วันพุธที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2563

Hell Fest

หนัง HD

รีวิว Hell Fest - สวนสนุกนรก

Hellfest เป็นหนังแนว Slasher กับฆาตกรหน้ากาก ที่ดูเหมือนจะจำเจ แต่มีพล็อตเรื่องที่น่าสนใจ โดยเป็นเรื่องราวของสวนสนุกธีมสยองขวัญที่ถูกเรียกว่า “Hellfest” ในอดีตสถานที่แห่งนี้เคยเกิดเหตุฆาตกรรมโดยผ่านไปหลายวัน กว่าจะมีคนรู้ว่ามีคนตาย เพราะหลายคนคิดว่าเป็นหุ่นประกอบฉาก และในครั้งนี้ฆาตกรคนเดิมมันกลับมา เพื่อทำให้สวนสนุกกลายเป็นลานสังหาร และพร้อมจะล่าเหยื่อรายใหม่อีกครั้ง รีวิว Hell Fest

เรื่องย่อ

เมื่อฆาตกรต่อเนื่องโรคจิตรายหนึ่งที่เปลี่ยนสวนสนุกธีมสยองขวัญให้กลายเป็นโรงเชือดสุดซาดิสม์ส่วนตัว สามสาวผู้โชคร้ายที่ติดกับหลงเข้าไปจึงต้องช่วยกันหาทางเอาชีวิตรอดก่อนที่จะกลายเป็นเหยื่อความวิปลาศรายล่าสุดของมัน

หนังแนวฆาตกรโรคจิตสวมหน้ากากแล้วตามฆ่าเหล่าวัยรุ่นคึกคะนองที่มีศัพท์เรียกกันว่า Slash Film เป็นแนวที่นิยมสร้างกันมากในยุค 80s – 90s ห่างหายจากจอหนังไปนานพอสมควร แล้ววันนี้ก็มี Hell Fest หนังสยองขวัญเรื่องล่าที่พาเรากลับไปสัมผัสบรรยากาศสยองเดิม ๆ อีกครั้ง กลับฆาตกรสวมหน้ากากรายใหม่ ที่มาตามฆ่ากลุ่มวัยรุ่น โดยเลือกสถานที่ให้เป็นสวนสนุกสยอง เพื่อเพิ่มความน่ากลัวได้มากขึ้นไปอีกกับบรรยากาศรอบข้าง

เปิดเรื่องด้วยการแนะนำตัวละครนำเป็นกลุ่มวัยรุ่นชาย 3 หญิง 3 เพื่อนสมัยไฮสคูลที่แยกย้ายกันไปพักใหญ่และได้กลับมารวมกลุ่มกันอีกครั้ง ทั้ง 6 ย้อนอดีตด้วยการพากันไปเที่ยวสวนสนุก Hell Fest ที่เต็มไปด้วยบ้านผีหลายหลังให้เข้าไปกรี๊ดกัน นาตาลี ในบทนำของเรื่อง เป็นเพื่อนสาวที่ไปเรียนต่อในรัฐอื่นแล้วได้กลับมาเยี่ยมเพื่อนในเทศกาลฮัลโลวีน

ซึ่งบรรดาเพื่อน ๆ ก็ถือโอกาสจัดฉากให้แนตได้มาเจอกับเกวิน คู่รักคู่ลุ้นสมัยไฮสคูลอีกครั้ง หนังใช้เวลาช่วงต้นพาเราไปสัมผัสภาพรวมกว้าง ๆ ของสวนสนุก hell fest ซึ่งดูก็น่าสนุกตามไปด้วย กับบรรยากาศแบบงานวัดฝรั่ง มีขนมขาย มียิงปืน และที่น่าสนุกมากคือทีมงานจำนวนมากแต่งชุดผีได้น่ากลัวแล้วคอยวิ่งมาแกล้ง หรือกระโดดจากมุมมืดมาแกล้งให้ตกใจ

ไม่นานนักหนังก็เริ่มเข้าหาสูตรสำเร็จของ slash film เมื่อเริ่มมีสมาชิกในกลุ่มแยกตัวออกไป และแน่นอนต้องตกเป็นเหยื่อของฆาตกรโรคจิต และจุดที่ทำให้ hell fest ได้แตกต่างจากหนังสยองขวัญเรื่องอื่นคือเมื่อฆาตกรหน้ากากผีสังหารเหยื่อท่ามกลางฝูงชน ก็ไม่มีใครแตกตื่นเพราะคิดว่านี่คือโชว์หนึ่งของสวนสนุก แต่หนังก็กลับไม่ได้นำจุดนี้มาเน้นสักเท่าใดนัก

ทำใจไว้แล้วว่าหนังแนวนี้ บรรดาตัวละครมักจะต้องทำเรื่องโง่ ๆ ให้ตัวเองซวยแล้วก็ต้องตกเป็นเหยื่อของฆาตกรโรคจิตแบบน่าสมน้ำหน้า แต่สุดท้ายก็ยังหงุดหงิดกับบทที่ยังคงเขียนให้บรรดาตัวละครทำเรื่องโง่ ๆ ฝืนพื้นฐานมนุษย์ครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วด้วยวัยของนักแสดงที่ทีมงานแคสต์มาแต่ละคนก็ดูเป็นวัยทำงานมากกว่าจะเป็นวัยรุ่นที่มาวิ่งกรี๊ด ๆ ในงานแบบนี้

อีกทั้งจุดสำคัญสุดอย่างฆาตกรสวมหน้ากากที่ถูกเพิกเฉยกับที่มาที่ไปไม่บอกเล่าสาเหตุว่าทำไมเขาถึงมีความโกรธแค้นกับเหล่าวัยรุ่นถึงกับต้องฆ่าทิ้งอย่างไร้เหตุผลจูงใจ อีกทั้งความแข็งแกร่งเกินมนุษย์ และความอึดถึกอย่างกับอสุรกายที่ทั้งโดนฟาดหัวหลายครั้ง โดนแทงเข้าที่ท้องเลือดโชกแต่ก็กลับสู่สภาพปกติได้ในเวลาอันสั้น

ทั้งที่หนังก็จงใจให้เห็นว่าฆาตกรรายนี้เป็นมนุษย์เช่นเรา ๆ นี่ล่ะ หาใช่ผีดิบอย่างเจสัน วอร์ฮี หรือเฟรดดี้ ครูเกอร์ หรือผู้สร้างอาจจะมั่นใจว่าแฟนหนังสยองจะต้องเคยชินกับความสามารถเหนือมนุษย์เหล่านี้ของฆาตกรสวมหน้ากาก ก็เลยเลือกที่จะไม่ลำบากหาทางอธิบายเหตุผลเหล่านี้ดีกว่า เรียกได้ว่าบทหนังเดินตามสูตรสำเร็จของหนัง slash film ยุคเก่า แต่ทำได้ด้อยกว่าด้วยซ้ำ

หนังก็มีฉากตุ้งแช่มาถี่ ๆ แต่ว่าหลาย ๆ ครั้งก็ทำให้เราตกใจด้วยเสียงซาวด์เอฟเฟกต์เสียมากกว่าตกใจด้วยภาพ คือภาพน่ะประมาณ 10-20 แต่ซาวด์นี่มาเต็มร้อยเลย บางฉากก็ดูธรรมด้าธรรมดาแต่ดนตรีประกอบนี่เล่นใหญ่ไปถึงไหนแล้ว ด้วยการขาดที่ไปที่มาของฆาตกรโรคจิตนี่ล่ะ ทำให้ตัวฆาตกรหน้ากากผีไม่สามารถสร้างรังสีอำมหิตให้กับตัวเองได้

การปรากฏตัวในแต่ละครั้งจึงไม่ค่อยชวนลุ้นเท่าที่ควรนัก เลยต้องพึ่งทั้งแสงสีเสียงมาสร้างบรรยากาศร่วม จุดที่หนังยังคงรักษามาตรฐานความสยองไว้ได้ คือฉากสังหารโหดที่เหล่าวัยรุ่นชายดวงซวยโดนกันไป แต่กลับเหยื่อฝ่ายหญิงนี่ลดดีกรีลงเยอะมาก ฉากที่ลุ้นสุดเห็นจะเป็นฉากกิโยตินนี่ล่ะ
และเป็นเพียง 2-3 ฉากที่ยังเล็ดลอดมาจากตัวอย่างหนังได้ Hell Fest นี่เป็นหนังที่สมควรได้รางวัลการตัดต่อตัวอย่างหนังยอดเยี่ยม เพราะแค่ตัวอย่างหนังนี่ก็เอาฉากเด็ดมาเล่าหนังได้เกือบทั้งเรื่องแล้ว แทบไม่เหลืออะไรให้รอลุ้นในหนังจริงเอาซะเล้ย

ผู้กำกับ เกรกอรี่ พลอตคิน เคยมีผลงานกำกับมาแค่เรื่องเดียวจาก Paranormal Activity: The Ghost Dimension (2015) แต่งานหลักของพี่เค้าคือมือตัดต่อหนังสยองขวัญที่เคยผ่านตาเราอย่าง Happy Death Day (2017) , Get Out (2017) ก็ไม่ถือว่าเลวร้ายหรอก แต่หนังควรจะได้บทที่แน่นกว่านี้
หนังใช้ทุนสร้างจุ๋มจิ๋มมากแค่ 5 ล้านเหรียญ เพราะไม่ต้องเสียต้นทุนไปกับการจ้างดาราแพง ๆ เลย ดาราที่มีชื่อในเรื่องนี้มีแค่คนเดียวคือ โทนี่ ทอดด์ เจ้าของบท Candyman หนังสยองขวัญปี 1992 ที่โผล่มาในบทรับเชิญแค่ไม่กี่นาที

วิจาร์ณ

แค่ฟังพล็อตเรื่องมันก็น่าจะสนุกไม่ใช่เล่น เพราะสวนสนุกเป็นสถานที่ที่องค์ประกอบเหมาะแก่การเป็นหนังไล่ฆ่าอย่างยิ่ง คือแค่คิดก็สนุกแล้ว แต่เรื่องนี้ทำให้สวนสนุกสยองขวัญกลายเป็นสวนน่าเบื่อไปเลย
ต้องออกตัวเลยว่าชื่นชอบหนังแนวนี้มาก Scream, Jason, Freddy, Halloween และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งจะเทียบกับพวกนั้นก็คงเทียบไม่ติด แต่เรื่องนี้ทำได้ไม่ถึงครึ่งของหนังเหล่านั้นด้วยซ้ำ จริงๆ ทุกอย่างเป็นสูตรสำเร็จมาก ตัวละครวัยรุ่นต้องโง่ๆ และต้องอยู่คนเดียวด้วยเหตุจำเป็นอะไรบางอย่าง แล้วก็โดนฆ่า อั๊ก!

บรรยากาศในหนังรายล้อมไปด้วยความน่าสยอง มันจะมีคนแต่งตัวประหลาดโผล่ออกมา แฮ่! พยายามทำให้เราตกใจเป็นระยะๆ บวกด้วยเพลงที่คอยบิ้วตลอด เกินอารมณ์ของหนังในตอนนั้นซะอีก พูดได้เลยว่ามันเยอะไป แทนที่จะน่ากลัว กลายเป็นน่ารำคาญแทน

หนังไม่ได้บอกถึงที่มาที่ไป หรือแรงจูงใจในการฆ่าของฆาตกรรายนี้เลยด้วยซ้ำ ว่าทำไมเขาถึงต้องทำแบบนี้ โกรธอะไรขนาดนั้น การกระทำไร้เหตุผลสิ้นดี จะบอกว่าบ้าก็ไม่ใช่ เพราะถ้าบ้าเราคงได้เห็นการนองเลือดมากกว่านี้เป็นแน่แท้ แต่การฆ่าในหนังนี้นับเหยื่อได้ไม่ถึง 10 คนเลยด้วยซ้ำ หนัง HDด้วยเหตุผลนั้นมันเลยทำให้ฆาตกรรายนี้ทุกครั้งที่ปรากฏตัว ไม่ได้น่ากลัว หรือน่าเกรงขามเลยสักนิด เหมือนเป็นแค่สตอร์คเกอร์ โรคจิตคอยตามกลุ่มวัยรุ่นกลุ่มนี้ไปโดยปริยาย

รีวิว Hell Fest


ตลอดทั้งเรื่อง การฆ่า การไล่ล่า ไม่ได้น่าตื่นเต้นเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้หนังเหมือนจะขายความโหด แต่ฉากโหดๆ มีจริงๆ แค่ 1-2 ฉากเท่านั้น (ฉากที่พอตื่นเต้นได้บ้างก็คงเป็นฉากกิโยตินจากในตัวอย่างนั่นแหละ) การฆ่าแต่ละตัวละครไร้ชั้นเชิงสิ้นดี ทั้งๆดูหนังผ่านเน็ต ที่วัตถุดิบรอบตัวมีอะไรให้โคตรน่าเล่นเยอะมากๆ แต่ดันใช้เป็นแค่ฉากหลังเท่านั้น หนังปูเรื่องเกี่ยวกับการฆาตกรรมแล้วเอาศพทิ้งไว้ในเครื่องเล่นโดยคนไม่รู้ คิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของสวนสนุก ก็น่าเสียดายที่หนังไม่ได้เน้นส่วนนี้เลย

ในด้านความสยอง

ก็ถือว่าสอบผ่านสบาย ถึงจะไม่ได้แปลกใหม่อะไร แต่ก็พอทำให้หายคิดถึงหนังแนวนี้ไปได้บ้าง เพราะสมัยนี้แทบจะไม่ค่อยมีออกมาให้ดูเท่าไร.. ด้านความโหดเลือดสาด ถือว่าเกินคาดมาก ก่อนดูไม่คิดว่าจะมีฉากโหดๆ นะ แต่ก็ดันมี! แล้วยังโหดสะใจด้วย! บางคนอาจจะต้องเบือนหน้าหนี แต่น่าเสียดายที่มีให้ดูน้อยนิดมาก ถ้ามีเยอะกว่านี้อย่างพวก Wrong Turn นะ เอา 10/10 ไปเลย

โดยรวม

หนังมีดีแค่เปลือกนอก แนวความคิด และบรรยากาศโดยรวมเท่านั้น แต่ทั้งหมดทั้งมวลแล้วหนังสอบตกในทุกๆ ด้านของความเป็นหนัง Slasher อย่างสิ้นเชิง ยังทำได้ไม่ดีมากนัก ไม่ว่าจะเป็นการสร้างพล็อตให้มันดูมีอะไรมากกว่า เดินจากต้นไปหาปลาย และการขาดซับพล็อตที่แข็งแรง การละเลยในรายละเอียดที่ทำให้ชวนสงสัย แม้จะว่ามีความสร้างสรรค์ด้านการสร้างฉากที่ชวนให้น่ากลัว แต่สิ่งที่ชวนให้รู้สึกว่าฉุดรั้งหนังมาก ก็คือ ..

เจ้าของหนัง hell fest ก็ดูมั่นใจกับหนังตัวเองจัง เปิดโรงฉายตั้ง 2,000 กว่าโรง หนังเข้าฉายในอเมริกาก่อนหน้าเราไป 1 สัปดาห์ ด้วยทุนแค่นี้ สัปดาห์แรกหนังก็ได้ทุนคืนแล้ว ที่เหลือจากนี้และตลาดนอกอเมริกาคือกำไรล้วน ๆ มีแววว่าเราอาจจะได้ดูภาค 2 กันด้วยนะ แต่สำหรับเรื่องนี้ยังไม่แนะนำครับ แค่ 91 นาที ยังรู้สึกว่านานเลย ดูจอเล็กก็ไม่เสียอรรถรสหรอกนะ

สรุป

หนังแนวนี้มันก็ทำออกมาเพื่อให้คนอย่างพวกเราดูโดยเฉพาะนั่นล่ะ (แบบแอด) แบบที่ไม่ต้องสนเหตุผล ช่วยฆ่าให้ดูทีเถอะ ขอเลือดเยอะๆ ยิ่งทำไรโง่ๆ ยิ่งดี จะได้ตายไวๆ อะไรแบบนั้น ถถถถถ ใครเป็นแบบที่แอดว่า ตีตั๋วไปดูได้เลย ไม่เสียดายตังค์แน่นวลลล

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น