิงค์แมน ต้องเผชิญช่วงเวลาบัดซบของชีวิต ที่ถูกขังให้ต้องปรุงยาไอซ์ ซึ่งสภาพที่เขาถูกพวกแก๊งค์จับไปขังนั้นแทบจะถูกปฏิบัติไม่ต่างจากสัตว์เลี้ยง แต่ด้วยความช่วยเหลือครั้งสุดท้ายจาก วอลเตอร์ ไวท์ ผู้ที่เขาทั้งรักทั้งแค้น ซึ่งหลังจากฉากสุดท้ายในซีรีส์จบลง เจสซี ก็ได้หลุดออกมาเป็นอิสระ แต่ปรากฏว่าเมื่อเราได้ดูในหนังภาคต่อ เราจะพบว่ามันก็ไม่ได้ง่ายอย่างนั้น
ในภาพยนตร์จะบอกเล่าเรื่องของเจสซี นับตั้งแต่วินาทีที่เขาขับรถยนต์พังกรงขังออกมาเลย ว่าเขาต้องทำอะไรต่อ เพื่อจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ ซึ่งก็ทำให้คนดูต้องมาลุ้นไปกับเขาว่าจะทำสำเร็จหรือไม่ เมื่อตำรวจทั้งเมืองและ FBI ต่างก็พุ่งเป้าจับตัวเขาอยู่ ในฐานะศิษย์เอกของเจ้าพ่อเครือข่ายยาไอซ์อย่าง ไฮเซนเบิร์ก นอกจากนี้ยังมีกลุ่มอื่นที่อาจจะมาเป็นอุปสรรคของเขาด้วย
การดำเนินเรื่องราว
EL CAMINO เริ่มเรื่องราวในเส้นเรื่องหลักต่อจากเหตุการณ์ดูหนังออนไลน์ในตอนจบของ Breaking Bad ทันทีหลัง วอลเทอร์ ไวต์ (ไบรอัน แครนสตัน) ได้บุกไปช่วยเหลือ เจสซีจนเขาหนีออกมาจากแก๊งค้ายาซาดิสม์ที่จับเขาไปทรมานได้ และด้วยเจสซี ได้ตกเป็นเป้าหมายทั้งของทางการและผู้มีอิทธิพลก็ทำให้ปลายทางเดียวในชีวิตเจสซี
คือการหนีออกจากประเทศให้ได้เร็วที่สุด และในขณะเดียวกันภาพเหตุการณ์ตอนเขาถูกกักตัวก็คอยมาตามหลอกหลอนและอาจเป็นคำตอบว่าทำไมชีวิตได้พาเขามาสู่จุดนี้ได้ ซึ่งจากกลวิธีการเล่าดังกล่าวก็ไม่น่าแปลกใจนักเพราะมันถูกบอกเล่าโดย เจ้าของเรื่องตัวจริงของ Breaking Bad อย่าง วินซ์ กิลลิแกน ที่กลับมาเขียนบทและกำกับนั่นเอง
ซึ่งหากจะให้ประเมินหนังความยาว 2 ชั่วโมงเรื่องนี้ก็อาจเปรียบเทียบได้กับ Breaking Bad สักตอนที่พยายามบอกเล่าตัวละคร อาจไม่ได้มีฉากตื่นเต้นมากมาย โดยส่วนใหญ่จะตัดสลับระหว่างภาพปัจจุบันของเจสซีที่พยายามหาทางหนีกับภาพย้อนอดีตหรือแฟลชแบ็กที่ทำให้เห็นว่าเจสซีเจอเล่นงานหนักแค่ไหนหลังเข้ามาสู่วงการยาเสพติด แต่พอถึงจุดไคลแมกซ์ก็ต้องยอมรับอยู่ดีว่า วินซ์ สามารถขมวดปมที่เหมือนไม่มีอะไรมากมาย ไปสู่การเซอร์วิสแฟนซีรีส์ Breaking Bad แบบอดกรี๊ดไม่ได้เลยทีเดียว
จุดที่ชอบ
ความยอดเยี่ยมก็คือ ในหนังจะมีการดึงตัวละครเก่า ๆ กลับมาให้เราหายคิดถึงแบบแนบเนียน รวมถึงตัวละครที่เราอาจจะคาดไม่ถึงจากในซีรีส์หลัก ได้กลับมามีบทอีก ซึ่งก็ถือว่าไว้ลายบทเว็บดูหนังที่เต็มเปี่ยมด้วยชั้นเชิงจากในซีรีส์หลักโดยแท้ โดยเฉพาะเทคนิคการเอาเรื่องเล็ก ๆ มาขยายให้เป็นเรื่องใหญ่ จนถึงวายป่วง แบบที่ทำสำเร็จมาแล้วในซีรีส์หลัก แล้ววิธีการนี้ก็เคยทำให้ Breaking Bad กลายเป็นซีรีส์ที่คนดูแทบจะคาดเดาในซีนถัด ๆ ไปแทบจะไม่ได้เลย
นอกจากนี้ ตัวละครเจสซี ในหนังมีการพัฒนาด้านคาแรคเตอร์ขึ้นมาจากในซีรีส์มาก แม้ว่าตัวละครยังคงบุคลิกสำคัญบางอย่างไว้ แต่ที่เพิ่มเติมขึ้นมาก็คือ ความเก๋าเกม การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า การแสดงไหวพริบ และการอ่านคน ซึ่งทั้งหมดนี้เราไม่ค่อยได้เห็นจากตัวเจสซีในซีรีส์หลักมากนัก
คือกว่าที่เราจะได้เห็นพัฒนาการด้านนี้ของเจสซีในซีรีส์ก็ต้องเป็นช่วงซีซันท้าย ๆ เข้าไปแล้ว แต่หลังจากเผชิญกับความโหดร้ายที่เข้ามาในชีวิต และการที่ได้เคยร่วมงานกับ วอลเตอร์ ไวท์ มานาน ทั้งหมดก็หล่อหลอมให้ตัวเจสซีพร้อมที่จะเอาตัวรอดตามลำพังในโลกอันโหดร้าย ซึ่งคนดูก็ต้องมาลุ้นกันว่า เขาจะเริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างที่ตั้งใจไว้ได้ไหม
สิ่งที่ถือเป็นไฮไลต์ของ EL CAMINO คงหนีไม่พ้นการแสดงของ อารอน พอล ในบทเจสซี ตัวเด่นของเรื่อง เขาให้ภาพที่ดูโตขึ้นและทำให้เห็นว่า เจสซี พิงค์แมน เด็กฮิปฮอปลูกน้องของวอลเทอร์ ไวต์ ได้เปลี่ยนไปแล้ว เขาถูกวงการยาเสพติดกลืนกินและกัดกร่อนตัวตนจนไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป ทำให้ เจสซี ใน EL CAMINO แทบเป็นภาพมุมกลับของ วอลเทอร์ ไวต์ สำหรับคนที่ยังมีลมหายใจอยู่แต่ก็ใช้ชีวิตเหมือนตายทั้งเป็นจริง ๆ
และแน่นอนตามที่ได้ประกาศก่อนหน้านี้คือการกลับมาสู่โลก Breaking Bad อีกครั้งของ ไบรอัน แครนสตัน ในบท วอลเทอร์ ไวต์ ที่ซีนของเขาเหมือนเป็นช่องว่างที่หายไปในฉบับซีรีส์ว่า ชีวิตพ่อค้ายาสมัครเล่น/ครู/คนใกล้ตายอย่างเขา ได้สอนอะไรเจสซี ไว้บ้าง แต่คนที่อาจไม่เด่นเท่าแต่ทำให้เรื่องราวเติมเต็มได้สมบูรณ์จริง ๆ กลับขอยกให้การปรากฎตัวของ คริสเตน ริตเตอร์ ในบท เจน ความรักครั้งเดียวของเจสซีในซีซัน 2 ที่เหมือนภาพความสุขที่ไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว ซึ่งถือเป็นการตอบแทนในคุณงามความดีของ Breaking Bad ที่ทำให้คริสเตน ริตเตอร์ ได้รับบท เจสสิกา โจนส์ ซีรีส์ซูเปอร์ฮีโรของมาร์เวลที่ร่วมทำกับเน็ตฟลิกซ์อีกด้วย
โดยรวม
เต็มอิ่มกับบทสรุปชีวิตของ เจสซี พิงค์แมน ตั้งแต่วินาทีถัดมาหลังจากตอนจบของซีรีส์ Breaking Bad ตัวหนังเต็มไปด้วยชั้นเชิงการเล่าเรื่องที่ชวนให้ลุ้นเอาใจช่วยตัวละคร เหมาะสำหรับแฟนซีรีส์เรื่องนี้ แต่อาจจะงงพอสมควรสำหรับคนที่ไม่เคยดูซีรีส์จนจบ
สรุป
หากคุณเป็นแฟน Breaking Bad ก็เหมือนหนังภาคบังคับที่จะได้ปิดตำนานได้อย่างสมบูรณ์ ส่วนคนที่ไม่เคยดู Breaking Bad มาก่อนคิดว่าดูแล้วอาจจะรู้สึกเบื่อและน่าจะงงกับความสัมพันธ์ของตัวละครแน่ ๆ เพราะหนังไม่มีการเล่าย้อนว่าใครเป็นใครมาก่อน ดังนั้น EL CAMINO จึงเหมาะกับแฟนของซีรีส์ Breaking Bad ที่ดูครบ 6 ซีซันแล้วเท่านั้นครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น