วันพุธที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2563

The Grudge - บ้านผีดุ

ดูหนัง

รีวิว The Grudge - บ้านผีดุ

The Grudge หรือบ้านผีดุ ในภาคนี้ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นการรีบูทครั้งที่เท่าไหร่แล้ว กับหนังผีในตำนาน จูออน กับเอกลักษณ์ผีสองแม่ลูกที่มาไล่ฆ่าทุกคนที่เกี่ยวข้อง โดยภาคนี้มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวนึงอยู่ญี่ปุ่นและโดนคำสาป จนกลับมาประเทศอเมริกาที่บ้านตัวเอง แต่คำสาปตามเธอกลับมาด้วย จึงทำให้คนที่อยู่ในบ้านนั้นตายยกครัว รวมถึงทุกคนที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับบ้านหลังนั้นด้วย รีวิว The Grudge

เรื่องย่อ

เรื่องราวของบ้านต้องสาปที่มาพร้อมกับผีจอมอาฆาต (จู-ออน) ที่พร้อมจะตามหลอนใครก็ตามที่เหยียบย่างเข้าไปในบ้าน ด้วยความตายอันโหดร้ายทารุณ จากการรายงานได้บอกว่าในเวอร์ชันนี้จะเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในภาคดั้งเดิม

คอหนังผีหลายคนน่าจะรู้จักหนังผีแค้นหน้าขาวจากญี่ปุ่นอย่าง จูออน ดี ด้วยเอกลักษณ์การเมกอัปที่ไม่เหมือนใครกับความโหดชนิดฆ่าทุกผู้ทุกนามไม่ถามสักคำ ก็ทำให้ผีสองแม่ลูกนี่กลายเป็นไอคอนจำของแฟรนไชส์ไปอย่างติดตาตรึงใจลากยาวจนมีหนังถึง 13 เรื่องเข้าไปแล้ว

โดยเป็นฉบับหนังวิดีโอ 2 ภาค หนังโรงฉบับญี่ปุ่น 2 ภาค หนังฉบับฮอลลีวูดรีเมกและดึงผู้กำกับเดิมไปทำ 2 ภาค หนังโรงฉบับฮอลลีวูดภาคต่อแต่เปลี่ยนผู้กำกับ 1 ภาค กลับมาเป็นหนังฉบับญี่ปุ่นอีก 4 เรื่อง หนังครอสโอเวอร์ปะทะซาดาโกะอีก 1 เรื่อง และหนังเรื่องนี้ก็จะเป็นฉบับฮอลลีวูดรีบูตใหม่ ถือเป็นหนังเรื่องที่ 13 ของแฟรนไชส์นี้แล้ว โดยไม่นับฉบับหนังสั้นปี 1998 ที่ผู้กำกับ ชิมิสุ ทาเคชิ ทำเป็นเหมือนเดโมก่อนที่จะได้ไฟเขียวทำหนังวิดีโอต่อมา

โดยในครั้งนี้โพรดิวเซอร์ใหญ่อย่าง แซม เรมี่ ก็ยังกลับมาและดึงผู้กำกับใหม่อย่าง นิโคลาส เปสเช่  ที่มีผลงานเปรี้ยงแจ้งเกิดในเวที Fantastic Cinema Festival อย่าง The Eyes of My Mother (2016) หนังเขย่าขวัญขาวดำที่คว้ารางวัลใหญ่ของเทศกาลแบบกวาดเรียบจนไปเข้าตาแซม เรมี่ในที่สุด

โดยเขายังทำหน้าที่แก้ไขบทด้วยตนเองจากบทฉบับเดิมของ เจฟ เบอห์เลอร์ มือเขียนบทสยองขวัญจากหนัง The Midnight Meat Train (2008) ด้วย โดยเรื่องราวในการรีบูตนี้ได้ย้ายสถานที่จากโตเกียวมาสู่อเมริกาอย่างเต็มตัว และเป็นไทม์ไลน์ที่อยู่ระหว่างหนัง The Grudge (2004) กับ The Grudge 2 (2006) ที่ขยายคำสาปจาก ผีคายาโกะ กับ ผีโทชิโอะ ลูกชายของเธอ มาสู่คำสาปบทใหม่

ซึ่งก็เป็นเหตุให้แฟนเดิม ๆ ของผีหน้าขาวตาเหลือกส่ายหน้าเพราะผีคายาโกะ (และ/หรือโทชิโอะด้วย) ออกมาในหนังแค่ 8 วินาทีเท่านั้น จนหนังได้คะแนนจาก Cinemascore ซึ่งสำรวจความเห็นผู้ชมจากวันเปิดตัวโดยโดนตัดเกรดไปเพียงแค่ F เท่านั้น (ซึ่งเป็นเกรดที่ได้ยากมาก ที่ผ่านมีหนังแค่ 20 เรื่องที่ได้เกรดนี้)

ซึ่งตอนที่ดูหนังก็พอเข้าใจได้ว่า พอหนังเก็บรักษาหัวใจของแฟรนไชส์ไว้แค่ คนที่ตายด้วยความแค้นจะกลายเป็นคำสาปติดที่อยู่ในสถานที่นั้น ๆ และเมินเฉยต่อรูปลักษณ์ที่เป็นไอคอนของแฟรนไชส์แบบผีญี่ปุ่นผิวขาวซีดตาเหลือกโตร่างกายบิดเบี้ยวผมยาวสยาย มากลายเป็นภาพแบบผีซอมบี้อเมริกัน (พูดให้ตรงคือฉากที่เห็นหน้าตาชัด ๆ มันคือผีแบบ Evil Dead ของแซม เรมี่ เลยล่ะ)

แม้จะใส่กิมมิกทั้งเลขที่บ้าน 44 ที่เชื่อมโยงไปถึงหนังสั้นของชิมิสุที่ชื่อ 4444444444 หรือฉากปี๊กาบู หรือการเล่าเรื่องแบบย้อนไปปี 2004 ที่ตรงกับหนังฉบับฮอลลีวูดเข้าฉากครั้งแรกก็ด้วย ล้วนเพื่อคารวะหนังต้นฉบับของทั้งญี่ปุ่นและอเมริกาแบบเอาใจใส่พอสมควรเลย

ก็ยอมรับล่ะว่าผีแม่ลูกจูออนดูจริง ๆ มันออกตลกมากกว่าน่ากลัวแต่พอเปลี่ยนไปใช้ผีอีกแบบและเข้าสูตรหนังผีเมกันจ๋าแบบนี้ หนังจึงไม่เหลือเอกลักษณ์น่าจดจำไปมากกว่าหนังบ้านผีสิงในแนวเดียวกันที่มีออกมามากมายเหลือเกิน ก็ไม่แปลกถ้าแฟนหนังจูออนจะมีความคาดหวังอีกอย่างและจะผิดหวังเมื่อเข้าไปดูหนังฉบับนี้

แต่ก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับหนังนะ หากมองข้ามความเป็นหนังจูออนไป หนังเรื่องนี้ก็นับว่าเป็นหนังสยองของผู้กำกับหน้าใหม่ที่ทำออกมาค่อนข้างดีใช้ได้เลยล่ะ ที่ประทับใจคือการออกแบบงานสร้างที่สวยงาม การจัดฉากแสงไฟเงามืดตามซอกมุมต่าง ๆ ส่งเสริมกับการมีอยู่ของผีได้อย่างลงตัว และจังหวะการขู่คนดูด้วยความเงียบกับเสียงสะดุ้งก็ทำเอามีคนหลับตาปี๋ หรือขนาดมีเสียงกรี๊ดออกมาให้ได้ยินเช่นกัน

ส่วนที่รู้สึกหนังมีความพยายามดีไซน์ที่ดีอีกอย่างคือ การเล่าเรื่องหลายไทม์ไลน์ไปพร้อมกัน ที่จริง ๆ มันน่าสนใจเลยล่ะ เพราะไทม์ไลน์ปัจจุบันปี 2006 จะว่าด้วยนักสืบสาวที่เข้าไปพัวพันกับตัวบ้านต้องสาปด้วยความสงสัยว่าทำไมรุ่นพี่เธอถึงห้ามยุ่งคดีนี้นัก ส่วนปี 2004 ก็เล่าเรื่องราวของนายหน้าขายบ้าน (จอห์น โช) ที่ไม่รู้ว่าครอบครัวนี้เกิดโศกนาฏกรรมไปก่อนหน้าแล้ว และ 2005 ก็เล่าเหตุการณ์ของผู้เข้าพักอาศัยรายต่อมาที่ตัวภรรยาป่วยหลงผิด

และตัวสามีต้องการให้ภรรยาจากไปอย่างสงบจนติดต่อนักฆ่าตัวตายมาช่วย ซึ่งแต่ละเหตุการณ์ในปีนั้น ๆ ก็มีซับพลอตของตัวเองที่น่าสนใจเหมือนหนังสั้น 3 เรื่องที่มาร้อยกันแบบเนียนกริบ เรื่องปี 2004 เป็นซับพลอตของพ่อแม่ที่รู้ว่าลูกในท้องอาจไม่ปกติและต้องรับความจริงนั้นให้ได้

แต่ก็กลายเป็นดราม่าโศกนาฏกรรมในเวลาต่อมา ปี 2005 เป็นซับพลอตว่าด้วยชายที่วิ่งเข้าหาบ้านผีสิงด้วยตนเองเพราะเชื่อว่าเมื่อภรรยาตายเขาก็อาจได้อยู่ร่วมกับภรรยาต่อไปในบ้านผีสิงหลังนี้ได้ ปี 2006 คือซับพลอตว่าด้วยแม่ที่หมกมุ่นกับครอบครัวในคดีมากกว่าลูกชายของตนเองจนนำภัยร้ายมาสู่ตน

และภาพใหญ่ก็คือ ดูหนังผีแค้นนามจูออน ที่ไม่ได้ลงมิติลึกนักว่ามีธีมภูมิหลังของผีตนนี้อย่างไรกันแน่ ทำให้มองรวม ๆ หนังเลยไปไม่สุดในทางที่ควรเป็น จะผีผลุ่บโผล่หรือผีเดินเห็นกันจัง ๆ ก็ก้ำกึ่งกัน ไอเดียหรือขมวดคิดสอนใจก็ไม่ชัดเพำราะถูกกระจายไป 3 ซับพลอตที่ตอบสนองต่อกันเองน้อยไปหน่อย (จริง ๆ ก็อาจจะมีล่ะ แต่ไม่ค่อยรู้สึก) โดยเฉพาะการเฉลยว่าสุดท้ายทั้ง 3 ไทม์ไลน์นั้นเชื่อมกันอยู่ ก็กลายเป็นสิ่งเกินเลยที่หนังไม่จำเป็นต้องทำเลย เพราะโปรแกรมหนังแทบจะเปิดเผยแต่ต้นแล้วโดยไม่ได้ใช้เทคนิคการเล่าพรางไว้แต่อย่างใด

รีวิว The Grudge

วิจารณ์

เอาจริงๆ คาดไว้แต่แรกแล้วว่าหนังมันต้องแย่แน่ๆ และมันก็เป็นแบบนั้นแหละ 555 คือเอาอย่างแรกที่เห็นชัดๆ เลย ตัวผี ที่แตกต่างจากต้นฉบับโดยสิ้นเชิง คือใครเป็นแฟนคลับจูออนต้องไม่ชอบแน่ๆ ล่ะ ผีขาวซีดตัวบิดเบี้ยวมันหายไป! กลายเป็นผีในรูปลักษณ์แบบอเมริกาเลยอะ แบบยังไงดีอะ เหมือนซอมบี้แหละมั้ง จึงทำให้มันค่อนข้างให้ความรู้สึกเหมือนไม่ใช่ผีที่เราคุ้นเคย สิ่งที่คุ้นเคยเดียวคงเป็นเสียงตอนผีจะโผล่ละมั้ง

อย่างต่อมาคือหนังเรื่องนี้พยายามเล่าเรื่องทำให้มันซับซ้อนเกิ๊น! คือหนังพยายามเล่าหลายๆ เส้นเรื่อง หลายๆ เหตุการณ์ เชื่อมโยงกันไปกันมา เล่าหลายช่วงเวลา แต่พอพยายามเป็นแบบนี้คือดูออกเลยว่าแบบไม่อยากเล่าเรื่องเป็นเส้นตรง พอมาทำแบบนี้มันกลับไม่ได้ซับซ้อนและชวนให้น่าติดตามขนาดนั้น คือมันเป็นสิ่งที่เหมือนคนดูรู้อยู่แล้วอะ แถมตอนจบยังหาทางลงง่ายเหลือเกิน เร็วไป ถ้าจะมาขนาดนั้นจัดหนักจัดเต็มไปกว่านั้นก็ได้ นี่แบบ “อ้าว...จบแล้วหรอ” บางคนในโรงที่นั่งด้วยกันยังงงๆ อยู่เลย

มาพูดถึงการหลอกของเรื่องนี้บ้าง มักจะเป็นคำถามแรกๆ ที่คนมักสงสัยว่า หนังเรื่องนี้มีฉาก Jump Scare เยอะไหม? ฉากพวกตุ้งแช่ แฮ่! อะไรแบบนี้ บอกเลยว่าเรื่องนี้มีเยอะมากจริงๆ ไม่ว่าตัวละครจะทำอะไรก็ตามมันจะต้องเจออะ คือง้างมาเลย ง้างมาแบบ คิดในหัวได้เลยว่ามาแน่ๆ โผล่แน่ๆ ดนตรีบิ้วมาและ มุมกล้องมาและ ทุกอย่างลงตัวแบบผีมันต้องโผล่มาแฮ่เร็วๆ นี้แหละ

ที่สำคัญคือเป็นแบบนี้ทั้งเรื่อง! เดาง่ายมาก ใครดูหนังผีเยอะๆ จะรู้สึกเหมือนผมแน่ๆ เท่านั้นไม่พอ การหลอกแต่ละฉากคือมันจำเจมาก ซ้ำ หนังเรื่องอื่นใช้ไปเยอะแล้ว เอาจริงๆ เราไม่ได้ติดใจหรือเกลียดอะไรฉากพวกนี้หรอก เพียงแต่ว่าอยากให้มันมีชั้นเชิงมากกว่านี้ ถ้ามาแบบในเรื่องนี้นะ

ถ้าคนดูเดาได้นะ ใส่มาเลย ใส่มาเต็มๆ ทุกๆ นาที ยัดมาแบบยัดมาเลย เดาง่ายใช่มั้ย ก็กดดันด้วยฉากหลอกเยอะๆ จนทำให้คนดูหายใจหายคอไม่ทันไปเล๊ย ไม่ต้องไปเล่นท่ายาก หลอกให้คนดูเหนื่อยไปเลย แต่อันนี้คือแบบขาดๆ เกินๆ ยังไงไม่รู้บอกไม่ถูกเหมือนกัน และไอ้ที่ตลกเข้าไปใหญ่คือต้องมีตัวละครนำพาให้เราไปเจอฉากเหล่านั้น มันเป็นปกติอยู่แล้วหล่ะหนังผีต้องมีตัวละครแบบอยากรู้อยากเห็น

และเรื่องนี้ก็มีแบบนั้น แต่บางทีมันก็อยากรู้อยากเห็นเกินเหตุไป๊ ไม่สมเหตุสมผลสุดๆ เหมือนกับว่าฉากตุ้งแช่ต่างๆ มันไม่ได้เกิดขึ้นระหว่างดำเนินเรื่อง แต่เหมือนกับตัวเรื่องเนี่ยแหละนำพาไปหาฉากตุ้งแช่เหล่านั้น อารมณ์เหมือนอยากโดนหลอกเหลือเกินอะไรทำนองนั้น มันจึงเดาทางง่ายแบบสุดๆ มีฉากนึงตอนผีหลอกตลกดี ผีมีการยืนโบกมือให้เหยื่อที่โดนด้วย โคตรตลก 555

ในเรื่องนี้มีหลายสิ่งที่ไม่จำเป็นเลยจริงๆ แต่ที่ขัดใจสุดคือการมีอยู่ของตัวละครตำรวจผู้ชาย รู้สึกโคตรไม่มีประโยชน์กับเรื่องยังไงไม่รู้

ว่าไปเยอะแล้ว มาพูดสิ่งที่น่าชื่นชมของหนังเรื่องนี้บ้าง นั่นก็คือการจัดแสงไฟ แต่ละฉากคือดีไซน์ออกมาดีมาก ทำการบ้านมาดีจริงๆ หลายๆ ฉากเห็นถึงความตั้งใจมากๆ เป็นสิ่งที่น่าชื่นชม แต่น่าเสียดายที่การหลอกและการดำเนินเรื่องน่าผิดหวังจริงๆ

สรุป 

มองว่าเป็นหนังจูออนก็ต้องบอกว่าเสี่ยงในการนำเสนออะไรใหม่ ๆ สำหรับแฟรนไชส์ มองเป็นหนังผีเรื่องหนึ่งก็ได้มาตรฐานอยู่แม้จะไม่ได้สดใหม่หรือมีอะไรให้ว้าวนัก และถ้ามองแบบกลาง ๆ ก็เป็นหนังสยองที่พอตอบโจทย์หนังโพรดักชันคุณภาพได้ดีพอสมควรเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น