รีวิว The Invisible Man - มนุษย์ล่องหน
The Invisible Man - มนุษย์ล่องหน เป็นหนังที่แต่แรกเดิมทีจะถูกนำไปเข้าร่วมกับจักรวาล Dark Universe ที่เปิดโดย The Mummy (2017) แถมตอนแรกผู้ที่เป็นตัวเต็งจะมารับบทมนุษย์ล่องหนคือ Johnny Depp อีกต่างหาก แต่แล้วฝันนั้นก็สลายไปในพริบตา เพราะแค่ตัวเปิดจักรวาลก็ทำได้น่าผิดหวังพอสมควร รีวิว The Invisible Manเรื่องย่อ
เรื่องราวบอกเล่าถึงความสัมพันธ์ของชายหญิงคู่นึง แต่ฝ่ายชายเริ่มกระทำรุนแรงกับฝ่ายหญิง ทำให้เธอหนีออกมา แต่ไม่นานแฟนของเธอก็เสียชีวิตลง แต่เธอคิดว่าเรื่องราวเหล่านั้นมันคือการจัดฉาก และเธอกำลังถูกไล่ล่าจากสิ่งที่มองไม่เห็น!สนุกมากกก สมควรกับคะแนน Rottentomatoes ที่ 91% หนังสร้าความตึงเครียดได้ตั้งแต่นาทีแรกยันจบ มีให้พักหายใจได้แต่ละช่วงไม่กี่นาที ดูแล้วก็ชวนให้นึกว่า “มนุษย์ล่องหน” นี่มีคุณสมบัติที่จะเป็นตัวร้ายในหนังสยองขวัญแบบนี้มากกว่า ที่จะถูกเล่าในภาพลักษณ์พระเอกอย่างใน Hollow Man (2000)
หนังถูกเล่าผ่านตัวนางเอก ซีซิเลีย แคสส์ ภรรยาของ เอเดรียน กริฟฟิน นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังทางด้านการมองเห็น เริ่มเรื่องมาก็เป็นฉากที่ซีซิเลียกำลังหนีออกจากบ้านหรูหลังมหึมาที่ตั้งอยู่ริมหน้าผา หนังไม่ได้ปูพื้นมาว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นอย่างไร แต่สื่อผ่านทีท่าที่ซีซิเลียหวาดกลัวสามีของเธออย่างสุดขีด
ให้คนดูตีความกันเอาเอง ก็เป็นฉากลุ้นยาว ๆ ให้ต้องเอาใจช่วยกันตั้งแต่เปิดเรื่อง หลังเธอหนีพ้นมาได้ไม่นาน เอเดรียนก็ฆ่าตัวตายกลายเป็นข่าวใหญ่ ที่น่าสงสัยก็คือเอเดรียนทำพินัยกรรมมอบมรดกมูลค่ามหาศาลทั้งหมดให้กับซีซิเลีย ระหว่างที่ซีซิเลียสงสัยว่าการตายของเอเดรียนต้องมีเงื่อนงำแอบแฝงบางอย่างเพราะเธอรู้จักธาตุแท้ของสามีเธอเองเป็นอย่างดี ไม่นานจากนั้นซีซิเลียก็เริ่มสัมผัสได้ว่า มีใครเฝ้ามองและคอยติดตามเธอแต่เธอมองไม่เห็น
เห็นได้ชัดว่าฝีมือการกำกับของ ลีห์ แวนเนล ก้าวกระโดดจากเรื่อง Insidious: Chapter 3 อย่างมาก ขอย้อนความสักนิดสำหรับคนที่ไม่รู้จักชื่อ ลีห์ แวนเนล เขาผู้นี้คือเพื่อนสนิทของ เจมส์ วาน เขาเป็นคนเขียนบทและแสดงนำเรื่อง Saw ภาคแรก หนังที่แจ้งเกิดให้เจมส์ วาน กลายเป็นผู้กำกับชื่อดังแบบฉุดไม่อยู่ไปแล้ววันนี้
ส่วนลีห์ ก็ยังกระเตาะกระแตะ เขียนบทหนังไปเรื่อย เขาเขียนบท Saw ไปจนถึงภาค 3 และ Insidious ทุกภาค จนเริ่มมาลองจับงานกำกับครั้งแรกใน Insidious: Chapter 3 เรื่องถัดมาคือ The Upgrade ปี 2018 ถ้าใครหามาดูได้แนะนำเลย หนังสนุกมาก จนล่าสุดก็คือ The Invisible Man นี่ล่ะ ที่ฝีมือของลีห์ ก้าวกระโดดและฉายแสงว่าฝีมือเขาไม่น้อยหน้าเพื่อนสนิทล่ะ แล้วในฐานะที่เป็นผู้กำกับที่เขียนบทเอง ยิ่งจะได้เปรียบด้วยเพราะจะรู้ลึกว่าแต่ละฉากควรจะถ่ายทอดภาพออกมาอย่างไร โดยไม่ต้องอธิบาย
แล้ว The Invisible Man ของลีห์ ก็สามารถทำให้ มนุษย์ล่องหน นั้นออกมาได้น่ากลัวอย่างกับปีศาจร้ายตัวหนึ่งเลยเชียว ชอบมากกับการเล่นกับการคาดเดาคนดู บ่อยครั้งที่ลีห์เลือกแช่กล้องนิ่ง ๆ แล้วปล่อยให้นักแสดงเดินไปมา ด้วยการรับรู้ของคนดูว่า มนุษย์ล่องหนอาจะแอบอยู่ในฉากนั้น ก็ยิ่งต้องจ้องว่าจะมีอะไรขยับเขยื้อนไหม จ้องไปก็ลุ้นไปว่าจะมีอะไรโผล่มาให้ตกใจไหม หนังค่อนข้างเงียบมาก ยิ่งเพิ่มความกดดัน ใช้ดนตรีประกอบน้อยมาก แล้วทุกครั้งที่ใช้ก็ได้ประโยชน์อย่างคุ้มค่าจริง
ก่อนที่จะดูรู้สึกขัดกับภาพลักษณ์ของ เอลิซาเบ็ธ มอส อย่างมาก เป็นนางเอกที่ไม่ได้มีชื่อเสียงมากมายนักและไม่ได้มีเสน่ห์ดึงดูดเลย แต่ก็ถูกนำมาใช้เป็นชื่อขายปะหัวหนังเลยด้วยซ้ำ แต่พอได้ดู ก็ต้องชื่นชมเธอจริง ๆ ด้วยเอกลักษณ์ที่เป็นสาวตาโต กับบทที่ต้องเล่นคนเดียวบ่อยครั้ง
ยิ่งจำเป็นที่เธอต้องสื่อความรู้สึกอย่างมากผ่านสายตาและสีหน้า มีอยู่ฉากหนึ่งที่เธออยู่คนเดียวแล้วพูดความในใจกับสามีที่เป็นมนุษย์ล่องหน เป็นฉากยาวที่เธอเริ่มพูดจากสีหน้าธรรมดา จากนั้นก็เริ่มระบายความรู้สึกคั่งแค้นที่เก็บกดไว้ในใจ แล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไปตามระดับอารมณ์ เป็นสีหน้าของหญิงที่ผ่านความระทมทุกข์น้ำตาไหลพราก เป็นฉากที่โชว์ฝีมือการแสดงให้เห็นจริง เธอคนเดียวเอาหนังได้อยู่จริง ชื่นชมครับ
แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ความดีความชอบส่วนใหญ่ต้องเทไปที่บทของลีห์ แวนเนล ที่เล่าเรื่องราวได้ระทึกตลอด 2 ชั่วโมงของหนัง แค่เปิดฉากมาก็โยนปริศนาโครมใหญ่ใส่คนดูแล้ว เอเดรียน กริฟฟิน มีจุดประสงค์อะไร, เขากลายเป็นมนุษย์ล่องหนได้อย่างไร, แล้วเอเดรียนที่เป็นศพจากการกรีดข้อมือตัวเอง มามีตัวตนในร่างมนุษย์ล่องหนได้อย่างไร
หนังค่อย ๆ คลี่คลายไปทีละเปลาะ พร้อมทั้งหยอดปริศนาเล็ก ๆ น้อย ๆ เข้ามาใหม่ตลอดทาง แถมมีหักมุมในช่วงท้าย หนังสร้างบรรยากาศอึมครึม กดดันได้ทั้งเรื่อง และที่สำคัญฉีกออกจากสูตรสำเร็จของหนังสยองขวัญได้ ด้วยการไม่เน้นตุ้งแช่ และไม่มีฉากแหวะ
ลีห์ แวนเนล ดูสนุกกับการเล่นกับการคาดเดาของคนดู ให้ลุ้นเอาเองว่ามนุษย์ล่องหนจะโผล่มาตอนไหน ฉากไหน ที่ชอบอีกอย่างคือการปรับบทให้เข้ากับยุคสมัย รอบนี้มนุษย์ล่องหนหายตัวได้ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ที่ดูเป็นไปได้จริงกว่าการทำร่างกายตัวเองให้โปร่งแสงในเวอร์ชันก่อน ๆ
แต่ก็มีบางจุดที่ชวนขัดใจ แล้วก็ชวนให้รู้สึกเสียดายที่ลีห์ ยอมปล่อยให้หนังมีช่องโหว่มากมายเสียเหลือเกินไม่เช่นนั้นหนังจะสมบูรณ์กว่านี้มาก ยิ่งถ้าหนังได้เวลาเพิ่มมาสัก 10 นาที ให้คนดูได้เห็นความโหดร้ายของ เอเดรียน กริฟฟิน ว่าเขาทำอะไรกับ ซีซิเลีย ไว้บ้าง
การมาถึงของเอเดรียน ในร่างมนุษย์ล่องหน จะชวนระทึกกว่านี้มาก ยิ่งได้ โอลิเวอร์ แจ็กสัน-โคเฮ็น มารับบทเอเดรียน แม้มีเวลาบนจอไม่กี่นาที โอลิเวอร์ก็ฉายแววโรคจิตให้สัมผัสได้จริง แต่ดูหนังโดยรวมแล้วหนังก็สร้างสมคะแนนทางด้านบวกไว้มาก ทำให้ช่องโหว่เหล่านี้ไม่ฉุดคะแนนลงไปมากนัก
หนังใช้ทุนสร้างไปจุ๋มจิ๋มมากแค่ 7 ล้านเหรียญ ลงทุนกับฉากซีจีนิด ๆ หน่อย ๆ ใช้ตัวแสดงหลักแค่ 6 คนเท่านั้น พอเข้าฉายแค่สัปดาห์เดียวกวาดไปแล้ว 53 ล้าน คนที่ยิ้มสุดคือ เจสัน บลัม เจ้าของค่าย Blumhouse Production สตูดิโอที่เน้นสร้างแต่หนังสยองขวัญ
ที่เดินเกมฉลาดมากกับการไปรับเหมาโพรเจกต์ Dark Universe มาจากค่ายยูนิเวอร์แซล หลังโพรเจกต์นี้ล้มไม่เป็นท่าตั้งแต่เรื่องแรก เหตุจาก The Mummy หนังขายชื่อ ทอม ครูซ ในปี 2017 เจ๊งเละเทะ เดิมทียูนิเวอร์แซลวางตัว จอห์นนี่ เด็ปป์ ให้เป็นมนุษย์ล่องหนไว้ด้วยซ้ำ พอ The Invisible Man เปิดตัวที่ BlumHouse ได้สวยงามแบบนี้ ทำให้แฟนหนังสยองขวัญจะได้ดู มนุษย์หมาป่า, แดรกคูล่า, แฟรงเกนสไตน์ เป็นลำดับต่อไปอย่างแน่นอน
วิจาร์ณ
หนังมีการดำเนินเรื่องที่เรียบง่าย ไม่ซับซ้อน แต่ก็สนุกและคาดเดาไม่ได้ ช่วงแรกๆ เว็บดูหนังนี่ให้ความรู้สึกเป็นหนังสยองขวัญเลย จังหวะการใช้กล้อง การเคลื่อนกล้อง การเล่าเรื่อง การหลอกของมนุษย์ล่องหน นี่มันหนังสยองขวัญชัดๆ พอหนังดำเนินมาเรื่อยๆ ก็มีความเป็นหนังแมวไล่จับหนูเริ่มมีความระทึกขวัญเข้ามา ไล่ล่า ไล่ฆ่ากัน แล้วพาร์ทสุดท้ายเริ่มมีการสืบหาความจริง แถมยังมีเซอร์ไพรส์ ที่ถือว่าทำได้ดีเลยแหละ และเราก็ชอบตอนจบของเรื่องนี้นะ มันทำให้หนังเรื่องนี้มันไม่ใช่หนังที่แค่เข้ามาและผ่านไป ไม่ใช่แค่ไหนไล่ฆ่า มันคือหนังที่มีเรื่องราวมากกว่าที่เราคิด
ชอบมุมกล้องของเรื่องนี้ในหลายๆ ฉากมา มีการแพนไปแพนมา แช่นิ่งๆ ให้เราจับสังเกต ช่วงแรกนี่เพ่งตาแทบบอด ยังกะเล่น Photo Hunt กลัวจะไม่เห็นว่าอะไรเกิดขึ้น มนุษย์ล่องหนมันทำอะไร (ก็มันล่องหนไงเลยต้องคอยดู) และแทบจะตลอดทั้งเรื่อง หนังเล่นกับความรู้สึกเราได้ดีมาก
ทำให้เรารู้สึกไม่ปลอดภัย ถูกจับตามอง และไว้วางใจอะไรรอบๆ ไม่ได้เลย แถมยังมีจังหวะแบบเห้ย ช็อค อึ้ง ทึ่ง เยอะมาก มีความเหนือชั้นในหลายจุดอย่างที่คาดไม่ถึง และสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือดนตรีประกอบ ที่ทำออกมาได้ระทึกมาก ตื่นเต้นสุด บีบหัวใจเลยทีเดียว แค่แพนกล้องช้าๆ เพลงขึ้น ตึงๆ ก็ระทึกแล้วอะ
นักแสดงทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีมาก โดยเฉพาะนางเอก ที่ดูโทรม ดูกลัว ดูตระหนกจริงๆ เธอแสดงออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมเลย รวมถึงนักแสดงสมทบคนอื่นๆ ที่รู้หน้าที่และแสดงออกมาได้ดีไม่แพ้กัน
เอาจริงๆ หนังก็ทำให้เราเกิดคำถามหรือชวนสงสัยในหลายจุดนะ ว่าเอ๊ะ!? จริงๆ มันอะไรกันแน่นะ? หรือเกิดอะไรกันแน่นะ? แต่นั่นแหละ มันคืออีกส่วนที่ทำให้หนังเรื่องนี้มันสนุกยังไงล่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น