รีวิว Money Heist Part 4 - ทรชนคนปล้นโลก
ทรชนคนปล้นโลกภาค 4 หรือพาร์ท 2 ของเรื่องช่วงยึดธนาคารกลางของสเปน ซึ่ง ณ เวลานี้จากซีรีส์ท้องถิ่นได้มาไกลมาก จนเหมือน Netflix ไม่ยอมให้จบลงง่ายๆ แล้ว ภาคนี้เลยกลายเป็นช่วงหนึ่งของเรื่องที่ขยายโลกในเรื่องให้กว้างไกลขึ้น มีการหยิบจับเอาเรื่องราวการเมืองนอกประเทศสเปนมาเล่นเพิ่ม สเกลของเรื่องเริ่มใหญ่ขึ้นจนถึงความสัมพันธ์ระดับโลก รีวิว Money Heist Part 4
เรื่องย่อ
ปฏิบัติการปล้นระดับชาติที่มีผู้นำขบวนการใช้ฉายาแฝงว่า ศาสตราจารย์ ได้เรียกพลพรรคที่รอดชีวิตหนีการจับกุมอยู่ในขณะนี้กลับมาอีกครั้ง เพราะสมาชิกคนหนึ่งอย่าง ริโอ ถูกจับได้และนำไปทรมานอย่างไร้มนุษยธรรมในที่ลับของรัฐบาล ทำให้พวกเขาต้องนำแผนการปล้นสุดคลั่งของเบอร์ลินในอดีตมาใช้ด้วยความจำเป็น เพื่อยึดธนาคารกลางที่เก็บทองคำสำรองของสเปนและต่อรองให้ปล่อยตัว ริโอ คืนมา
ทรชนคนปล้นโลกภาค 4 หรือพาร์ท 2 ของเรื่องช่วงยึดธนาคารกลางของสเปน ซึ่ง ณ เวลานี้จากซีรีส์ท้องถิ่นได้มาไกลมาก จนเหมือน Netflix ไม่ยอมให้จบลงง่ายๆ แล้ว ภาคนี้เลยกลายเป็นช่วงหนึ่งของเรื่องที่ขยายโลกในเรื่องให้กว้างไกลขึ้น มีการหยิบจับเอาเรื่องราวการเมืองนอกประเทศสเปนมาเล่นเพิ่ม สเกลของเรื่องเริ่มใหญ่ขึ้นจนถึงความสัมพันธ์ระดับโลก ซึ่งก็สมเหตุผลเพราะระดับชื่อเสียงการปล้นของเรื่องนี้ไปไกลจนถึงระดับโลกแล้วในตอนนี้ และก็เป็นแค่ภาคคั่นกลางทางของเรื่องช่วงปล้นธนาคารกลางสเปน ก่อนจะไปต่อกันอีกภาคต่อ และก็ยังไม่แน่ว่าจะจบลงได้เลยด้วย
เนื้อเรื่อง
ตัวเรื่องในพาร์ทนี้เป็นช่วงเวลาที่กลุ่มโจรถูกตีโต้กลับอย่างหนักทั้งจากปัญหาภายในกันเอง ตัวประกัน และฝั่งโปรเฟสเซอร์ที่ปัญหาพ่วงต่อเนื่องจากพาร์ทก่อน หลังเข้าใจผิดว่าราเกลถูกฆ่าตาย จึงทำให้ช่วงเวลาในเรื่องภาคนี้เต็มไปด้วยการถูกกดดันหนักแทบจะทั้งเรื่อง เป็นภาคที่เรียกว่าดูไปแล้วค่อนข้างอึดอัด เครียดกับความกดดันไปกับตัวละครตลอดเวลา เป็นภาคที่ไม่ได้เดินเรื่องตีโต้กลับกันไปมากับฝั่งตำรวจแบบในภาคก่อนๆ ความกดดันนี้ลากยาวไปจนถึงช่วงท้ายเรื่องถึงคลี่คลาย ตอนท้าย EP7-8 ถึงค่อยกลับมาเป็นอารมณ์ชิงไหวพริบแบบที่ผ่านมา
การที่ตัวซีรีส์ในภาคนี้เน้นไปที่เรื่องราวการเสียเปรียบของฝั่งพระเอกก็เรียกว่าสมเหตุผลอยู่ จากการทิ้งท้ายไว้ว่าเราได้เห็นโปรเฟสเซอร์สติแตกเป็นครั้งแรกในภาคก่อน มาภาคนี้ดูหนังฟรีจึงเป็นอารมณ์ต่อเนื่องกัน ซึ่งช่วงแรกเรื่องเต็มไปด้วยดราม่า จนแอบคิดว่าเรื่องจะวนเวียนอยู่กับจุดนี้ไปตลอดรึเปล่า แต่ก็ยังดีที่ผู้สร้างใช้เวลากับจุดนี้ไม่นาน และก็เฉลยเคลียร์ปมความเข้าใจผิดของโปรเฟสเซอร์ให้ตาสว่าง
ทำให้เรื่องราวเดินต่อไปได้ในแบบการค่อยๆ กู้สถาณการณ์กลับมาทีละนิดๆ ซึ่งตั้งแต่เริ่มมีการส่งสายลับเข้าไปในเต้นท์ ก็ทำให้เรื่องราวกลับไปคล้ายภาคแรกที่มีการดักฟังฝ่ายตำรวจ ตรงจุดนี้เรื่องราวของสายลับดูสมเหตุผลในช่วงแรก แต่ว่าพอเรื่องเดินไปเรื่อยๆ รู้สึกว่าจะเกินเลยจากการใช้ประโยชน์ในตอนแรกไปสักหน่อย กลายเป็นว่าทางกลุ่มโจรได้ตัวละครร่วมทีมเพิ่มอีกคนไปโดยปริยาย เมื่อสายลับตำรวจนั้นมีใจให้กับทางฝั่งพระเอกแทนแล้ว แม้ว่าจะไม่สมเหตุผลเท่าไหร่
แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเสียหายต่อเรื่องหรือขัดแย้งกับความรู้สึกอะไรมากนัก เพราะซีรีส์เรื่องนี้มาในแนวตัวละครแอนตี้ฮีโร่ให้คนดูรู้สึกอยากเอาใจช่วยอยู่แล้ว แถมตัวบทในช่วงนี้ก็ให้ทางฝั่งตำรวจเริ่มทำผิดเกินกว่ากรอบกฎหมายหรือมโนสำนึก จนทำให้เรารู้สึกว่าการแปรพักต์ในเรื่องเป็นอะไรที่ยอมรับได้ แม้จะรู้สึกว่าง่ายไปสักหน่อยก็ตามที
ภาคปล้นธนาคารกลางสเปน พาร์ท 1
เป็นภาคที่ทำให้รู้สึกว่าทีมงานพยายามจะสานต่อความสำเร็จของซีรีส์ออกไปอีก เหมือนละครที่ยืดเรื่องต่อไปแล้วเริ่มมีความย้วยให้เห็น โดยจุดที่เห็นชัดคือการขาดตัวละครหลักบางตัวไปทำให้สีสันของเรื่องลดลงอย่างมีนัยยะ ส่วนตัวละครใหม่อย่าง มาร์ติน ก็ยังทดแทนตำแหน่งของตัวละครเก่าอย่างเบอร์ลินไม่ได้
เรื่องราวในภาคนี้เปิดมาได้น่าสนใจเมื่อโตเกียวทนหลบอยู่นิ่ง ๆ ไม่ได้และเริ่มออกสู่โลกภายนอกไปปาร์ตี้อีกครั้ง ทำให้ริโอที่คิดถึงโตเกียวมากต้องโทรศัพท์หาและกลายเป็นจุดอ่อนให้รัฐบาลสเปนหาตัวเขาเจอจากสัญญาณโทรศัพท์ และเมื่อริโอถูกจับไปทรมานในคุกลับ โตเกียวที่รู้สึกผิดว่าตนเป็นสาเหตุให้แฟนหนุ่มถูกจับจึงขอความช่วยเหลือไปยังศาสตราจารย์
และแล้วศาสตราจารย์ก็ต้องดึงทุกคนกลับมาอีกครั้งและดำเนินการแผนเก่าของมาร์ตินกับเบอร์ลินที่เขาคิดว่ายังมีจุดอ่อนมาใช้อย่างจำเป็น ด้วยความที่มันเป็นแผนที่เขาไม่ได้คิด เขาจึงต้องเดินทางไปขออนุญาตมาร์ตินให้มาเป็นผู้นำกลุ่มโจรแทนเบอร์ลิน ในขณะที่เขาก็ไม่มีเวลาเกลาแผนให้สมบูรณ์แบบจึงต้องด้นสดไปพร้อม ๆ กัน และทำให้สถานการณ์ปล้นรอบนี้มีบรรยากาศแปลกกว่ารอบก่อน ยิ่งเมื่อตัวละครผูกพันกันมากขึ้นซึ่งเป็นข้อห้ามที่ศาสตราจารย์เองเข้มงวดมากจนถึงขนาดห้ามรู้ชื่อจริงกันในภาคก่อน
จุดอ่อนของตัวละครและแผนการเมื่อผสมกันก็ทำให้ทุกอย่างชวนลุ้นอยู่ไม่น้อย ยิ่งครั้งนี้คู่เจรจาที่พวกเขาต้องเจอไม่ใช่สาวที่มีจุดอ่อนอย่างสารวัตรราเกล หากแต่เป็นเสือสาวสุดแสบผู้ไร้หัวใจแทน การปล้นที่ไร้ความรุนแรงอันเป็นอุดมคติของศาสตราจารย์จึงสุ่มเสี่ยงจะพังยับไม่เป็นท่า ดีกรีการห้ำหั่นและการสูญเสียในครั้งนี้จึงเข้มข้นถึงขีดสุด
ภาคปล้นธนาคารกลางสเปน พาร์ท 2
เรื่องราวความกดดันในเรื่องยังมีต่อเนื่องมาถึงการแตกคอกันในกลุ่ม เมื่อโตเกียวขึ้นเป็นผู้นำ ปาเลร์โมกลับทรยศ จนทำให้ “กานเดีย” หัวหน้าชุด รปภ. ในภาคก่อนที่บทดูอ่อนไป กลายมาเป็นตัวร้ายหลักในภาคนี้เมื่อเขาหลุดออกไปได้ และสร้างความปั่นป่วนภายในจนถึงขั้นกลายเป็นตัวละครโรคจิตไล่ฆ่าทีมโจรในช่วงกลางเรื่อง ซึ่งช่วงเวลานี้เป็นจุดพีคที่สุดของเรื่องแล้ว หนังออกไปแนวแอ็กชั่นเต็มสูบด้วยการเปิดฉากไล่ล่ายิงกันแทบตลอดเวลา
แม้ว่าอาจจะดูโม้ๆ ไปนิดกับการต่อสู้แบบตัวร้ายคนเดียวสู้กับทีมโจรทั้งทีมในแบบประจันหน้าเดินดุ่ยๆ มายิงแค่ใส่เสื้อเกราะกันกระสุนไว้เท่านั้นเอง แต่ในเรื่องเมื่ออะไรๆ มันก็โม้มาก่อนอยู่แล้ว คนดูก็คงสนุกไปกับการที่ได้เห็นฉากยิงถล่มกันสนั่นเหมือนหนังแอ็กชั่นขึ้นโรงดีๆ อย่างจอห์นวิค ซึ่งก็ไม่มีอะไรเสียหายในตัวเรื่องนัก นอกจากความรู้สึกว่าเรื่องโม้ขึ้นเรื่อยๆ เท่านั้นครับ และช่วงนี้ก็ยังเป็นจุดหักเหสำคัญของเรื่อง
เมื่อมีการสูญเสียเกิดขึ้นกับตัวละครหลัก เป็นระเบิดลูกใหญ่ครั้งแรกของซีรีส์ในภาคนี้ที่หย่อนตูมลงมาในเรื่องราวเพื่อเคลียร์อะไรหลายๆ อย่าง ไปสู่การปลดล็อคเรื่องราวให้ใหญ่โตมากขึ้น และในช่วงของการสูญเสียจะมีรายละเอียดของนักแสดงและการให้สัมภาษณ์ทีมสร้างหนังออนไลน์ในช่วงการถ่ายทำฉากนี้อยู่ในหนังสารคดี ทรชนคนปล้นโลก ฟีเวอร์ ที่มาพร้อมกับภาค 4 นี้ แฟนๆ จะได้เข้าใจและรู้สึกร่วมไปกับนักแสดงที่ต้องอำลาจากบทที่รักนี้ไปครับ
หลังหย่อนระเบิดตูมลงมาตัวเรื่องก็กลับเข้าทิศทางการตีโต้กลับของโปรเฟสเซอร์ได้ในทันที ซึ่งเรื่องราวช่วง EP7-8 เป็นอะไรที่มันส์แบบชิงไหวชิงพริบมาก มีการนำชาวเคิร์ดนักขุดอุโมงค์ในภาคแรกกลับร่วมทีม แม้จะอยู่ในเกมของฝั่งโปรเฟสเซอร์ซะเป็นส่วนใหญ่ แต่ตัวเรื่องก็ไม่ได้ทิ้งฝั่งตำรวจที่มี “ซิเอร์รา” สาวนักเจรจาท้องแก่ไป
แม้ว่าแทบทั้งเรื่องเธอจะไม่ค่อยได้มีบทบาทเด่นแบบในภาคก่อน แต่ในช่วงท้ายซิเอร์ร่าก็กลายเป็นเหมือนราเกลในท้ายซีซั่น 2 ที่ต้องออกสืบลับๆ ด้วยตนเอง ก่อนที่จะกลายเป็นคู่ปรับนอกระบบกับโปรเฟสเซอร์ไปในที่สุด แต่บทช่วงนี้ออกจะรวบรัดและดูง่ายไปสักนิดเมื่อโปรเฟสเซอร์ทิ้งเบาะแสไว้ให้ตามรอยได้ แถมซิเอร์ร่ายังแทบไม่ได้ใช้ความสามารถอะไรมากในการตามหาตัวโปรเฟสเซอร์เลย
ช่วงท้าย
ในช่วงท้ายนี้มีจุดที่น่าผิดหวังนิดๆ เมื่อตัวเรื่องเปิดตัวละครใหม่ในชื่อเมือง “มะนิลา” (เมืองหลวงของประเทศฟิลิปปินส์) แล้วมีบทเพียงนิดเดียวไม่ได้เป็นตัวพลิกเกมอะไร แม้จะพยายามปูมาตั้งแต่ตอนต้นเรื่องว่ามีคนนี้อยู่ในทีมก็ตาม แต่ก็ยังดีที่เป็นตัวละครที่มีเอกลักษณ์แบบน่าดึงดูดชัดเจนแบบโตเกียว ก็หวังว่าภาคต่อไปคงได้ใช้เธอให้เต็มที่กว่านี้
ตัวเรื่องยังมีแฟลชแบ็คเป็นระยะทุกตอนกลับไปช่วงเวลาของเบอร์ลินกับโปรเฟสเซอร์ และปาเลร์โม เหมือนในภาคก่อน ซึ่งเป็นการย้อนกลับไปต่อเติมเรื่องให้สมบูรณ์ว่าทำไมปาเลร์โมถึงไม่มาอยู่ในทีมปล้นภาคแรก แม้เราจะรู้ว่าเขียนขึ้นมาภายหลัง แต่ก็นับว่าผู้สร้างเติมเต็มและอุดรอยต่อที่สร้างภาคนี้ขึ้นมาได้ลงตัวดีครับ
โดยรวม
ตัวซีรีส์จบลงแบบทิ้งปมหลายอย่างทั้งฝั่งโจรในธนาคารเองก็ยังไม่ได้มองเห็นว่าจะออกมาได้ยังไง (ซึ่งก็ยังหลอมทองกันต่อไปเหมือนเดิม) และปัญหาของทางฝั่งโปรเฟสเซอร์ที่ต้องเจอกับซิเอร์ร่านอกระบบ แม้จะไม่พีคเท่ากับภาคก่อน แต่ก็ยังมีความน่าติดตามสูงเหมือนเดิม ซึ่งตอนจบจะมีสารคดี ทรชนคนปล้นโลก ฟีเวอร์ (Money Heist: The Phenomenon) ให้เราดูปรากฎการณ์ความสำเร็จของซีรีส์เรื่องนี้ที่เกิดขึ้นทั่วโลกพร้อมกัน และย้อนรอยจุดเริ่มงานสร้างเรื่องนี้ตั้งแต่แรก จนฉายในทีวีสเปน แถมไม่ประสบความสำเร็จ
แต่ได้ Netflix มาช่วยให้ซีรีส์เรื่องนี้กลับมามีลมหายใจและฟื้นคืนชีวิตใหม่จนเป็นปรากฎการณ์กระแสความนิยมที่ไปมากกว่าแค่หนังดัง แม้แต่โจรจริงๆ ก็ยังนำชุดเครื่องแบบในเรื่องไปใช้ รวมถึงการถ่ายทำในภาคก่อนที่มาถ่ายทำในไทยหลายฉากมากกว่าที่เห็นในเรื่อง (แต่ไม่ได้ระบุในเรื่องว่าเป็นโลเกชั่นไทย) รวมถึงการปิดฉากของตัวละครสำคัญในภาคนี้ กับความลับและหัวใจของการเดินเรื่องที่ทำให้คนดูชื่นชอบ และความลับของงานสร้างมากมาย อย่างการเขียนบทแบบด้นสด ซึ่งเหลือเชื่อมากว่าตลอดมาซีรีส์ใช้วิธีนี้ในการเขียนบทให้เราดูกัน ซึ่งถ้าดูกันมาขนาดนี้ ตัวสารคดีเป็นอะไรที่เติมเต็มให้เราได้อิ่มเอมและหลงรักซีรีส์เรื่องนี้มากยิ่งขึ้นไปอีกครับ
ส่วนที่รู้สึกว่าแย่กว่าเดิมเลยคือการเล่าเรื่อง แผนการมีเวลาเกลาน้อย ทั้งในเรื่องจริงที่ต้องเข็นภาคต่อออกมา และในเรื่องที่พระเอกต้องเอาแผนไม่สมบูรณ์มาใช้ก็ทำให้ความฉลาดลดลงไป แล้วการเอาเรื่องดราม่าเข้ามาอุดเนื้อหาให้แน่นก็ใช้มากไปจนการเดินเรื่องย้วยไปมา วนเวียนอยู่กับเรื่องรักสองเส้าสามเส้าของตัวละครกลุ่มนั้นกลุ่มนี้วนอยู่อย่างนั้น ยิ่งประเด็นเฟมินิสต์ที่จริง ๆ ก็เป็นซับพลอตในภาคแรกอยู่แล้วและเอามาใช้ขับพลอตหลักได้น่าสนุกดี
พอมาภาคนี้ยิ่งเลยเถิดเอามาเล่นจนล้นเหมือนตัวละครไม่มีการเรียนรู้อะไรเลย และที่หนักสุดคือฉากแฟลชแบ็กที่ภาคก่อนเน้นเอามาเฉลยแผนการหรือเปิดปมที่กระทบแผนการต่าง ๆ มาภาคนี้เอามาแค่ขยายปมดราม่าแบบไม่ส่งผลกับเรื่องราวหลักเสียเยอะ บางช่วงคือเอาดราม่าเพียว ๆ ไม่มีประเด็นอะไรใหม่เลยจริง ๆ เป็นดราม่าที่รู้อยู่แล้ว หรือบางครั้งก็แค่พยายามมีที่ทางให้ตัวละครแสนรักของผู้ชมอย่างเบอร์ลินที่ได้มีเวลาออกมาโชว์บ้าง ซึ่งไม่ส่งผลอะไรกับเนื้อหาอีกแล้ว ถ้าเป็นละครไทยก็คือฉากยัดเอ็มวีมาให้เต็มเวลานั่นเลย
สรุป
เนื้อเรื่องภาคต่อที่ขยับขยายใหญ่โตขึ้น และมาพร้อมความกดดันฝั่งตัวเอกยาวๆ ไปจนช่วงท้ายถึงพลิกกลับมาตีโต้ได้ เป็นภาคที่บู๊หนักขึ้นเหมือนหนังแอ็กชั่นลงโรงดีๆ เลย แต่ในส่วนความสมเหตุผลหลายๆ อย่างดูอ่อนลงกว่าภาคก่อน แต่ก็ยังไม่ถึงกับเสียหายอะไร และถ้าได้ดูสารคดีเบื้องหลังจะเข้าใจงานเขียนบทของเรื่องนี้ดียิ่งขึ้นว่าทำไมเรื่องราวถึงเป็นไปแบบนี้ครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น