วันพุธที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2563

Hell Fest

หนัง HD

รีวิว Hell Fest - สวนสนุกนรก

Hellfest เป็นหนังแนว Slasher กับฆาตกรหน้ากาก ที่ดูเหมือนจะจำเจ แต่มีพล็อตเรื่องที่น่าสนใจ โดยเป็นเรื่องราวของสวนสนุกธีมสยองขวัญที่ถูกเรียกว่า “Hellfest” ในอดีตสถานที่แห่งนี้เคยเกิดเหตุฆาตกรรมโดยผ่านไปหลายวัน กว่าจะมีคนรู้ว่ามีคนตาย เพราะหลายคนคิดว่าเป็นหุ่นประกอบฉาก และในครั้งนี้ฆาตกรคนเดิมมันกลับมา เพื่อทำให้สวนสนุกกลายเป็นลานสังหาร และพร้อมจะล่าเหยื่อรายใหม่อีกครั้ง รีวิว Hell Fest

เรื่องย่อ

เมื่อฆาตกรต่อเนื่องโรคจิตรายหนึ่งที่เปลี่ยนสวนสนุกธีมสยองขวัญให้กลายเป็นโรงเชือดสุดซาดิสม์ส่วนตัว สามสาวผู้โชคร้ายที่ติดกับหลงเข้าไปจึงต้องช่วยกันหาทางเอาชีวิตรอดก่อนที่จะกลายเป็นเหยื่อความวิปลาศรายล่าสุดของมัน

หนังแนวฆาตกรโรคจิตสวมหน้ากากแล้วตามฆ่าเหล่าวัยรุ่นคึกคะนองที่มีศัพท์เรียกกันว่า Slash Film เป็นแนวที่นิยมสร้างกันมากในยุค 80s – 90s ห่างหายจากจอหนังไปนานพอสมควร แล้ววันนี้ก็มี Hell Fest หนังสยองขวัญเรื่องล่าที่พาเรากลับไปสัมผัสบรรยากาศสยองเดิม ๆ อีกครั้ง กลับฆาตกรสวมหน้ากากรายใหม่ ที่มาตามฆ่ากลุ่มวัยรุ่น โดยเลือกสถานที่ให้เป็นสวนสนุกสยอง เพื่อเพิ่มความน่ากลัวได้มากขึ้นไปอีกกับบรรยากาศรอบข้าง

เปิดเรื่องด้วยการแนะนำตัวละครนำเป็นกลุ่มวัยรุ่นชาย 3 หญิง 3 เพื่อนสมัยไฮสคูลที่แยกย้ายกันไปพักใหญ่และได้กลับมารวมกลุ่มกันอีกครั้ง ทั้ง 6 ย้อนอดีตด้วยการพากันไปเที่ยวสวนสนุก Hell Fest ที่เต็มไปด้วยบ้านผีหลายหลังให้เข้าไปกรี๊ดกัน นาตาลี ในบทนำของเรื่อง เป็นเพื่อนสาวที่ไปเรียนต่อในรัฐอื่นแล้วได้กลับมาเยี่ยมเพื่อนในเทศกาลฮัลโลวีน

ซึ่งบรรดาเพื่อน ๆ ก็ถือโอกาสจัดฉากให้แนตได้มาเจอกับเกวิน คู่รักคู่ลุ้นสมัยไฮสคูลอีกครั้ง หนังใช้เวลาช่วงต้นพาเราไปสัมผัสภาพรวมกว้าง ๆ ของสวนสนุก hell fest ซึ่งดูก็น่าสนุกตามไปด้วย กับบรรยากาศแบบงานวัดฝรั่ง มีขนมขาย มียิงปืน และที่น่าสนุกมากคือทีมงานจำนวนมากแต่งชุดผีได้น่ากลัวแล้วคอยวิ่งมาแกล้ง หรือกระโดดจากมุมมืดมาแกล้งให้ตกใจ

ไม่นานนักหนังก็เริ่มเข้าหาสูตรสำเร็จของ slash film เมื่อเริ่มมีสมาชิกในกลุ่มแยกตัวออกไป และแน่นอนต้องตกเป็นเหยื่อของฆาตกรโรคจิต และจุดที่ทำให้ hell fest ได้แตกต่างจากหนังสยองขวัญเรื่องอื่นคือเมื่อฆาตกรหน้ากากผีสังหารเหยื่อท่ามกลางฝูงชน ก็ไม่มีใครแตกตื่นเพราะคิดว่านี่คือโชว์หนึ่งของสวนสนุก แต่หนังก็กลับไม่ได้นำจุดนี้มาเน้นสักเท่าใดนัก

ทำใจไว้แล้วว่าหนังแนวนี้ บรรดาตัวละครมักจะต้องทำเรื่องโง่ ๆ ให้ตัวเองซวยแล้วก็ต้องตกเป็นเหยื่อของฆาตกรโรคจิตแบบน่าสมน้ำหน้า แต่สุดท้ายก็ยังหงุดหงิดกับบทที่ยังคงเขียนให้บรรดาตัวละครทำเรื่องโง่ ๆ ฝืนพื้นฐานมนุษย์ครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วด้วยวัยของนักแสดงที่ทีมงานแคสต์มาแต่ละคนก็ดูเป็นวัยทำงานมากกว่าจะเป็นวัยรุ่นที่มาวิ่งกรี๊ด ๆ ในงานแบบนี้

อีกทั้งจุดสำคัญสุดอย่างฆาตกรสวมหน้ากากที่ถูกเพิกเฉยกับที่มาที่ไปไม่บอกเล่าสาเหตุว่าทำไมเขาถึงมีความโกรธแค้นกับเหล่าวัยรุ่นถึงกับต้องฆ่าทิ้งอย่างไร้เหตุผลจูงใจ อีกทั้งความแข็งแกร่งเกินมนุษย์ และความอึดถึกอย่างกับอสุรกายที่ทั้งโดนฟาดหัวหลายครั้ง โดนแทงเข้าที่ท้องเลือดโชกแต่ก็กลับสู่สภาพปกติได้ในเวลาอันสั้น

ทั้งที่หนังก็จงใจให้เห็นว่าฆาตกรรายนี้เป็นมนุษย์เช่นเรา ๆ นี่ล่ะ หาใช่ผีดิบอย่างเจสัน วอร์ฮี หรือเฟรดดี้ ครูเกอร์ หรือผู้สร้างอาจจะมั่นใจว่าแฟนหนังสยองจะต้องเคยชินกับความสามารถเหนือมนุษย์เหล่านี้ของฆาตกรสวมหน้ากาก ก็เลยเลือกที่จะไม่ลำบากหาทางอธิบายเหตุผลเหล่านี้ดีกว่า เรียกได้ว่าบทหนังเดินตามสูตรสำเร็จของหนัง slash film ยุคเก่า แต่ทำได้ด้อยกว่าด้วยซ้ำ

หนังก็มีฉากตุ้งแช่มาถี่ ๆ แต่ว่าหลาย ๆ ครั้งก็ทำให้เราตกใจด้วยเสียงซาวด์เอฟเฟกต์เสียมากกว่าตกใจด้วยภาพ คือภาพน่ะประมาณ 10-20 แต่ซาวด์นี่มาเต็มร้อยเลย บางฉากก็ดูธรรมด้าธรรมดาแต่ดนตรีประกอบนี่เล่นใหญ่ไปถึงไหนแล้ว ด้วยการขาดที่ไปที่มาของฆาตกรโรคจิตนี่ล่ะ ทำให้ตัวฆาตกรหน้ากากผีไม่สามารถสร้างรังสีอำมหิตให้กับตัวเองได้

การปรากฏตัวในแต่ละครั้งจึงไม่ค่อยชวนลุ้นเท่าที่ควรนัก เลยต้องพึ่งทั้งแสงสีเสียงมาสร้างบรรยากาศร่วม จุดที่หนังยังคงรักษามาตรฐานความสยองไว้ได้ คือฉากสังหารโหดที่เหล่าวัยรุ่นชายดวงซวยโดนกันไป แต่กลับเหยื่อฝ่ายหญิงนี่ลดดีกรีลงเยอะมาก ฉากที่ลุ้นสุดเห็นจะเป็นฉากกิโยตินนี่ล่ะ
และเป็นเพียง 2-3 ฉากที่ยังเล็ดลอดมาจากตัวอย่างหนังได้ Hell Fest นี่เป็นหนังที่สมควรได้รางวัลการตัดต่อตัวอย่างหนังยอดเยี่ยม เพราะแค่ตัวอย่างหนังนี่ก็เอาฉากเด็ดมาเล่าหนังได้เกือบทั้งเรื่องแล้ว แทบไม่เหลืออะไรให้รอลุ้นในหนังจริงเอาซะเล้ย

ผู้กำกับ เกรกอรี่ พลอตคิน เคยมีผลงานกำกับมาแค่เรื่องเดียวจาก Paranormal Activity: The Ghost Dimension (2015) แต่งานหลักของพี่เค้าคือมือตัดต่อหนังสยองขวัญที่เคยผ่านตาเราอย่าง Happy Death Day (2017) , Get Out (2017) ก็ไม่ถือว่าเลวร้ายหรอก แต่หนังควรจะได้บทที่แน่นกว่านี้
หนังใช้ทุนสร้างจุ๋มจิ๋มมากแค่ 5 ล้านเหรียญ เพราะไม่ต้องเสียต้นทุนไปกับการจ้างดาราแพง ๆ เลย ดาราที่มีชื่อในเรื่องนี้มีแค่คนเดียวคือ โทนี่ ทอดด์ เจ้าของบท Candyman หนังสยองขวัญปี 1992 ที่โผล่มาในบทรับเชิญแค่ไม่กี่นาที

วิจาร์ณ

แค่ฟังพล็อตเรื่องมันก็น่าจะสนุกไม่ใช่เล่น เพราะสวนสนุกเป็นสถานที่ที่องค์ประกอบเหมาะแก่การเป็นหนังไล่ฆ่าอย่างยิ่ง คือแค่คิดก็สนุกแล้ว แต่เรื่องนี้ทำให้สวนสนุกสยองขวัญกลายเป็นสวนน่าเบื่อไปเลย
ต้องออกตัวเลยว่าชื่นชอบหนังแนวนี้มาก Scream, Jason, Freddy, Halloween และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งจะเทียบกับพวกนั้นก็คงเทียบไม่ติด แต่เรื่องนี้ทำได้ไม่ถึงครึ่งของหนังเหล่านั้นด้วยซ้ำ จริงๆ ทุกอย่างเป็นสูตรสำเร็จมาก ตัวละครวัยรุ่นต้องโง่ๆ และต้องอยู่คนเดียวด้วยเหตุจำเป็นอะไรบางอย่าง แล้วก็โดนฆ่า อั๊ก!

บรรยากาศในหนังรายล้อมไปด้วยความน่าสยอง มันจะมีคนแต่งตัวประหลาดโผล่ออกมา แฮ่! พยายามทำให้เราตกใจเป็นระยะๆ บวกด้วยเพลงที่คอยบิ้วตลอด เกินอารมณ์ของหนังในตอนนั้นซะอีก พูดได้เลยว่ามันเยอะไป แทนที่จะน่ากลัว กลายเป็นน่ารำคาญแทน

หนังไม่ได้บอกถึงที่มาที่ไป หรือแรงจูงใจในการฆ่าของฆาตกรรายนี้เลยด้วยซ้ำ ว่าทำไมเขาถึงต้องทำแบบนี้ โกรธอะไรขนาดนั้น การกระทำไร้เหตุผลสิ้นดี จะบอกว่าบ้าก็ไม่ใช่ เพราะถ้าบ้าเราคงได้เห็นการนองเลือดมากกว่านี้เป็นแน่แท้ แต่การฆ่าในหนังนี้นับเหยื่อได้ไม่ถึง 10 คนเลยด้วยซ้ำ หนัง HDด้วยเหตุผลนั้นมันเลยทำให้ฆาตกรรายนี้ทุกครั้งที่ปรากฏตัว ไม่ได้น่ากลัว หรือน่าเกรงขามเลยสักนิด เหมือนเป็นแค่สตอร์คเกอร์ โรคจิตคอยตามกลุ่มวัยรุ่นกลุ่มนี้ไปโดยปริยาย

รีวิว Hell Fest


ตลอดทั้งเรื่อง การฆ่า การไล่ล่า ไม่ได้น่าตื่นเต้นเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้หนังเหมือนจะขายความโหด แต่ฉากโหดๆ มีจริงๆ แค่ 1-2 ฉากเท่านั้น (ฉากที่พอตื่นเต้นได้บ้างก็คงเป็นฉากกิโยตินจากในตัวอย่างนั่นแหละ) การฆ่าแต่ละตัวละครไร้ชั้นเชิงสิ้นดี ทั้งๆดูหนังผ่านเน็ต ที่วัตถุดิบรอบตัวมีอะไรให้โคตรน่าเล่นเยอะมากๆ แต่ดันใช้เป็นแค่ฉากหลังเท่านั้น หนังปูเรื่องเกี่ยวกับการฆาตกรรมแล้วเอาศพทิ้งไว้ในเครื่องเล่นโดยคนไม่รู้ คิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของสวนสนุก ก็น่าเสียดายที่หนังไม่ได้เน้นส่วนนี้เลย

ในด้านความสยอง

ก็ถือว่าสอบผ่านสบาย ถึงจะไม่ได้แปลกใหม่อะไร แต่ก็พอทำให้หายคิดถึงหนังแนวนี้ไปได้บ้าง เพราะสมัยนี้แทบจะไม่ค่อยมีออกมาให้ดูเท่าไร.. ด้านความโหดเลือดสาด ถือว่าเกินคาดมาก ก่อนดูไม่คิดว่าจะมีฉากโหดๆ นะ แต่ก็ดันมี! แล้วยังโหดสะใจด้วย! บางคนอาจจะต้องเบือนหน้าหนี แต่น่าเสียดายที่มีให้ดูน้อยนิดมาก ถ้ามีเยอะกว่านี้อย่างพวก Wrong Turn นะ เอา 10/10 ไปเลย

โดยรวม

หนังมีดีแค่เปลือกนอก แนวความคิด และบรรยากาศโดยรวมเท่านั้น แต่ทั้งหมดทั้งมวลแล้วหนังสอบตกในทุกๆ ด้านของความเป็นหนัง Slasher อย่างสิ้นเชิง ยังทำได้ไม่ดีมากนัก ไม่ว่าจะเป็นการสร้างพล็อตให้มันดูมีอะไรมากกว่า เดินจากต้นไปหาปลาย และการขาดซับพล็อตที่แข็งแรง การละเลยในรายละเอียดที่ทำให้ชวนสงสัย แม้จะว่ามีความสร้างสรรค์ด้านการสร้างฉากที่ชวนให้น่ากลัว แต่สิ่งที่ชวนให้รู้สึกว่าฉุดรั้งหนังมาก ก็คือ ..

เจ้าของหนัง hell fest ก็ดูมั่นใจกับหนังตัวเองจัง เปิดโรงฉายตั้ง 2,000 กว่าโรง หนังเข้าฉายในอเมริกาก่อนหน้าเราไป 1 สัปดาห์ ด้วยทุนแค่นี้ สัปดาห์แรกหนังก็ได้ทุนคืนแล้ว ที่เหลือจากนี้และตลาดนอกอเมริกาคือกำไรล้วน ๆ มีแววว่าเราอาจจะได้ดูภาค 2 กันด้วยนะ แต่สำหรับเรื่องนี้ยังไม่แนะนำครับ แค่ 91 นาที ยังรู้สึกว่านานเลย ดูจอเล็กก็ไม่เสียอรรถรสหรอกนะ

สรุป

หนังแนวนี้มันก็ทำออกมาเพื่อให้คนอย่างพวกเราดูโดยเฉพาะนั่นล่ะ (แบบแอด) แบบที่ไม่ต้องสนเหตุผล ช่วยฆ่าให้ดูทีเถอะ ขอเลือดเยอะๆ ยิ่งทำไรโง่ๆ ยิ่งดี จะได้ตายไวๆ อะไรแบบนั้น ถถถถถ ใครเป็นแบบที่แอดว่า ตีตั๋วไปดูได้เลย ไม่เสียดายตังค์แน่นวลลล

Ralph Breaks the Internet

หนัง HD

รีวิว Ralph Breaks the Internet - ราล์ฟตะลุยโลกอินเทอร์เน็ต วายร้ายหัวใจฮีโร่ 2

Ralph Breaks the Internet คือการกลับของภาคต่อ Wreck-It Ralph ในปี 2012 ซึ่ง ณ ตอนนั้นหนังอนิเมชั่นเรื่องนี้ก็ได้รับเสียงชื่นชมมากมายต่างๆ นานา และตัวเราเองยังชอบมันมากอีกด้วย ไม่คิดเลยด้วยซ้ำว่ามันจะมีภาคต่อ ซึ่งพอมีภาคต่อก็แอบหวั่นใจว่ามันจะทำออกมาได้ดีเท่าภาคแรกไหม? และเมื่อดูจบต้องบอกเลยว่ามันทำได้ดีมากจริงๆ รีวิว Ralph Breaks the Internet

เรื่องย่อ

หลังเผลอเข้าไปป่วนเกมชูการ์รัชจนผู้เล่นเผลอทำพวงมาลัยตู้เกมหักก็ได้เวลาที่ ราล์ฟ (จอห์น ซี ไรลี) พี่เบิ้้มแห่งเกมทุบตึกจะช่วยให้ เวเนโลปี (ซาราห์ ซิลเวอร์แมน) หาพวงมาลัยใหม่มาคืนชีพให้ตู้เกมชูการ์รัชก่อนเวเนโลปีและเพื่อนจะกลายเป็นคาแรกเตอร์ไร้เกม และเพื่อให้ได้พวงมาลัยจากอีเบย์ทั้งคู่ต้องตะลุยโลกอินเตอร์เน็ตที่ไม่คุ้นเคย ทั้งต้องขโมยรถของแชงค์ (กัล กาดอต) เจ้าแม่เกมแข่งรถออนไลน์สุดเถื่อน แถมราล์ฟยังต้องกลายเป็นเน็ตไอดอลสายฮาล่ายอดเลิฟเพื่อช่วยกู้เกมของเพื่อนตัวน้อย ในขณะที่อินเตอร์เน็ตก็เริ่มทำให้เวเนโลปีค้นพบความฝันที่ซุกซ่อนมานานแม้อาจทำลายมิตรภาพระหว่างเธอกับพี่เบิ้มจอมทุบตึกก็ตาม

6 ปีหลัง Wreck It Ralph (2012) การกลับมาของภาคต่อที่พ่วงคำว่า Breaks The Internet ในครั้งนี้นอกจากการขยายโลกจากเครือข่ายตู้เกมอาร์เคตไปสู่โลกอินเตอร์เน็ตเพื่อเข้าถึงคนดูเจนใหม่ๆได้ง่ายขึ้นแล้ว การให้ราล์ฟและเวเนโลปีนำเราสู่โลกอินเตอร์เน็ตที่กว้างใหญ่ไพศาลยังเป็นการเปิดโอกาสให้นำ “สินทรัพย์” ระดับพันล้านของดิสนีย์กลับมามีชีวิตในยุคปัจจุบันได้อย่างกลมกลืน เพราะเราต้องยอมรับว่า อินเตอร์เน็ต

คือที่ซึ่งไร้กาลเวลาสาวกดิสนีย์รุ่นเก๋าก็ยังคงวนเวียนฟังเพลงประกอบการ์ตูนวัยเด็กในยูธูป ในขณะที่เด็กรุ่นใหม่ก็เสพย์ภารกิจของเหล่าซูเปอร์ฮีโร่มาร์เวลกันในทุกแพลดฟอร์ม ส่วนสาวกสตาร์วอร์สก็หมั่นทำคอนเทนต์เพื่อสนับสนุนหนังในดวงใจกันต่อเนื่องมาตลอด

จึงไม่แปลกที่หนังภาคนี้จะมีสถานะไม่ต่างจากหนังฟอร์มยักษ์ที่มุ่งขายมหาชนกันแบบแทบทุกกลุ่มชน ซึ่งถือเป็นก้าวที่ชาญฉลาดมากเพราะแม้ตัวหนังจะไม่ได้มีพัฒนาการด้านเรื่องราวไปมากกว่าหนังภาคแรกนักแต่ก็ต้องยอมรับว่าการได้เห็นดารารับเชิญจากดิสนีย์เองสามารถเรียกความทรงจำสีจางของเราได้น่าประทับใจจริงๆ แม้ว่าจะแอบรู้สึกว่าดิสนีย์โปรโมต Oh My Disney บริการสตรีมมิงใหม่ของตัวเองหนักมากก็ตาม

ว่ากันถึงดารารับเชิญแล้วเราจะไม่พูดถึงเหล่าเจ้าหญิงดิสนีย์ก็คงไม่ได้ เพราะต้องยอมรับว่าการได้เห็นพวกนางปรากฎกายพร้อมกันถึง 14 องค์นี่เหมือนได้เจอพี่สาวในวัยเยาว์ที่ไม่ได้เจอกันมานาน แถมเหมือนดิสนีย์รู้ใจเราว่าการได้กลับมาเจอกันอีกครั้งก็ไม่ต่างจากการมานั่งย้อนรำลึกความหลังที่แม้จะเหมือนล้อตัวเองทั้งการมาพูดถึงการรอเจ้าชายขี่ม้าขาว

หรือความผูกพันธ์ระหว่างเจ้าหญิงกับการจ้องมองบ่อน้ำที่แสดงถึงความใส่ใจรายละเอียดของทีมเขียนบททุกเม็ดจริงๆ แถมการปรากฎกายของพวกเธอยังไม่ใช่แค่การมาโชว์ตัวประเดี๋ยวประด๋าวแต่ยังมีซีนที่พวกนางได้โชว์ของกันแบบทั่วถึงจนเรียกเสียงหัวเราะและเสียงปรบมืือจากในโรงกึกก้องเลยทีเดียว
แถมยังทำให้เวเนโลปีได้ค้นพบความฝันที่ซุกซ่อนจากเหล่าเจ้าหญิงไม่ต่างกับเหล่าสาวน้อยในวันวานที่นั่งน้ำตารื้นดูหนังเรื่องนี้ในทุกวันนี้แน่นอน (และแน่นอนว่าจะต้องกลับมาโหลดเพลง Slaughter Race เข้าคอเลคชันเพลงเจ้าหญิงดิสนีย์อีกเพลงแน่นอน)

ส่วนสาวกมาร์เวลและสตาร์วอร์สอาจแอบน้อยใจที่ตัวละครโปรดโผล่มาแค่ไม่กี่ตัว (อ้าว!ใช้ตัวเฉยเลยทีเจ้าหญิงใช้องค์ ฮ่าาาา) แต่เชื่อเถอะว่าความพีคไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน โดยเฉพาะการที่ดิสนีย์ได้ใส่ “หัวใจ” ของหนังมาร์เวลเข้ามาแบบถ้าคุณไม่ปรบมือให้ก็ถือว่าใจร้ายเกินไปแล้วล่ะ

แต่หากพิจารณาดีๆการที่ดิสนีย์ไม่ใส่ฮีโร่จากมาร์เวลหรือสตาร์วอร์สเข้ามาก็มีส่วนช่วยให้เราโฟกัสกับความเป็นฮีโร่ของราล์ฟมากขึ้นและช่วยเติมเต็มให้หนังเข้ากับองค์ประกอบของดิสนีย์ที่เมื่อมีเจ้าหญิง ก็ต้องมีฮีโร่ (เจ้าชาย) บริบูรณ์สวยงามตามท้องเรื่องในแบบดิสนีย์ได้ไม่ขัดเขินอีกด้วย

อีกจุดนอกจากเรื่องคาแรกเตอร์ที่ชวนกรี๊ดคืองานสร้างโลกอินเตอร์เน็ตที่ทีมงานทำการรีเสิร์ชมาได้เป๊ะมากโดยนอกจากการปรากฎตัวของแอปดังๆแล้ว ยังมีการเทียบเคียงโลกจริง (Allegory) ได้อย่างชาญฉลาดทั้งภัยมืดจากอินเตอร์เน็ตอย่างสแปม ไซเบอร์บูลลีย์ ไปจนถึงการปล่อยไวรัสทำลายระบบที่ถูกนำเสนอได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจและสร้างสรรค์มากๆ  (แต่ไม่มีแอป Netflix ปรากฎนะจ๊ะ ฮ่าาาา)

วิจาร์ณ

ซึ่งไอเดียของภาคนี้ต้องบอกได้เลยว่าตั้งต้นมาได้เจ๋งมากๆ กับการให้ตัวละครในเกมอาเขตเข้าไปผจญภัยในโลกอินเทอร์เน็ต เนื้อเรื่องจะเกี่ยวกับเครื่องเล่นเกมของ Venellope พวงมาลัยพัง จึงจำเป็นต้องไปตามหาพวงมาลัยอันใหม่มาส่งให้เจ้าของร้านเพื่อซ่อมเครื่องนั้นซะ และที่แห่งเดียวที่มีคือ eBay ทำให้ Ralph และ Venellope ต้องออกไปผจญภัยในโลกอินเทอร์เน็ตนั่นเอง

สิ่งที่ชอบที่สุด และชอบมากๆ ของหนังเรื่องนี้คือไอเดีย การสร้างโลกใบอินเทอร์เน็ตใบใหม่ขึ้นมาอย่างยอดเยี่ยม มันเป็นความรู้สึกที่ได้ดูเรื่องนี้ตลอดทั้งเรื่องมันจะมีอารมณ์แบบ “เจ๋งหว่ะ” “เห้ย คิดได้ไง” “เออจริงด้วย” และหนังอนิเมชั่นเรื่องนี้จะทำให้เรายิ้มเกือบทั้งเรื่องกับองค์ประกอบหลายๆ อย่างในเรื่องเลยทีเดียว มันให้ความรู้สึกเหมือนเรากำลังนั่งเล่นอินเทอร์เน็ต ท่องเว็บไปกับตัวละครในหนังเรื่องนี้ เพียงแต่ว่าทุกอย่างที่คุณได้เคยเล่น เคยทำ เคยข้องเกี่ยวกับมันบนโลกอินเทอร์เน็ต มันจะถูกตีความออกมาในรูปแบบอนิเมชั่น เช่น นกทวีตเตอร์, พวก pop-up น่ารำคาญต่างๆ ในเว็บ, การส่งเมลล์ และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งต้องบอกเลยว่ามันเจ๋งโคตรๆ แบบไอเดียดีมาก คิดได้ไง หนังมันให้รายละเอียดแม้กระทั่งให้เห็นการกระทำในโลกอินเทอร์เน็ตกับโลกแห่งความเป็นจริงของ user เช่นเน็ตหลุดเอย เว็บล่มเอย คือมันครีเอทมากๆ

ความสนุกของเรื่องนี้นอกเหนือจากไอเดียอันบรรเจิดต่างๆ บนโลกอินเทอร์เน็ตแล้ว สิ่งที่เราสนุกกับมันไปอีกคือการมองหา Easter Egg ต่างๆ ในหนังเรื่องนี้ เช่น Youtube, Facebook, Imdb อะไรก็ตามที่อยู่บนโลกอินเทอร์เน็ต รวมไปถึงตัวละครต่างๆ ด้วย (มีตัวละครเซอร์ไพรส์มากมายเลย) มันทำให้เรานึกถึงหนังอย่าง Ready Player One อยู่กลายๆ เหมือนกัน แต่มาในรูปแบบที่ซอฟกว่า สนุกกว่า และเพลิดเพลินกว่ากันเยอะ

ต่อกันที่เรื่องของเจ้าหญิงดิสนีย์ที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลย จากหนัง HDคลิปโปรโมทและตัวอย่างเราก็ได้เห็นแล้วว่ามีเจ้าหญิงดิสนีย์ปรากฏออกมาเพียบ! และในฉากนั้นทำออกมาได้ดีมาก ดีเกินคาดจริงๆ มีการจิกกัด แขวะเจ้าหญิงได้อย่างเจ็บแสบ แบบล้อเล่นขำๆ ยังกะ Deadpool ยังไงยังงั้น แค่ฉากนี้ฉากเดียวก็คุ้มเกินคุ้มแล้วสำหรับเรื่องนี้ เชื่อเลยว่าฉากนั้นคนต้องยิ้ม หัวเราะกันตลอดทั้งฉากเลย (ใครเป็นแฟนคลับเจ้าหญิงดิสนีย์ได้ฟินเต็มขั้นแน่นอน)

รีวิว Ralph Breaks the Internet


ความรู้สึกแรกหลังดูจบ..
ตัวหนังสนุกมากกกกก ชอบมาก หนังออกแบบโลกอินเตอร์เน็ตออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม สร้างสรรค์และเว็บสตรีมหนังดึงดูดให้เราสนใจมองนู่นมองนี่ได้ดี แถมอีสเตอร์เอ้กแต่ละอย่างแต่ละอันที่ปรากฎตัวสร้างอิมแพ็คบางอย่างให้กับเราได้มากจริง ๆ จุดนี้เองเป็นเหมือนเครื่องยืนยันเลย ว่า ณ ขณะนี้ ดิสนีย์ ยิ่งใหญ่และมีอิทธิพลต่อผู้ชมมากๆ แถมหนังยังตลกมาก จิกกัดเก่ง แซะเก่ง นึกว่าดูเดดพูลอยู่ เชื่อว่าน่าจะถูกจริตใครหลายคนอย่างแน่นอน

และแม้ว่าหนังจะมีเส้นเรื่องหรือโครงสร้างหลักไม่แข็งแรงเท่าภาคแรก แต่มันถูกทดแทนด้วยความสัมพันธ์ของตัวละคร ที่ดูจะลงลึกมากยิ่งขึ้น แถมยังสะท้อนสังคมยุคปัจจุบัน ทั้งในเรื่องของมิตรภาพ และ โลกอินเตอร์เน็ตออกมาได้อย่างน่าสนใจ และไม่กลัวไม่กั๊ก เท่าไหร่นัก

สิ่งที่น่าชื่นชม 

ถึงแม้ว่าจะพูดไปเยอะแล้วถึงข้อดีและข้อเสีย แต่ Ralph Breaks the Internet ยังมีสิ่งที่น่าชื่นชมมากกว่าที่กล่าวไป หนังยังเล่าสิ่งต่างๆ ที่ตัวผู้กำกับอยากจะนำเสนอออกมาได้อย่างลงตัว ไม่เยอะไม่เวิ่นจนเกินไป ไม่พยายามขายอีสเตอร์เอ้กจนเกินไป แล้วพอทุกอย่างมันพอดี หนังมันก็ค่อนข้างสนุกและเพลิดเพลินมาก ตลอดเกือบ 2 ชั่วโมง

จุดด้อย

แน่นอนว่ามันก็มีจุดด้อยอยู่นิดหน่อยกับประเด็นความสัมพันธ์ที่อาจไม่ซึ้งเท่าภาคแรก และเรื่องราวตอนท้ายๆ ที่เหมือนกับลืมให้รายละเอียดกับโลกแห่งความจริงของ user ที่กำลังเล่นอยู่ ทั้งๆ ที่ทำแบบนั้นมาตลอดทั้งเรื่องแล้ว เลยเสียดายส่วนนี้นิดหน่อย

โดยรวม

โดยรวมแล้ว Ralph Breaks the Internet เป็นภาพยนตร์อนิเมชั่นจากดิสนีย์ส่งท้ายปีที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง เพราะไม่ว่าคุณจะเป็นคอดิสนีย์ สาวกมาร์เวล รักสตาร์วอร์ส รักเจ้าหญิง จะต้องถูกจริตอย่างแน่นอน หนังสนุก ซึ้ง ตลก น่าประทับใจ ครบรส และเปี่ยมไปด้วยคุณภาพถูกใจทุกคนอย่างแน่นอน

สรุป

เรียกได้ว่าตลอด 1 ชั่วโมง 52 นาทีรวมเอนด์เครดิตสุดฮา 2 ตัวแล้วต้องบอกว่า ไม่มีสักนาทีที่ปากเราจะไม่อย่างกรี๊ด มือเราจะอยู่นิ่งห้ามใจไม่ให้ปรบมือได้เลยสักนาที โดยความประทับใจส่วนใหญ่ก็มาจากมุกตลกทั้งที่มาจากการปรากฎตัวของเหล่าเซเลบดิสนีย์และมุกตลกจากเรื่องราวเองจนทำให้ Ralph Breaks The Internet คือความสุขส่งท้ายปีจากยักษ์ใหญ่อย่างดิสนีย์จริงๆ

Robin Hood

ดูหนัง HD

รีวิว Robin Hood - พยัคฆ์ร้ายโรบินฮู้ด

เรื่องราวของตำนานกว่า 800 ปี ที่ถูกนำมาเล่าใหม่อีกครั้ง หลังจากเคยถูกทำเป็นหนังมาแล้วหลายเรื่อง (และคะแนนไม่ค่อยดีเลยสักภาค แถมภาคนี้คะแนนยังแย่สุดเลย) แต่ในภาคได้ดาราชื่อดังอย่าง Taron Egerton, Jamie Foxx, Jamie Dornan และ Ben Mendelsohn มาแสดงนำด้วย เรียกได้ว่าฟอร์มยักษ์ไม่ใช่เล่น และแอบมีหวังเล็กๆ รีวิว Robin Hood

เรื่องย่อ

“Robin Hood” ผลงานภาพยนตร์โปรเจกต์ยักษ์ที่นำเรื่องราวของยอดวีรบุรุษจอมโจรมาเล่าตีความในมุมมองใหม่ บู๊กว่า ดุดันกว่า และการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่า รับประกันว่าผู้ชมยังไม่เคยได้สัมผัสในเวอร์ชั่นใดมาก่อน โดยหยิบยกเรื่องราวช่วงยุคเริ่มต้นของตำนานโรบิน ฮูดหลังจากที่เขาไปร่วมรบในสงครามครูเสด เมื่อกลับมาจึงพบว่าเมืองของเขาถูกคนชั่วยึดครอง โรบิน ฮูดจึงรวบรวมตั้งกองกำลังใหม่เพื่อลุกขึ้นต่อสู้
จากเรื่องเล่าที่มีประวัติยาวนานมากว่า 800 ปี ว่าด้วยจอมโจรที่ลุกขึ้นมาต่อสู้กับอำนาจรัฐที่ฉ้อฉลและช่วยเหลือชาวบ้านตาดำ ๆ ก็เป็นความคลาสสิกและโรแมนติกที่ทุกสังคมล้วนเผชิญและอัดอั้นคล้าย ๆ กัน และถ้านับเอาเฉพาะฉบับภาพยนตร์ก็ถือว่ามีการทำหนังมากว่า 110 ปีแล้วนับแต่ Robin Hood and His Merry Men (1908) หนังสั้นขาวดำที่ถือเป็นหนังโรบิน ฮูดเรื่องแรก

มาปีนี้ โรบิน ฮูด กลับมาอีกครั้งโดยการอำนวยการสร้างของ ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ โดยดึงผู้กำกับใหม่ถอดด้ามในวงการจอเงินแต่เก๋าในวงการจอแก้วทั้งซีรีส์ Black Mirror และกำลังมีผลงานในปีหน้ากับ His Dark Materials อย่าง ออตโต บาตเฮิร์ส มากำกับ

พ่วงด้วยดาราดังคับคั่งที่คัดตัวกันอย่างโชกเลือดกว่าจะได้แต่ละคนมา ทั้ง ทารอน อีเกอร์ตัน ที่คุ้นตาจากหนัง Kingsman มารับบท โรบิน ฮูด ที่ปรับลุคให้ดูวัยรุ่นขึ้น (ให้อารมณ์หนัง Kingsman ภาคแรกเหมือนกันนะ) และมีภูมิหลังเป็นอดีตทหารครูเสด โดยมีผู้ช่วยฝึกสอนวิชาและคู่หูนาม ลิตเติ้ล จอห์น รับบทโดย เจมี่ ฟ็อกซ์ 

ซึ่งก็ปรับลุคจากชายสูงใหญ่ล่ำบึ้กมาเป็นชายผิวสีดูเข้มน่ากลัวแทน และได้ตัวร้ายที่ให้บรรยากาศชวนเสียวหลังอย่างเบน เมนเดลโซห์ ตัวร้ายจากเรื่อง Rogue One: A Star Wars Story มารับบทนายอำเภอผู้มีปมกำพร้าและต้องการล้างแค้นทุกคนให้ลำบากเช่นเดียวกับเขา ซึ่งก็สร้างมิติใหม่ ๆ น่าสนใจให้ภูมิหลังตัวละครมากขึ้นด้วย

นอกจากเนื้อหาที่รู้ ๆ กันดีแล้วอย่างการเป็นผู้นำชุมชนลุกขึ้นสู้กับอำนาจทรราชย์แล้ว หนังยังมีซับพล็อตเรื่องความรักสามเส้าเข้ามาอีก เมื่อหนึ่งในผู้นำกลุ่มต่อต้านนายอำเภอที่แสดงโดย เจมี่ ดอร์แนน จากหนัง Fifty Shades of Grey (2015) ก็ตกหลุมรักผู้หญิงคนเดียวกับโรบิน ฮูด โดยนางเอกของเรื่องก็ได้ อีฟ  ฮิวสัน ลูกสาวสุดสวยของ โบโน่ แห่งวง U2 มารับบทนำด้วย

ซึ่งหนังก็วางตัวละคร 3 เส้านี้ได้น่าสนใจสามารถเล่นเผื่อมีภาคต่อได้สบาย ๆ แถมทวีความเข้มข้นมากขึ้นด้วย เพราะดอร์แนนเป็นสายหลักการต่อสู้อย่างสันติ ในขณะที่โรบินเป็นสายก่อการร้าย ซึ่งขัดแย้งโดยหลักการกันเอง

สิ่งที่หนังทำได้น่าสนใจนอกจากการปรับลุคตัวละครให้มีความแตกต่างน่าสนใจจากฉบับเก่า ๆ และการปรับเมืองน็อตติ้งแฮมที่เป็นฉากหลังจากยุคกลาง มาสู่เมืองศูนย์กลางยุคอุตสาหกรรมของอังกฤษที่ดูทันสมัยและเสื่อมโทรมทางจริยธรรมไปพร้อมกันแล้ว หนังยังจริงจังมากกับการใส่ฉากแอ็กชั่นที่คิดมาแบบละเอียด

ทั้งการให้อีเกอร์ตันฝึกสตันท์การยิงธนูไวแบบโบราณที่ทำได้ถึง 3 ดอกในเวลา 2 วินาที การกระโจนตัวกลางอากาศยิงเป้าเคลื่อนที่ และท่าสตันท์กับการยิงธนูอีกหลายหลาก โดยได้โปรด้านธนูสไตล์โบราณเจ้าของสถิติโลกอย่าง สตีฟ ราล์ฟส และ ลาร์ส แอนเดอร์เซน มาฝึกโดยเฉพาะเพื่อให้ภาพที่มีความน่าสนใจและรู้สึกว่าธนูอาวุธคู่กายของโรบิน ฮูด นั้นทรงพลังมากที่สุดด้วย

ซึ่งนอกจากท่าทางแล้วหนังยังได้ครีเอทีฟอาวุธอย่าง ทิม ไวล์ดกูส  มาทำอาวุธจากพื้นฐานธนูให้ทรงพลังขึ้น ไม่ว่าจะเป็น หน้าไม้ที่ยิงได้ต่อเนื่องไม่ต่างจากปืนกล หรือ ปืนอาร์พีจีแบบยิงลูกธนู 30 ดอกพร้อมกัน เป็นต้น และอาวุธที่ใช้ในเรื่องทุกชิ้นสามารถใช้งานได้จริง ซึ่งทำให้เราได้เห็นความจริงจังในการสร้างฉากต่อสู้และสงครามที่น่าจดจำอย่างมาก

วิจาร์ณ

โดยในเรื่องนี้เขาได้เคลมมาว่าจะเป็นเรื่องราวสดใหม่ของโรบินฮู้ดที่ไม่เคยถูกเล่าที่ไหนมาก่อน ซึ่งเนื้อเรื่องมันก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไร เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับโรบินฮู้ดที่ไปร่วมรบในสงครามครูเสดเป็นเวลาหลายปี และกลับมาเพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้แก่ตนเองและบ้านเมือง จากเจ้าเมืองน็อตติ้งแฮม

บทและการดำเนินของเรื่องของเรื่องนี้เป็นเส้นตรงมาก และง่ายดายแบบสุดๆ ไม่ซับซ้อน ไม่วุ่นวาย ทุกอย่างถูกคลี่คลายลงง่ายมาก ความขัดแย้งของแต่ละตัวละครดูเปราะบาง ตัวละครแต่ละตัวดูไม่มีมิติ แบนๆ และเหตุผลในการกระทำหลายๆ อย่างไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย แต่...มันสนุกแหะ

สิ่งที่ชอบมากที่สุดในเรื่องนี้คือการแสดงของ Ben Mendelsohn ที่รับบทเป็นเจ้าเมืองแห่งน็อตติ้งแฮม น่าประทับใจโคตรๆ ดูร้ายจริง น่ากลัวจริง และดูเหมาะกับบทบาทนี้ชะมัด คือเฮียแกเกิดมาเพื่อเล่นบทร้ายชัดๆ ทั้งใน Rogue One, Ready Player One ต่างก็ทำได้ดีมากๆ แล้ว พอเห็นเฮียแกในเรื่องนี้ยิ่งน่าชื่นชมเข้าไปใหญ่ ส่วนทางด้านการแสดงของตัวละครอื่นๆ ยังอยู่ในระดับที่ดี อยู่ในระดับมาตรฐาน
ตามมาด้วยงานสร้างที่ยอดเยี่ยม ทั้งเอฟเฟคต่างๆ โดยเฉพาะฉากแต่ละฉาก ที่รังสรรค์เมืองน็อตติ้งแฮม ในยุคอุตสาหกรรม ออกมาสวยงามไม่ใช่เล่นเลยทีเดียว

และที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือฉากแอ็คชั่นบู๊สู้ด้วยธนูของ Taron Egerton ในบทของโรบินฮู้ด ที่เราดูแล้วมันทำให้เราเชื่อ และรับรู้ได้เลยว่า “เฮ้ย ไอ้นี่มันเก่งจริงว่ะ” เพราะเขาได้ฝึกฝนยิงธนูด้วยตัวเองจริงๆ แถมฉากแอ็คชั่นเหล่านั้น มันยังดูเท่ไม่ใช่เล่น กับการสโลว์ยิงลูกศรต่างๆ แต่ดูหนัง HDฉากการต่อสู้ของโรบินฮู้ดเท่ๆ ก็มีน้อยกว่าที่คาดหวังไว้พอสมควร และนอกเหนือจากการสู้ด้วยธนูแล้ว การต่อสู้ระยะประชิดอื่นๆ ก็ทำออกมาได้ไม่ดีสักเท่าไหร่

พูดถึงฉากแอ็คชั่น ก็ต้องพูดถึงฉากแอ็คชั่นในตอนใกล้จบของเรื่องที่เราได้เห็นในตัวอย่างหนัง ของการเผชิญหน้ากันระหว่างเหล่าทหารและกลุ่มกบฏ ซึ่งมันเปิดได้เท่ ยิ่งใหญ่ ดูอีปิกชะมัด มีการสโลว์โยนระเบิด แต่หลังจากนั้นมันก็กลายเป็นฉากธรรมดาๆ ที่มั่วซั่วชะมัด อีกทั้งในฉากเดียวกันนั้นมันจะมีจุดดราม่า ละครน้ำเน่าอยู่ ซึ่งส่วนตัวมองว่าไม่ควรด้วยประการทั้งปวง

รีวิว Robin Hood


มีอีกหลายฉากที่สงสัยเช่นกันว่า “เหล่าทหารมันไม่รู้ได้ไง ว่าโรบินฮู้ดกับลิตเติลจอห์นเป็นใคร” เพราะก็มีฉากที่ให้เห็นหน้าของทั้งสองคนอยู่ แล้วทั้งสองคนนั้นยังมาร่วมงานเลี้ยงกันอีก ทำไมเหล่าทหารไม่รู้!!! อีกทั้งหนังยังเสนอวลีหลัก “ปล้นคนรวยมาให้คนจน” ได้อย่างคลุมเคลือและหนังออนไลน์ยังไม่ค่อยชัดอีกด้วย…

แต่ถึงอย่างนั้นพอมันมารวมๆ กันแล้วมันก็ยังทำให้หนังเรื่องนี้สนุกอยู่ดี อาจจะเพราะด้วยความเรียบง่ายของหนัง ไม่ต้องคิดไรเยอะ ดูง่าย เข้าไปเสพแบบเพลินๆ สนุกๆ ได้สบาย (แต่ก็มีฉากโหดๆ ไม่เหมาะกับเด็กเช่นกัน) อยากรู้ต้องลองไปชมกันในโรงเลย

จุดเสีย

แต่ก็น่าเสียดายว่าหนังโชว์ของในส่วนนี้จริงจังแค่ฉากสงครามครูเสดที่เป็นตอนเปิดเรื่อง ที่ใส่มาบรรยากาศเหมือนสงครามอิรักเลย ไอเดียบรรเจิดมาก! แต่พอเข้าน็อตติ้งแฮมไอเดียอาวุธกลับกลายเป็นของโบราณธรรมดาไปเฉยเลย ยังดีว่าท่วงท่าการยิงกับความรุนแรงปานปืนกลยังดึงความสนใจได้ดีอยู่
จะว่าไปหนังก็ดีไปหมด ทั้งวิสัยทัศน์ใหม่ ๆ ลูกเล่นเพียบ ตัวละครมีมิติ การเล่าเรื่องฉับไว สนุกสนาน มีขำเป็นระยะ แต่หนังก็มาพลาดกับเรื่องบทที่ไม่น่าจะมีอะไรยุ่งยากเลยเพราะโครงเรื่องเดิมแข็งแกร่ง คนเข้าใจง่ายอยู่แล้ว ทว่าการใส่แรงจูงใจของตัวละครแต่ละตัวดันมักง่ายและไม่ค่อยน่าเชื่อเลย ทั้งจอห์น อดีตแขกอาหรับที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาสอนให้โรบินเพียงเพราะโรบินดูเป็นคนดีในสงคราม

และจอห์นอยากเปลี่ยนแปลงโลกที่ทุนเป็นใหญ่ คือทำไมเอ็งไม่กลับไปทำที่บ้านเกิดฟระ???? หรือตัวละครโรบินเองก็เถอะแรงจูงใจสะเปะสะปะมั่วซั่วไปหมด ทั้งอยากแก้แค้นนายอำเภอที่แย่งชิงชีวิตสุขสบายของเขาไป อยากทำลายระบบรัฐฉ้อฉล ถูกบังคับโดยจอห์น

แต่แรงจูงใจที่ดันชัดสุดนั้นกลับเป็นแรงจูงใจที่อยากเอาใจสาวแค่นั้นเอง คือสาวมีอุดมการณ์อยากช่วยคน โรบินก็ช่วยคน สาวอยากแจกจ่ายเงินให้คนจน โรบินก็เอาเงินไปแจกคนจน และอีกสารพัด สรุปเป็นคนดีเพราะเมียนี่เอง ฮ่วย!!

Bloodshot

ดูหนัง HD

รีวิว Bloodshot - จักรกลเลือดดุ

Bloodshot - จักรกลเลือดดุ หนังแนว Anti-Heroes คนใหม่จากค่าย Valiant Comics ที่เคยตั้งตนว่าจะเป็นตัวเปิดจักรวาล Valiant Universe เหมือนพวกค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง Marvel หรือ DC แต่เรื่องอื่นๆ ของ Valiant ก็ถูก Paramount ซื้อไปเหลือทิ้งไว้แค่ Bloodshot เนี่ยแหละ แต่ถึงกระนั้นก็ตามมันก็ออกมาเป็นหนังให้เราได้ดูกัน ซึ่งมันคืองานกำกับหนังใหญ่ครั้งแรกของ Dave Wilson แต่เจ้าตัวเคยกำกับหนึ่งตอนของซีรีส์ Love, Death & Robots ทาง Netflix มาแล้ว รีวิว Bloodshot

เรื่องย่อ

เรื่องราวของ เรย์ แกร์ริสัน (รับบทโดย วิน ดีเซล) ชายผู้กลายเป็นเครื่องจักรสังหารทำภารกิจเสี่ยงตายตามคำสั่งขององค์กร ความทรงจำของเขาได้หายไป สิ่งเดียวที่เขารู้คือเขาต้องทำภารกิจช่วยเหลือคนรักของเขา และเขาไม่ใช่เพียงแค่คนธรรมดาเพราะภายในเลือดของเขาได้มีหุ่นขนาดเล็กที่เรียกว่า นาไนต์ ที่จะช่วยให้เขามีพลังเหนือมนุษย์ธรรมดาและมีพลังในการเยียวยารักษาสูง แทบพูดได้เลยว่าเขานั้นเหมือนจะเป็นเครื่องจักรสังหารอมตะ เป็นแฟรงค์เกนสไตน์ในยุคปัจจุบัน แต่แล้วเมื่อวันหนึ่งความผิดปกติบางอย่างมันก็ทำให้เขารู้ว่า เขากำลังถูกองค์กรนี้หลอกใช้ และคอยลบความทรงจำ หลอกลวงเขาให้ทำภารกิจเสี่ยงตายเพื่อผลประโยชน์ขององค์กรอยู่เสมอ

เอาจริงว่าด้วยตัวพลอตของตัวคอมิกนั้นก็ให้อารมณ์ ผสมระหว่าง Captain America (ทหารที่ถูกทดลองซูเปอร์โซลเยอร์ในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2) Winter Soldier (ถูกลบความทรงจำและสร้างความทรงจำปลอมเพื่อให้ปฏิบัติภารกิจให้องค์กร) Wolverine (พลังในการฟื้นฟูร่างกายแบบเหนือโลก) Iron Man (ดีไซน์ศูนย์รวมพลังงานเป็นวงกลมอยู่ที่หน้าอก)

แต่ก็ต้องชื่นชมว่าพอเอามาทำหนังก็ให้อารมณืผสมผสานหลากหลายฮีโรแต่ก็เอามาเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองได้เหมือนกัน ทั้งภาพการฟื้นตัวที่โคตรเท่แบบเซลล์ค่อย ๆ ประสานกลับมาเหมือนรีเวิร์ส หรือพวกดีไซน์ของพวกอุปกรณ์ต่าง ๆ ก็ไฮเทคไม่แพ้พวก GI Jo ยิ่งรองบอสตอนเสริมพลังแล้วนี่ให้อารมณ์แบบ ด็อกเตอร์ออกโตปุส ใน Spider-Man 2 เลย จะบอกลอกการบ้านชาวบ้านมาทำก็ไม่เชิง น่าจะเรียกว่าการทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องแล้วเขียนตำราตัวเองมากกว่า

สิ่งที่ดีงาม

คืองาน ซีจี ที่เจ้าพ่อกราฟิกอย่างผู้กำกับ เดฟ วิลสัน ดูแลออกมาได้สมความคาดหวัง สวย เนี้ยบ และกล้าเล่นใหญ่ ตัวนักแสดงไล่ไปอย่าง วิน ดีเซล ก็จะเรียกแสดงดีไหมก็เรียกว่าแสดงเป็นตัวเองตามแบบมาตรฐานมากกว่า ถ้าตัดพลังพิเศษออกพี่แกก็เป็นดอมในหนังรถแข่ง ริดดิกในหนังอวกาศ สายลับในหนัง xXx

ดีนะถ้าแกพากย์กรูทให้เป็นวิน ดีเซล ด้วยคงเทพสุดแล้วล่ะ ก็เลยไม่มีอะไรต้องวิจารณืใครชอบสไตล์นิ่งดุ มีซีนอบอุ่นแบบขรึม ๆ ก็น่าจะชอบการแสดงของแก ส่วนตัวร้ายหลักอย่าง กาย เพียส ที่มาเล่นหนังเกี่ยวกับความทรงจำก็ชวนให้นึกถึงหนัง Memento ของโนแลน ที่แกเคยเล่นไว้เหมือนกัน

ชอบตรงบางฉากแกทำให้เราหวั่นไหวได้เหมือนกันนะว่าหรือแกไม่ใช่ตัวร้ายหว่า คือดูมีมิติที่ห่วงพระเอกจริง ๆ ซึ่งก็อีกตัวที่ทำให้รู้สึกแบบนี้ได้คือรองบอสที่ได้ แซม ฮิวจ์แอน  มาเล่น มีฉากหนึ่งที่รู้สึกว่าจริง ๆ เขาเข้าใจพระเอกดีเลยโกรธพระเอกมากที่ยังเป็นทาสขององค์กรอยู่ นักแสดงอีกคนที่อยากพูดถึงคือ ไอซา กอนซาเลส เพราะการมีอยู่ของเธอมันทำให้หนังสดใสดีจริง ๆ ส่วนตัวละครที่อาจต้องปรับหน่อยในอนาคตคือ วิแกนส์ โปรแกรมเมอร์ช่างจ้อจิตเหงาที่บทยังล้น ๆ อยู่มาก

เมื่อพิจารณาจากองค์ประกอบโดยรวมของ Bloodshot แล้ว เราจะพบว่ามันอยู่ในกลุ่ม หนังอารัมภบทของตัวละครซูเปอร์ฮีโร่ ที่มีความน่าสนใจ ประกอบกับตัวละครนี้ยังมีปูมหลังของตัวเองที่เป็นแรงขับเคลื่อนพฤติกรรมให้เขาเลือกจะออกปฏิบัติการเพื่อ “ล้างแค้น” ให้กับคนรักที่ถูกฆ่าตายไป

ไม่เพียงเท่านั้นตัวละครบลัดช็อตยังมีความคล้ายคลึงกับซูเปอร์ฮีโร่จากมาร์เวล อย่างไอรอนแมน ที่ต้องใช้สิ่งประดิษฐ์ทางเทคโนโลยีเพื่อกอบกู้ชีวิตของตัวเองให้กลับมามีลมหายใจอีกครั้ง แตกต่างแค่เพียงฐานะและหน้าตาทางสังคม ซึ่งบลัดช็อตดูเป็นรองกว่าหลายสิบเท่าตัว

หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับนายทหารคนหนึ่งที่ทำหน้าที่ปฏิบัติภารกิจบางอย่าง แต่แล้วก็พลาดท่าเสียทีโดนฆ่าเสียชีวิต และทาง RST ก็ได้นำร่างเขามาชุบชีวิตใหม่ด้วยเทคโนโลยีหุ่นยนต์จิ๋วสุดล้ำ Nanites เปรียบดั่งเลือดของเขา ที่ทำให้เขามีพละกำลังที่แข็งแกร่งขึ้น และที่สำคัญมีพลังในการรักษาขั้นสูง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นพระเอกก็รู้ตัวว่าเขากำลังโดนทาง RST หลอกให้ปฏิบัติภารกิจต่างๆ ด้วยการป้อนความทรงจำเป้าหมายที่ต้องการให้ฆ่า แต่งเรื่องราวลงไปในหัวของนายทหารคนนี้ เขาจึงหาทางออกมาทวงแค้น

หนังแสดงนำโดย Vin Diesel ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่านะ คาแรคเตอร์ก็เหมือน Dom Toretto นั่นแหละ เพียงแต่อยู่ในคราบของยอดมนุษย์อะไรทำนองนั้น (เอาจริงๆ Vin Diesel ไม่ว่าจะเล่นหนังเรื่องไหนก็เหมือนกันหมดทุกเรื่องแหละ 555) ส่วนตัวประกอบคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น Eiza González, Sam Heughan, Guy Pearce ก็ไม่ได้โดดเด่นหรือน่าจดจำแต่อย่างใด บทไม่มีอะไรเลยด้วยซ้ำ ตัวประกอบจริงๆ รายขอ Eiza González ออกมาให้กระชุ่มกระชวยหัวใจแค่นั้นแหละ

เนื้อเรื่องในเรื่องนี้เหมือนตัวอย่างเลย ไม่มีเซอร์ไพรส์ ไม่เกินคาดเดา ไม่มีอะไรเลยจริงๆ คือด้วยความที่เราเห็นและรับรู้เรื่องราวจากในตัวอย่างหมดแล้ว มันจึงไม่มีอะไรช่วยดึงให้เราอยู่กับหนังสักเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นเราจึงไปคาดหวังกับฉากแอ็คชั่น ความดุของ Anti-Heroes ตัวนี้แทน

ข้อเสีย

ที่ชัด ๆ ของหนังก็คงเป็นความซับซ้อนในที่มาที่ไปของตัวเอกที่ต้องอาศัยเวลาปูพื้นสักพัก และจุดหักมุมในระยะแรกเรื่องพระเอกถูกลบและสร้างความทรงจำปลอมเพื่อหลอกใช้ก็ถูกเรื่องย่อสปอยล์ไปหมดละตั้งแต่ก่อนดูหนัง เลยขาดความว้าวของพลอตช่วงต้นไปหน่อย พอดูหนัง HDยิ่งหนังมีรูรั่วในบทที่ขัดความรู้สึกว่าพลังระดับซูเปอร์ฮีโรนี่คนทั้งโลกไม่รู้เรื่องเลย
เป็นความขัดแย้งในองค์กรหนึ่งเท่านั้นมันเลยขาดความยิ่งใหญ่ไปหน่อย ซึ่งก็สะท้อนมาด้วยฉากแอ็กชันทั้งหลายที่ไปไม่ค่อยสุด มาก็ไม่ได้เยอะอย่างที่หนังแนวนี้ควรอัดใส่ไม่ยั้งมีฉากโชว์ใหญ่ ๆ สักหลายฉากหน่อย แต่นี่นับ ๆ ไปก็มีฉากซัดจริงจังสัก 3 ฉาก และเป็นฉากที่ติดตาจริง ๆ แค่ฉากลิฟต์ร่วงตอนท้ายเท่านั้นเอง

รีวิว Bloodshot

ก็ต้องยอมรับล่ะว่าด้วยความเป็นหนังภาคแรกเลยต้องแบ่งที่ให้การเล่าเรื่องเยอะหน่อย ก็เป็นความน่าเสียดาย แต่อีกใจก็เห็นแววเลยว่าถ้ามีภาคต่อได้ จะเป็นหนังถ่ายทอดสดระเบิดระเบ้อไม่แพ้หนังรถแข่งของวิน ดีเซล แน่ ๆ เป็นแฟรนไชส์ที่มีอนาคตพอสมควรเลยล่ะ และที่สำคัญหนังน่าจะโหดเอาเรต R ได้เลยแต่ก็เหมือนยั้ง ๆ ไว้พอควร น่าจะลองคิดเล่นกลุ่มผู้ใหญ่ไปเลยอาจดีกว่า

แต่ก็ผิดหวังอีกเช่นเคย เพราะฉากแอ็คชั่นก็ไม่ได้ว้าว ไม่ได้สนุกอะไรเลย มันดาดๆ และธรรมดามาก ไอ้ที่พอจะเท่ก็เห็นในตัวอย่างหมดแล้ว มันจึงไม่เหลือส่วนให้เพลิน ให้ตื่นเต้นสักเท่าไหร่ แถมความแค้น ความเดือด ความดุ มันยังไม่มากพอที่จะทำให้มันสนุกได้

สรุป

แม้ว่าหนังจะดูอุบความลับบางอย่างของตัวละครบลัดช็อต แต่ก็ไม่มีอะไรเหนือความคาดหมายของผู้ชมนัก ประกอบกับช่วงแรกของหนังก็จัดได้ว่าเนือยจนน่าหลับ แต่ก็มีการแทรกสอดฉากแอ็คชั่นเข้ามาเป็นระยะให้ผู้ชมไม่วูบไปคาเบาะ ส่วนไคลแมกซ์การต่อสู้ในช่วงท้ายเรื่อง ไม่ได้เป็นฉากยิ่งใหญ่มากมาย
ซึ่งเป็นเหมือนการปูทางไปสู่ภาคต่อที่อาจจะตามมาในอนาคต แต่คงไม่ใช่ในเร็ววันนี้ เนื่องจากสถานการณ์โรคระบาดและรายได้หนังที่ดูยังไงก็คงเป็นเรื่องยาก

ก็เป็นหนังที่น่าจะเหมาะคนชอบอะไรที่ไฮเทค ไซไฟ ซีจี แบบนั้น แอ็กชันก็มี ตลกก็แซม ๆ พลอตหักมุมก็ได้ การแสดงจัดว่าโอเคกับหนังแนวนี้ ก็เป็นหนังที่ดูได้เรื่องหนึ่งเลยสำหรับสายซูเปอร์ฮีโร และขอเชียร์ให้มีภาคต่อเพราะเห็นแววความวินาศสันตะโรได้สนั่นโลกาแน่ ๆ

Onward

ดูหนัง

รีวิว Onward - คู่ซ่าล่ามนต์มหัศจรรย์

นี่คือหนังอนิเมชั่นเรื่องใหม่จาก Pixar ที่ได้ดาราชั้นนำคู่หูคู่กัดแห่ง MCU มาให้เสียงพากย์ อย่าง Chris Pratt และ Tom Holland ซึ่งเอาเข้าจริงๆ มันดีเลยนะกับการพากย์ของสองคนนี้ เพราะมันดูเข้ากั๊นเข้ากัน นอกจอสองคนนี้ก็สนิทกันมากๆ อยู่แล้ว พอมาพากย์ร่วมกันมันเลยดูเชื่อจริงๆ ว่าสองคนนี้รักกัน เหมือนเป็นพี่น้องกัน การแสดงอารมณ์ทางเสียงทำได้ดีจริงๆ คือดูไปดูมานึกภาพของสองคนนั้นออกเลย เป็นภาพมาซ้อนทับตัวละครเลยทีเดียว เอาจริงๆ ตัวละครที่ Tom Holland พากย์เสียงหน้าก็แอบเหมือนเจ้าตัวอยู่นะ 555 รีวิว Onward

เรื่องย่อ

Onward - คู่ซ่าล่ามนต์มหัศจรรย์เป็นเรื่องราวที่ถูกเซ็ตขึ้นมาใหม่ด้วยความแฟนตาซี เป็นโลกที่มีหลายเผ่าพันธุ์รวมกัน (ยกเว้นมนุษย์) โลกที่เต็มไปด้วยสัตว์ในจินตนาการ เซนทอร์ ยูนิคอร์น เอลฟ์ และอื่นๆ อีกมากมาย แถมยังมีเวทมนต์ด้วย แต่นับวันโลกใบนี้ก็ประดิษฐ์สิ่งต่างๆ ขึ้นมาจนเวทมนต์เลือนหายไป แต่แล้วครอบครัวเอลฟ์ครอบครัวหนึ่งก็ได้รับมรดกตกทอดมาจากผู้เป็นพ่อที่เสียไปแล้ว คือไม้กายสิทธิ์และมนต์คาถาที่สามารถเสกให้พ่อของพวกเขากลับมาได้แต่มีข้อแม้คืออยู่ได้แค่ 1 วัน แต่มันเกิดข้อผิดพลาดทำให้ตัวพ่อกลับมาได้แค่ครึ่งล่างเท่านั้น ทำให้สองพี่น้องครอบครัวเอลฟ์ต้องออกเดินทาง ผจญภัย ตามหาเวทมนต์ที่ยังเหลืออยู่เพื่อนำพ่อเขากลับมาให้ทันเวลา

Onward งานสตูดิโอแอนิเมชันในจักรวาลของ Walt Disney Pictures และ Pixar Animation Studio โดยถือเป็นงานแอนิเมชันชิ้นใหม่ของ Pixar ในยุคหลัง John Lasseter ผู้ก่อตั้งรุ่นบุกเบิกอย่างเต็มตัว โดยได้ Dan Scanlon จาก Monsters University มานั่งแท่นกำกับ พร้อมกับ 2ดาราจักรวาลมาร์เวลอย่าง ทอม ฮอลแลนด์ (Tom Holland) และ คริส แพรตต์ (Chris Patt) มารับบทพากย์เสียงในตัวละครหลักของแอนิเมชันเรื่องนี้ด้วย

Onward เป็นดินแดนของโลกจินตนาการที่มีทั้งชาวเอลฟ์ โทรลล์ และเทวดาอาศัยอยู่ โดยในอดีตของดินแดนแห่งนี้ เป็นดินแดนที่ ‘เวทมนตร์’ นั้นมีอยู่จริงและเป็นสิ่งมหัศจรรย์ในอดีต แต่ด้วยวันเวลาที่เปลี่ยนไป ดินแดนแห่งนี้ก็ถูกทดแทนด้วยเทคโนโลยีทันสมัย ซึ่งทำให้เวทมนตร์ค่อย ๆ เสื่อมความนิยมลงไปเรื่อย ๆ ซึ่งขนาดที่ว่าสัตว์ชั้นสูงในจินตนาการที่เคยโลดแล่นสง่างามอย่าง ม้ายูนิคอร์น ก็กลายมาเป็นสัตว์บ้าน ๆ ที่ออกมาคุ้ยกองขยะหาของกิน หรืออยู่ตามท่อซะงั้น (ฮา)

อย่างไรก็ตามการผจญภัยครั้งใหม่เริ่มต้นอีกครั้งในครอบครัวตระกูลเอลฟ์ครอบครัวหนึ่ง ซึ่งเรื่องเริ่มจากคุณแม่ ลอว์เรล ได้มอบได้ของขวัญวันเกิดครบรอบ 16 ปีให้กับ เอียน ลูกชาย ซึ่งมันคือ ‘ไม้เท้าพ่อมด’ ที่พ่อผู้ล่วงลับของพวกเขาทิ้งเอาไว้ให้ แต่แล้วทั้งเอียน (ทอม ฮอลแลนด์) และบาร์ลีย์ (คริส แพรตต์) พี่ชาย

ก็ได้พบข้อความในกระดาษแผ่นหนึ่งที่มากับไม้เท้า เป็นการบอกวิธีการใช้มนต์วิเศษที่จะทำให้พ่อของพวกเขาคืนชีพกลับมาแบบตัวเป็น ๆ ได้หนึ่งวันเต็ม ๆ แต่หลังจากที่ร่ายมนต์ไปแล้ว กลับกลายเป็นว่าพ่อของพวกเขาปรากฏตัวออกมาแต่ท่อนล่าง! นั่นทำให้ เอียน และ บาร์ลีย์ ต้องออกตามหาจิ๊กซอว์ที่เหลือในการจะทำให้เวทมนตร์นี้สมบูรณ์แบบเพื่อให้พ่อของพวกเขากลับมาจริง ๆ

ตลอดทั้งเรื่องเราจะได้เห็น message เรื่องความสัมพันธ์ครอบครัวผ่านการผจญภัยและแก้ปัญหาเบี้ยบ้ายรายทางแบบ road movie ซึ่งในช่วงแรก ๆ ของการปูแบ็กกราวนด์ครอบครัว ‘ไลท์ฟุต’ นี้นั้นอาจจะจืดชืดไปนิด แต่เมื่อหนังพาเราไปสัมผัสด้านต่าง ๆ ของตัวละครมากขึ้น โดยเฉพาะพี่น้อง เอียน และ บาร์ลีย์ จะยิ่งเห็นมิติของตัวละครสองตัวนี้ลึกลงไปเรื่อย ๆ จนรู้สึกเซอร์ไพรส์ ซึ่งหลังจากนั้นทุกอย่างก็ไหลลื่นและดูสนุกขึ้นเยอะจนนึกว่าเป็นหนังคนละเรื่อง (ฮา)

Onward ในสไตล์ของ Pixar ที่ปรากฏในยุค 2020 นี้นอกจากจะไม่ใช่หนังการ์ตูนแฟนตาซีขายฝันจ๋าแล้ว ยังคงเอกลักษณ์เรื่องการจับประเด็นที่ซึมลึกไปถึงผู้ใหญ่ที่เข้มข้นกินใจ บนโลกยุค 4.0 ที่พ่อมดก็ต้องปรับตัว และเพื่อสานต่อเจตนารมณ์ของ Disney เอง เราก็จะได้เห็นตัวการ์ตูน LGBTQ ด้วยในเรื่อง

วิจาร์ณ

นี้เป็นอีกเรื่องของ Pixar ที่จะทำให้คนดูต้องหลงรักไปกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน การเล่าเรื่องนำเสนอ ทำได้ไหลลื่นอย่างมากและตัดต่อได้อย่างสวยงาม เพียงแค่ในช่วงแรกอาจจะมีความเนือย ๆ ไปบ้างในการแนะนำตัวละครแต่ละคน และแนะนำวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของเหล่าเอลฟ์ที่อยู่ในภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่หลังดูหนังจากออกเดินทาง ความสนุกมันก็เพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ จนเรารู้สึกมีอินไปกับเรื่องนี้ไปซะแล้ว การผจญภัยระหว่างเอียนและบารเลย์ที่ช่วงแรกเต็มไปด้วยความไม่ลงรอยระหว่างสองพี่น้อง แต่พอเจออันตรายข้างหน้า มันกลับทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองเหนี่ยวแน่นมากขึ้น

รีวิว Onward

สิ่งที่ชอบ

คือ วิธีเล่า ที่มันพรั่งพรูเมจเซจเชิงบวกหลายอย่างเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง มิตรภาพ ความเข้าใจตัวตนของกันและกัน การเรียนรู้และการให้อภัย และการใช้เวลาทุกนาทีกับครอบครัวและคนรักให้มีคุณค่ามากที่สุด ซึ่งโปรแกรมหนังในช่วงท้ายนั้นต้องบอกว่าหนังชวนบีบน้ำตากันเหลือเกิน

ด้านภาพนี้คงไม่ต้องพูดอะไรมากเพราะนี้คือ Pixar สตูดิโอแอนิเมชั่นชั้นนำของโลกที่ใส่ใจทุกรายละเอียดในผลงาน เราจะได้เห็นแม้แต่รอยเส้นใยบนเสื้อผ้าที่เป็นเส้น ๆ เลยก็ว่าได้ ขนาดรอยลากปากกายังมีรอยความเข้มจางของหมึกที่ซึมไปผ่านกระดาษ มันเป็นการทำแอนิเมชั่นที่งามมาก

การพากย์ของ Tom Holland และ Chris Pratt นี้เข้ากับตัวละครมากในธีมความเป็นพี่น้อง นั่งดูไปแล้วก็อินตาม และก่อนที่ทั้งสองจะมาพากย์เรื่องนี้ความสัมพันธ์ของ Tom Holland และ Chris Pratt เป็นพี่น้องในวงการกันอยู่แล้ว ถึงขนาด Tom Holland เคยให้สัมภาษณ์ว่าเคยสปอยบทหนัง Jurrasic World 2 ให้กับคริสเลยทีเดียว 5555

ซึ่งแม้ว่า Onward อาจไม่ได้มีเส้นเรื่องที่หวือหวา หรือขยี้น้ำตาให้ไหลเป็นก๊อกแบบ Coco แต่ทุกอย่างมันกลับลงตัวและกลมกล่อมกำลังดีมาก หากไม่สนใจถึงความเนือยของหนังในช่วงแรกแล้ว Onward เป็นหนึ่งในหนังแอนิเมชันที่น่าจดจำอีกเรื่องของปีเลย

โดยรวม ๆ คู่ซ่าล่ามนต์มหัศจรรย์ เป็นอีกเรื่องของ Pixar ในปีนี้จะทำให้หัวใจของเราพองโตกันอีกครั้งในธีมของโลกแฟนตาซีในยุคปัจจุบัน มีครบทุกรสชาติ ไม่ว่าจะ อบอุ่น เศร้า ตลก และถ้าไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ เรื่องนี้มีโอกาสได้รับเข้าชิงออสการ์สาขา แอนิเมชั่นยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน

สรุป

Pixar ยังคงท็อปฟอร์มในปีนี้อีกเช่นเคย เป็นแอนิเมชั่นที่สมควรได้รับการเสนอเข้าชิงออสการ์สาขาแอนิเมชั่นในปีนี้อย่างแน่นอน ด้วยการเล่าเรื่องที่ไหลลื่นและเนื้อเรื่องที่น่าติดตามเป็นอย่างมาก

The Invisible Man

ดูหนัง

รีวิว The Invisible Man - มนุษย์ล่องหน

The Invisible Man - มนุษย์ล่องหน เป็นหนังที่แต่แรกเดิมทีจะถูกนำไปเข้าร่วมกับจักรวาล Dark Universe ที่เปิดโดย The Mummy (2017) แถมตอนแรกผู้ที่เป็นตัวเต็งจะมารับบทมนุษย์ล่องหนคือ Johnny Depp อีกต่างหาก แต่แล้วฝันนั้นก็สลายไปในพริบตา เพราะแค่ตัวเปิดจักรวาลก็ทำได้น่าผิดหวังพอสมควร รีวิว The Invisible Man

เรื่องย่อ

เรื่องราวบอกเล่าถึงความสัมพันธ์ของชายหญิงคู่นึง แต่ฝ่ายชายเริ่มกระทำรุนแรงกับฝ่ายหญิง ทำให้เธอหนีออกมา แต่ไม่นานแฟนของเธอก็เสียชีวิตลง แต่เธอคิดว่าเรื่องราวเหล่านั้นมันคือการจัดฉาก และเธอกำลังถูกไล่ล่าจากสิ่งที่มองไม่เห็น!

สนุกมากกก สมควรกับคะแนน Rottentomatoes ที่ 91% หนังสร้าความตึงเครียดได้ตั้งแต่นาทีแรกยันจบ มีให้พักหายใจได้แต่ละช่วงไม่กี่นาที ดูแล้วก็ชวนให้นึกว่า “มนุษย์ล่องหน” นี่มีคุณสมบัติที่จะเป็นตัวร้ายในหนังสยองขวัญแบบนี้มากกว่า ที่จะถูกเล่าในภาพลักษณ์พระเอกอย่างใน Hollow Man (2000)
หนังถูกเล่าผ่านตัวนางเอก ซีซิเลีย แคสส์ ภรรยาของ เอเดรียน กริฟฟิน นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังทางด้านการมองเห็น เริ่มเรื่องมาก็เป็นฉากที่ซีซิเลียกำลังหนีออกจากบ้านหรูหลังมหึมาที่ตั้งอยู่ริมหน้าผา หนังไม่ได้ปูพื้นมาว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นอย่างไร แต่สื่อผ่านทีท่าที่ซีซิเลียหวาดกลัวสามีของเธออย่างสุดขีด

ให้คนดูตีความกันเอาเอง ก็เป็นฉากลุ้นยาว ๆ ให้ต้องเอาใจช่วยกันตั้งแต่เปิดเรื่อง หลังเธอหนีพ้นมาได้ไม่นาน เอเดรียนก็ฆ่าตัวตายกลายเป็นข่าวใหญ่ ที่น่าสงสัยก็คือเอเดรียนทำพินัยกรรมมอบมรดกมูลค่ามหาศาลทั้งหมดให้กับซีซิเลีย ระหว่างที่ซีซิเลียสงสัยว่าการตายของเอเดรียนต้องมีเงื่อนงำแอบแฝงบางอย่างเพราะเธอรู้จักธาตุแท้ของสามีเธอเองเป็นอย่างดี ไม่นานจากนั้นซีซิเลียก็เริ่มสัมผัสได้ว่า มีใครเฝ้ามองและคอยติดตามเธอแต่เธอมองไม่เห็น

เห็นได้ชัดว่าฝีมือการกำกับของ ลีห์ แวนเนล ก้าวกระโดดจากเรื่อง Insidious: Chapter 3 อย่างมาก ขอย้อนความสักนิดสำหรับคนที่ไม่รู้จักชื่อ ลีห์ แวนเนล เขาผู้นี้คือเพื่อนสนิทของ เจมส์ วาน เขาเป็นคนเขียนบทและแสดงนำเรื่อง Saw ภาคแรก หนังที่แจ้งเกิดให้เจมส์ วาน กลายเป็นผู้กำกับชื่อดังแบบฉุดไม่อยู่ไปแล้ววันนี้

ส่วนลีห์ ก็ยังกระเตาะกระแตะ เขียนบทหนังไปเรื่อย เขาเขียนบท Saw ไปจนถึงภาค 3 และ Insidious ทุกภาค จนเริ่มมาลองจับงานกำกับครั้งแรกใน Insidious: Chapter 3 เรื่องถัดมาคือ The Upgrade ปี 2018 ถ้าใครหามาดูได้แนะนำเลย หนังสนุกมาก จนล่าสุดก็คือ The Invisible Man นี่ล่ะ ที่ฝีมือของลีห์ ก้าวกระโดดและฉายแสงว่าฝีมือเขาไม่น้อยหน้าเพื่อนสนิทล่ะ แล้วในฐานะที่เป็นผู้กำกับที่เขียนบทเอง ยิ่งจะได้เปรียบด้วยเพราะจะรู้ลึกว่าแต่ละฉากควรจะถ่ายทอดภาพออกมาอย่างไร โดยไม่ต้องอธิบาย

แล้ว The Invisible Man ของลีห์ ก็สามารถทำให้ มนุษย์ล่องหน นั้นออกมาได้น่ากลัวอย่างกับปีศาจร้ายตัวหนึ่งเลยเชียว ชอบมากกับการเล่นกับการคาดเดาคนดู บ่อยครั้งที่ลีห์เลือกแช่กล้องนิ่ง ๆ แล้วปล่อยให้นักแสดงเดินไปมา ด้วยการรับรู้ของคนดูว่า มนุษย์ล่องหนอาจะแอบอยู่ในฉากนั้น ก็ยิ่งต้องจ้องว่าจะมีอะไรขยับเขยื้อนไหม จ้องไปก็ลุ้นไปว่าจะมีอะไรโผล่มาให้ตกใจไหม หนังค่อนข้างเงียบมาก ยิ่งเพิ่มความกดดัน ใช้ดนตรีประกอบน้อยมาก แล้วทุกครั้งที่ใช้ก็ได้ประโยชน์อย่างคุ้มค่าจริง

ก่อนที่จะดูรู้สึกขัดกับภาพลักษณ์ของ เอลิซาเบ็ธ มอส อย่างมาก เป็นนางเอกที่ไม่ได้มีชื่อเสียงมากมายนักและไม่ได้มีเสน่ห์ดึงดูดเลย แต่ก็ถูกนำมาใช้เป็นชื่อขายปะหัวหนังเลยด้วยซ้ำ แต่พอได้ดู ก็ต้องชื่นชมเธอจริง ๆ ด้วยเอกลักษณ์ที่เป็นสาวตาโต กับบทที่ต้องเล่นคนเดียวบ่อยครั้ง

ยิ่งจำเป็นที่เธอต้องสื่อความรู้สึกอย่างมากผ่านสายตาและสีหน้า มีอยู่ฉากหนึ่งที่เธออยู่คนเดียวแล้วพูดความในใจกับสามีที่เป็นมนุษย์ล่องหน เป็นฉากยาวที่เธอเริ่มพูดจากสีหน้าธรรมดา จากนั้นก็เริ่มระบายความรู้สึกคั่งแค้นที่เก็บกดไว้ในใจ แล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไปตามระดับอารมณ์ เป็นสีหน้าของหญิงที่ผ่านความระทมทุกข์น้ำตาไหลพราก เป็นฉากที่โชว์ฝีมือการแสดงให้เห็นจริง เธอคนเดียวเอาหนังได้อยู่จริง ชื่นชมครับ

แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ความดีความชอบส่วนใหญ่ต้องเทไปที่บทของลีห์ แวนเนล ที่เล่าเรื่องราวได้ระทึกตลอด 2 ชั่วโมงของหนัง แค่เปิดฉากมาก็โยนปริศนาโครมใหญ่ใส่คนดูแล้ว เอเดรียน กริฟฟิน มีจุดประสงค์อะไร, เขากลายเป็นมนุษย์ล่องหนได้อย่างไร, แล้วเอเดรียนที่เป็นศพจากการกรีดข้อมือตัวเอง มามีตัวตนในร่างมนุษย์ล่องหนได้อย่างไร

หนังค่อย ๆ คลี่คลายไปทีละเปลาะ พร้อมทั้งหยอดปริศนาเล็ก ๆ น้อย ๆ เข้ามาใหม่ตลอดทาง แถมมีหักมุมในช่วงท้าย หนังสร้างบรรยากาศอึมครึม กดดันได้ทั้งเรื่อง และที่สำคัญฉีกออกจากสูตรสำเร็จของหนังสยองขวัญได้ ด้วยการไม่เน้นตุ้งแช่ และไม่มีฉากแหวะ

ลีห์ แวนเนล ดูสนุกกับการเล่นกับการคาดเดาของคนดู ให้ลุ้นเอาเองว่ามนุษย์ล่องหนจะโผล่มาตอนไหน ฉากไหน ที่ชอบอีกอย่างคือการปรับบทให้เข้ากับยุคสมัย รอบนี้มนุษย์ล่องหนหายตัวได้ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ที่ดูเป็นไปได้จริงกว่าการทำร่างกายตัวเองให้โปร่งแสงในเวอร์ชันก่อน ๆ

แต่ก็มีบางจุดที่ชวนขัดใจ แล้วก็ชวนให้รู้สึกเสียดายที่ลีห์ ยอมปล่อยให้หนังมีช่องโหว่มากมายเสียเหลือเกินไม่เช่นนั้นหนังจะสมบูรณ์กว่านี้มาก ยิ่งถ้าหนังได้เวลาเพิ่มมาสัก 10 นาที ให้คนดูได้เห็นความโหดร้ายของ เอเดรียน กริฟฟิน ว่าเขาทำอะไรกับ ซีซิเลีย ไว้บ้าง

การมาถึงของเอเดรียน ในร่างมนุษย์ล่องหน จะชวนระทึกกว่านี้มาก ยิ่งได้ โอลิเวอร์ แจ็กสัน-โคเฮ็น มารับบทเอเดรียน แม้มีเวลาบนจอไม่กี่นาที โอลิเวอร์ก็ฉายแววโรคจิตให้สัมผัสได้จริง แต่ดูหนังโดยรวมแล้วหนังก็สร้างสมคะแนนทางด้านบวกไว้มาก ทำให้ช่องโหว่เหล่านี้ไม่ฉุดคะแนนลงไปมากนัก
หนังใช้ทุนสร้างไปจุ๋มจิ๋มมากแค่ 7 ล้านเหรียญ ลงทุนกับฉากซีจีนิด ๆ หน่อย ๆ ใช้ตัวแสดงหลักแค่ 6 คนเท่านั้น พอเข้าฉายแค่สัปดาห์เดียวกวาดไปแล้ว 53 ล้าน คนที่ยิ้มสุดคือ เจสัน บลัม เจ้าของค่าย Blumhouse Production สตูดิโอที่เน้นสร้างแต่หนังสยองขวัญ

ที่เดินเกมฉลาดมากกับการไปรับเหมาโพรเจกต์ Dark Universe มาจากค่ายยูนิเวอร์แซล หลังโพรเจกต์นี้ล้มไม่เป็นท่าตั้งแต่เรื่องแรก เหตุจาก The Mummy หนังขายชื่อ ทอม ครูซ ในปี 2017 เจ๊งเละเทะ เดิมทียูนิเวอร์แซลวางตัว จอห์นนี่ เด็ปป์ ให้เป็นมนุษย์ล่องหนไว้ด้วยซ้ำ พอ The Invisible Man เปิดตัวที่ BlumHouse ได้สวยงามแบบนี้ ทำให้แฟนหนังสยองขวัญจะได้ดู มนุษย์หมาป่า, แดรกคูล่า, แฟรงเกนสไตน์ เป็นลำดับต่อไปอย่างแน่นอน

รีวิว The Invisible Man

วิจาร์ณ

หนังมีการดำเนินเรื่องที่เรียบง่าย ไม่ซับซ้อน แต่ก็สนุกและคาดเดาไม่ได้ ช่วงแรกๆ เว็บดูหนังนี่ให้ความรู้สึกเป็นหนังสยองขวัญเลย จังหวะการใช้กล้อง การเคลื่อนกล้อง การเล่าเรื่อง การหลอกของมนุษย์ล่องหน นี่มันหนังสยองขวัญชัดๆ พอหนังดำเนินมาเรื่อยๆ ก็มีความเป็นหนังแมวไล่จับหนู

เริ่มมีความระทึกขวัญเข้ามา ไล่ล่า ไล่ฆ่ากัน แล้วพาร์ทสุดท้ายเริ่มมีการสืบหาความจริง แถมยังมีเซอร์ไพรส์ ที่ถือว่าทำได้ดีเลยแหละ และเราก็ชอบตอนจบของเรื่องนี้นะ มันทำให้หนังเรื่องนี้มันไม่ใช่หนังที่แค่เข้ามาและผ่านไป ไม่ใช่แค่ไหนไล่ฆ่า มันคือหนังที่มีเรื่องราวมากกว่าที่เราคิด

ชอบมุมกล้องของเรื่องนี้ในหลายๆ ฉากมา มีการแพนไปแพนมา แช่นิ่งๆ ให้เราจับสังเกต ช่วงแรกนี่เพ่งตาแทบบอด ยังกะเล่น Photo Hunt กลัวจะไม่เห็นว่าอะไรเกิดขึ้น มนุษย์ล่องหนมันทำอะไร (ก็มันล่องหนไงเลยต้องคอยดู) และแทบจะตลอดทั้งเรื่อง หนังเล่นกับความรู้สึกเราได้ดีมาก

ทำให้เรารู้สึกไม่ปลอดภัย ถูกจับตามอง และไว้วางใจอะไรรอบๆ ไม่ได้เลย แถมยังมีจังหวะแบบเห้ย ช็อค อึ้ง ทึ่ง เยอะมาก มีความเหนือชั้นในหลายจุดอย่างที่คาดไม่ถึง และสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือดนตรีประกอบ ที่ทำออกมาได้ระทึกมาก ตื่นเต้นสุด บีบหัวใจเลยทีเดียว แค่แพนกล้องช้าๆ เพลงขึ้น ตึงๆ ก็ระทึกแล้วอะ

นักแสดงทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีมาก โดยเฉพาะนางเอก ที่ดูโทรม ดูกลัว ดูตระหนกจริงๆ เธอแสดงออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมเลย รวมถึงนักแสดงสมทบคนอื่นๆ ที่รู้หน้าที่และแสดงออกมาได้ดีไม่แพ้กัน

เอาจริงๆ หนังก็ทำให้เราเกิดคำถามหรือชวนสงสัยในหลายจุดนะ ว่าเอ๊ะ!? จริงๆ มันอะไรกันแน่นะ? หรือเกิดอะไรกันแน่นะ? แต่นั่นแหละ มันคืออีกส่วนที่ทำให้หนังเรื่องนี้มันสนุกยังไงล่ะ

สรุป

The Invisible Man - มนุษย์ล่องหน เป็นหนังที่สนุก ลุ้น ระทึก คือเราชอบเลยแหละ มันมีอะไรมากกว่าความเป็นหนังมนุษย์ล่องหนมารังควานแฟนอะ มันมีความล้ำมากกว่านั้น ที่สำคัญคือหนังส่งให้เรารู้สึกหวาดระแวง และกลัวความเป็นมนุษย์ล่องหนได้ดีจริงๆ ยืนยันครับ เป็นหนังที่ควรค่ากับการออกจากบ้านในสัปดาห์นี้แล้วใส่หน้ากากอนามัยเดินเข้าโรงไปสัมผัสความระทึกสัก 2 ชั่วโมง หนังเท่ตั้งแต่ไตเติลเปิดเรื่อง อย่าเข้าโรงสายล่ะ คุ้มเวลาและค่าตั๋วแน่นอน

วันอังคารที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2563

Fantastic Beasts 2

หนัง HD

รีวิว Fantastic Beasts 2 - อาชญากรรมของกรินเดลวัลด์

หนังภาคต่อของ Fantastic Beasts and Where to Find Them กับเรื่องราวก่อนเหตุการณ์ใน Harry Potter โดยในภาคนี้จะเล่าถึงเหตุการณ์ต่อจากในภาคแรกในทันที กับการหลบหนีของ Grindelwald โดยเขาพยายามออกตามหา Credence Barebone เพื่อจะใช้ประโยชน์จากเด็กไร้เดียงสาผู้นั้น ทำให้ Newt Scamander และผองเพื่อนต้องออกตามหาและหยุดยั้ง Grindelwald รีวิว Fantastic Beasts 2

เรื่องย่อ

เรื่องราวที่เกิดขึ้นในปี 1927 เพียงไม่กี่เดือนหลังจากที่นิวท์ ได้ช่วยเหลืือจนสามารถเปิดเผยและจับกุมตัวพ่อมดศาสตร์มืด กรินเล็ตต์ กรินเดวัลล์ได้ แต่อย่างที่เขาได้สัญญาเอาไว้, กรินเดลวัลด์สามารถหลบหนีการคุมขังออกมาได้ เขาเดินทางเพื่อรวบรวมผู้ติดตามของเขา เพื่อยกระดับพ่อมดแม่มดให้เหนือกว่าเหล่าโนเมจทั้งมวล มีพ่อมดเพียงคนเดียวที่อาจจะหยุดยั้งเขาได้ นั่นคือเพื่อนรักของเขา อัลบัส ดัมเบิลดอร์ แต่ดัมเบิลดอร์ต้องการร่วมมือพ่อมดที่เคยปะทะกับกรินเดลวัลด์มาก่อน เขาคนนั้นคือ นิวต์ สคาแมนเดอร์ ทำให้การผจญภัยร่วมกันของนิวต์ ทีน่า ควินนี และโจอี้ได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง แต่ภารกิจในครั้งนี้จะทดสอบความจงรักภักดีของพวกเขา ขณะเดียวกันก็ต้องเผชิญหน้ากับภัยพิบัติครั้งใหม่ในโลกของพ่อมดและแม่มด ที่อันตรายและพร้อมจะแบ่งแยกทุกฝ่ายออกจากกัน

มาถึงภาคที่ 2 แล้วกับแฟรนไชส์ Fantastic Beasts ที่ เจ.เค. โรว์ลิ่ง ผู้ประพันธ์วางแผนไว้ว่าจะจบใน 5 ภาค หลังจากภาคแรกเธอได้ดึงตัวละคร นิวท์ สคาแมนเดอร์ บุรุษในตำนานที่ถูกกล่าวถึงไว้ในแฟรนไชส์ แฮร์รี่ พอตเตอร์ ให้ออกมามีตัวตนบนจอภาพยนตร์ในฐานะพ่อมดผู้ชื่นชอบในบรรดาสัตว์มหัศจรรย์และเดินทางรวบรวมศึกษามันไปทั่วโลก

จนกลายมาเป็นหนังสือเรียนที่นักเรียนฮอกวอตส์ทุกคนรู้จักกันดี หนังเปิดภาคแรกมาด้วยบรรยากาศสดใสอารมณ์ดี ได้รู้จักตัวตนของนิวท์ เป็นพ่อมดที่เก่งแต่อ่อนน้อมถ่อมตนขี้อาย ได้รู้จักสังคมพ่อมดทางฝั่งอเมริกา แต่ก็จบด้วยการปรากฏตัวของกรินเดลวอลด์พ่อมดร้ายในตำนาน และการโผล่มาเซอร์ไพรส์คนดูของจอห์นนี่ เด็ปป์

มาถึงภาค 2 หนังสานต่อเหตุการณ์จากภาคแรกทันที เมื่อกรินเดลวัลด์โดนควบคุมตัวโดยเหล่ามือปราบมารอย่างเข้มงวดรัดกุม แต่ด้วยความเป็นพ่อมดร้ายอันดับ 1 ในยุคนั้นมีหรือจะยอมจำนนง่าย ๆ กรินเดลวัลด์ก็หลบหนีได้อย่างไม่ยากเย็นเปิดโอกาสให้หนังใส่ฉากแอ็คชั่นระทึกตาตั้งแต่เปิดเรื่อง

เมื่อกรินเดลวอลด์ปรากฏตัว โทนของหนัง Fantastic Beasts ก็ดูเปลี่ยนไปในทันที โทนหนังตึงเครียดขึ้นอย่างชัดเจน แม้ว่าชื่อเรื่องจะว่าด้วยบรรดาเหล่าสัตว์มหัศจรรย์แต่ประเด็นของหนังย้ายไปเน้นหนักที่สงครามเวทมนตร์ระหว่าง 2 สุดยอดพ่อมดในยุคนั้น อัลบัส ดัมเบิลดอร์ และ กรินเดลวอลด์ ที่เจ.เค. เกริ่นมาแล้วว่าตลอด 5 ภาคของ Fantastic Beasts จะเล่าเรื่องราวสงครามของ 2 ผู้ยิ่งใหญ่นี้ที่กินเวลา 19 ปี

ในภาคนี้เส้นเรื่องหลัก คือการขึ้นเถลิงอำนาจในฐานะพ่อมดโลกมืดของกรินเดลวอลด์ที่รวบรวมสมัครพรรคพวกมากมาย แต่เป้าหมายของเขาคือ ครีเซนด์ เด็กหนุ่มจากภาคแรกที่มีพลังมืดสิงสู่อยู่ในตัว ทำให้กรินเดลวอลด์ต้องการดึงมาเป็นกำลังสำคัญของเขา ทางมือปราบมารรู้ถึงแผนการของกรินเดลวอลด์จึงมุ่งมั่นตามกำจัดครีเดนซ์เสียก่อนที่กรินเดลวอลด์จะได้ตัวไป

ในภาคแรกตัวละครก็มากพอดูแล้ว ในภาคต่อนี้ตัวละครจากภาคแรกกลับมาเกือบครบ แล้วยังเพิ่มตัวละครใหม่อีกมากเลตา เลสเตรงจ์ เพื่อนสาวที่มีอดีตผูกพันกับนิวท์ , ธีซีอุส พี่ชายของนิวท์ทำงานอยู่ในกระทรวงเวทมนตร์ , อัลบัส ดัมเบิลดอร์ในวัยหนุ่ม , นิโคลาส ฟลาเมล

นักเล่นแร่แปรธาตุที่เคยถูกพูดถึงใน Harry Potter and the Philosopher’s Stone หนังภาคแรก นิโคลาสเป็นคนแก่ที่น่ารักและเรียกเสียงหัวเราะได้มาก แถมยังมีฉากโชว์เท่ของตัวเองด้วย และ นากินี งูยักษ์ที่รู้จักกันดีว่าเป็นสัตว์เลี้ยงคู่กายของโวลเดอร์มอต ภาคนี้เธอปรากฏตัวร่างหญิงสาวสวยที่ชวนติดตามว่าเธอไปพัวพันกับโวลเดอร์มอตได้อย่างไร

รวมถึง กิลเลิร์ต กรินเดลวอลด์ ที่ภาคนี้เปิดเผยตัวเองเต็มตัวทำให้เป็นตัวละครหลักที่ได้เวลาปรากฏตัวบนจอมามากพอควรสำหรับหนังที่มีตัวละครแออัดกันขนาดนี้ ดูแล้วชื่นชมจอห์นนี่ เด็ปป์ครับ ที่สลัดภาพพระเอกตลอดกาล มาเป็นผู้ร้ายได้อย่างสนิทใจ จับจอห์นนี่มาย้อมผม หนวดเคราสีขาว ใส่คอนแทคเลนส์สีขาวข้างเดียว

ทำให้จอห์นนี่ เด็ปป์ เป็นกรินเดลวอลด์ที่น่ากลัวและเกรงขามสมศักดิ์ศรีพ่อมดร้ายในตำนาน เอาว่าแค่ยืนเฉย ๆ ก็สัมผัสได้ถึงความร้ายกาจแล้ว ในขณะที่กรินเดลวอลด์มีบทบาทมากขึ้น พระเอกอย่างนิวท์ กลับถูกลดบทบาทความสำคัญอย่างเห็นได้ชัดเพราะต้องแบ่งเวลาให้กับตัวละครอีกมากที่ล้วนมีส่วนสำคัญกับเนื้อหาในภาคนี้
ตัวละครเก่าก็มากแถมเพิ่มตัวละครใหม่ที่ส่วนสำคัญหนัง HDกับเนื้อหาอีกหลายตัว ทำให้ 2 ชั่วโมง 14 นาทีของหนังต้องเล่าเรื่องราวมากมาย ความสัมพันธ์ที่ดูจะคืบหน้าของนิวท์และทีน่า , พื้นเพความสัมพันธ์ในอดีตกาลของดัมเบิลดอร์ และ กรินเดลวอลด์ที่เป็นสาเหตุของความบาดหมางในปัจจุบันที่เกริ่น ๆ ไว้

แต่ยังไม่เล่าชัดเจน และ อดีตของเลตา และ นิวท์ ในช่วงที่เรียนฮอกวอตส์ ทำให้เราต้องดู The Crimes of Grindelwald แบบต้องเรียบเรียงสมองให้เข้าใจถึง 3 ช่วงเหตุการณ์ของจักรวาลแฮร์รี่ พอตเตอร์ เหตุการณ์ปัจจุบันในหนังที่เชื่อมโยงกับเหตุการณ์ 70 ปีหลังจากนี้ในแฟรนไชส์แฮร์รี่ พอตเตอร์ ที่จบลงไปนานแล้ว

รีวิว Fantastic Beasts 2


และยังมีหลาย ๆ ช่วงที่หนังแฟลชแบ็คย้อนไปถึงอดีตของหลาย ๆ ตัวละครทั้ง ครีเดนซ์ , นิวท์ , เลตา ,ดัมเบิลดอร์ และ กรินเดลวอลด์ บอกเลยว่าถ้าดูหนังผ่านเน็ตไม่มีพื้นฐานจากแฮร์รี่ พอตเตอร์ มาหรือไม่ได้ดู Fantastic Beasts ภาคที่แล้วมา ยากที่จะเข้าใจครับ นี่คือหนังที่สร้างมาเพื่อตอบสนองแฟนเดนตายของจักรวาลแฮร์รี่ พอตเตอร์ เท่านั้น ที่เจ.เค. ตั้งชื่อจักรวาลของเธอว่า Wizarding World

และก็อีกนั่นแหละ ด้วยความที่เนื้อเรื่องเป็นหนังทางผ่าน เพื่อปูไปยังภาคต่อไป มันจึงเต็มไปด้วยซับพล็อตที่เต็มไปหมด คือแต่ละตัวละครก็มีเส้นเรื่อง มีเรื่องราว มีประเด็น เต็มไปหมด เหมือนหนังภาคนี้ให้ความรู้สึกเหมือนดูซีรีย์ คือแบบจะเนือยๆ แวะขยายความ ชมนกชมไม้ นู่นนี่นั่นไปเรื่อย แล้วมาพีคตอนใกล้ๆ จบ แล้วลงเอยด้วย “โปรดติดตามตอนต่อไป...” มันให้ความรู้สึกแบบเหมือนดูซีรีย์ไม่มีผิดเพี้ยนเลย

สิ่งที่น่าชื่นชม

แต่สิ่งที่น่าชื่นชมคือตัวละครอย่าง Grindelwald รับบทโดย Johnny Depp ที่ดูเป็นตัวร้ายที่มีมิติ การแสดงอารมณ์ ท่าทางของตัวละครตัวนี้ คือดูร้าย ตัวละครดูกลม ดูน่าหลงไหล และมีเสน่ห์ รวมทั้ง Dumbledore ที่รับบทโดย Jude Law ที่ถึงแม้ออกมาน้อยแต่ก็ยังคงแข็งแรงพอให้น่าติดตาม แล้วน่าสนใจไม่แพ้ Grindelwald เลย

อย่างที่กล่าวว่าโทนหนังของภาคนี้เปลี่ยนไปจากภาคแรกพอดู เพราะมันว่าด้วยสงครามที่กำลังก่อตัวของพ่อมดด้านมืดและด้านสว่าง ทำให้หนังอัดฉากแอ็คชั่นมาได้ถี่ ๆ และแต่ละฉากก็ทำได้สนุกน่าตื่นตา แม้ว่าเราจะดูการต่อสู้ของพ่อมดมาถึง 10 เรื่องแล้วก็ตาม โดยเฉพาะฉากไคลแมกซ์ท้ายเรื่องที่เล่นใหญ่และลากยาว เอาให้คุ้มค่าเงินทุนมหาศาล 200 ล้านเหรียญ มากกว่าภาคที่แล้วที่ใช้ไป 180 ล้านเหรียญ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเงินทุนน่าจะหมดไปบรรดาซีจีที่อัดแน่น เรียกได้ว่าทุก ๆ นาทีของหนังล้วนมีแต่ภาพซีจี

แต่ด้วยเหตุที่ว่าหนังเรื่องนี้ชื่อ Fantastic Beasts ก็จำต้องคงไว้ซึ่งความน่ารักของบรรดาสัตว์มหัศจรรย์ ที่ภาคนี้เลือกเก็บไว้แค่บางตัวที่คนดูรักอย่างเจ้า พิก มนุษย์ต้นไม้ตัวจิ๋วเพื่อนคู่ใจของนิวท์ที่ไปไหนมาไหนด้วยตลอด และเจ้านิฟเฟลอร์ ตัวตุ่นสีฟ้าจอมซนที่ภาคนี้ก็ยังมีบทบาทสำคัญพอควร

โผล่มาทีไรก็ได้เสียงวีดวิ้วของคนดูที่ตอบรับความน่ารักของมัน ภาคนี้นิฟเฟลอร์มีลูก ๆ น่ารักด้วยนะครับ และ “โซวู” แมวผสมมังกรสัตว์ในตำนานจีน สัตว์มหัศจรรย์ตัวใหม่ที่มีบทบาทสำคัญในภาคนี้พอควร ทีมงานทำการบ้านมาดีครับกับการออกแบบให้โซวูมีทั้งด้านน่ากลัวและน่ารักในตัวเดียวกัน ที่ไม่ชอบสุดคือบรรดาแก๊งแมวเฝ้าสุสานนี่แหละ ที่ทำออกมาหยาบมาก สงสัยงบจะหมดพอดี

สรุป

Fantastic Beasts: The Crimes of Grindelwald เป็นภาคต่อที่โทนหนังหม่นกว่าภาคแรกมาก หนังแอ็คชั่นมากขึ้น ตัวละครมากขึ้น แต่ถ้ามองตามไทม์ไลน์ของเหตุการณ์ภาคนี้ยังไม่ได้คืบหน้าไปเท่าใดนักเหมือนเป็นปฐมบทเข้าสู่สงครามเวทมนตร์ของ 2 ผู้ยิ่งใหญ่ ปริศนาใหม่ ๆ ก็ถูกสร้างขึ้นมาในภาคนี้ เพื่อดึงคนดูให้ติดตามบทเฉลยในภาคต่อ ๆ ไป แต่หลาย ๆ ปริศนานภาคแรกถูกเฉลย โดยเฉพาะตัวตนของครีเดนซ์ที่ถูกเปรยออกมาในวินาทีสุดท้ายของหนังก็เรียกเสียงฮือฮาได้พอควร ช้าระวังจะถูกสปอยล์นะครับ

The Grinch

หนัง HD

รีวิว The Grinch - เดอะ กริ๊นซ์

หนังอนิเมชั่นเรื่องใหม่จากค่าย Illumination (เจ้าของเดียวกับมินเนี่ยนนั่นแหละ) แถมจากตัวอย่างแล้วก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่บันเทิงและสนุกไม่ใช่เล่น หนำซ้ำยังได้ผู้ให้เสียงพากย์ตัวเอกเป็น ฺBenedict Cumberbatch อีกด้วย ด้วยองค์ประกอบทั้งหมดก่อนดูแล้วมันน่าสนุก และน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว รีวิว The Grinch

เรื่องย่อ

เรื่องราวสุดคลาสสิคผลงานของดร.ซูส ที่เล่าเรื่องราวของคนพาลกับภารกิจขโมยคริสต์มาสแสนสุขในฮู-วิลล์ กริ๊นช์ ใช้ชีวิตโดดเดี่ยวภายในถ้ำบนภูเขาครัมเพ็ตกับแม็กซ์ สุนัขผู้ซื่อสัตย์ของเขา กริ๊นช์จะออกมาพบกับเพื่อนบ้านในฮู-วิลล์ เมื่ออาหารหมดเท่านั้น ในแต่ละปี ชาวฮู-วิลล์ เฉลิมฉลองคริสต์มาสใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ โดยปีนี้จะยิ่งใหญ่เป็น 3 เท่า กริ๊นช์ รู้ดีว่ามีทางเดียวที่เขาจะได้รับความสงบ นั่นก็คือเขาต้องขโมยวันคริสต์มาสต์ เมื่อต้องการทำเช่นนั้น เขาจึงตัดสินใจแต่งเหมือนซานตาคลอสในวันคริสต์มาสอีฟ และไปดักกวางมาดึงรถเลื่อนของเขา ใน ฮู-วิลล์ ซินดี้-ลู ฮู เด็กสาวคนหนึ่งที่เต็มไปด้วยสปิริตของวันหยุด เธอกับเพื่อนวางแผนมาดักซานตาคลอสในวันคริสต์มาสอีฟ เพื่อขอบคุณที่ช่วยแม่เธอทำงาน เมื่อคริสต์มาสใกล้เข้ามา การวางแผนของเธอกลับเป็นการคุกคามแผนร้ายของกริ๊นช์ ซินดี้-ลูจะบรรลุเป้าหมายคือได้พบกับซานตาคลอสหรือไม่? กรินช์จะประสบความสำเร็จในทำลายคริสตมาสหรือไม่?

เชื่อเหลือเกินว่าสำหรับใครที่อยู่ในวัย 30+ ต้องรอคุ้นหน้าหรือรู้จักเจ้าสัตว์ประหลาดสีเขียวผู้จงเกลียดจงชังเทศกาลคริสมาสต์ตัวนี้เป็นอย่างดี ซึ่งส่วนตัวตั้งแต่เห็นแคแร็คเตอร์ในหนังแอนิเมชันเวอร์ชัน 2018 ก็ต้องบอกว่ามันดูกวนและน่ารักขึ้นเยอะจากภาพจำในหนังเรื่อง Home Alone เมื่อปี 1990 มากนัก ประกอบกับเมื่อเห็นชื่อของสตูดิโออย่าง Illumination ก็ค่อนข้างเบาใจว่าอย่างน้อยก็ต้องการันตีความบันเทิงประมาณนึง แม้ว่าตัวเมสเซจอาจไม่ได้ลึกซึ้งกินใจกันมากนัก

The Grinch ได้ Scott Mosier และ Yarrow Cheney มาร่วมนั่งแท่นกำกับครั้งแรก ขณะที่ในเวอร์ชันซาวน์แทร็กนั้นได้คุณเชอร์ล็อค โฮล์มอย่าง Benedict Cumberbatch มารับบทพากย์เป็นตัวเอกของเรื่องด้วย โดยแอนิเมชันจะเป็นการเล่าเรื่องราวของเจ้า กริ๊นช์ ตัวประหลาดสีเขียวที่ใช้ชีวิตอยู่ในถ้ำบนเขาครัมเพ็ตโดยมีแม็กซ์ สุนัขเพื่อนยากคู่หูของเขา

ซึ่งปกติแล้ว กริ๊นช์ จะอาศัยอยู่ใกล้กับเมือง ฮู-วิลล์ แต่ด้วยเทศกาลคริสมาสต์ที่กำลังจะมาถึง ชาวเมืองก็เตรียมจะจัดงานใหญ่ต้อนรับเทศกาล ในขณะที่เจ้ากริ๊นช์ เกลียดเทศกาลนี้เข้าเส้น เพราะเขาต้องการความสงบ แผนการร้ายที่จะขัดขวางงานคริสมาสต์จึงเริ่มต้นขึ้น

ภาพรวมของ The Grinch ถือเป็นการ์ตูนเบาสมองภาพสวยเรื่องหนึ่งที่ขยันปล่อยมุกออกมาเป็นระยะ ซึ่่งส่วนใหญ่จะเป็นมุกฮาแบบเด็ก ๆ ซะส่วนใหญ่ ผู้ใหญ่อย่างเราอาจจะพอยิ้มมุมปาก ขณะที่ตัวหนังก็เล่าเรื่องแบบกระชับ รวบรัด ไม่ซับซ้อนใด ๆ ถือว่าอาจจะไม่ถึงกับบันเทิงเหมือนที่คาด

แต่ก็เพลิดเพลินกับแคแร็คเตอร์เวอร์ชันนี้ ที่ เจ้าตัวเขียวดูน่ารักกว่าเดิมเยอะ หนังเน้นไปที่ปมของ กริ๊นช์ ที่รู้สึกว่าตัวเองแปลกแยกจากชาวเมือง ฮู-วิลล์ และแน่นอนว่าระหว่างทาง ตัวละครต่างก็มี coming of age ที่ได้เรียนรู้ เข้าใจ และจูนเข้าหากัน ได้ดูสนุกมีสีสัน ยิ่งดูก็ยิ่งหลงรัก กริ๊นช์ มากขึ้น รวมทั้งตัวละครแวดล้อม

โดยเฉพาะเจ้าแม็กซ์ สุนัขคู่กายของเจ้ากริ๊นช์ ที่ออกมาขโมยซีนเจ้านายหลายครั้ง สีสันและบรรยากาศ ทำเอานึกถึงแก๊งขนฟูใน The Secret Life of Pets เหมือนกัน

The Grinch จัดเป็นการ์ตูนใส ๆ ที่ยังมอบความบันเทิงได้ระดับเพลิน ๆ อาจยังห่างกับการ์ตูนเกรดแบบ Inside Out สักหน่อย ในเรื่องพาร์ทดราม่าหรือคติสอนใจ ที่อาจทำได้บาง ๆ ไม่อินมากเท่าไหร่นักสำหรับผู้ใหญ่ แต่เมื่อได้เห็นวิวัฒนาการความแสบสันต์ของหนึ่งในตัวการ์ตูนที่เติบโตมากับเราตั้งแต่เด็ก นี่ถือเป็นการกลับมาปรากฏตัวบนจอเงินอีกครั้งที่มอบความสุขให้เหมือนเช่นเคย

วิจาร์ณ

The Grinch เป็นเรื่องราวของเจ้าตัวเขียวอยู่ตัวคนเดียวสันโดดกับหมาของเขา บนเทือกเขา ที่เกลียดวันคริสมาสต์เข้าไส้ ด้วยปมอะไรบางอย่างในจิตใจ แต่เขาดันต้องมีเหตุการณ์บางอย่างให้เข้าเมืองไปเจอการเฉลิมฉลองวันคริสมาสต์ เขาจึงคิดแผนการชั่วร้าย ขึ้นมา ด้วยการที่ “เขาจะโมยคริสมาสต์” จะเป็นอย่างไรต้องไปดูในเรื่องนี้เอง

คือก่อนที่จะดูเรื่องนี้ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรจากมันอยู่แล้ว แค่คิดว่าอย่างน้อยก็คงสร้างความบันเทิง ความสนุก เพลินๆ แต่สรุปหลังดูจบมันกลับทำไม่ได้เลย....

เอาที่ชอบก่อนดีกว่า ที่เห็นเด่นชัด และชอบมากๆ เลยคือการเล่าเรื่องด้วยเสียงบรรยายในหลายๆ ฉาก จะเป็นการเล่าเรื่องแบบคำกลอน ซึ่งมันฟังแล้วลื่นหูมาก บวกกับการที่ตัวเอกต่อประโยคด้วยกลอนเช่นกัน เรารู้สึกว่าตรงนี้มันเจ๋งดี มันทำให้ภาพรวมของหนังไหลลื่นแบบสุดๆ และอีกหลายๆ ฉากที่พอมีให้เราได้หัวเราะมุมปากบ้างเล็กน้อย ยิ้มบ้างนิดหน่อย และฉากตอนขโมยคริสมาสต์ก็เจ๋งดี

แต่การดำเนินเรื่องของหนังเรื่องนี้ค่อนข้างน่าเบื่อเลย เรารู้สึกเฉยๆ มาก เป็นเส้นตรงมาก ตรงแบบตรงแน่วเลย ปมดราม่าก็เบาบางเหลือเกิน นิทานอีสปยังเล่าได้สนุกกว่า คือมันเป็นหนังอนิเมชั่นที่เหมาะกับเด็กมาก มากถึงมากที่สุด ไร้ซึ่งความรุนแรง ความซับซ้อนใดใดทั้งสิ้น หนังมันไม่ทำงานกับเราในเกือบทุกภาคส่วน คือเป็นหนังอนิเมชั่นที่เราไม่สนุกกับมันเลย

มันอาจจะไม่เหมาะกับเราก็ได้ ปกติหนังอนิเมชั่นแต่ละเรื่องมันสามารถทำให้เราสนุกกับมันได้มากกว่านี้ ถึงแม้เนื้อเรื่องจะแย่แค่ไหนก็ตาม แต่เรื่องนี้ทำไม่ได้ ถ้าใครมีลูกมีหลาน เด็กๆ อยากพาไปดูก็ได้นะ เพราะเด็กๆ คงจะชอบ (แต่ในโรงที่ไปดูก็มีเด็กเยอะนะ และมันเป็นหนังเรื่องแรกที่ไม่ได้ยินเสียงเด็กหัวเราะกับหนังเลยแม้แต่แอะเดียว)

เนื้อเรื่อง

แอนิเมชั่นบอกเล่าเรื่องราวของกริ๊นช์ สิ่งมีชีวิตตัวสีเขียวที่อาศัยอยู่บนยอดเขาสูง เขาใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวร่วมกับสุนัขแสนรู้อย่างแมกซ์ เวลาว่างของกริ๊นช์นั้นหมดไปกับการประดิษฐ์เครื่องไม้เครื่องมือเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับชีวิตของตัวเอง และน้อยครั้งนักที่เขาจะเดินทางลงไปยังหมู่บ้านฮูวิลล์ เพื่อจับจ่ายใช้สอยซื้ออาหารและอุปกรณ์ยังชีพ

เมื่อถึงคริสต์มาสในแต่ละปี ชาวฮูรบกวนหนัง HDความเป็นส่วนตัวของกริ๊นช์ ด้วยการเฉลิมฉลอง ร้องเพลงเสียงดังและการประดับประดาไฟที่สว่างจ้า ยิ่งไปกว่านั้น บริคเกิ้ลบาว์น เพื่อนบ้านที่ดูเหมือนจะร่าเริงได้ตลอดเวลาได้ประกาศว่าปีนี้ เขาจะจัดงานคริสต์มาสให้ใหญ่กว่าทุกปีถึงสามเท่า สิ่งเดียวที่กริ๊นช์จะได้ความเงียบสงบกลับคืนมา คือการ “ขโมยวันคริสต์มาส” ซะ

รีวิว The Grinch


เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในแอนิเมชั่นเรื่องนี้ คือการพาเด็กๆไปทำความรู้จักกับบุคคลที่แปลกแยกจากสังคมอย่างเดอะกรินช์ เขาต่อต้านสังคมเพียงเพราะว่า ในอดีตเว็บสตรีมหนังนั้นเขารู้สึก (ไปเอง) ว่าตัวประหลาดอย่างเขาน่าจะไม่เป็นที่ต้องการของคนทั่วไป เมื่อขาดการเหลียวแล

ทำให้เขาเลือกจะตอกย้ำตัวเองด้วยการออกมาใช้ชีวิตอยู่คนเดียว และทุกครั้งที่เขาเห็นผู้คนทั่วไปกำลังมีความสุขและเฉลิมฉลองกับเทศกาลนั้น ความรำคาญที่เกิดขึ้นนั้นเป็นผลมาจากความรู้สึกโดดเดี่ยว เกิดความอิจฉาในความสุขของคนอื่น และเปลี่ยนความยินดีของผู้คนเหล่านั้นให้กลายเป็นความน่ารำคาญแทน

แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้น เกิดจากการที่ตัวกริ๊นช์เองไม่เคยเปิดใจรับว่า ความหงุดหงิดรำคาญที่เกิดขึ้นในใจของเขานั้นเป็นเพราะเขาต่อต้านเทศกาล หรือเป็นเพราะเขาไม่เคยเดินเข้าหาคนอื่น เพื่อทำความเข้าใจว่า บางครั้งความสุขนั้นก็เกิดขึ้นได้ เพียงแค่เราลองเปลี่ยนมุมมอง เปลี่ยนความคิด และทำความเข้าใจกับบริบทของสังคมนั้น ตราบใดที่วัฒนธรรมประเพณีไม่ได้ขัดต่อกฎหมายหรือความสงบสุขของบ้านเมือง บางครั้งการลองเปิดใจดูบ้าง แค่เปลี่ยนความคิดชีวิตก็เปลี่ยน

สรุป

จะว่าไป ‘เดอะกริ๊นช์’ ก็ไม่มีอะไรซับซ้อน เรื่องราวเดินไปอย่างง่ายๆ ประมาณว่าเด็กดูได้ วัยใสๆ ดูดี จุดที่น่าจะต้องถูกพูดถึงมากหน่อย ก็คือ การรับงานสวมบทบาทพากย์เจ้าตัวเขียวของดารานำชายเจ้าบทบาทและทรงเสน่ห์อย่าง Benedict Cumberbatch เขาทำหน้าที่พากย์ได้ดีเยี่ยม ชนิดที่ว่า ตอนดูตัวอย่าง ถ้าไม่บอกว่าเป็นเบเนดิกต์ก็แทบจะไม่ได้คิดไปถึงเลยทีเดียว

เราอาจจะนึกว่ามันน่าจะเป็นแอนิเมชั่นธรรมดาๆ แต่ก็กลับพบว่าตอนท้าย หนังก็มีแง่มุมดีมีแง่คิดให้เข้าใจตัวละครและเข้าใจตัวเองขึ้นมาได้อีก แต่ถ้าเทียบความสนุกโดยรวมตลอดทั้งตัวหนังกับหนังสั้นๆ ของเจ้าตัวเหลืองมินเนี่ยนแล้ว คงต้องบอกว่าตัวเหลืองทำได้ดีกว่าหลายเท่าตัว!

Overlord

ดูหนัง HD

รีวิว Overlord - ปฏิบัติการโอเวอร์ลอร์ด

หนังจากค่าย Bad Robot ที่พ่วงชื่อ J.J. Abram มาด้วย โดยในตอนแรกหลายต่อหลายคนก็นึกไปเลยว่า “มันต้องเป็นหนังในจักรวาล Cloverfield แน่ๆ” เพราะค่ายนี้มักชอบเก็บเงียบ ไม่โปรโมท ไม่ปล่อยตัวอย่าง ไม่ค่อยปล่อยอะไรให้เราได้ดูกันเลย แต่สุดท้ายมันก็ไม่เกี่ยวข้องกันเลย รีวิว Overlord

เรื่องย่อ

เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนจะถึงช่วงเวลายกพลขึ้นบก ทีมทหารพลร่มอเมริกัน กระโดดร่มลงสู่พื้นในฝรั่งเศสที่อยู่ในพื้นที่ยึดครองของนาซี เพื่อปฏิบัติภารกิจที่สำคัญต่อความสำเร็จในการรุกเข้าสู่เขตศัตรู กับภารกิจการทำลายเครื่องส่งคลื่นวิทยุที่อยู่เหนือโบสถ์ที่แข็งแกร่งดั่งป้อมปราการ กลุ่มทหารที่สิ้นหวังผนึกกำลังกับชาวบ้านชาวฝรั่งเศสคนหนึ่ง เพื่อเจาะผ่านกำแพงและทลายหอคอย แต่ในห้องทดลองลับของพวกนาซีที่อยู่ใต้โบสถ์แห่งนี้ ทหารจีไอที่มีจำนวนเพียงน้อยนิดต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่โลกไม่เคยพบเห็นมาก่อน จากการดูแลงานผลิตโดยผู้อำนวยการสร้าง เจเจ อับรามส์ Overlord คืองานแอ็กชั่นผจญภัยที่ทำให้หัวใจเต้นตึกตัก และมาพร้อมจุดหักมุม

หนังเคยถูกเข้าใจว่าเป็นภาคหนึ่งในตระกูล Coverfield เพราะด้วยความที่เป็นหนังของ Bad Robot ค่ายหนังของ เจ.เจ. อับรามส์ ยิ่งตัวโปรเจ็กต์ผุดขึ้นมาแบบไม่มีเค้าใดบอกมาก่อน ยิ่งความลับเยอะก็ยิ่งทำให้แฟนคิดคาดไปว่าหนังน่าจะเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวใน Coverfield ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แล้วเวลาก็ผ่านไปแล้วเปรี้ยงลงมาเป็นหนังซอมบี้ยุคสงครามโลกที่แยกเป็นเอกเทศของตัวเองในชื่อ Overlord นี่เอง

เป็นหนังในค่าย เจ.เจ. ที่ไม่เคยคาดเดาง่ายและทำเราผิดหวังยาก จริง ๆ แค่ข้อนี้ผมก็อยากดูแล้วนะ แต่สำหรับหลายคนก็คงบอกว่าธรรมดากว่าหนังเรื่องอื่น ๆ ที่ปะชื่อ เจ.เจ. ซึ่งก็ธรรมดาจริง ไม่ได้มีพล็อตเว่อวัง เหวอแตก หรือหักมุมอะไรทั้งสิ้น หลายฉากหลายช่วงออกจะไร้ตรรกะด้วยซ้ำ ยิ่งพวกสายสงครามโลกอาจดูไปด่าไปได้เลยล่ะ ตั้งแต่เรื่องคนดำเป็นพลร่มแล้ว แต่ถ้าไม่ซีเรียสหนังก็ให้บรรยากาศสงครามโลกที่ดิบดุดันดีเหมือนกันนะ

พล็อตซอมบี้สงครามโลกครั้งที่ 2 อาจเก่าในสื่ออื่นเช่นเกม และอีกหลายต่อหลายเรื่อง และกับหนังมันก็มีหนังหลายเรื่องที่ให้อารมณ์ใกล้เคียง แต่ไอเดียของ บิลลี่ เรย์ ที่เคยเขียนบท The Hunger Games และ Captain Phillips ก็ทำให้ เจ.เจ. ที่จริง ๆ ก็คงผ่านหูผ่านตากับพล็อตแนวนี้ในสื่อใด ๆ มาเยอะยังเอ่ยปากว่า สนุก!

แถมสมทบไปอีกว่าเหมือนได้ ร็อด เซอร์ลิ่ง ผู้ให้กำเนิดซีรีส์สยองสุดคลาสสิกอย่าง The Twilight Zone มาคิดอีกต่างหาก ซึ่งส่วนตัวมองว่าหนังก็พยายามหาที่ทางของตัวเองนะ เพราะแทนที่จะแฟนซีจ๋าแบบซอมบี้ หนังดันหนักเรื่องภารกิจเสี่ยงตายมากกว่า เรื่องซอมบี้เหมือนเป็นอุปสรรคสำคัญเท่านั้น มากกว่าที่จะบอกได้ว่ามันคือหนังซอมบี้ ใครชอบสายสงครามน่าจะชอบกว่าคนชอบสายซอมบี้เพียว ๆ

หนังเป็นฝีมือการกำกับของ ผู้กำกับที่โด่งดังในออสเตรเลียอย่าง จูเลียส แอฟเวอรี่ จาก Son of a Gun ซึ่งชำนาญในการเล่าเรื่องให้คนดูผูกพันกับตัวละคร ซึ่งจำเป็นกับตัวหนัง Overlord มาก ที่จะค่อย ๆ พาเราติดตามภารกิจของกลุ่มทหารอเมริกันแบบใน Saving Private Ryan แล้วค่อย ๆ บิดไปสู่ความเป็นหนังแฟนตาซีธริลเลอร์

อย่าง ซอมบี้ ซึ่งหนังหลายเรื่องพล็อตมาแบบนี้ก็มักพลาดตกม้าตายกับการยัดฉากแอ๊กชั่นจนลืมไปว่าคนดูยังไม่ได้อินกับตัวละครเลยเฟร้ยไป แต่กับเรื่องนี้แม้เริ่มเรื่องจะตัวละครยุ่บยั่บ แต่เอาจริงก็มีตัวหลัก ๆ แค่ 4-5 คนเท่านั้น ก็ตามได้สบาย ๆ ล่ะนะ แล้วด้วยความอ่อนด๋อยของตัวเอกอย่างทหารผิวดำ หลายครั้งเราก็อดเอาใจช่วย และบางครั้งก็หงุดหงิดโคตร ๆ ในความโลกสวยของนางเหมือนกัน ยังดีว่ามีตัวเอกหลายตัวให้เราเอาใจช่วยด้วย 55

ภาพความสยดสยองของซอมบี้ในเรื่องที่โคตรโหด แบบโหดเว่อ นี่ล่ะสะใจสายสยองแอ๊กชั่นดิบ ๆ เรียล ๆ เพราะงานนี้ใช้ซีจีน้อยมาก แล้วใช้พวกอวัยวะเทียมทำกันแบบสมจริง นึกถึงหนังสัตว์ประหลาดแบบร่างกายแหลกเละ บิดเบี้ยว เนื้อสด ๆ เลือดสาด ๆ กระดูกทิ่มทะลุผิว

ประมาณหนังยุคเก่า ๆ หน่อยที่โหดมากกกก ดูหนัง HDเตือนเลยว่าภาพหนังโหดจริงจัง และความดิบมันก็ไม่จำกัดแค่ช่วงซอมบี้มานะ เพราะฉากสงครามต่าง ๆ ก็กระหน่ำหนักอย่างไม่ทันตั้งตัวหลายรอบเลย โดยเฉพาะฉากเปิดเรื่องที่เป็นการยกพลขึ้นบกของหน่วยพลร่มที่ระอุมาก ไม่เคยเห็นในหนังเรื่องอื่นเลยในแนวสงครามที่ผ่านมา เป็นประสบการณ์ใหม่เลยล่ะ

นักแสดงที่ไม่ดังมากทำให้เราอินกับเนื้อหาใหม่ได้ง่าย ทั้ง โจแวน อะดีโป ที่ช่ำชองมาจากซีรีส์หลายต่อหลายเรื่องแต่ยังสดสำหรับหนังจอใหญ่ เขาต้องเล่นเป็นทหารผิวสีคนเดียวในกลุ่ม และเป็นตัวแทนผู้ชมในหนังด้วย นับว่าน่าสนใจ ยังไม่นับ ไวแอ็ตต์ รัสเซลล์ ลูกชายของ เคิร์ต รัสเซลล์ ที่มาแสดงสมทบด้วยอีกคนนะ

รีวิว Overlord

วิจาร์ณ

ชื่อหนังมาจากปฏิบัติการ Overlord ในการยกพลขึ้นบกที่นอร์มังดีในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และเนื้อเรื่องนำปฏิบัติการนี้มาเล่าใหม่ในมิติใหม่ รูปแบบหนังแอ็คชั่น ปนสยองขวัญ ระทึกขวัญ โดยหนังออนไลน์เป็นเรื่องราวของทหารกลุ่มหนึ่งจำเป็นต้องบุกเข้าไปยังฐานที่มั่นของพวกนาซี เพื่อที่จะระเบิดหอวิทยุ และทำให้กำลังพลฝั่งตนเข้ามายึดพื้นที่นี้ได้

ต้องออกตัวเลยว่าชื่นชอบหนังของค่าย Bad Robot หลายๆ เรื่อง และยิ่งมีการการันตีว่าเป็นผลงานของ J.J. Abram ด้วยแล้ว ทำให้ได้กลิ่นของ Cloverfield ลอยมาแต่ไกลเลย (ยกเว้น Cloverfield Paradox นะ อันนั้นเราไม่ชอบเลย) แต่เหมือน Overlord จะเป็นหนังที่ด้อยที่สุดในบรรดาหนังที่มีชื่อ J.J. Abrams เลยก็ว่าได้

อันดับแรกขอชื่นชมบรรยากาศของหนังที่พาเราไปยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้อย่างดี ทั้งการรบต่างๆ เสื้อผ้า ฉาก มันล้วนแล้วแต่สวยงามและชวนระทึกขวัญไม่ใช่น้อย รวมถึงฉากเละเทะชวนแหวะต่างๆ ก็ทำออกมาได้ดีน่ากลัว สยดสยองไม่ใช่เล่น

การดำเนินเรื่องของหนังค่อนข้างทำได้ดี มีจังหวะการเล่าเรื่องที่ไม่น่าเบื่อ สนุก ไม่ชวนง่วงอย่างแน่นอน มันเหมือนเป็นหนังลูกผสมระหว่างหนังสงคราม ทหาร กับหนังสยองขวัญ ระทึกขวัญ เหมือนแบบ Saving Private Ryan ผสมหนังซอมบี้ หรืออมนุษย์ คือเราจะได้เห็นการปฏิบัติหรือยุทวิธีทางการทหาร บรรยากาศ

คือครึ่งเรื่องแรกมันเป็นหนังทหารเรื่องนึงเลยแหละ ซึ่งอีกครึ่งเรื่องหลังตัวหนังจะเล่าให้เห็นถึงการทดลองบางอย่างแบบลับๆ ของพวกนาซี ซึ่งก่อให้เกิดอมนุษย์ขึ้นมา (ไม่รู้จะอธิบายยังไง มันไม่ใช่ซอมบี้ ไม่ใช่ผี ไม่ใช่สัตว์ประหลาด) หนังมีจังหวะระทึก ลุ้น ตื่นเต้น อยู่เป็นระยะๆ ตลอดทั้งเรื่อง เพราะหลายๆ ฉากทั้งโหด ดิบ เลือดสาดแบบสุดๆ

แต่หนังมันไม่สามารถพาเราไปผูกพันกับตัวละครสักเท่าไหร่ อีกทั้งนักแสดงก็ไม่ได้แสดงโดดเด่นจนน่าจดจำเลยสักคนเดียว เราไม่ได้อยากเอาใจช่วยตัวละครเลย เนื้อเรื่องเรียบง่าย เป็นเส้นตรง เดาง่ายแบบสุดๆ ไม่ซับซ้อน ไม่หักมุมใดๆ ทั้งสิ้น ถึงแม้หนังจะดำเนินเรื่องสนุก จังหวะในการเล่าโอเค เป็นแนวลูกผสมหนังสงคราม สยองขวัญระทึกขวัญ

แต่บทมันกลับทำให้มันไปไม่สุดสักทาง ไม่ว่าจะเรื่องเกี่ยวกับความเป็นทหาร ปฏิบัติการณ์ต่างๆ ที่เหมือนจะมาดีนะ แต่ก็ตกม้าตายซะดื้อๆ ทุกอย่างมันดูง่ายไปหมด เหมือนไม่มีวิกฤตที่เกิดขึ้นกับตัวละครสักเท่าไหร่ และในด้านพาร์ทสยองขวัญ ระทึกขวัญก็เช่นกัน แรกๆ ปูมาดี น่าสงสัย น่ากลัว แต่พอไปๆ มาๆ เสน่ห์ในตอนแรกหายไปหมดเลย กลายเป็นหนังแอ็คชั่นเกรดบีไปซะยังงั้น ใครที่คาดว่าจะได้เห็นแบบกองทัพซอมบี้ โผล่มาไล่พวกพระเอกต้องหนีเอาชีวิตรอดละก็ ผิดหวังแน่ๆ

ข้อด้อยหลัก

ของหนังเลยที่จับได้คือ มันมีวิธีเล่าแบบเกรดบีหน่อย ๆ เน้นความมันและมองข้ามความสมจริงหลายจุด ซึ่งบางครั้งเราก็หงุดหงิดกับการกระทำที่ไม่สมเหตุสมผลเท่าไรนะ เนื้อเรื่องก็พุ่งตรงแทบจะเส้นตรงไม่ซับซ้อนยุ่งยาก ความเป็นหนังซอมบี้ไม่ได้โดดเด่นด้วยความจงใจให้องค์ประกอบความเป็นหนังสงครามสำคัญกว่า

ก็อาจทำให้ใครที่คาดหวังไปดูหนังวิ่งหนีขยี้ฆ่าซอมบี้เป็นร้อยเป็นพันผิดหวังได้ และเอาจริง ๆ มันก็ไม่ใช่ซอมบี้เสียทีเดียวนะ เพราะคนที่โดนกัดจะไม่เป็นซอมบี้ มันเหมือนสัตว์ประหลาดจากการทดลองมนุษย์มากกว่า ดังนั้นมันต้องมองในแง่หนังสงครามโลกผสมสยองขวัญแนวไซไฟเสียมากกว่า ซึ่งก็โอเคนะ สนุกดี

Rampant

ดูหนัง HD

รีวิว Rampant - นครนรกซอมบี้คลั่ง

หนังจากทีมผู้สร้างเดียวกับยอดหนังซอมบี้แห่งประวัติกาลของเอเชียอย่าง Train to Busan ซึ่งเราก็คาดหวังกับหนังเรื่องนี้มากๆ ด้วยความที่ถูกโปรโมทแล้วยกหนังเรื่อง Train to Busan มาพูดถึงคู่กัน บวกด้วยความเป็นหนังซอมบี้ยุคพีเรียตที่น่าสนใจ และปฏิเสธไม่ได้เลยแม้แต่น้อยว่ามันโคตะระจะน่าดู แต่พอได้ดูแล้วต้องบอกเลยว่าผิดหวังมากๆ รีวิว Rampant

เรื่องย่อ

นครนรกซอมบี้คลั่ง เตรียมพบกับสุดยอดภาพยนตร์แอคชั่นสัญชาติเกาหลีแห่งปี 2018 โปรเจคต์ยักษ์ที่โลกรอดู นำโดยสองดาราระดับแม่เหล็กอย่าง ฮยอนบิน จากซีรีส์ Secret Garden และ จาง ดงกอน จาก Tae Guk Gi เรื่องเกิดขึ้นในเกาหลียุคพีเรียด เมื่อ อีชอง (ฮยอนบิน) โอรสของกษัตริย์และนักสู้ที่ฝีมือฉกาจที่สุดของอาณาจักรโชซอนที่ตกเป็นนักโทษการเมืองภายใต้การดูแลของราชวงศ์ชิงอยู่หลายปีถูก อียัง (จาง ดงกอน) พี่ชายและผู้สืบทอดบัลลังค์ เรียกตัวกลับมาแผ่นดินเกิดเพื่อช่วยต่อสู้กับฝูงซอมบี้คลั่งกระหายเลือดที่เข้ามารุกราน สองพี่น้องต้องร่วมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ในฐานะความหวังสุดท้ายของอาณาจักรโชซอน

การมาของหนังซอมบี้ยุคพีเรียดเรื่องนี้ คงทำให้ใครหลายคนเลี่ยงไม่ได้ที่จะไม่นึกถึงหนังซอมบี้ที่เคยสร้างปรากฏการณ์ให้วงการหนังแดนกิมจิเมื่อสองปีก่อนอย่าง Train to Busan ซึ่งในคราวนี้ Rampant ก็เหมือนกับกับการหยิบ Train to Busan เปลี่ยนบรรยากาศจากบนรถไฟมาคลั่งกันในวังแทน

เนื้อหาของ Rampant เป็นเรื่องราวในยุคสมัยโชซอน ภายใต้การดูแลของราชวงศ์ชิง ซึ่งองค์ชายกังลิม (ฮยอนบิน) โอรสคนเล็กเจ้าสำราญของกษัตริย์ ถูกพี่ชายเรียกตัวกลับมาที่โชซอนเพื่อช่วยกอบกู้สถานการณ์หลังจากมีความขัดแย้งภายในวัง นำโดยเสนาบดีคนสนิทของจักรพรรดิ์อย่าง คิม จาจุน (จางดงกอน) ที่ก่อกบฏและเบื้องลึกปรารถนาที่จะขึ้นครอบครองบัลลังก์พระราชาแห่งโซชอนคนใหม่

แต่ขณะที่กังลิมกลับมายังบ้านเกิด หารู้ไม่ว่า ที่เมืองแห่งนี้มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสที่ทำให้ชาวบ้านกลายเป็นซอมบี้ แน่นอนว่า นี่คือนี่คือหนังฟอร์มใหญ่ของเกาหลีในปีนี้ ซึ่งน่าดูตั้งแต่แคส ที่ดึงนักแสดงเบอร์ใหญ่ของวงการอย่าง ฮยอนบิน และ จางดงกอน มาปะทะกัน

Rampant อาจเริ่มต้นได้ไม่หวือหวา โดยเฉพาะการปูที่มาที่ไปที่ทำให้ กังลิม มีเหตุต้องกลับมายังบ้านเกิด ซึ่งปูเรื่องค่อนข้างเนือย และยืดยาดไปนิด แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อชาวบ้านในเมืองโชซอนเริ่มถูกโรคระบาดและซอมบี้เริ่มปรากฏตัวขึ้น บรรยากาศของหนังถูกเปลี่ยนจากภาวะตึงเครียดการเมืองมาเป็นแอ็คชันทริลเลอร์ที่มีสีสันขึ้นมาทันที

อีกทั้งเมือซอมบี้มาอาละวาดในยุคเกาหลีโบราณ ยุคที่ผู้คนยังไม่มีใครรู้จักโรคระบาดสุดประหลาดนี้ กรปรกับการเซ็ตฉากและเครื่องแต่งกายที่นำพาคนดูรู้สึกถึงเหล้าเก่าในขวดใหม่ ทำให้ Rampant ยิ่งน่าสนใจมาก เรียกว่าหนังติดเครื่องนำพาตัวเองส่งความกดดันบีบคั้นมาถึงคนดูเมื่อผ่านครึ่งชั่วโมงแรก
หนังทำได้ดีโดยเฉพาะในส่วนเกลี่ยบทบาทของ กังลิม และ คิม จาจุน ซึ่งทำคนดูหายใจไม่ทั่วท้องตลอดทั้งเรื่อง เรียกว่าเซอร์วิสฉากห้ำหั่นเท่ ๆ ของสองคนนี้มาแบบจัดเต็ม โดยเฉพาะ ฮยอนบิน นี่เท่ มีเสน่ห์มาก เรียกว่าไม่เป็นรอง กงยู ใน Train to Busan เลย ต้องยอมรับว่าฉากคอมโบ้ในช่วงครึ่งหลังที่ไล่ล่าหลบหนีซอมบี้นั้นทำได้ระทึกถึงใจ

บวกกับโปรดักชันและซีจีที่ทำได้เนียนตามาก ๆ ตื่นเต้นลุ้นไม่ติดเก้าอี้จนหยดสุดท้าย อย่างไรก็ตาม จุดที่หนังน่าจะทำได้ดีกว่านี้ ส่วนตัวมองว่าเป็นพาร์ทดราม่า ตรงนี้หนังให้ความสำคัญกับการปูความสัมพันธ์ของตัวละครน้อยไปนิด การสูญเสียระหว่างทางเลยไม่ถึงกับทำให้อินระดับบีบน้ำตาได้อย่างที่ควรและไม่ขยี้มากพอที่จะเป็นเหตุผลให้ กังลิม ลุกขึ้นมาปกป้องเมืองบ้านเกิด

วิจาร์ณ

Rampant ว่าด้วยเรื่องของอาณาจักรโชซอนที่มีความขัดแย้งภายในเกิดขึ้น แถมในเมืองยังเกิดการรุกรานของซอมบี้ และลูกชายของผู้สืบทอดบัลลังก์ก็กลับมายังบ้านเกิดเพื่อสานต่อสิ่งที่พี่ชายได้มอบหมายไว้ให้ทำ เขาต้องมาดูหนัง HDต่อสู้เพื่อปกป้องอาณาจักรที่เต็มไปด้วยฝูงซอมบี้

ใช่แล้ว แค่ฟังเรื่องย่อมันก็น่าสนใจใช่ไหมหล่ะ? แต่สำหรับเราพอได้ดูแล้วบอกเลยว่าไม่ชอบหนังเรื่องนี้เลย หนังดำเนินเรื่องและลำดับเหตุการณ์ได้เหมือนกับหนังสัตว์ประหลาดเกาหลีที่พึ่งเข้าโรงไปไม่นานอย่าง Monstrum ที่บอกได้เลยว่าแทบจะเหมือนกันเป๊ะๆ ต่างกันตรงที่เรื่องนั้นเป็น สัตว์ประหลาด เรื่องนี้เป็นซอมบี้ แถม Monstrum ยังสนุกกว่าด้วยซ้ำ!!!

จริงๆ หลายคนอาจนึกถึงความยอดเยี่ยมใน Train to Busan (เช่นเดียวกับเรา) แต่บอกเลยว่า Rampant เทียบไม่ติดเลยแม้แต่น้อย ในทุกๆ แง่ หนังเรื่องนี้ดำเนินเรื่องได้ยืด ยืดจนน่าเบื่อมาก จนชวนง่วงแบบสุดๆ หนังปูเรื่องนานมาก คือมันไม่จำเป็นต้องเล่าทุกเหตุการณ์ให้ออกมาเป็นฉากขนาดนั้นก็ได้

รีวิว Rampant

ผ่านมาเกินครึ่งเรื่องถึงจะเข้าประเด็นหลักได้ แม้กระทั่งฉากแอ็คชั่นที่โดยส่วนตัวคาดหวังว่าจะบุกฝ่าดงซอมบี้แบบมันส์ๆ เว่อร์ๆ แต่มันกลับทำได้ไม่หวือหวา ไม่มีความตื่นเต้น และไม่สนุกเลย หนังถ่ายทอดสดการตัดต่อในฉากแอ็คชั่นก็ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกระทึกเลย

เนื้อเรื่อง

เนื้อแท้จริง ๆ ของหนัง คือ แย่งชิงบัลลังก์กันซะมากกว่า และเมื่อมี 2 ปม ระหว่างแย่งชิงบัลลังก์กับซอมบี้ ไปไม่สุดสักทาง จนทำให้หนังนั้นเริ่มเนือยและชวนง่วง อีกทั้งตัวหนัง ยังดูไม่ค่อยกล้าแตะเนื้อเรื่องประวัติศาสตร์สักเท่าไหร่ ไม่รู้ว่ากลัวจะไปบิดเบือนข้อมูลประวัติศาสตร์ของจริงหรือเปล่า เลยทำให้นักแสดง แสดงออกมาไม่เต็มที่ เหมือนกั๊ก ๆ ของกั๊กอารมณ์ตัวละครกันไป

ถ้าเป็นคนเกาหลี เขาคงพอเข้าใจ แต่ถ้าเป็นคนไทยจะต้องพูด “อีหยังวะ” ในหัว ทำไมต้องทำแบบนั้น แบบนี้ ไอ้นี่เป็นใคร อะไรยังไง แต่ถ้าเราตั้งใจดูในหนัง มันจะมีบอกอยู่เล็ก ๆ เพื่อให้คนสังเกต แต่จะมีสักกี่คนที่สังเกตเห็น เช่น โปสเตอร์แปะไว้ว่าคนหน้าเหมือนกบฏอย่างนี้ เป็นต้น แต่ใครจะไปคิดล่ะ ว่ามันจะสำคัญในหนังจริง ๆ

และไทม์ไลน์ของหนังยืดเยื้อจนเกินไป ในหนังเล่าถึงว่า ซอมบี้พวกนี้ออกอาละวาดตอนมืด หนังก็เลยจัดให้ไปเลยมืด 3-4 รอบ เช้า 3 รอบ ทำให้หนังดูเนือย ๆ ถ้าตัดจริง ๆ จากหนัง 2 ชม. อาจเหลือแค่ 1.20 ชม. ด้วยซ้ำ ทั้ง ๆ ที่ความรู้สึกตอนนั้น คือ มันควรตกใจ คนไล่กัด ไล่แทะชาวบ้าน

แต่เข้าวังหน้าตาเฉยไม่เดือดร้อนอะไร ถ้าเป็นจริง คือ มันควรลนลานตั้งนานแล้วไม่ใช่มาเนิบ ๆ แล้วขู่ฆ่ากันในวัง ที่สำคัญในหนังเรื่องนี้ อันนี้ค้านเลยจริง ค้านมาก ๆ พระเอกเก่งไป เก่งเกินคน เก่งเหนือมนุษย์ ดาบเล่มเดียวฟันซอมบี้ได้ทั้งฝูง ซอมบี้ก็ลูกผู้ชายพอด้วยนะ ไม่มีรุมด้วย สู้กันทีละตัว 2 ตัว ฉีกกฏซอมบี้รุมไปได้เลย

เท่านั้นยังไม่พอ หนังยังมีหลากหลายเหตุการณ์ให้ชวนงง กับบทสนทนาที่งงงวยไม่แพ้กัน แถมตัวละครที่เป็นเพื่อนพระเอกที่เหมือนพยายามจะใส่มาให้หนังมันตลก แต่มันกลับกลายเป็นน่ารำคาญ น่ารำคาญถึงขนาดอยากแช่ง ให้มันตายๆ ไปซะตั้งแต่ต้นเรื่อง หมายรวมไปถึงเหล่าซอมบี้ที่ไม่ได้มีความน่ากลัว หรือชวนให้เราตกใจระทึกขวัญอะไรเลยแม้แต่น้อย ซึ่งต่างจากซอมบี้ในเรื่อง Train to Busan อย่างสิ้นเชิง

ความชอบเพียงไม่กี่อย่างในหนังเรื่องนี้คงเป็นแนวคิด การเซ็ทฉากหรือเหตุการณ์ให้เกิดขึ้นในยุคพีเรียตที่มีเหล่าซอมบี้ในราชวัง และการแต่งหน้าต่างๆ ของซอมบี้เท่านั้นแหละ

สรุป

น่าดูแหล่ะไปดูความทะเล้นของพระเอก ดู CG ซอมบี้สวย ๆ เนียน ๆ ตา แต่เนื้อเรื่องปล่อยผ่านไปเถอะ อารมณ์เหมือนดูซีรี่ส์ในโรงหนังดี ๆ นี่เอง เพราะเวลามีจำกัดฉากซีนอารมณ์ต่าง ๆ เลยไม่สุดสักเท่าไหร่ แต่ถ้าทำเป็นซีรี่ส์คงน้ำตาแตกไปหลายรอบเหมือนกันซึ่งทั้งหมดแล้วก็ต้องไปพิสูจน์ด้วยตัวเองแหละ เพราะทั้งหมดก็เป็นความเห็นส่วนตัวของเราล้วนๆ อยากรู้ก็ต้องมาดูเอง

Bumblebee

ดูหนัง

รีวิว Bumblebee - บัมเบิ้ลบี

จะเรียกว่านี่คือหนัง Transformers ที่ดีที่สุดเลยก็ว่าได้! เพราะมันทำให้ลืมภาพระเบิดภูเขาเผากระท่อมเวอร์ชั่นของ Michael Bay ไปเลย ในเรื่องนี้มีหลายอย่างที่เวอร์ชั่นก่อนๆ ไม่มี (สิ่งที่ดี) Bumblebee มีความเป็นหนังแอ็คชั่น ดราม่า ที่ใส่เรื่องราวความสัมพันธ์ของหุ่นเหล็กกับมนุษย์เอาไว้ รีวิว Bumblebee
และมีความเป็นหนังแนว Coming of age อยู่เต็มตัวด้วย ด้วยความที่มันเป็นแบบนั้น หนังเลยไม่ได้จัดฉากแอ็คชั่น บ้าระห่ำ ระเบิดเมือง ตู้มต้ามเหมือน Michael Bay แต่หันมาใส่ใจเรื่องราวความสัมพันธ์ของสองตัวละครมากกว่า

เรื่องย่อ

ย้อนกลับไปในปี 1987 บัมเบิ้ลบีค้นพบที่หลบภัยอยู่ในพื้นที่เก็บของเก่าในเมืองริมชายหาดเล็ก ๆ ในรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยที่ ชาร์ลี (เฮลีย์ สไตน์เฟลด์) สาวที่กำลังจะมีอายุครบ 18 ปี ค้นพบบัมเบี้ลบี ในสภาพรถโฟล์กสวาเกนสีเหลืองที่ผุพัง ผ่านศึกมาหนัก และในไม่ช้า เธอก็รู้ว่าบัมเบิ้ลบีไม่ใช่แค่รถเต่าธรรมดาเลย

ในที่สุด ไมเคิล เบย์ ผู้กำกับบ้าพลังระเบิดก็สละมือจาก Transformers หนังใหญ่ยักษ์ของฮอลลีวู้ดเสียที แม้จะเป็นเพียงภาคสปินออฟก็ตาม โดยเอาตัวละคร บัมเบิ้ลบี จอมขโมยซีนที่คนดูรักและเอ็นดูเป็นพิเศษมาบอกเล่าเรื่องราวการเดินทางมาโลกครั้งแรกเมื่อปี 1987 และเปลี่ยนโทนหนังต่างจากเดิมไปพอตัว โดยเน้นเรื่องการปรับตัวแบบก้าวผ่านวัย พร้อมกับสร้างสายสัมพันธ์กับเพื่อนต่างสปีชีส์ ที่สื่อสารกันด้วยภาษากายได้อย่างซาบซึ้งตรึงใจ จะว่าไปนี่มันหนังดิสนีย์สไตล์ Monster Trucks (2016) ชัด ๆ เลยนี่หว่า

หนังเริ่มต้นด้วยไอเดียของ สปีลเบิร์ก ซึ่งเป็นโปรดิวเซอร์ใหญ่ของ Transformers มาตลอดในการที่จะหันมาเล่าเรื่องแยกย่อยที่ไม่ต้องไปต่อความกับภาคหลักซึ่งออกทะเลดาวไปไกลเกินเจอยูเทิร์นแล้ว และได้ผู้กำกับคนใหม่มาลองหาแง่มุมใหม่ ๆ ให้หนังอย่าง ทราวิส ไนท์ ผู้กำกับจาก Kubo and the Two Strings (2016)

หนังแอนิเมชั่นสต็อปโมชั่นจากค่าย Laika ที่เป็นขวัญใจใครหลาย ๆ คน ซึ่งไนท์ก็เหมาะกับการเติมแต่งเรื่องราวสไตล์เด็กดูแบบนี้เลยล่ะ เพราะหนังสามารถสมดุลระหว่างเรื่องราวการต่อสู้ระหว่างหุ่นยักษ์ที่ไล่ล่ากันข้ามจักรวาลมาถึงโลก กับเรื่องมิตรภาพระหว่างเด็กสาวที่มีปัญหาทางบ้านอย่าง ชาร์ลี กับ บัมเบิ้ลบี ที่สูญเสียกล่องเสียงและความทรงจำไปจากการต่อสู้ได้อย่างลงตัว

หนังเน้นการเล่าเรื่องที่ง่าย และคอยสอดแทรกที่มาที่ไปที่ไปสอดเสริมกับหนังภาคหลัก อย่างว่าทำไมบัมเบิ้ลบีถึงต้องมาโลก ทำไมไม่สามารถพูดได้ ทำไมถึงชื่อบัมเบิ้ลบี เป็นต้น ทั้งยังเอาใจแฟนพันธุ์แท้จากฉบับแอนิเมชั่นด้วยการได้เห็นร่างของเหล่าหุ่นยักษ์ในฉบับดั้งเดิมอีกหลาย ๆ ตัวด้วย
แต่ด้วยท่าทีที่ง่ายและต้องการให้เสพสบายลื่นคอ หนังจึงใช้สูตรการเล่าแบบมาตรฐานมาก ๆ เดาง่ายมาก ๆ ยอมละลายความสมจริงบางอย่างไปบ้างก็ทำ และมีมุกคอยเสริมเรื่องตลอดเวลา ขำบ้าง น่ารักบ้าง และบางอย่างก็ต้องบอกว่าเด็กน้อยเหลือเกิน ที่ดูไม่เข้าใจ พยายามยัดใส่แบบไม่มีเหตุผลก็มีให้เห็นบ้างพอสมควร แต่มุกที่หนังทำได้ดีเลยจนต้องชมคงเป็นการใช้บรรดาเพลงเก่ายุค 80 มาแทนควมคิดของบัมเบิ้ลบีซึ่งฉลาดและมีเสน่ห์มาก

การแสดงของดาราสาวอย่าง เฮลีย์ สไตน์เฟลด์ ที่เคยเข้าชิงนักแสดงสมทบหญิงออสการ์จากหนัง True Grit (2010) ตั้งแต่ยังเด็ก และมาฉายแสงในหนัง Pitch Perfect 2 และ 3 ในบทที่สาวขึ้นก็สามารถส่องประกาย ยึดสายตาจากผู้ชมได้อย่างดีเยี่ยม เรียกว่าเธอคือสิ่งที่น่ามองที่สุดบนจอได้เลยล่ะ ไม่ว่าจะบทดราม่าหรือบทตลกก็ทำได้ดีทีเดียว

ในขณะที่อีกหนึ่งดาราที่ใครหลายคนเป็นแฟนคลับอย่าง จอห์น ซีน่า นักมวยปล้ำที่เริ่มหันมาเอาดีทางหนังมากขึ้น ก็รับบททหารฝั่งโลกที่มีบทเว่อ ๆ ตลก ๆ อยู่เสมอ แต่ก็พูดกันตามตรง หลายครั้งมันเหมาะกับคนที่เป็นแฟนซีน่ามามากกว่า ใครเพิ่งรู้จักแกคงไม่เก็ตบุคลิกของแกว่าทำไมเล่นล้น ๆ ตลกแปลก ๆ จัง

และในฟากฝั่งของเหล่าหุ่นทั้งหลายต้องยอมรับว่ามีความเนียนและพอดีของซีจีในแบบที่ดูสบายตาสมจริง การแสดงสีหน้าท่าทาของตัวละครซีจีสื่อสารได้ดีเยี่ยม โดยเฉพาะบัมเบิ้ลบีนั้นน่าจะเป็นอีกหนึ่งตัวละครที่มีคนรักมากที่สุดได้ไม่ยากเย็น ในขณะที่ฝั่งตัวร้ายก็มีความโหดเหี้ยมและใช้เล่ห์เหลี่ยมได้ดี น่าเสียดายที่หนังไม่ได้ถูกออกแบบมาเป็นหนังสงครามเต็มตัว ทำให้บทที่เหล่าหุ่นจะสู้กันจริงจังมีน้อยเกินไปเมื่อเทียบกับความคาดหวัง

ส่วนที่ดีที่สุดของหนังคงเป็นการพักและมีมุมมองใหม่ ๆ ในการเล่าเรื่อง Transformers บ้างหลังจากระห่ำกันมามากแล้ว แต่ก็เป็นข้อเสียในตัวเพราะหนังมีฉากแอ็กชั่นเบาบางลงไปมากจนแฟนเดิม ๆ หรือผู้ใหญ่ ๆ อาจจะรู้สึกว่าหนังหน่อมแน้มน่าเบื่อ ซึ่งในมุมของแฟนใหม่ ๆ รุ่นเยาว์หรือวัยรุ่นต้น ๆ ตลอดจนคนดูที่ชอบหนังสายครอบครัวสายมิตรภาพน่าจะหันมาเป็นแฟนของเจ้าบัมเบิ้ลบีได้ไม่ยากเย็นเช่นกัน เรียกว่าได้อย่างเสียอย่างแลกกันไปเลย

เสียงพากย์

และสำหรับพากย์ไทยนั้นขออนุญาตวัดความรู้สึกจากการดูหนังซับไทย แล้วมาเทียบกับตัวอย่างฉบับพากย์ไทยนี้ ก็คิดว่าเป็นการตีความอีกแบบของตัวละคร เพราะเฮลีย์จะแสดงให้เห็นถึงความเป็นเด็กสาวที่ต้องเข้มแข็ง และมีความสู้ผ่านน้ำเสียงมากกว่า แม้ในยามอ่อนแอเราก็รู้สึกว่าเธอจะเข้มแข็งขึ้นได้

ในขณะที่เสียงน้อง ปัญ BNK48 นั้นจะออกมาทางน่ารักน่าสงสารมากกว่า แต่ในแง่คุณภาพเสียงนี่ไม่ต่างจากที่มืออาชีพเขาพากย์ในหนังดิสนีย์เลยล่ะ คิดว่าน่าจะได้คนละอารมณ์ซึ่งก็ไม่อาจชี้วัดได้ว่าแบบไหนดีกว่ากันเพราะหนังก็มีฉากขายในทั้งสองแบบให้เล่นอยู่แล้วด้วย เชื่อว่า 2 เวอร์ชั่นนี้ต่างมีดีของตัวเองทั้งคู่ครับ

วิจาร์ณ

ว่ากันตามตรง Bumblebee ดูหนังนี่มันพล็อตที่เชยมาก กับการปรากฏตัวของเอเลี่ยนมาบนโลกมนุษย์ ได้พบกับเด็กสาว/ชาย คนหนึ่ง ทั้งสองก็ผูกพันกัน รักกัน เป็นเพื่อนกัน และก็มีเหล่ารัฐบาลมาตามล่าตัวด้วยเหตุผลต่างๆ ไอ้เรื่องราวแบบนี้เราเคยเห็นมันมาแล้วในหนังหลายเรื่อง เรียกได้ว่าพล็อตแบบนี้มันเหมือนสูตรสำเร็จของหนังแนวนี้เลย แต่ต้องขอชมว่า Travis Knight ทำหนังเรื่องนี้ออกมาได้สนุกเลยแหละ

Bumblebee เปิดเรื่องได้น่าประทับใจมากและเป็นสิ่งที่แฟนๆ หลายคนอาจจะรอคอยเลยก็ว่าได้ กับฉากสงครามแอ็คชั่นบนดาว Cybertron ที่เราได้เห็นหุ่น Transformers Generation 1 มากมายหลายตัวทั้งทางฝั่ง Decepticon หรือ Autobot นี่เข็นกันออกมาได้จัดเต็ม และทำให้นึกถึงการ์ตูนที่เคยดูสมัยเด็กเลยทีเดียว ไม่เพียงแต่ฉากแอ็คชั่นเปิดเรื่องดีเท่านั้น ฉากแอ็คชั่นทุกฉากในเรื่องนี้ถึงแม้มันจะน้อย แต่โปรแกรมหนังก็ทำออกมาได้ดีมากกว่าฉบับ Michael Bay เยอะมาก ไม่เพียงแต่มันดูรู้เรื่อง มันยังดูไหลลื่นอีกด้วย ถึงมีน้อยแต่ยอดเยี่ยมทุกฉาก

สิ่งที่ดี...

ก็คือตัวละครหลักอย่าง Bumblebee หนังให้ความสำคัญกับตัวละครมากๆ มากกว่าแฟรนไชส์ Transformers ที่ผ่านมาไหนๆ Bumblebee ในเรื่องนี้ได้รับบทตัวเอกอย่างเต็มตัว และได้พระเอกเสียงหล่ออย่าง Dylan O’Brien มาให้เสียงพากย์อีกด้วย (ถึงแม้จะน่าเสียดายและน่าหงุดหงิดก็ตาม ที่ให้เสียงพากย์ตัวละครแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น!!!)

เชื่อว่าหลายๆ คนที่ดูจบ อาจจะอยากได้ Bumblebee กลับไปเลี้ยงที่บ้านเลยก็ว่าได้ เพราะการกระทำต่างๆ ความไร้เดียงสา นิสัยใจคอ ความมุ้งมิ้ง น่ารัก น่าเอ็นดู แบบจัดเต็มโคตรๆ เหมือนนางเอกเก็บหมาเก็บแมวมาเลี้ยงยังไงยังงั้น บวกกับความน่ารักของน้อง Hailee Steinfeld ที่ทำให้ความสัมพันธ์ของสองตัวละครดูมีมิติมากขึ้น (แน่นอนว่าเราจะไม่ได้เห็นการแหกปากโวยวายเรียกชื่อหุ่นตลอดทั้งเรื่องอย่าง Shia LeBeouf แน่นอน)

ซึ่งฉบับของ Michael Bay จะใช้ตัวละครหญิงเป็นเหมือน Sex Symbol มากกว่าจะมาใส่ใจตัวละครแบบในเรื่องนี้ แต่ถ้าจะให้ว่ากันตามตรงนางเอกก็ไม่ได้เล่นดีมากจนน่าชื่นชม แต่ก็ไม่ได้เล่นแย่จนรับไม่ได้ อย่างน้อยก็ยังมีหน้าตาน่ารัก ความไร้เดียงสา กับบทที่ช่วยส่งให้เราเอาใจช่วยเธออยู่เล็กๆ เหมือนกัน

รีวิว Bumblebee

สิ่งที่ชอบ

ก็คือกิมมิคการคุยกันของ Bumblebee กับ Charlie Watson ที่มีการติดต่อสื่อสารกันผ่านวิทยุโดยใช้เสียงเพลงแทนคำพูดต่างๆ ของตัว Bumblebee เอง (ใช่แหละว่าเราเคยได้เห็นกันมาจากในแฟรนไชส์ Transformers ก่อนหน้านี้แล้ว กับการเอาคำจากวิทยุมาต่อเป็นคำพูด)

แต่เรื่องนี้ใช้เพลง ซึ่งมันยังสะท้อนให้เห็นถึงวัยรุ่นที่ชอบฟังเพลง และวัยรุ่นกับเสียงเพลงมักมาคู่กันเสมอ เสียงเพลงเหล่านั้นยังเป็นมุกฮาๆ เรียกเสียงหัวเราะได้หลายฉากเลยทีเดียว เพลงเหล่านั้นยังเป็นเพลงยุค 80s ที่คุ้นหู และเพราะเหมาะสมกับหนังสุดๆ

ด้วยความที่หนังไม่ได้มีฉากแอ็คชั่นจ๋า ทุกๆ 5 นาที และไม่ได้เล่นใหญ่เล่าเรื่องไกลตัว Bumblebee จึงเป็นหนังที่เข้าถึงง่าย และทำให้เรารู้สึกอบอุ่นกับความน่ารัก และเอาใจช่วยสองตัวละครไปจนจบทั้งเรื่อง หนังยังกลมกล่อม ด้วยมุกตลกต่างๆ ที่ล้วนใส่มาถูกจังหวะจะโคนเสียเหลือเกิน แต่มันก็ยังมีข้อที่น่าเสียดายอยู่บ้าง

นั่นก็คือการมีอยู่ของตัวละครชายผิวสี ที่เราไม่ได้รู้สึกว่าเขามีความจำเป็นกับเรื่องราวในหนังเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งประเด็นเรื่องความสัมพันธ์กับพ่อเกี่ยวกับการแข่งขันว่ายน้ำ ที่มันไม่จำเป็นและไม่สามารถมีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้เป็นจุดพีคได้ขนาดนั้น (แต่ก็ยังมีเรื่องที่น่าซึ้งอยู่เหมือนกันในประเด็นเดียวกัน)

และสุดท้ายที่สำคัญเลยอย่างที่บอกไปข้างต้นว่า หนังไม่ได้สร้างความแปลกใหม่ให้กับเนื้อเรื่อง มันจึงจำเจและเชยไปหน่อย แต่ก็ยังดีที่มันทำออกมาได้สนุก และถ้ามันมีอะไรที่ดีกว่า ดราม่าที่เข้าถึงกว่านี้ เรื่องนี้จะเป็นหนังที่ดีมากๆ เลยทีเดียว

สรุป

Bumblebee เป็นหนังที่ดูได้สนุกเลยแหละ สำหรับคนไม่เคยดูภาคไหนมาก่อนหรือลืมก็สามารถไปดูได้ เพราะจะเป็นเรื่องราวก่อน Transformers ทุกภาค ตัวละครน่ารัก ฉากแอ็คชั่นไม่เยอะแต่ดี Bumblebee กับฉากเปิดเรื่องก็คุ้มแล้ววววววว

Mortal Engines

ดูหนัง

รีวิว Mortal Engines - สมรภูมิล่าเมือง จักรกลมรณะ

Mortal Engines หนังที่ถูกดัดแปลงมาจากนิยายโดยเป็นฝีมือของ Peter Jackson ที่เคยฝากผลงานสุดตระการตามามากมาย ไม่ว่าจะเป็น The Lord of the Rings หรือ Hobbit และส่งต่องานกำกับให้ Christian Rivers ทีมงานคนสนิทที่ทำฝ่าย Art ในหนังใหญ่กับเขามาโดยตลอด และด้วยเหตุนั้นก็ทำให้แฟนๆ ต่างมีหวังและเรื่องนี้ก็ดูมีแววจะปังขึ้นมาในทันที รีวิว Mortal Engines

เรื่องย่อ

หลายพันปีหลังจากที่อารยธรรมถูกทำลายจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกลียุค มนุษย์ได้ปรับตัวและได้พัฒนาวิถีชีวิตใหม่ขึ้น ขณะนี้ เมืองเคลื่อนที่ขนาดใหญ่กำลังตระเวณท่องโลก และไล่ล่าเมืองที่เล็กกว่า ทอม นัทส์เวิร์ธธี (โรเบิร์ต ชีแฮน) ชายหนุ่มซึ่งมาจากระดับล่างของเมืองเคลื่อนที่ของลอนดอน เขาพบว่าตัวเองกำลังต่อสู้เพื่ออยู่รอด หลังจากที่ได้เผชิญกับผู้ลี้ภัยสุดอันตราย เฮสเตอร์ ชอว์ (เฮรา ฮิลมาร์) ทั้งสองคนอยู่ต่างขั้วกัน มากันคนละเส้นทาง แต่กลายมาเป็นพันธมิตรกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ และมีเป้าหมายที่จะเปลี่ยนอนาคต Mortal Engines กำกับโดย คริสเตียน ริเวอร์ส ซึ่งเคยได้รับรางวัลออสการ์สาขาเทคนิคภาพยอดเยี่ยมจาก King Kong โดยร่วมงานกับผู้สร้างรางวัลออสการ์อย่าง ปีเตอร์ แจ็คสัน, ฟราน วอลช์ และ ฟิลิปปา โบเยน ซึ่งร่วมเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย ภาพยนตร์ดัดแปลงจากหนังสือซีรีย์ดังของฟิลิป รีฟ ในปี 2001

เป็นอีกเรื่องที่ดัดแปลงมาจากนิยายเยาวชน ในยุคที่หนังจากนิยายกลุ่มนี้เริ่มเสื่อมความนิยม หลาย ๆ เรื่องก็หยุดอยู่แค่ภาคแรก และบางเรื่องก็ไม่สามารถสานต่อจนจบได้อย่าง Divergent แต่กระนั้นอภิมหาผู้กำกับปีเตอร์ แจ็คสัน ก็ยังคิดว่า Mortal Engines มีศักยภาพ พอที่จะสานต่อเป็นมหากาพย์เรื่องยาวได้อย่างที่เขาเคยทำสำเร็จมาแล้วกับ The Lord Of The Rings และ The Hobbit

แล้วปีเตอร์ก็ซื้อลิขสิทธิ์ในการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์มาจาก ฟิลลิป รีฟส์ เจ้าของเรื่องตั้งแต่ปี 2008 ใช้เวลาถึง 10 ปีในการดัดแปลงเนื้อหาจากนิยายมาเป็นบทภาพยนตร์ และมอบหมายหน้าที่กำกับให้กับคริสเตียน ริเวอร์ หัวหน้าทีมออกแบบงานสร้างที่ทำงานคู่กับเขามาแทบทุกเรื่อง ส่วนปีเตอร์ นั้นนั่งคุมในตำแหน่งอำนวยการสร้างและเขียนบทร่วม

ด้วยจินตนาการของผู้เขียน ถือได้ว่ามีศักยภาพพอที่จะเป็นหนังอีปิกฟอร์มใหญ่ได้ในแบบเดียวกับ The Lord Of The Rings และ The Hobbit เพราะผู้เขียนฟิลลิป รีฟส์ สร้างโลกใหม่ในจินตนาการขึ้นมา เป็นช่วงเวลานับพันปีจากนี้ในอนาคต มนุษย์ล้างผลาญกันเอง จน เหลือประชากรโลกไม่มากนัก ที่เหลือก็สร้างรูปแบบอารยธรรมในการดำรงชีพขึ้นมาใหม่ ด้วยการอาศัยอยู่ในเมืองเคลื่อนที่ เป็นยานพาหนะติดล้อขนาดมหึมา

และหัวใจหลักของเรื่องก็อยู่ที่ “ลอนดอน”เมืองติดล้อที่ใหญ่ที่สุดขนาดกว้างถึง 2 กิโลเมตร และขับเคลื่อนตัวเองและประชากรที่อาศัยอยู่ภายใน ด้วยการกลืนกินเมืองเคลื่อนที่ขนาดเล็ก พอจับเมืองเล็กมาได้ ก็แยกชิ้นส่วนเมืองเล็ก เอาน้ำมันเชื้อเพลิงไปขับเคลื่อนลอนดอน และส่งประชากรที่จับได้ไปเป็นทาส

เรื่องราวที่เดินซ้อนกันไปคือความอาฆาตพยาบาทของตัวละครนำ เฮสเตอร์ ชอว์ สาวผู้มีแผลเป็นฉกรรจ์บบนใบหน้า มีเป้าหมายที่จะสังหารแธดดีอุส วาเลนไทน์ ผู้ปกครองระดับสูงของลอนดอน แต่ก็พลาดท่าเสียโอกาสไป เพราะทอม แนสเวอร์ตี้ ชายหนุ่มนักเก็บสะสมสมบัติในลอนดอนและเทอดทูนในตัวแธดดีอุส เข้ามาขัดขวาง

แต่แล้วทั้งคู่ก็โดนแธดดีอุส กำจัดออกไปจากลอนดอน เรื่องราวจากนั้นคือการผจญภัยของเฮสเตอร์ และ ทอม ที่ต้องหนีเอาตัวรอดในโลกยุคเถื่อน แล้วบังเอิญได้เข้าร่วมกับ”หน่วยต่อต้านเมืองเคลื่อนที่” สุดท้ายก็ได้พากันย้อนไปแก้แค้นแธดดีอุสอีกครั้ง

ด้วยความที่เป็นหนังภาคแรก ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏบนจอล้วนเป็นสิ่งแปลกใหม่ ชวนตื่นตา ไม่ว่าจะเป็นลอนดอนเมืองเคลื่อนที่ยักษ์ และฐานทัพของหน่วยต่อต้านกลางอากาศ หุ่นยนต์ และบรรดาคาแรกเตอร์ที่มาพร้อมชุดและภาพลักษณ์ที่แปลกตา ทุก ๆ ส่วนดูพิถีพิถันมีรายละเอียดที่ยิบย่อยในทุกกระเบียดนิ้ว สมศักดิ์ศรีของคริสเตียน ริเวอร์ ในฐานะผู้กำกับมือใหม่แต่เป็นขาเก๋าจากสายงานโปรดัคชั่นดีไซน์

ตลอดเรื่องหนังพาคนดูไปทัวร์แทบจะทุกส่วนของลอนดอน ได้เห็นสภาพชีวิตความเป็นอยู่อย่างคร่าว ๆ ของชาวเมืองลอนดอนทั้งระดับผู้ดีมีอันจะกินและระดับแรงงาน ด้านภายนอกก็ทำให้รู้สึกได้ถึงความน่าเกรงขามของเมืองใหญ่นี้ อีกส่วนที่ออกแบบมาได้น่าสนใจมากก็คือ ฐานทัพลอยฟ้า ที่ลอยตัวอยู่ได้ด้วยบอลลูนใหญ่ ส่วนประกอบทั้งหมดไม่ว่า ท่าจอดเครื่องบิน ทางเดิน ที่พักอาศัย ก็ล้วนเป็นไม้แผ่นเล็กที่ดูเปราะบาง แต่ก็ดูสมจริงเพราะต้องการให้มีน้ำหนักเบาพอให้บอลลูนรับน้ำหนักได้

ตลอด 2 ชั่วโมงของหนัง ก็สอดแทรกฉากแอ็คชั่นเข้ามาเนือง ๆ ตั้งแต่เปิดเรื่องก็ได้เห็นความร้ายกาจของลอนดอนที่ตามไล่ล่าเมืองเล็กที่พยายามหนีเอาชีวิตรอดแต่ก็ไม่พ้น แอนนา แฟง หัวหน้าหน่วยต่อต้านเมืองเคลื่อนที่เปิดตัวมาแบบเท่มาก เป็นอีสาวดุที่เก่งทั้งมือเปล่าและอาวุธโชว์ฟอร์มลุยเดี่ยวซัดผู้ชายได้เป็นสิบอย่างเท่มาก

ดำเนินมาถึงช่วงท้ายก็เป็นฉากรบยาว ๆ ระหว่างหน่วยต่อต้านเคลื่อนที่กับลอนดอน ฉากนี้อัดแน่น ได้ดูทั้งการต่อสู้ของตัวละครสำคัญบนภาคพื้น และการลุยถล่มลอนดอนของฝูงบินรบของหน่วยต่อต้านฯ และการโจมตีด้วยอาวุธร้ายแรงโชว์เทคนิคซีจีกันอย่างดุเดือด

และด้วยความที่เป็นหนังภาคแรก จึงต้องแนะนำให้คนดูรู้จักกับตัวละครจำนวนมาก แต่บทหนังก็จำต้องเน้นหนักไปที่เฮสเตอร์ ชอว์ ที่เป็นตัวละครหลักของเรื่อง และเป็นกุญแจสำคัญของเรื่อง เพราะเรื่องเดินหน้าไปด้วยความอาฆาตแค้นของเธอ กับอดีตที่อยู่เบื้องหลังรอยแผลเป็นบนใบหน้า

และจุดนี้ก็เป็นกรณีหนึ่งที่สาวกจากฉบับนิยายไม่พอใจทีมผู้สร้างที่ปรับเปลี่ยนแผลเป็นบนหน้าเฮสเตอร์ เพราะในเวอร์ชั่นภาพยนตร์ได้ลดทอนความรุนแรงของแผลเป็นลงไปมาก ในหนังสือบรรยายไว้ว่าเป็นแผลเป็นที่ถูกกรีดข้ามใบหน้าผ่านปากจมูกและตาขวา ก็เข้าใจทีมผู้สร้างนะ

ถ้าสร้างหนังออกมาแล้วนางเอกหน้าเละแบบนั้นก็ขายของยากนะ หนังลงลึกอดีตของเฮสเตอร์ ชอว์ ตั้งแต่วัย 8 ขวบ ซึ่งเป็นการเฉลยที่มาของแผลเป็นและความแค้นที่เธอมีต่อแธดดีอุส วาเลนไทน์ ตัวละครอื่น ๆ ในเรื่องก็ถูกแนะนำมาแบบผิวเผินหนังไม่มีเวลาพอที่จะได้ให้เรารู้จักที่มาที่ไปของแต่ละคนได้มากพอ

หนังมีตัวละครที่น่าสนใจอย่างมาก โดยเฉพาะ “ไชรค์” หุ่นยนต์ที่มาพร้อมภาพลักษณ์ที่น่ากลัว มีตาสีเขียวและมีเนื้อเยื่อมนุษย์บาง ๆ อยู่บนใบหน้า เหมือนหุ่นผสมซอมบี้ แล้วไชรค์ก็เป็นหุ่นที่มีความแค้นกับเฮสเตอร์ ชอว์ มันต้องการเอาชีวิตเธอ การเปิดตัวของไชรค์ เรียกได้ว่าทำให้โทนหนังดูตื่นเต้นชวนติดตามขึ้นมา

จากความน่ากลัวของไชรค์และปริศนาถึงความเกี่ยวพันระหว่างหุ่นและเด็กสาวผู้นี้ แต่หนังก็ให้คำตอบถึงข้อสงสัยนี้ในเวลาไม่นาน เช่นเดียวกับปริศนาสำคัญทั้งรอยแผลบนใบหน้า ความอาฆาตแค้นในอดีตของเฮสเตอร์ ที่มีต่อแธดดีอุส ทุกปริศนาถูกเฉลยหมดสิ้น รวมถึงตัวละครสำคัญที่ถูกสร้างสรรค์มาอย่างน่าสนใจ ก็ถูกกำจัดเสียในภาคนี้ หนังจบแบบเผยทุกปริศนา ไร้ข้อสงสัยที่ชวนให้ลุ้นรอคำตอบในภาคต่อไป

ที่ชอบมากๆ

คือ วัตถุดิบของเรื่องนี้ คอนเซ็ปต์เรื่อง ที่เซ็ตโลกใบใหม่ขึ้นมา หนังไม่เสียเวลากับการปูเรื่องราวโลกใบใหม่ให้วุ่นวาย เล่ารวดเร็ว กระชับ ง่ายๆ ให้คนดูเข้าใจว่าเกิดจากการทดลอง และการกระทำของมนุษย์ หนังถูกออกแบบให้ออกมาในยุคล่มสลาย เมืองแต่ละเมืองเป็นยานพาหนะ เมืองล่าเมือง เปรียบดั่งการล่าอาณานิคมในสมัยก่อน ดูหนังเปิดเรื่องด้วยฉากล่าเมืองของมหาอำนาจ London เมืองเคลื่อนที่ขนาดใหญ่ ที่กำลังไล่ล่าเมืองขุดแร่เล็กๆ เพื่อจับคนมาเป็นทาสและใช้เมืองเป็นพลังงาน ต้องบอกเลยว่าเจ๋งมากๆ ทั้งแนวทางการล่า วิธีล่า เหตุผลในการล่า มันทำให้หนังส่วนนี้สนุกขึ้นมาในทันที แต่น่าเสียดายที่เราได้เห็นฉากแบบนั้นแค่ครั้งเดียวในหนังเท่านั้น และเว็บดูหนังเป็นแค่ครั้งเดียวที่เราได้สนุกกับมัน

รีวิว Mortal Engines

ตัวละคร

Mortal Engines เป็นหนังที่มีความโดดเด่นในเรื่องจินตนาการของผู้เขียน โดยเฉพาะลอนดอนเมืองเคลื่อนที่ เป็นจุดที่น่าสนใจที่สุดของเรื่องราว แต่หนังก็มีฉากไล่ล่าเมืองเล็กมาให้ดูเพียงแค่ฉากเดียวต้นเรื่องเท่านั้น ทั้งที่ประเด็นเมืองใหญ่ล่าเมืองเล็กก็ถูกนำมาใช้เป็นชื่อเรื่องเสียด้วยซ้ำ

ในขณะเดียวกันบรรดาตัวละครหลักของเรื่อง กลับดูอ่อนด้อยในแง่ความน่าสนใจ ตัวเฮสเตอร์ ชอว์ มีปริศนาจากรอยแผลบนใบหน้าซึ่งเมื่อถูกเฉลยก็หมดสิ้นความน่าสนใจแล้ว นอกนั้นตัวเธอไม่ได้มีความพิเศษอื่นใดเลย แต่กลับเป็นตัวแม่ของเธอแพนโดร่า ชอว์ ที่มีชื่อเสียงไปไหนก็มีคนรู้จัก ยิ่งกว่านั้นทอม แนตเวิร์ธตี้ พระเอกของเรื่อง ทั้งชีวิตไม่เคยออกจากลอนดอน ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ พาเฮสเตอร์ซวยไปหลายครั้ง

จนทำให้รู้สึกว่าเป็นภาระน่ารำคาญ ที่น่าจะตัดทิ้งเสียอยู่หลายครั้ง มีดีอย่างเดียวคือขับเครื่องบินเป็น เลยได้ฉากโชว์เท่เสียหน่อยในช่วงท้ายของเรื่อง สรุปได้ว่าเป็นหนังที่ได้ความตื่นตาตื่นใจกับโลกทัศน์ที่แปลกใหม่บนจอภาพยนตร์ หลาย ๆ ฉากที่ดูสนุกก็มาจากการเขียนเพิ่มเติมลงไปในบทภาพยนตร์
แม้จะไม่มีในนิยายต้นฉบับ ก็ยังชวนแปลกใจว่าปีเตอร์ แจ็คสันเห็นอะไรในนิยายเรื่องนี้ ถึงกับยอมควักกระเป๋าซื้อลิขสิทธิ์มาสร้าง ลำพังเส้นเรื่องต้นฉบับถ้าพ้นจากบรรดาเมืองเคลื่อนที่ แล้วหวังเสน่ห์ที่เหือดแห้งจากบรรดาตัวละครนำก็ดูเบาบางเกินไป ที่จะทำให้คนดูยอมออกจากบ้านมาดูหนังภาคต่อจากนี้

สรุป

ตัวหนังมันก็ชวนบันเทิงอยู่บ้าง งานสร้างสวยมากๆ คอนเซ็ปต์ดีแบบสุดๆ แต่ถ้าปรับปรุงบทให้ออกมาดีกว่านี้ นี่คงจะเป็นหนังอีกเรื่องที่น่าจะทำออกมาได้ยาวๆ