รีวิว Stranger From Hell - นรกคือคนอื่น
ซีรีส์เกาหลีจากเว็บตูน 10 ตอนจบลงใน Netflix กับ Viu พล็อตแปลกแตกต่างมีความน่าสนใจมาก ว่าด้วยเรื่องราวของ “จงอู” หนุ่มต่างจังหวัดวัยยี่สิบกว่าที่พึ่งออกจากกรมทหารเข้ามาทำงานในเมือง ตามคำชวนของรุ่นพี่ที่เปิดบริษัทอยู่ก่อนแล้ว และต้องมาอยู่หอพักสุดโทรมที่เต็มไปด้วยคนที่มีนิสัยผิดปกติจนน่าขนลุก! รีวิว Stranger From Hell
เรื่องย่อ
เล่าเรื่องราวของ ‘ยุนจงอู’ ชายหนุ่มอายุ 27 ปี ที่เพิ่งปลดประจําการจากการเป็นทหารมาได้ไม่นาน และจุดมุ่งหมายต่อไปในชีวิตของเขาจึงเป็นการย้ายเข้าเมืองมาทำงานในบริษัทเล็ก ๆ แห่งหนึ่งของรุ่นพี่คนสนิท แต่ด้วยความที่เงินเก็บยังมีไม่เยอะและค่าใช้จ่ายในเมืองหลวงก็มากขึ้นทุกวัน เขาจึงตัดสินใจเลือกเช่าหอพักสภาพสุดหลอนอย่าง ‘หอพักเอเดน’ ที่ทั้งราคาถูก แถมป้าเจ้าของหอก็ใจดีซะจนน่าตกใจ แต่ใครจะไปรู้ว่าหอพักเอเดนแห่งนี้ ที่จริงแล้วคือศูนย์รวมของพวกนรกเดินดิน ที่พร้อมจะเขย่าขวัญปั่นประสาทให้เขาเป็นบ้าได้ทุกเมื่อ
ว่ากันว่า ‘จิตใจมนุษย์ยากแท้หยั่งถึง’ เปรียบเหมือนก้นทะเลสีดำทะมึนที่ไม่ว่าเราจะยิ่งค้นหาจุดสิ้นสุดของมันสักเท่าไหร่ ก็ยิ่งยากที่จะดำดิ่งลงไปเท่านั้น เพราะมนุษย์ประกอบไปด้วยความคิด อารมณ์ ความรู้สึก รวมไปถึงการแสดงออกทางร่างกายที่มักจะทำงานสอดคล้องกันเหมือนกับฟันเฟืองเล็ก ๆ ที่คอยขับเคลื่อนชีวิตไปข้างหน้า แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ส่วนประกอบเหล่านั้นมันผุพังหรือผิดเพี้ยนไปจากเดิม องค์ประกอบ ‘ความเป็นมนุษย์’ ที่ซุกซ่อนเอาไว้ข้างในก็คงค่อย ๆ กร่อนลงไปเท่านั้น
คำว่า ‘นรกคือคนอื่น’ ก็คงไม่เกินจริงสักเท่าไหร่ ถ้าหากคุณได้รู้ว่าผู้คนแสนดีที่อยู่รอบตัวคุณมาโดยตลอดนั้น ดันเป็น ‘อีกคน’ ที่แสนจะชั่วร้ายและพร้อมจะลากคุณลงนรกไปด้วยกันตลอดเวลา… จริงไหมล่ะ?
‘Stranger From Hell นรกคือคนอื่น’ คือซีรีส์ระทึกขวัญสั่นประสาทที่สาย Comic จากWEBTOON น่าจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เพราะนอกจากจุดเริ่มต้นจะเป็นการ์ตูนออนไลน์ดูหนังออนไลน์สายสยองขวัญที่โด่งดังไปทั่วเกาหลีแล้ว ปลายทางความสำเร็จอย่างซีรีส์เรื่องนี้ ก็ได้รับกระแสตอบรับอันดีงามไม่แพ้กัน ถ้าใครได้ดูแล้วก็จะรู้เลยว่า พลาดไม่ได้แม้แต่ตอนเดียว!
ถือเป็นแนวแปลกแหวกแนวจากซีรีส์เกาหลีทั่วไปเป็นอย่างมาก แม้ทางเกาหลีเองจะขยันทำแนวฆาตกรโรคจิตออกมาบ่อยๆ แต่ก็มักจะเป็นแนวสืบสวนตามล่าหาฆาตกรที่มักปิดบังอำพรางตัวเองไว้ แต่กับเรื่องนี้ต่างออกไปตรงที่ไม่ได้ตามล่าหาฆาตกรหรือปิดบังตัวฆาตกรเลย ตัวเรื่องเฉลยกันรัวๆ ว่าใครทำอะไร ฆ่าใครที่ไหน อย่างไร
ตั้งแต่ช่วงเริ่มแรกตอน 1-2 ก็แทบจะเปิดตัวครบหมดแล้ว และก็ไม่ต้องมาเดาว่าทำไปด้วยเหตุผลอะไร เรื่องใส่ความโรคจิตยัดลงไปในตัวละครคนในหอพักนี้ให้เห็นกันชัดเจนแต่แรกเลยว่าพวกบ้านี่ผิดปกติจนน่าขนลุกขนาดไหน อย่าง ชายที่มักเปิดประตูห้องอ้าซ่าให้เห็นว่าตัวเองชอบตัดภาพผู้หญิงนุ่งน้อยห่มน้อยจากในเน็ตออกมาแปะไว้เต็มผนังห้อง หรือหนุ่มติดอ่างที่ชอบพูดอะไรแบบชวนขนลุกพร้อมหัวเราะคิกคักอยู่ตลอดเวลา
การดำเนินเรื่อง
ถ้าหากใครที่ติดตามเรื่องนี้มาตั้งแต่เวอร์ชันการ์ตูนก็พอจะรู้อยู่แล้วว่า ‘ความประสาทแดก’ ของเพื่อนร่วมหอพักเอเดนแต่ละคนนั้นมันสุดโต่งแค่ไหน ไหนจะตาลุงหื่นที่ชอบเปิดหนังโป๊เสียงดังแถมยังชอบเดินถือมีดมาป้วนเปี้ยนอยู่หน้าห้องคนอื่น ไหนจะคู่แฝดนรกที่คนหนึ่งชอบทำเสียงหัวเราะประหลาดอยู่ตลอดเวลาส่วนอีกคนก็ชอบฆ่าแมวเป็นชีวิตจิตใจ ไหนจะป้าเฝ้าหอจอมขี้เผือกที่ชอบเดินมาคุยเจ๊าะแจ๊ะน่ารำคาญจนบางทีก็รู้สึกเหมือนนางจะตามเราไปเลยทุกที่ก็ว่าได้
ซึ่งทุกคาแรกเตอร์ในเวอร์ชันซีรีส์นี้ มันคือการต่อยอดความสำเร็จจากเวอร์ชันการ์ตูนที่ปั่นประสาทคนดูได้อย่างบ้าคลั่ง โดยที่นักแสดงทุกคนนั้นสามารถถ่ายทอดความน่าขยะแขยงและน่าขนลุกออกมาได้อย่างดีซะจนสงสารจงอูเหลือเกินที่เลือกเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่ รู้งี้น่าจะประหยัดค่าแท็กซี่ตอนเมาแล้วเอาเงินไปเช่าหออื่นยังจะดีซะกว่า!
การแสดงอันลึกลับและน่าขนลุกของ ‘อีดงอุค’ นักแสดงแถวหน้าของวงการเกาหลี ที่คราวนี้ลงทุนสลัดคราบสามีแห่งชาติมาเป็นฆาตกรใจเหี้ยม ที่ฉาบร่างภายนอกด้วยอาชีพหมอฟันผู้สุขุมและน่านับถือ เพื่อคอยซ่อนความบิดเบี้ยวข้างในจิตใจที่สนุกกับการฆ่าคนไม่มียั้ง เรียกได้ว่าเป็นตัวละครเด่นที่ช่วยดึงกราฟความสยองและความลุ้นระทึกของเรื่องได้มากขึ้นไปอีกสมกับเป็นนักแสดงมืออาชีพ ทำเอาคนดูถึงกับลืมภาพพระเอกเกาหลีผู้แสนดีและอบอุ่นไปจนหมด
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดที่ซีรีส์สามารถนำเสนอออกมาได้อย่างชัดเจนนั่นก็คือเบื้องลึกในจิตใจของตัวเอกอย่าง ยุนจงอู ที่ในแต่ละวันเขาต้องทนอยู่กับสภาพแวดล้อมอันเลวร้าย ทั้งหอพักสุดสยองที่กว่าจะข่มตานอนให้ผ่านไปได้ในแต่ละคืนไม่ใช่เรื่องง่าย ไหนจะชีวิตการทำงานสุดบัดซบที่ต้องเผชิญหน้ากับหัวหน้าโรคจิตขี้อิจฉา
กับประธานบริษัทที่ชอบอ้างเอาคำว่ารุ่นพี่มากดขี่และหวังจะเครมแฟนของเขาอยู่ทุกวัน ความประสาทแดกทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับคนหนึ่งคน ค่อย ๆ เปลี่ยนเขาให้กลายเป็น ‘อีกคน’ ไปอย่างช้า ๆ โดยไม่รู้ตัว จงอูจึงกลายเป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่ที่รอวันปะทุ ซึ่งเราต้องยอมรับเลยว่าฝีมือการแสดงของ ‘อิมชีวาน’ ผู้รับบทเป็น ยุนจงอู นั้นถือว่าทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
กับการถ่ายทอดลักษณะอาการ BPD (Borderline Personality Disorder) ที่ทั้งกลัวการถูกทอดทิ้งจากความสัมพันธ์ไม่มั่นคง ทั้งการแสดงออกถึงอารมณ์ที่รุนแรง แถมยังระหวาดระแวงคนอื่นเป็นประจำ จนกลายเป็นคนที่จมอยู่กับตัวเองและดูเหมือนเป็นมนุษย์ที่ใกล้จะพังอยู่ตลอดเวลา ดูแล้วช่างน่าเอาใจช่วยและเวทนาไปพร้อม ๆ กันเสียจริง
จุดขาย
จุดขายฉากโหดสยองขวัญในเรื่องถูกใส่มาตลอดเวลา ซึ่งทำได้ดีเลยทั้งฉากทรมานคนด้วยวิธีแปลกๆ การเล่นกับเหยื่อแบบจิตๆ ฉากฆาตกรรมโหดๆ มีความซาดิสม์โรคจิตและสไตล์การฆ่าเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละคนต่างกัน (ถ้าสปอยล์เบาๆ หน่อยคือแต่ละคนมีหน้าที่ต่างกันด้วยในหอพักแห่งนี้) แต่พวกอาวุธฆ่าในเรื่องส่วนใหญ่จะถูกเซ็นเซอร์ทำเบลอไว้หมด รวมถึงฉากสัตว์ตายแหวะในเรื่องนี้คือแมวก็ถูกเบลอไว้
อันนี้เป็นเพราะโปรแกรมหนัง Netflix ซื้อซีรีส์เรื่องนี้มาจากเวอร์ชั่นทีวีที่เซ็นเซอร์อีกที ก็น่าเสียดายนิดๆ ส่วนใครที่สงสัยว่าพล็อตรวมคนโรคจิตในที่เดียวกันแบบนี้สมเหตุผลแค่ไหน ทำไมพวกนี้ไม่ฆ่ากันเองซะก่อน ในเรื่องมีคำตอบที่ค่อยๆ เฉลยมาได้น่าติดตามเลย (ที่จริงในไทยก็พึ่งมีข่าวแบบนี้ไป ตัดสินโทษประหารครูสอนกวดวิชาโรงเรียนพี่ณัฐ ถ้าตามข่าวอ่านจะเห็นว่าไม่แตกต่างจากในเรื่องนี้เลยที่คนโรคจิตมารวมตัวกันได้จริงๆ)
สิ่งที่ประทับใจ
อีกหนึ่งสิ่งที่ประทับใจเสียจนไม่พูดถึงไม่ได้จริง ๆ นั่นก็คือการเล่าเรื่องโดยใช้มุมมองภาพที่แปลกใหม่ ที่เราไม่ค่อยจะได้เจอมากนักในซีรีส์เกาหลี ทั้งการเล่าแบบ Longtake ในสถานการณ์คับขันที่ยิ่งขับให้ฉากเหล่านั้นมีความน่าตื่นเต้นมากขึ้น หรือจะเป็นการ Transition ระหว่างฉากต่อฉากโดยใช้การกระทำของตัวละครเชื่อมถึงกันนั้น มีส่วนช่วยอย่างมากในด้านความต่อเนื่องของอารมณ์คนดู เรียกได้ว่าลื่นดีไม่มีหลุดว่างั้นเถอะ อีกทั้งหนังยังฉลาดมากที่เลือกจะเฉลยตัวฆาตกรตั้งแต่ต้นเรื่อง เพื่อเล่นกับความรู้สึกของคนดูที่รู้ทุกอย่างแต่กลับทำอะไรไม่ได้สักอย่าง บอกได้คำเดียวว่ามันช่างน่าอึดอัดซะเหลือเกิน!
มาดูจุดด้อยจุดเสียกันบ้าง
ต้องยอมรับเลยว่าตัวซีรีส์เข้าถึงจุดขายให้อารมณ์หลอนสยองขวัญจัดเต็มเหนี่ยวเลย เรียกว่าถ้าให้คะแนนตรงนี้กดให้ 10 ได้เลยแน่นอน แต่ส่วนด้อยของเรื่องคือการพยายามลากเรื่องด้วยอารมณ์หลอนแบบ “อมพะนำ” ของตัวเอกจงอูยาวนานหลายตอนมาก เรื่องดำเนินไปแบบว่าหลอนกลัวสติใกล้แตกตั้งแต่แรกๆ แต่ก็ไม่ไปแจ้งความหรือให้ข้อมูลอะไรเป็นชิ้นเป็นอันกับตำรวจที่มาตามสืบสักที
มีความพิรี้พิไรออกแนวลำไยเยอะกับการกระทำของพระเอกขัดแย้งกับความจริงอยู่หลายครั้ง หรือแม้กระทั่งการพยายามหาทางออกไปที่อื่นที่ดูเป็นไปได้หลายอย่างมากกว่าการกลับมาตายรังทุกคืน อย่างนอนร้านเน็ตที่คนเกาหลีนิยมทำก็ไม่มี บทจงใจเขียนลากยาวให้พระเอกโดนรุมกดดันจนไม่ค่อยสมจริงนัก กว่าจะหลุดพ้นตรงนี้ก็ปาไปท้ายๆ เรื่องแล้ว
อีกจุดด้อยคือการที่ให้พระเอกพยายามเขียนนิยายอาชญากรรม แนวฆาตกรต่อเนื่อง ซึ่งตอนแรกก็ดูเข้ากับเรื่องราวดี เพราะพระเอกก็เหมือนได้ไอเดียจากคนหลอนๆ ในหอพักเอาไปใช้ใส่นิยาย แต่ว่าตัวเรื่องกลับไม่ได้มีบทส่งส่วนนี้ให้ไปถึงไหนมากนัก ทั้งๆ ที่สามารถผูกโยงให้กลายเป็นเรื่องสยองขวัญซ้อนกันได้มากขึ้น แถมบางครั้งยังใส่มาเหมือนให้เราคิดว่าสำคัญกับตอนจบ แต่สุดท้ายก็เป็นแค่แบ็คกราวน์ประกอบเรื่องเท่านั้น…
อีกจุดคือส่วนของการสืบสวนผ่านตำรวจหญิงที่เป็นตัวหลักอีกคนหนึ่ง แต่ก็เดินไปแบบไม่ค่อยเข้าถึงจริงจังนัก ออกแนวเขวไปเขวมาถ่วงเวลาของเรื่องไปเรื่อยๆ แม้จะให้เหตุผลว่าเพราะเธอไม่ได้มีหน้าที่ตรงนี้โดยตรง แต่เรื่องก็เดินไปแบบเหมือนไม่ได้ตั้งใจให้เธอเก็ทความจริงได้สักที มีแต่สงสัยไว้ในหัวอย่างเดียว ทั้งๆ ที่ในเรื่องหลายครั้งมีหลักฐานเห็นชัด อย่างการบุกไปเดินตรวจถึงห้องเชือดหลายศพ แต่กลับไม่ได้กลิ่นเลือดหรือเจออะไรเลย ในขณะที่ตัวละครคนอื่นในหอกลับได้กลิ่นเลือดแล้วตามรอยไปจนเจอ ดูไปก็แอบหงุดหงิดนิดๆ แต่ยังดีที่นักแสดงมีความน่ารักแบบบ้านๆ เล่นเข้ากับบทนี้ได้ดีลงตัวจนมองข้ามจุดด้อยนี้ไปได้
ด้านข้อเสีย
ข้อเสียของเรื่องจังๆ คือช่วงตอนจบสุดท้ายของเรื่องหนังพยายามหลอกคนดูด้วยเรื่องราวตามสูตรหนังแนวนี้ ที่คนดูก็ต้องพอเดาได้ว่าต้องจบแบบไม่ธรรมดาแน่นอน ซึ่งก็ถือว่าทำได้จริง แต่กลับขาดความสมเหตุผลมากไปจนกลายเป็นจุดบกพร่องของเรื่อง ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ทำได้ดี จุดเสียกลับไปกองรวมกันที่ตรงนั้น ช่วงก่อนจบหนังต้องการเฉลยเรื่องทั้งหมดในเชิงจิตวิทยา
แต่ว่ากลับใช้วิธีเฉลยโดยใส่สิ่งของบางอย่างเข้ามากระตุ้นให้ตัวละครตอนจบคิดได้แบบไม่สมเหตุผล แถมตัวละครที่ทำตัวฉลาดมาตลอดอย่างตำรวจหญิงที่ตามสืบคดีนี้เพียงลำพังจู่ๆ ก็ออกแนวง่อยไร้ประโยชน์ขึ้นมาทันที ฝ่ายตำรวจในเรื่องนี้เองก็ถูกเขียนบทให้ทำงานแบบเช้าชามเย็นชามเว่อร์ๆ ขนาดสายสืบร่วมโรงพักหายตัวไปหลายวันยังไม่ทุกข์ร้อนอะไร ซึ่งผิดจากความจริงเกินไป เข้าใจว่าต้องการให้ความสำคัญโฟกัสที่ตัวพระเอกล้วนๆ แต่ก็กลายเป็นดาบสองคมที่ทำให้ตัวละครอื่นต้องถูกลดบทบาทสำคัญในช่วงท้ายมากเกินไป จนเรื่องจบแบบดูเหมือนฉลาด แต่ก็ไม่ว้าวอะไรมากนัก
โดยรวม
“ที่รัก คุณคือผลงานชิ้นเอกที่ผมเคยสร้างมา” คำพูดที่เป็นบทสรุปเรื่องราวในช่วงท้ายของซีรีส์ ที่สามารถคลายความสงสัยของคนดูให้กระจ่างได้ดียิ่งขึ้นแม้ว่าคิ้วจะขมวดเป็นปมมาทั้งเรื่องแล้วก็ตาม ซึ่งหนังฉลาดมากที่เลือกจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดด้วยการวางตำแหน่งให้คนดูเป็นเหมือนกับบุคคลที่ 3 ที่คอยเดินไปตามทางพร้อมกับตัวละครเอกของเรื่องอย่าง ‘ยุนจงอู’ ทำให้เรารับรู้ได้ถึงความยากลำบากของฐานะทางบ้าน ที่ต้องคอยดูแลแม่ผู้ที่เลี้ยงเขามาด้วยตัวคนเดียว
แล้วไหนจะพี่ชายสุดห่วยที่ไม่เคยจะช่วยเหลือครอบครัวได้เลย ความรู้สึกของจงอูที่อยากจะถีบตัวเองขึ้นมาด้วยการเริ่มต้นชีวิตใหม่ในเมืองหลวง ความเหนื่อยยากของการตามหาที่พักดี ๆ แม้ว่าจะมีเงินติดตัวอยู่ไม่มาก จนสุดท้ายความยากลำบากของชีวิตจงอูที่เราเห็นมาตลอดในช่วงแรกของเรื่อง ก็ทำให้เราเข้าใจได้ว่าทำไมจงอูถึงเลือก ‘หอพัก’ เอเดนเป็นที่ซุกหัวนอน ซึ่งรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ในช่วงต้นเรื่องที่ผู้กำกับพยายามจะทำให้เราเห็นภาพของ ‘ทางเลือกที่ไม่มีทางเลือก’ ของจงอูนั้น ถือว่าต่อยอดมาจากการ์ตูนได้อย่างดีเยี่ยมเลยทีเดียว
สุดท้ายแล้วเรื่องราวที่ถูกเรียงร้อยมาอย่างดีตั้งแต่ต้นจนจบ ถูกเล่าด้วยอารมณ์และการกระทำของตัวละครที่เหนือความคาดหมายจนทวีความพีคขึ้นเรื่อย ๆ บวกกับฉากโหดเลือดสาดที่แม้ว่าจะไม่ได้แหวะอะไรมาก แต่ทั้งหมดนั้นมันก็ทำให้เรารู้สึกเหมือนถูกตัวละครลากไปลงนรกด้วยกัน เจ็บปวดไปพร้อม ๆ กัน และเติบโตไปด้วยกันได้อย่างแท้จริง… จนแทบไม่ต้องถามเลยว่าซีรีส์เรื่องนี้แตะมาตรฐานซีรีส์เกาหลีมั้ย เพราะ ‘Stranger From Hell นรกคือคนอื่น’ เป็นมาตรฐานใหม่ของวงการซีรีส์เกาหลีไปแล้วเรียบร้อย
สรุป
ซีรีส์เกาหลีที่มีจุดขายที่ความหลอน โหด สยองขวัญเต็มพิกัด และก็ทำได้ดีแบบตรงเป้าทั้งเรื่องตั้งแต่แรกจนตอนจบ แต่เรื่องไม่ได้ออกแนวสืบสวนไล่ล่าฆาตกรอะไรมากนัก เน้นไปที่ความเปลี่ยนแปลงของตัวเอกของเรื่องในมุมผลกระทบจากความกดดันของสภาพแวดล้อมต่างๆ ที่ต้องพบเจอเช้าจรดเย็นตลอดเวลาอย่างหนักหน่วง ซึ่งหนังก็ทำให้คนดูอึดอัดตามได้ดีมากเช่นกัน แต่ส่วนที่ด้อยคือความไม่สมเหตุผลหลายจุดในเรื่อง ยิ่งตอนจบสุดท้ายกลายเป็นเกือบพังได้เลยเหมือนกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น