รีวิว Rampant - นครนรกซอมบี้คลั่ง
หนังจากทีมผู้สร้างเดียวกับยอดหนังซอมบี้แห่งประวัติกาลของเอเชียอย่าง Train to Busan ซึ่งเราก็คาดหวังกับหนังเรื่องนี้มากๆ ด้วยความที่ถูกโปรโมทแล้วยกหนังเรื่อง Train to Busan มาพูดถึงคู่กัน บวกด้วยความเป็นหนังซอมบี้ยุคพีเรียตที่น่าสนใจ และปฏิเสธไม่ได้เลยแม้แต่น้อยว่ามันโคตะระจะน่าดู แต่พอได้ดูแล้วต้องบอกเลยว่าผิดหวังมากๆ รีวิว Rampantเรื่องย่อ
นครนรกซอมบี้คลั่ง เตรียมพบกับสุดยอดภาพยนตร์แอคชั่นสัญชาติเกาหลีแห่งปี 2018 โปรเจคต์ยักษ์ที่โลกรอดู นำโดยสองดาราระดับแม่เหล็กอย่าง ฮยอนบิน จากซีรีส์ Secret Garden และ จาง ดงกอน จาก Tae Guk Gi เรื่องเกิดขึ้นในเกาหลียุคพีเรียด เมื่อ อีชอง (ฮยอนบิน) โอรสของกษัตริย์และนักสู้ที่ฝีมือฉกาจที่สุดของอาณาจักรโชซอนที่ตกเป็นนักโทษการเมืองภายใต้การดูแลของราชวงศ์ชิงอยู่หลายปีถูก อียัง (จาง ดงกอน) พี่ชายและผู้สืบทอดบัลลังค์ เรียกตัวกลับมาแผ่นดินเกิดเพื่อช่วยต่อสู้กับฝูงซอมบี้คลั่งกระหายเลือดที่เข้ามารุกราน สองพี่น้องต้องร่วมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ในฐานะความหวังสุดท้ายของอาณาจักรโชซอนการมาของหนังซอมบี้ยุคพีเรียดเรื่องนี้ คงทำให้ใครหลายคนเลี่ยงไม่ได้ที่จะไม่นึกถึงหนังซอมบี้ที่เคยสร้างปรากฏการณ์ให้วงการหนังแดนกิมจิเมื่อสองปีก่อนอย่าง Train to Busan ซึ่งในคราวนี้ Rampant ก็เหมือนกับกับการหยิบ Train to Busan เปลี่ยนบรรยากาศจากบนรถไฟมาคลั่งกันในวังแทน
เนื้อหาของ Rampant เป็นเรื่องราวในยุคสมัยโชซอน ภายใต้การดูแลของราชวงศ์ชิง ซึ่งองค์ชายกังลิม (ฮยอนบิน) โอรสคนเล็กเจ้าสำราญของกษัตริย์ ถูกพี่ชายเรียกตัวกลับมาที่โชซอนเพื่อช่วยกอบกู้สถานการณ์หลังจากมีความขัดแย้งภายในวัง นำโดยเสนาบดีคนสนิทของจักรพรรดิ์อย่าง คิม จาจุน (จางดงกอน) ที่ก่อกบฏและเบื้องลึกปรารถนาที่จะขึ้นครอบครองบัลลังก์พระราชาแห่งโซชอนคนใหม่
แต่ขณะที่กังลิมกลับมายังบ้านเกิด หารู้ไม่ว่า ที่เมืองแห่งนี้มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสที่ทำให้ชาวบ้านกลายเป็นซอมบี้ แน่นอนว่า นี่คือนี่คือหนังฟอร์มใหญ่ของเกาหลีในปีนี้ ซึ่งน่าดูตั้งแต่แคส ที่ดึงนักแสดงเบอร์ใหญ่ของวงการอย่าง ฮยอนบิน และ จางดงกอน มาปะทะกัน
Rampant อาจเริ่มต้นได้ไม่หวือหวา โดยเฉพาะการปูที่มาที่ไปที่ทำให้ กังลิม มีเหตุต้องกลับมายังบ้านเกิด ซึ่งปูเรื่องค่อนข้างเนือย และยืดยาดไปนิด แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อชาวบ้านในเมืองโชซอนเริ่มถูกโรคระบาดและซอมบี้เริ่มปรากฏตัวขึ้น บรรยากาศของหนังถูกเปลี่ยนจากภาวะตึงเครียดการเมืองมาเป็นแอ็คชันทริลเลอร์ที่มีสีสันขึ้นมาทันที
อีกทั้งเมือซอมบี้มาอาละวาดในยุคเกาหลีโบราณ ยุคที่ผู้คนยังไม่มีใครรู้จักโรคระบาดสุดประหลาดนี้ กรปรกับการเซ็ตฉากและเครื่องแต่งกายที่นำพาคนดูรู้สึกถึงเหล้าเก่าในขวดใหม่ ทำให้ Rampant ยิ่งน่าสนใจมาก เรียกว่าหนังติดเครื่องนำพาตัวเองส่งความกดดันบีบคั้นมาถึงคนดูเมื่อผ่านครึ่งชั่วโมงแรก
หนังทำได้ดีโดยเฉพาะในส่วนเกลี่ยบทบาทของ กังลิม และ คิม จาจุน ซึ่งทำคนดูหายใจไม่ทั่วท้องตลอดทั้งเรื่อง เรียกว่าเซอร์วิสฉากห้ำหั่นเท่ ๆ ของสองคนนี้มาแบบจัดเต็ม โดยเฉพาะ ฮยอนบิน นี่เท่ มีเสน่ห์มาก เรียกว่าไม่เป็นรอง กงยู ใน Train to Busan เลย ต้องยอมรับว่าฉากคอมโบ้ในช่วงครึ่งหลังที่ไล่ล่าหลบหนีซอมบี้นั้นทำได้ระทึกถึงใจ
บวกกับโปรดักชันและซีจีที่ทำได้เนียนตามาก ๆ ตื่นเต้นลุ้นไม่ติดเก้าอี้จนหยดสุดท้าย อย่างไรก็ตาม จุดที่หนังน่าจะทำได้ดีกว่านี้ ส่วนตัวมองว่าเป็นพาร์ทดราม่า ตรงนี้หนังให้ความสำคัญกับการปูความสัมพันธ์ของตัวละครน้อยไปนิด การสูญเสียระหว่างทางเลยไม่ถึงกับทำให้อินระดับบีบน้ำตาได้อย่างที่ควรและไม่ขยี้มากพอที่จะเป็นเหตุผลให้ กังลิม ลุกขึ้นมาปกป้องเมืองบ้านเกิด
วิจาร์ณ
Rampant ว่าด้วยเรื่องของอาณาจักรโชซอนที่มีความขัดแย้งภายในเกิดขึ้น แถมในเมืองยังเกิดการรุกรานของซอมบี้ และลูกชายของผู้สืบทอดบัลลังก์ก็กลับมายังบ้านเกิดเพื่อสานต่อสิ่งที่พี่ชายได้มอบหมายไว้ให้ทำ เขาต้องมาดูหนัง HDต่อสู้เพื่อปกป้องอาณาจักรที่เต็มไปด้วยฝูงซอมบี้ใช่แล้ว แค่ฟังเรื่องย่อมันก็น่าสนใจใช่ไหมหล่ะ? แต่สำหรับเราพอได้ดูแล้วบอกเลยว่าไม่ชอบหนังเรื่องนี้เลย หนังดำเนินเรื่องและลำดับเหตุการณ์ได้เหมือนกับหนังสัตว์ประหลาดเกาหลีที่พึ่งเข้าโรงไปไม่นานอย่าง Monstrum ที่บอกได้เลยว่าแทบจะเหมือนกันเป๊ะๆ ต่างกันตรงที่เรื่องนั้นเป็น สัตว์ประหลาด เรื่องนี้เป็นซอมบี้ แถม Monstrum ยังสนุกกว่าด้วยซ้ำ!!!
จริงๆ หลายคนอาจนึกถึงความยอดเยี่ยมใน Train to Busan (เช่นเดียวกับเรา) แต่บอกเลยว่า Rampant เทียบไม่ติดเลยแม้แต่น้อย ในทุกๆ แง่ หนังเรื่องนี้ดำเนินเรื่องได้ยืด ยืดจนน่าเบื่อมาก จนชวนง่วงแบบสุดๆ หนังปูเรื่องนานมาก คือมันไม่จำเป็นต้องเล่าทุกเหตุการณ์ให้ออกมาเป็นฉากขนาดนั้นก็ได้
ผ่านมาเกินครึ่งเรื่องถึงจะเข้าประเด็นหลักได้ แม้กระทั่งฉากแอ็คชั่นที่โดยส่วนตัวคาดหวังว่าจะบุกฝ่าดงซอมบี้แบบมันส์ๆ เว่อร์ๆ แต่มันกลับทำได้ไม่หวือหวา ไม่มีความตื่นเต้น และไม่สนุกเลย หนังถ่ายทอดสดการตัดต่อในฉากแอ็คชั่นก็ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกระทึกเลย
เนื้อเรื่อง
เนื้อแท้จริง ๆ ของหนัง คือ แย่งชิงบัลลังก์กันซะมากกว่า และเมื่อมี 2 ปม ระหว่างแย่งชิงบัลลังก์กับซอมบี้ ไปไม่สุดสักทาง จนทำให้หนังนั้นเริ่มเนือยและชวนง่วง อีกทั้งตัวหนัง ยังดูไม่ค่อยกล้าแตะเนื้อเรื่องประวัติศาสตร์สักเท่าไหร่ ไม่รู้ว่ากลัวจะไปบิดเบือนข้อมูลประวัติศาสตร์ของจริงหรือเปล่า เลยทำให้นักแสดง แสดงออกมาไม่เต็มที่ เหมือนกั๊ก ๆ ของกั๊กอารมณ์ตัวละครกันไปถ้าเป็นคนเกาหลี เขาคงพอเข้าใจ แต่ถ้าเป็นคนไทยจะต้องพูด “อีหยังวะ” ในหัว ทำไมต้องทำแบบนั้น แบบนี้ ไอ้นี่เป็นใคร อะไรยังไง แต่ถ้าเราตั้งใจดูในหนัง มันจะมีบอกอยู่เล็ก ๆ เพื่อให้คนสังเกต แต่จะมีสักกี่คนที่สังเกตเห็น เช่น โปสเตอร์แปะไว้ว่าคนหน้าเหมือนกบฏอย่างนี้ เป็นต้น แต่ใครจะไปคิดล่ะ ว่ามันจะสำคัญในหนังจริง ๆ
และไทม์ไลน์ของหนังยืดเยื้อจนเกินไป ในหนังเล่าถึงว่า ซอมบี้พวกนี้ออกอาละวาดตอนมืด หนังก็เลยจัดให้ไปเลยมืด 3-4 รอบ เช้า 3 รอบ ทำให้หนังดูเนือย ๆ ถ้าตัดจริง ๆ จากหนัง 2 ชม. อาจเหลือแค่ 1.20 ชม. ด้วยซ้ำ ทั้ง ๆ ที่ความรู้สึกตอนนั้น คือ มันควรตกใจ คนไล่กัด ไล่แทะชาวบ้าน
แต่เข้าวังหน้าตาเฉยไม่เดือดร้อนอะไร ถ้าเป็นจริง คือ มันควรลนลานตั้งนานแล้วไม่ใช่มาเนิบ ๆ แล้วขู่ฆ่ากันในวัง ที่สำคัญในหนังเรื่องนี้ อันนี้ค้านเลยจริง ค้านมาก ๆ พระเอกเก่งไป เก่งเกินคน เก่งเหนือมนุษย์ ดาบเล่มเดียวฟันซอมบี้ได้ทั้งฝูง ซอมบี้ก็ลูกผู้ชายพอด้วยนะ ไม่มีรุมด้วย สู้กันทีละตัว 2 ตัว ฉีกกฏซอมบี้รุมไปได้เลย
เท่านั้นยังไม่พอ หนังยังมีหลากหลายเหตุการณ์ให้ชวนงง กับบทสนทนาที่งงงวยไม่แพ้กัน แถมตัวละครที่เป็นเพื่อนพระเอกที่เหมือนพยายามจะใส่มาให้หนังมันตลก แต่มันกลับกลายเป็นน่ารำคาญ น่ารำคาญถึงขนาดอยากแช่ง ให้มันตายๆ ไปซะตั้งแต่ต้นเรื่อง หมายรวมไปถึงเหล่าซอมบี้ที่ไม่ได้มีความน่ากลัว หรือชวนให้เราตกใจระทึกขวัญอะไรเลยแม้แต่น้อย ซึ่งต่างจากซอมบี้ในเรื่อง Train to Busan อย่างสิ้นเชิง
ความชอบเพียงไม่กี่อย่างในหนังเรื่องนี้คงเป็นแนวคิด การเซ็ทฉากหรือเหตุการณ์ให้เกิดขึ้นในยุคพีเรียตที่มีเหล่าซอมบี้ในราชวัง และการแต่งหน้าต่างๆ ของซอมบี้เท่านั้นแหละ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น