รีวิว Money Heist Part 3 - ทรชนคนปล้นโลก
Money Heist 3 ทรชนคนปล้นโลก หนังดำเนินเรื่องราวต่อจากตอนจบซีซั่นก่อน ทั้งหมดอยู่ในช่วงกบดานใช้ชีวิตอยู่กันคนละประเทศและมีกฎห้ามติดต่อกัน ตามแผนที่โปรเฟซเซอร์วางไว้ แต่สุดท้ายแผนก็ล่มจาก “ความรักทำให้พัง” แบบเดิม ซึ่งแม้แต่โปรเฟสเซอร์ที่เป็นคนตั้งกฎนี้เองก็ทำตามไม่ได้ แม้แผนสมบูรณ์แบบแค่ไหน แต่เรื่องหัวใจมันห้ามกันไม่ได้ รีวิว Money Heist Part 3
เรื่องย่อ
ปฏิบัติการปล้นระดับชาติที่มีผู้นำขบวนการใช้ฉายาแฝงว่า ศาสตราจารย์ ได้เรียกพลพรรคที่รอดชีวิตหนีการจับกุมอยู่ในขณะนี้กลับมาอีกครั้ง เพราะสมาชิกคนหนึ่งอย่าง ริโอ ถูกจับได้และนำไปทรมานอย่างไร้มนุษยธรรมในที่ลับของรัฐบาล ทำให้พวกเขาต้องนำแผนการปล้นสุดคลั่งของเบอร์ลินในอดีตมาใช้ด้วยความจำเป็น เพื่อยึดธนาคารกลางที่เก็บทองคำสำรองของสเปนและต่อรองให้ปล่อยตัว ริโอ คืนมา
หนังยังคงใช้คาแร็กเตอร์เดิม สูตรเดิม วางเหตุการณ์ไว้เป็นสเต็ปปล้นแบบเดิมแทบทั้งหมด แค่เปลี่ยนจากโรงกษาปณ์มาเป็นธนาคารกลางแห่งชาติของสเปน ทั้งหมดนี้จะเรียกว่าผู้สร้างเลือกเพลย์เซฟก็ว่าได้ ในเมื่อของเดิมดีอยู่แล้วจะเปลี่ยนทำไม สำหรับในมุมแฟนหนัง (อย่างผมด้วย) ดูแล้วโหยหาคิดถึงเหมือนฉากที่เหล่าตัวละครในเรื่องกลับมาเจอกันกอดกัน
การย้อนรอยการวางแผน การเข้าปล้นแล้วยามคับขันตัดสลับมาที่ซีนเฉลยในห้องวางแผนเก่าๆ กับโมเดลจำลอง พวกนี้เป็นเหมือนสูตรสำเร็จที่ลงตัวดีอยู่แล้ว แต่สำหรับคนที่ไม่ได้เป็นแฟนหนังเรื่องนี้มากนัก ก็อาจจะมองว่า “หนังมักง่าย” ใช้เรื่องเดิมเปลี่ยนโลเกชั่นก็ว่าได้ ซึ่งก็เป็นแบบนั้นจริง แต่สิ่งที่แตกต่างไปคือตัวละครใหม่ที่เพิ่มมา และตัวละครเก่าในโหมดแฟลชแบ็คความทรงจำของศาสตราจารย์ (สปอยเบอร์ลิน) ซึ่งช่วยทำให้เราเข้าใจความสัมพันธ์ของเขากับเบอร์ลินเพิ่มมากขึ้น
เหมือนผู้สร้างรู้ว่าตัวละครอย่างเบอร์ลินมีคนนิยมชมชอบมาก จึงเลือกพาเบอร์ลินกลับมาและเทเวลาให้ทุกตอน จนรู้สึกว่าจงใจยัดเข้ามาขายแฟนๆ เป็นหลักเลยก็ว่าได้ ซึ่งถ้าใครชอบเบอร์ลินก็คงโอเคกับการที่จะได้เห็นเขาไปจนจบเรื่อง แต่ยังไงนี่ก็เป็นแค่แฟลชแบ็คไม่ใช่ปัจจุบัน พอหนังพยายามยัดส่วนนี้มามาก ก็ทำให้เรื่องราวดูอืดลง หลายซีนที่ย้อนกลับไปบางทีเล็กน้อยจนแทบจะไม่ได้มีความสำคัญ เหมือนแค่ต้องการเซอร์วิสแฟนๆ เท่านั้น
แต่ก็ถือว่าไม่ได้ทำให้เสียหายอะไรนัก เพราะเมนหลักในภาคนี้ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเบอร์ลินเป็นหลักเยอะอยู่ เรียกว่าเป็นความฉลาดพอตัวในการเขียนบทให้ใช้ตัวละครเก่าได้อย่างเต็มที่กับเรื่องราวใหม่ในครั้งนี้ ซึ่งนอกจากดูหนังฟรีแฟลชแบ็คเบอร์ลินแล้ว หนังยังสร้างตัวละครใหม่มาแทนที่เบอร์ลินในตำแหน่งเดิม บทแบบเดิม คาแรกเตอร์คล้ายๆ กัน ซึ่งผู้สร้างพยายามปั้นให้ได้เท่าเบอร์ลิน แต่ด้วยความที่ใครมาแทนกันก็ไม่ได้ คนชอบเบอร์ลินก็คงไม่ได้รู้สึกว่าคนใหม่แทนคนเก่าได้จริงๆ
ภาคปล้นธนาคารกลางสเปน
(ซีซัน 3-4 และยังมีต่อ) เป็นภาคที่ทำให้รู้สึกว่าทีมงานพยายามจะสานต่อความสำเร็จของซีรีส์ออกไปอีก เหมือนละครที่ยืดเรื่องต่อไปแล้วเริ่มมีความย้วยให้เห็น โดยจุดที่เห็นชัดคือการขาดตัวละครหลักบางตัวไปทำให้สีสันของเรื่องลดลงอย่างมีนัยยะ ส่วนตัวละครใหม่อย่าง มาร์ติน ก็ยังทดแทนตำแหน่งของตัวละครเก่าอย่างเบอร์ลินไม่ได้
เนื้อเรื่อง
เรื่องราวในภาคนี้เปิดมาได้น่าสนใจเมื่อโตเกียวทนหลบอยู่นิ่ง ๆ ไม่ได้และเริ่มออกสู่โลกภายนอกไปปาร์ตี้อีกครั้ง ทำให้ริโอที่คิดถึงโตเกียวมากต้องโทรศัพท์หาและกลายเป็นจุดอ่อนให้รัฐบาลสเปนหาตัวเขาเจอจากสัญญาณโทรศัพท์ และเมื่อริโอถูกจับไปทรมานในคุกลับ โตเกียวที่รู้สึกผิดว่าตนเป็นสาเหตุให้แฟนหนุ่มถูกจับจึงขอความช่วยเหลือไปยังศาสตราจารย์ และแล้วศาสตราจารย์ก็ต้องดึงทุกคนกลับมาอีกครั้งและดำเนินการแผนเก่าของมาร์ตินกับเบอร์ลินที่เขาคิดว่ายังมีจุดอ่อนมาใช้อย่างจำเป็น
ด้วยความที่มันเป็นแผนที่เขาไม่ได้คิด เขาจึงต้องเดินทางไปขออนุญาตมาร์ตินให้มาเป็นผู้นำกลุ่มโจรแทนเบอร์ลิน ในขณะที่เขาก็ไม่มีเวลาเกลาแผนให้สมบูรณ์แบบจึงต้องด้นสดไปพร้อม ๆ กัน และทำให้สถานการณ์ปล้นรอบนี้มีบรรยากาศแปลกกว่ารอบก่อน ยิ่งเมื่อตัวละครผูกพันกันมากขึ้นซึ่งเป็นข้อห้ามที่ศาสตราจารย์เองเข้มงวดมากจนถึงขนาดห้ามรู้ชื่อจริงกันในภาคก่อน
จุดอ่อนของตัวละครและแผนการเมื่อผสมกันก็ทำให้ทุกอย่างชวนลุ้นอยู่ไม่น้อย ยิ่งครั้งนี้คู่เจรจาที่พวกเขาต้องเจอไม่ใช่สาวที่มีจุดอ่อนอย่างสารวัตรราเกล หากแต่เป็นเสือสาวสุดแสบผู้ไร้หัวใจแทน การปล้นที่ไร้ความรุนแรงอันเป็นอุดมคติของศาสตราจารย์จึงสุ่มเสี่ยงจะพังยับไม่เป็นท่า ดีกรีการห้ำหั่นและการสูญเสียในครั้งนี้จึงเข้มข้นถึงขีดสุด
ตัวละคร
ส่วนตัวละครใหม่อื่นๆ ที่เพิ่มมาในภาคนี้ยังเป็นแค่ส่วนเสริมเท่านั้น หนังยังเลือกโฟกัสไปที่กลุ่มตัวละครเดิมที่คนดูผูกพันมากกว่า ซึ่งภาคนี้ขยายความสัมพันธ์ของทุกคู่ให้เราเห็นถึงผลกระทบและการทำต่อมาจากภาคก่อน ซึ่งนี่ยังเป็นหนังที่เดินเรื่องด้วยความรัก พังด้วยความรัก และจบลงด้วยความรักอยู่เช่นเดิม หนังใช้การแฟลชแบ็คชีวิตรักของทุกคู่ประกบไปกับช่วงเวลาคับขันต่างๆ ทำให้เห็นว่าตัวละครแต่ละตัวตัดสินใจลงไปเพราะอะไร ซึ่งหนังได้ตอบคำถามถึงความสมเหตุสมผลได้ ไม่มีการทำอะไรโง่ๆ แบบไร้เหตุผล ทุกอย่างเป็นไปตามนิสัย แบ็คกราวด์ในเรื่องได้ตรงดีทุกคน
ในส่วนการแก้วิกฤติต่างๆ แม้จะมีโอเวอร์บ้าง อาศัยทั้งดวงและโชคไปพร้อมกันไม่ต่างกับการดูภาคก่อน ถ้าดู 1-2 มาแล้วชอบก็คงมองข้ามไปได้ แต่ถ้าใครต้องการความสมจริงก็คงตะหงิดๆ อยู่หลายครั้ง ซึ่งภาคนี้ก็ยังเล่นใหญ่เหมือนเดิมกับการบุกห้องนิรภัยของธนาคารสเปนแห่งนี้ ที่มีระบบรักษาความปอลดภัยเว่อร์ๆ แบบมิชชั่นอิมพอสซิเบิล แต่ทีมก็ยังเจาะเข้าไปจนได้ ซึ่งส่วนนี้ถือว่าสนุกอยู่ แม้จะเจาะเข้าไปได้ง่ายไปนิด
นอกจากเรื่องราวของฝ่ายโจรแล้ว สิ่งที่หนัง Money Heist โดดเด่นก็คือเรื่องราวหนังถ่ายทอดสดของฝั่งตำรวจที่เฉือนคมกับโจรแบบแทบหายใจรดต้นคอ แต่เนื่องจากไม่มีสารวัตรราเกลอยู่ในทีม หนังจึงขาดความสัมพันธ์แบบความรักต่างขั้ว หนังพยายามใช้ตัวละครใหม่ “อลิเซีย ซิเอร์รา” ในบทเดิมที่เป็นมันสมองของฝ่ายตำรวจ แต่มาในบทสาวท้องแก่ (ซึ่งก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม?) แม้จะดูฉลาดเจ้าเล่ห์ แต่ก็ยังไม่รู้สึกทำให้คนดูอินหรือน่าเชื่อถือได้เท่าราเกลในภาคก่อน
ส่วนที่ชอบ
ส่วนที่ชอบสำหรับภาคนี้ก็ยังคงเป็นโพรดักชันที่มีความสมจริงและเท่ไปพร้อมกันเช่นเคย ฉากการคิดวิธีขโมยทองคำดูอลังการกว่ารอบก่อน การดำน้ำในห้องเซฟนี่เท่มาก ๆ การสร้างตัวละครต่าง ๆ ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดีพยายามหาปมใหม่ ๆ มาเล่นรวมถึงการเอาปมเก่ามาขยี้ก็ยังดี พัฒนาการของตัวละครต่าง ๆ น่าสนใจ เดนเวอร์ที่มีความรับผิดชอบแบบพ่อคนมากขึ้นแต่ก็ยังทิ้งความเลือดร้อนคิดมากที่เป็นนิสัยติดตัวไม่ได้ รักสามเส้าแบบหลากหลายทางเพศของเฮลซิงกิกับมาร์ตินและไนโรบี (และอาจรวมถึงเบอร์ลิน)
ก็สร้างสรรค์มุมมองใหม่ ๆ เรื่องความรัก ส่วนความรักของริโอที่เปลี่ยนคนหลุดโลกอย่างโตเกียวได้ก็น่าสนใจ ที่น่าจะเปลี่ยนจากเดิมมากสุดก็คงเป็นตัวศาสตราจารย์เองที่ตอนนี้สานสัมพันธ์รักกับสารวัตรราเกลและกลายเป็นตัวละครที่มีจุดอ่อนในตัวผุดขึ้นไม่หยุดจากการเริ่มมีหัวใจนี่เอง เพราะในภาคแรกศาสตราจารย์มีจุดแข็งเรื่องจิตใจกับแผนการมากพอสมควร พอมาภาคนี้ยิ่งเห็นพัฒนาการของเขาชัดขึ้นไปอีก
ด้านฝั่งตัวร้ายก็ดุดันน่ากลัวขึ้นสมกับที่ควรเป็น เพราะนี่เป็นการเผชิญหน้ากลุ่มโจรเดิมที่มีลายเซ็นในวิธีการมาแล้ว ฝ่ายรัฐย่อมควรต้องรับมือได้ดีขึ้นไปด้วย อย่างการตัดวงจรดิจิทัลไปเลย และแนวคิดว่าแข่งการเงินกับทางพระเอกก็สู้พวกโจรไม่ได้หรอกเพราะกำลังเงินของรัฐที่ใช้ในการต่อต้านการก่อการร้ายมันจำกัดในขณะที่พระเอกมีเงินเป็นร้อยล้าน ก็เป็นสิ่งที่มาเหนือการคาดเดามาก ๆ และการเพิ่มโจทย์ยาก ๆ ให้ฝั่งตัวเอกก็ทำได้น่าสนใจดีทีเดียว
โดยเฉพาะตัวละครสารวัตรอลิเซียสาวโหดท้องแก่ แค่ภาพลักษณ์ภายนอกก็มีความขัดแย้งรุนแรงแล้วเพราะความรุนแรงกับความเป็นแม่เป็นอะไรที่เข้ากันไม่ได้เลย อีกตัวละครที่น่าสนใจก็คือหัวหน้า รปภ. ของธนาคารสเปนที่น่าจะเป็นตัวปัญหาสุดของภาคนี้แล้ว ด้วยคาแรกเตอร์แบบจงใจลอกตัวละคร จอห์น แม็กเคลน ในหนัง Die Hard มาใช้เป็นไอเดียที่น่าสนใจมาก เพราะเราต้องเอาใจช่วยคนร้ายสู้กับตัวละครคล้ายพระเอกดังแบบนี้ เป็นอะไรที่สนุกมาก ยิ่งพี่แกตายยากสมชื่อยิ่งน่าจะมีผลกระทบกับซีรีส์ในฉากสำคัญต่อไปแน่ ๆ
ส่วนที่ไม่ชอบ
ส่วนที่ไม่ชอบสำหรับซีรีส์ในภาคนี้ คือความโลกสวยและบังคับสกิลมหานิยมให้กลุ่มตัวเอกไปหน่อย เพราะว่ากันตามความจริงแล้วการปล้นโรงกษาปณ์ในภาคก่อนถ้าว่าตามโลกความจริง มันจะเกิดความปั่นป่วนทางการเงินทั้งประเทศหรือทั้งโลกด้วยซ้ำ ผลกระทบนี้จะลงไปที่เศรษฐกิจและตัวประชาชนรากหญ้าอย่างเลี่ยงไม่ได้ ว่ากันตามนี้การที่ชาวบ้านจะสนับสนุนกลุ่มพระเอกหรือยกให้เป็นวีรบุรุษมันพูดยากมากทีเดียว
การมาโปรยเงินหลังจากผ่านเหตุการณ์เก่าไปปีสองปีแทบไม่ได้สร้างอารมณ์ร่วมอะไรขนาดนั้นเลย ยิ่งดูมีวาระซ่อนเร้นในการช่วยพรรคพวกเข้าไปอีก (และว่ากันตามจริงการโยนเงินนอกระบบเข้ามาแบบนี้ยังทำให้เงินลดค่ากลายเป็นแค่กระดาษเข้าไปอีก) ยังไม่นับเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนของคนร้ายในคดีก่อการร้ายทางเศรษฐกิจเองก็ไม่น่าเป็นระเบิดที่เปลี่ยนสถานการณ์ได้ขนาดนั้นเลย (จริง ๆ เอกสารลับของรัฐบาลนั่นยังดูน่าเอามาใช้เสียมากกว่า) โดยสรุปก็คือในแง่ของความพยายามให้พวกพระเอกเป็นกลุ่มฮีโรมันขัดความรู้สึกมากไปพอสมควร
ส่วนที่รู้สึกว่าแย่กว่าเดิมเลยคือการเล่าเรื่อง แผนการมีเวลาเกลาน้อย ทั้งในเรื่องจริงที่ต้องเข็นภาคต่อออกมา และในเรื่องที่พระเอกต้องเอาแผนไม่สมบูรณ์มาใช้ก็ทำให้ความฉลาดลดลงไป แล้วการเอาเรื่องดราม่าเข้ามาอุดเนื้อหาให้แน่นก็ใช้มากไปจนการเดินเรื่องย้วยไปมา วนเวียนอยู่กับเรื่องรักสองเส้าสามเส้าของตัวละครกลุ่มนั้นกลุ่มนี้วนอยู่อย่างนั้น ยิ่งประเด็นเฟมินิสต์ที่จริง ๆ ก็เป็นซับพลอตในภาคแรกอยู่แล้วและเอามาใช้ขับพลอตหลักได้น่าสนุกดี
พอมาภาคนี้ยิ่งเลยเถิดเอามาเล่นจนล้นเหมือนตัวละครไม่มีการเรียนรู้อะไรเลย และที่หนักสุดคือฉากแฟลชแบ็กที่ภาคก่อนเน้นเอามาเฉลยแผนการหรือเปิดปมที่กระทบแผนการต่าง ๆ มาภาคนี้เอามาแค่ขยายปมดราม่าแบบไม่ส่งผลกับเรื่องราวหลักเสียเยอะ บางช่วงคือเอาดราม่าเพียว ๆ ไม่มีประเด็นอะไรใหม่เลยจริง ๆ เป็นดราม่าที่รู้อยู่แล้ว หรือบางครั้งก็แค่พยายามมีที่ทางให้ตัวละครแสนรักของผู้ชมอย่างเบอร์ลินที่ได้มีเวลาออกมาโชว์บ้าง ซึ่งไม่ส่งผลอะไรกับเนื้อหาอีกแล้ว ถ้าเป็นละครไทยก็คือฉากยัดเอ็มวีมาให้เต็มเวลานั่นเลย
โดยรวม
แต่ทั้งนี้ก็ต้องบอกกันตรงนี้ว่า Money Heist 3 นี้เป็นซีรีส์ที่ทำแบบพักครึ่งทางของเรื่องราวเหมือนภาค 1 ก่อนไปจบที่ภาค 2 ซึ่งตอนนี้มีฉายทั้งหมด 8 ตอนเท่านั้น สุดท้ายคงยังตัดสินไม่ได้ว่าหนังจะทำบทสรุปจบได้ดีแค่ไหน เพราะการเดินเรื่องทั้งซีซั่นนี้แทบจะลอกสูตรเดิมมาทั้งดุ้น อาจจะมีหาวนิดๆ ก็ว่าได้เพราะรู้สึกว่าภาคก่อนลงล็อคบีบคั้นมากกว่านี้ แต่ก็ยังถือว่าทำได้น่าติดตามเอาใจช่วยเหล่าโรบินฮู๊ดยุคใหม่นี้ให้ทำสำเร็จให้ได้อยู่ครับ
สรุป
แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็ต้องบอกว่านี่ยังเป็นซีรีส์สายอาชญากรรมสมองเพชรที่สนุกน่าติดตามมากที่สุดในช่วงนี้อยู่ดี และความนิยมในบ้านเราต่อตัวซีรีส์ที่มากขนาดติดเทรนด์ประจำวันอันดับต้น ๆ จนซีรีส์ยังมาถ่ายฉากในประเทศไทยเป็นเซอร์ไพรส์ให้แฟนชาวไทยได้วี้ดว้ายด้วย ก็น่าจะเพียงพอที่จะบอกว่า ถึงย้วยลงบ้างแต่ยังรักซีรีส์นี้อยู่เช่นเดิม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น