รีวิว I Am Not Okay with This - ไอ แอม น็อท โอเค วิท ดิส
ไอ แอม น็อท โอเค วิท ดิส ซีรีส์ Original จาก Netflix ที่ดัดแปลงมาจากคอมมิคในชื่อเดียวกัน แถมยังเป็นของคนเขียนเรื่องเดียวกับ The End of The F***ing World จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ทั้งผู้กำกับจะมาจากซีรีส์เดียวกัน แถมพ่วงผู้สร้างจากซีรีส์สุดฮิตอย่าง Stranger Things มาช่วยกำกับอีกด้วย ในเรื่องนี้จึงมีกลิ่นอายของ TEOFW ค่อนข้างมาก ทั้งโทนภาพ การดำเนินเรื่อง เรื่องราวของวัยรุ่น รวมถึงเพลงประกอบที่เป็นเพลงแนวโฟลคซอง คันทรี่ เสียงกีต้าแต๋วแหน่วเป็นเอกลักษณ์ประกอบฉาก รีวิว I Am Not Okay with This
เรื่องย่อ
ซีรีส์จะเล่าถึง ซิดนีย์ โนแวค (โซเฟีย ลิลลิส) สาวไฮสคูลใช้ชีวิตอยู่กับแม่เพียงลำพังหลังผ่านเหตุการณ์เลวร้ายที่พ่อของเธอฆ่าตัวตาย และในขณะที่ชีวิตเดินมาสู่จุดเปราะบางที่สุด ดีนา (โซเฟีย ไบรแอนต์) เพื่อนสาวสุดฮอตของเธอก็ดันไปหลงผู้จนลืมเธอซะงั้น เมื่อเพื่อนสนิทแยกตัวเธอก็ได้ผูกสัมพันธ์กับ สแตนลีย์ (ไวแอต โอเลฟฟ์) หนุ่มข้างบ้านเพี้ยน ๆ ที่คลั่งไคล้กัญชากับสื่อบันเทิงวินเทจอย่างม้วนเทป VHS และยิ่งใกล้เข้าสู่งานเต้นรำของโรงเรียน ซิดนีย์ ก็ค้นพบพลังจิตที่มีอำนาจทำลายล้างทุกครั้งที่เธอรู้สึกโกรธ จนเธอและแสตนลีย์ต้องหาทางควบคุมมันก่อนจะมีคนต้องตายเพราะอารมณ์เกรี้ยวกราดสุดรุนแรงของเธอ
เรียกได้ว่า Netflix กลายเป็นสตรีมมิงที่ยิ่งใหญ่ได้ก็ด้วยซีรีส์วัยรุ่นหลากแนวโดยเฉพาะแนวทริลเลอร์เหนือธรรมชาติอย่าง Stranger Things หรือจะเป็นซีรีส์วัยรุ่นจิตป่วยอย่าง The End of The Fxxxing World ที่ครองใจคอซีรีส์ทั่วโลก และในโอกาสอันดีที่จะได้เริ่มแฟรนไชส์ซีรีส์ใหม่ Netflix ก็หัวใสด้วยการเอา 2 โหัวโจกได้แก่ โจนาธาน เอนต์วิสเซิล ผู้กำกับจาก The End of The F***ing World มาสุมหัวกับ ชอว์น เลวี ผู้อำนวยการสร้าง Stranger Things มาเขย่าไอเดียวัยรุ่นประสาทแตกกับเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติจนออกมาเป็น I’M NOT OKAY WITH THIS เรื่องนี้นี่เอง..
เดิมที I’M NOT OKAY WITH THIS เป็นคอมิกมาก่อนเขียนโดย ชาร์ลส์ เอส ฟอร์แมน ซึ่งแม้ไม่เคยอ่านคอมิกมาก็ยอมรับเลยว่าตัวเรื่องมีความน่าสนใจอยู่แล้ว เหมือนเอา แครี สาวสยอง (1976) หนังสยองขวัญสุดดังของไบรอัน เดอ พาลมา มาต่อยอดผสมกับดรามาในโรงเรียน แต่ทีนี้พอมันถูกนำมาเล่าโดย โจนาธาน เอนต์วิสเซิล ที่พยายามจะยัดไอ้ความเป็น The End of The F***ing World หนังใหม่เต็มเรื่องตั้งแต่โทนภาพสีซีด ๆ หรือฟอนต์ชื่อเรื่องพร้อมแอกติงตาย ๆ และเสียงบรรยายเรื่องของซิดนีย์ ก็ยอมรับเลยว่ามันทำให้ซีรีส์ดูผลักออกห่างจากคนดูมากกว่าจะทำให้อินเหมือนซีรีส์ฮิตของเขาก่อนหน้านี้
เนื้อเรื่อง
ตัวเรื่องราวจะค่อยๆ เล่าถึงซิดนีย์ (แสดงโดย Sophia Lillis นักแสดงจากเรื่อง IT) ว่าเธอเป็นอะไร ยังไงบ้างที่โรงเรียน ซึ่งเธอเองก็เป็นคนที่เงียบๆ มีเพื่อนไม่มาก ไม่ได้เป็นจุดเด่นอะไรที่โรงเรียน แต่เธอมีเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่ชื่อว่า ดีน่า ซึ่งเข้ากับเธอได้ทุกเรื่อง รวมถึงยังคอยอยู่ข้างๆ ซิดนีย์ในตอนที่เธอศูนย์เสียคุณพ่อไปด้วย ทำให้ดีน่ากลายเป็นคนสำคัญมากของเธอ
ตัดภาพมาที่ด้านครอบครัว เธอค่อนข้างที่จะเข้ากันไม่ได้กับแม่หลังจากที่พ่อของเธอฆ่าตัวตาย แต่เธอก็สนิทกับน้องชายของเธอดี แต่เมื่อปัญหา ทั้งที่บ้านที่เธอทะเลาะกับแม่ และเพื่อนสนิทของเธอที่กำลังไปมีแฟนใหม่ เป็นไอ้หนุ่มสุดฮอตในโรงเรียน (ตามสไตล์อเมริกันไฮสคูลที่จะเป็นคนที่น่าหมั่นไส้มากๆ) นั่นจึงทำให้โทสะในตัวของเธอมันเดือดปุดๆ เสียจนอยากจะระเบิดมันออกมา
ซึ่งมันก็ระเบิดออกมาจริงๆ ในเมื่อข้าวของต่างๆ รอบตัวของเธอเริ่มพังครืนลงมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ทำให้เธอต้องหาเหตุผลว่า เธอเป็นอะไรกันแน่ ทำไมถึงมีพลังนี้ และต้องคอยจัดการกับอารมณ์ตัวเองไม่ให้โกรธกับสิ่งต่างๆ รอบตัว เพราะไม่เช่นนั้นพลังของเธออาจจะระเบิดออกมาจนทำให้เกิดความเสียหายอย่างมาก
ซีรีส์เรื่องนี้เอาตรงๆ มันคือแนว Coming Of Age ที่เล่าถึงช่วงเวลาแย่ๆ ในชีวิตวัยรุ่น มากกว่าที่จะเป็นแนวพลังวิเศษ หรือซุปเปอฮีโร่ ซึ่งพอมันนำพล็อตเรื่องของทั้งสองอย่างมารวมกัน กลายเป็นว่ามันน่าสนใจมาก ทำให้เราได้ลุ้นและรอเฉลยเกี่ยวกับพลังของเธอ และสนุกไปกับชีวิตในรั้วโรงเรียนไฮสคูลที่มีทั้งดีและแย่ไปได้
แต่ด้วยความที่มันผสมผสานกัน จนทำให้มันไม่สุดไปทางใดทางหนึ่ง อย่างเช่นประเด็นเรื่องเพื่อน ความชอบหรือเรื่อง Sex ในเรื่อง ก็คงเทียบกับแนวเดียวกันอย่างเรื่อง Sex Education คงไม่ได้ หรือในพาร์ทพลังพิเศษ มันก็ไม่ได้แสดงออกมาเยอะหรือปล่อยพลังตูมตามขนาดนั้น แต่ทุกครั้งๆ ที่มีฉากปล่อยพลัง เอฟเฟคขอบอกเลยว่าทำดีมากเลยล่ะ (การันตีจากผู้สร้าง Stranger Things)
เนื่องจากมันเป็นการผสมเรื่องนั้นนี้เข้าด้วยกัน มันเลยทำให้มีความ Weird ความแปลก ในแบบฉบับของ TEOFW ติดมาด้วย เช่นตัวละครที่เป็นเพื่อนข้างบ้านของนางเอก สแตน เด็กหนุ่มแปลกๆ ที่ขับรถห่วยๆ แถมชอบปรากฏตัวด้วยการเลื่อนกระจกรถยนต์ที่โคตรช้า มันเลยเป็นมุกชวนขำที่เว็บหนัง HDใส่มาแล้วรู้ได้เลยว่า เออ มันเป็นแนวนี้ว่ะ อะไรแบบนั้น แต่มิติของตัวละครก็ใน I Am Not Okay with This ก็ยังไม่ค่อยลึกเท่าไหร่ ทำให้หลายๆ พาร์ท ยังรู้สึก “ไม่อิน” ไปกับตัวเรื่อง
จุดที่ชอบ
ในเรื่องที่ชวนให้ลุ้น ให้ตื่นเต้นตลอดก็คือ เรื่องราวของพลังของซิดนีย์ ที่จะระเบิดออกมาเมื่อเธอโกรธ และเธอก็หาทางระงับความโกรธและพลังไม่ให้มันก่อความเสียหาย และในส่วนของการตามหาความจริงเกี่ยวกับพลังของเธอที่จะเชื่อมไปยังเรื่องราวของพ่อเธอในอดีต และยังแอบใส่บุคลปริศนาที่ยิ่งทำให้เรื่องราวมันน่าลุ้น และอยากรู้มากขึ้นไปอีก แต่สุดท้าย คือ จบ
จุดที่ต้องติติง
ประการแรกเลยคือ การพูดถึงพลังของซิดนีย์ ที่เหมือนจะสร้างความสยอง ความสะพรึงให้คนดู ก็กลับถูกนำเสนอแบบผ่าน ๆ เป็นซีน ๆ เพื่อให้เรื่องราวชวนง่วงเหงาหาวนอนดูมีอะไรขึ้นมาบ้าง แต่กว่าซีรีส์จะโยงไปสู่อดีตของตัวละครและมา “ป๊ะเท่งทึง” ก็มาซะตอนเกือบจบ แถมในซีซันนี้พลังจิตของซิดนีย์ก็ยังไม่ค่อยส่งผลกับความสัมพันธ์ของเธอกับคนรอบข้างเท่าไหร่ ซึ่งหากเทียบกับซีรีส์ฮิตของโจนาธาน เอนต์วิสเซิลอย่าง The End of The Fxxxing World เราจะพบเลยว่าความสัมพันธ์ของตัวละครเอกที่คาดเดาไม่ได้ช่วยให้เราสนุกกับการดูได้ตลอดโดยไม่ต้องมีฉากทำลายล้างทุกตอนหรือตลอดเวลาเลยด้วยซ้ำ
ประการต่อมาอันนี้อาจจะต่อเนื่องจากเรื่องการแคสต์นักแสดงอย่างที่กล่าวไปแล้วคือการที่ซีรีส์พยายามโยงเข้าสู่เรื่องของการค้นหาเพศสภาพในช่วงวัยรุ่น ที่พอเอาโซเฟีย ลิลลิส มาตัดผมสั้นในวัยที่เธอเริ่มมีอายุเกินวัยรุ่นเฮ้ว ๆ แบบตอน IT ภาคแรกแล้วก็ยิ่งทำให้เราไม่ค่อยอยากจะค้นหาหรือเติบโตไปพร้อมนางเอกนักเพราะในเรื่องตัวละครอย่าง ซิดนีย์ จะไม่ได้ถูกตีตราว่าเป็นเลสเบียนหรือไบเซ็กชวลเลย
เพราะเธอเองก็ค้นหาอารมณ์โรแมนติกทั้งระหว่างผู้หญิง และผู้ชายไปพร้อม ๆ กัน การที่ตัวละครมาพร้อมภาพลักษณ์แบบทอมบอยก็เลยพลอยทำให้คนดูหนุ่ม ๆ อยากเบือนหน้าหนี ยิ่งทั้งเรื่องเธอต้องทำหน้าบูด ๆ บึ้ง ๆ ด้วยแล้วนะ โอ้โหต่อให้มี 8 ตอนก็แทบอยากหยุดดูไปเสียตั้งแต่จบ 3 ตอนแรกซะงั้นน่ะ
โดยรวม
โดยรวมแล้วก็ถือว่าเป็นซีรีส์ที่โอเค ในการนำพล็อตเรื่องของวัยรุ่น (ที่เห็นได้ทั่วไปในซีรีส์สมัยนี้) มาบวกกับพลังพิเศษที่ทำให้เรื่องมันดูน่าสนใจ (เรื่องนี้เรตผู้ชมคือ 18+ ซึ่งมีฉากเลือดสาด เฉพาะตอนท้ายเรื่องเท่านั้น ไม่ได้มีเยอะ) โดยรวมแล้วก็ดูเพลินและน่าติดตาม ติดอยู่อย่างเดียวตรงที่ตอนมันสั้นเกินไป และการจบแบบค้างเติ่งให้รอลุ้นในซีซั่นต่อไป ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ ไปได้ไม่ค่อยสุดทางไหนสักทาง
สรุป
ซีรีส์แนวชีวิตวัยรุ่นผสมผสานกับความแฟนตาซีที่มีความโหดเล็กๆ ทำให้พล็อตเรื่องดูน่าสนใจ แต่ไม่สามารถไปได้สุดทั้งพาร์ทของชีวิตวัยรุ่นและพลังวิเศษ แต่ก็สามารถดูเพลินๆ สนุก น่าติดตาม แถมยังมีกลิ่นอายของซีรีส์อย่าง The End of F***ing World ไว้บวกกับความแฟนตาซีนิดๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น