วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2563

Dracula

หนังใหม่เต็มเรื่อง

รีวิว Dracula - แดร็กคูลา

นิยายแนวสยองขวัญ Horror แบบคลาสสิกชื่อดังของ บราห์ม สโต็ก นักเขียนชาวไอริช ซึ่งต่อมาได้มีการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์แบบขาวดำเมื่อปี 1931 ถือว่าเป็นการเริ่มต้นการสร้างตำนานความสยองขวัญอันลือลั่นของแดร็กคิวล่าบนสื่อบันเทิงครั้งแรก และล่าสุดของ Netflix ปี 2020 ที่เพิ่งเข้าฉาย เป็นผลงานของทีมงานที่เคยสร้างลิมิเต็ดซีรีส์ชื่อดังอย่าง Sherlock ที่เคยฉายทางช่อง BBC มาก่อน ซึ่งก็ได้รับคำชื่นชมทั้งจากนักวิจารณ์และคนดูทั่วไปอย่างมาก มีคะแนนเฉลี่ยในเว็บ IMDb สูงกว่า 9.1 รีวิว Dracula

เรื่องย่อ

หลัง โจนาธาน ฮาร์เกอร์ (จอห์น เฮฟเฟอร์นาน) ทนายอังกฤษดวงกุดหนีออกมาจากปราสาทของ เคาต์แดร็กคูลา (แคลส แบง) เจ้าชายผีดิบรูปงามที่เปลี่ยนเขาให้กลายเป็นสมุนอมนุษย์ เขาได้บอกเล่าเรื่องราวสุดสยองที่ได้พบเจอให้แก่ ซิสเตอร์อกาธา (ดอลลี เวลส์) แม่ชีนักล่าแวมไพร์ตระกูล แวน เฮลซิง แต่เมื่อเรื่องราวบรรจบกับเวลาราตรีปัจจุบัน สำนักชีที่เหมือนปราการของพระเจ้าก็ต้องเผชิญศึกจาก เคาต์แดร็กคูลา ผู้หมายมาเอาตัว มีนา ฮาร์เกอร์ (มอร์ฟีดด์ คลาร์ก) คู่หมั้นของโจนาธานเพื่อเอาไปเป็นเจ้าสาวแห่งรัตติกาลของเขาต่อไป งานนี้ซิสเตอร์อกาธาจะกำราบปีศาจร้ายอย่างแดร็กคูลาและปกป้องทุกคนจากความตายได้หรือไม่


Dracula เดิมเป็นนิยายแนวสยองขวัญ Horror แบบคลาสสิกชื่อดังของ บราห์ม สโต็ก นักเขียนชาวไอริช ซึ่งต่อมาได้มีการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์แบบขาวดำเมื่อปี 1931 ถือว่าเป็นการเริ่มต้นการสร้างตำนานความสยองขวัญอันลือลั่นของแดร็กคิวล่าบนสื่อบันเทิงครั้งแรก แล้วหลังจากนั้นก็มีนักสร้างหนังและนักเขียนที่ดัดแปลง ต่อยอด เรื่องราวของแดร็กคิวล่าออกไปตามสื่อต่างๆทั่วโลก

สำหรับฉบับล่าสุดของ Netflix ปี 2020 ที่เพิ่งเข้าฉาย เป็นผลงานของทีมงานที่เคยสร้างลิมิเต็ดซีรีส์ชื่อดังอย่าง Sherlock ที่เคยฉายทางช่อง BBC มาก่อน ซึ่งก็ได้รับคำชื่นชมทั้งจากนักวิจารณ์และคนดูทั่วไปอย่างมาก มีคะแนนเฉลี่ยในเว็บ IMDb สูงกว่า 9.1

ดังนั้นการกลับมาสร้างผลงานอีกครั้งของทีมสร้างชุดนี้สำหรับลิมิเต็ดซีรีส์เรื่องล่าสุดคือ แดร็กคิวล่า กับทางช่อง BBC จึงนับว่าเป็นผลงานที่ได้รับความคาดหวังและถูกโปรโมทไว้มากพอสมควรครับ แล้วล่าสุดก็เข้าฉายครบทั้ง 3 ตอนใน Netflix เรียบร้อย

สิ่งหนึ่งที่ต้องขอบอกไว้ก่อนจะตัดสิน มินิซีรีส์ 3 ตอนจบนี้ว่าเป็นเพียงเหล้าเก่าในขวดใหม่ก็คือ เรื่องย่อที่เราเพิ่งเล่าไปเป็นเพียงแค่เรื่องย่อของตอนแรกเท่านั้น ! ใช่ครับ เพราะอีก 2 ตอนที่เหลือล้วนเต็มไปด้วยการดำเนินเรื่องที่เกินคาดเดา ด้วยว่า Dracula ฉบับนี้เป็นไอเดียของ มาร์ค เกทิสส์ และ สตีเฟน มอฟแฟตต์ สองครีเอเตอร์ที่เคยกุมบังเหียน Sherlock ซีรีส์เชอร์ล็อค โฮมส์ สุดฮิตของ BBC

ที่คราวนี้ก็มาจับมือกับ Netflix และดึงพวกเขามาคิดมาเขย่าไอเดียเล่าเรื่องแดร็กคูลาในมุมมองใหม่ ซึ่งเอาเข้าจริงเราก็ผ่านหนัง-ซีรีส์แวมไพร์กันมาจนเฝือแล้ว และส่วนใหญ่ก็หนีไม่ค่อยพ้นสิ่งที่ บราม สโตเกอร์ ผู้ประพันธ์นิยาย Dracula กล่าวไว้สักเท่าไหร่ด้วยกฎเกณฑ์ซ้ำ ๆ ซาก ๆ ทั้งเรื่องกลัวแสงแดด แพ้ไม้กางเขน สร้างสมุน และตามหาเจ้าสาวรัตติกาล

ซึ่ง Dracula ฉบับมินิซีรีส์หนังออนไลน์นี้ก็ยังนำเอาแนวคิดดังกล่าวมาปรับใช้ แต่ที่โดดเด่นมาก และไม่มีหนังแดร็กคูลาเรื่องไหนเคยทำคือการตั้งคำถาม ดังนั้นเราเลยเห็นการเล่าเรื่องในมุมมองของ ซิสเตอร์อกาธา ซึ่งโดยปกติตัวละครแม่ชีมักเป็นแค่ตัวประกอบ

แต่ Dracula ก็เพิ่มรายละเอียดเข้าไปว่าเธอสืบเชื้อสายมาจากตระกูล แวน เฮลซิง หรือผู้ที่ปราบเคาต์ วลาด แดร็กคูลา ได้สำเร็จนั้นแหละครับ ซึ่งซีรีส์ก็เล่นกับชื่อ นามสกุล ตัวละครในนิยายฉบับ บราม สโตเกอร์ อย่างสนุกสนานทีเดียว

การเล่าเรื่องใหม่

โดยการเล่าเรื่องที่เราพอบอกได้แบบไม่สปอยล์คือ 3 ตอนของมินิซีรีส์ Dracula แทบจะเป็นหนังคนละแนว โดยตอนแรกเป็นการปูพื้นและทวนภาพจำของผู้คนที่มีต่อเรื่องราวของแดร็กคูลาในแนวโกธิค-สยองขวัญ เราจะได้เห็นสิ่งที่คุ้นเคยทั้งปราสาทบนภูเขารวมไปถึงตัวละครที่เราคุ้นเคยตั้งแต่ฉบับนิยายทั้ง ฮาร์เกอร์ แดร็กคูลา แวน เฮลซิง เรื่อยไปจนถึงการปูพื้นเรื่องกลัวแสงแดด แพ้ไม้กางเขน และภารกิจตามหาเจ้าสาวรัตติกาล

โดยมีสมุนอย่าง โจนาธาน ฮาร์เกอร์ ทนายหนุ่มผู้โชคร้ายจากเกาะอังกฤษที่ถูกขอให้อยู่เพื่อสอนภาษาอังกฤษและมารยาทพื้นฐานก่อนเคาต์ แดร็กคูลา มีแผนจะย้ายไปอยู่ยังลอนดอน.. ใช่แล้วครับ เป้าหมายของแดร็กคูลาคราวนี้คือนอกจากการตามหาเจ้าสาวแล้ว ยังเป็นการไปหาแหล่งที่อยู่ใหม่

และเขาก็เลือกลอนดอน ประเทศอังกฤษ ด้วยหวังจะใช้ชีวิตและดูดเลือดจากเหล่าปัญญาชน ส่วนตอนที่ 2 คือจุดเริ่มของเซอร์ไพรส์ เพราะคราวนี้โทนการเล่าเรื่องเริ่มขยับมายังหนังแนวเอาตัวรอดในเรือโดยสาร เพราะคราวนี้ผู้โดยสารแปลกหน้าแต่ละคนจะต้องหนีการตามล่าของผีดิบดูดเลือด และตอนนี้ยังเล่นกับการวิพากษ์เรื่องชนชั้น เรื่องรสนิยมทางเพศ

ส่วนตอนสุดท้ายนี่แหละไฮไลต์เด็ด..เพราะมันเล่าเรื่องเป็นหนังไซไฟ-สยองขวัญที่ไม่ได้อยู่แค่ปี 1896 เหมือน 2 ตอนแรกแล้ว มิหนำซ้ำยังวิพากษ์สังคมได้อย่างเจ็บแสบ เปรียบเทียบการเสพย์ติดวัตถุกับเลือด ได้อย่างคมคายแบบไม่คิดว่าหนังหรือซีรีส์ แดร็กคูลา จะมาได้ไกลขนาดนี้เลยแหละ

การตีความใหม่เรื่องความกลัวของแดร็กคิวล่า

เนื่องจากในซีรีส์ของ Netflix ค่อนข้างเน้นหนักเกี่ยวกับการตีความในมุมความเชื่อเกี่ยวกับแวมไพร์ และเรื่องที่ว่า “ทำไมแดร็กคิวล่าถึงกลัวไม้กางเขน แพ้แสงอาทิตย์ และไม่สามารถเข้าไปในสถานที่ต่างๆได้หากไม่ถูกเชิญเข้าไป”

ซึ่งเรื่องส่วนนี้ก็จะถูกบอกเล่าและวิเคราะห์ผ่านทางตัวละครสำคัญคือ แม่ชีอากาธ่า รวมถึงทายาทรุ่นหลังอย่างโซอี้ ว่าทำไมอสุรกายที่มีชีวิตอยู่มา 500 ปี แถมมีพลังมากแบบนี้ ถึงกลัวและแพ้อะไรที่มันแปลกประหลาด และดูขัดกับอำนาจที่มันมีอยู่ รวมถึงการตีความแดร็กคิวล่าในมุมของความกลัวที่เขามีต่อไม้กางเขนในแง่มุมทางจิตวิทยาที่น่าสนใจ

จุดนี้ทำให้เรื่องราวของแดร็กคิวล่าในเวอร์ชั่น Netfix ดูมีมีติมากขึ้น (แบบแปลกๆ) ซึ่งก็อาจจะเป็นทั้งข้อดีและข้อด้อยสำหรับคนที่เคยรับชมในเวอร์ชั่นเก่ามาก่อน แต่ก็ถือว่าเป็นความพยายามที่จะไม่ทำให้เรื่องของแดร็กคิวล่าดูซ้ำซากจำเจครับ

แล้วอีกจุดหนึ่งที่ทีมสร้างหนังใหม่เต็มเรื่องทำออกมาสนุกๆ นั่นคือมีการทำ Easter Egg อ้างอิงไปถึงเรื่อง Sherlock เล็กน้อยด้วยครับ จากบทพูดของแม่ชีอกาธ่า ที่เธออ้างอิงว่า ได้ขอให้นักสืบที่รู้จักกันซึ่งอยู่ในลอนดอนช่วยสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับมีน่าและโจนาธาน รวมถึงเชื่อมโยงไปถึงเคาน์แดร็กคิวล่าด้วย

รีวิว Dracula

จุดเด่น

อีกจุดที่เจ๋งมากคือการสร้างคาแรกเตอร์ แดร็กคูลา และ ซิสเตอร์อกาธา ในซีรีส์นี้ ที่ไปไกลกว่าแค่การเป็นเรื่องของความดีชนะความชั่วน่าเบื่อ ๆ อย่างที่ผ่านมา เพราะคราวนี้การได้ แคลส แบง นักแสดงหนุ่มหล่อชาวเดนมาร์กได้ทำให้แดร็กคูลาฉบับนี่กลายเป็นหนุ่มหล่อเสน่ห์แรง ฉลาดและแสนอันตราย มากกว่าการเป็นปีศาจหลอกหลอนสร้างความน่ากลัวแบบฉบับอื่น ๆ

จนทำให้ตัวละครแดร็กคูลาฉบับนี้ดูน่าจดจำและน่ามองกว่าฉบับอื่นเยอะเลย และอีกตัวละครที่ทำได้ดีมากคือ ซิสเตอร์อกาธา ที่ได้ ดอลลี เวลส์ มาเติมบุคลิกแบบนักวิทยาศาสตร์ที่มองแดร็กคูลาเป็นทั้งศัตรูและผลงานทดลองความเชื่อของตัวเอง เรียกได้ว่าบทซีรีส์สามารถพลิกให้ตัวละครที่เหมือนจะเป็นตัวประกอบกลายเป็นไฮไลต์สำคัญที่ทำให้ซีรีส์ดูสนุกทีเดียว

จุดด้อย

แต่จุดที่อาจจะมองว่าด้อยสำหรับซีรีส์เรื่องนี้ก็มีอยู่เหมือนกัน เช่น การดัดแปลงบทบาทของตัวละครจากในต้นฉบับดั้งเดิมจนทำให้ตัวละครหลักบางคนในต้นฉบับมีบทน้อยลงมาก ตัวอย่างเช่น มีน่า รวมถึงการตัดบทของโจนาธานให้ตายตั้งแต่ตอนแรก แต่ตรงนี้ก็เข้าใจได้ว่าเพราะทีมสร้างขุดใหม่ต้องการสร้างความแตกต่าง แล้วปรับบทของแวนเฮลซิ่งให้มากขึ้นแทนนั่นเอง

อีกจุดที่เป็นทั้งข้อเด่นและด้อยก็คือ สไตล์การเดินเรื่อง เพราะการปราบแวมไพร์ในเรื่องนี้อาจจะไม่เหมือนกับในรูปแบบที่ฮอลลีวูดเคยสร้างเอาไว้ แต่เป็นการวางแผนหาทางต่อสู้กับแดร็กคิวล่าด้วยมันสมอง บทพูด กลทางจิตวิทยา ซึ่งตัวละครประเคนใส่กัน แล้วก็ทำให้เราได้แดร็กคิวล่าที่มีสมองเฉลียวฉลาดมากตนหนึ่งเข้ามาในโลกบันเทิงจนได้ครับ

โดยรวม

โดยรวมแล้วเป็นมินิซีรีส์ที่แนะนำสำหรับคอหนังสยองขวัญและคนที่อยากดูซีรีส์ไอเดียแปลก ๆ มาก เพราะคราวนี้มันไม่ได้เล่าเรื่องแดร็กคูลาซ้ำรอยทางกับเรื่องอื่น แถมเนื้อหายังดูสนุกและชวนคิดอีกด้วย แถมสเปเชียลเอฟเฟกต์ก็เนี๊ยบมากทั้งการเมคอัปคนให้ดูเละ ๆ หรือคอมพิวเตอร์กราฟิกที่บอกเลยว่าไม่แพ้หนังใหญ่เลย และส่วนตัวใครคิดถึงเพลง Angels ของรอบบี วิลเลียมส์ มันได้ถูกนำมาประกอบอย่างช่างคิดในซีรีส์เรื่องนี้

สรุป

ส่วนในตอนจบของเรื่อง หลายคนอาจจะรู้สึกว่า จบแบบห้วนไปไหม หรือว่าตัดจบ ที่จริงแล้วมันก็เป็นบทสรุปของแดร็กคิวล่าในแนวใหม่ที่น่าสนใจครับ เพราะมุ่งเจาะและสำรวจตัวละครแดร็กคิวลงไปลึกจนถึงความปรารถนาในการดำรงอยู่ของตัวเขาเอง ตรงนี้แนะนำว่าลองดูกันให้จบ ซึ่งแต่ละคนอาจจะมีความเห็นที่แตกต่างกันไป

Dead To Me Season 2

หนังใหม่เต็มเรื่อง

รีวิว Dead To Me Season 2 - เดด ทู มี

ต้องบอกเลยว่าซีซั่น 2 สนุกมากกว่าซีซั่น 1 ซะอีก เหมือนผู้สร้างไม่ต้องรออุ่นเครื่องให้คนดูเข้าใจแนวทางของเรื่องนี้ที่เกี่ยวกับความผิดบาปทุกข์ในใจ และการโกหกหลอกลวงที่ตั้งอยู่บนมิตรภาพความเป็นเพื่อนอีกที ผู้สร้างจึงจุดเครื่องสตาร์ทติดทันทีตั้งแต่ตอนแรกไล่ยาวจนครบ 10 ตอนแบบแทบไม่มีช่วงไหนแรงตกเลยแม้แต่น้อย รีวิว Dead To Me Season 2

เรื่องย่อ

หลังจาก​เหตุการณ์​ที่เกิดขึ้น​หลังบ้านที่ต้องเก็บ​ไว้เป็นความ​ลับ​ เจ็น​เเละ​จูดี้​ต้องกลับ​มาใช้​ชีวิต​เหมือนเดิม​ เเละทำให้​คนรอบข้าง​รู้สึก​ว่า​ไม่มี​อะไร​น่าสงสัยเเละอะไรเกิดขึ้นจากเหตุการณ์​นั้น​


ในขณะที่นิวฟีดส์เต็มไปด้วยข่าว Netflix ยกเลิกภาคต่อของซีรีส์หลายๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็น Everything Sucks และ Santa Clarita Diet ที่แม้จะทิ้งปมในตอนสุดท้ายว่าต้องมีซีซันต่อไปแน่ๆ แต่กลับถูกปิดโปรเจกต์ไปดื้อๆ จนแฟนซีรีส์หลายคนเริ่มใจคอไม่ดีว่าซีรีส์เรื่องโปรดของตัวเองจะได้ไปต่อหรือเปล่า

แต่อย่างน้อยแฟนๆ ของ Dead to Me ที่เพิ่งออกอากาศให้ได้รับชมทาง Netflix เมื่อเดือนก่อนก็สบายใจได้ เพราะซีรีส์ที่มีเอกลักษณ์และเสน่ห์ของตลกร้าย จิตป่วน ลึกลับ เข้มข้น การันตีด้วยคะแนนมะเขือสดในเว็บไซต์ Rotten Tomatoes สูงถึง 87% ได้รับการยืนยันว่าได้ ‘ไปต่อ’ ซีซัน 2 เป็นที่เรียบร้อย

ลิซ เฟลด์แมน ครีเอเตอร์และโชว์รันเนอร์ซีรีส์ Dead to Me ได้กล่าวในงาน FYSee นิทรรศการโปรโมตออริจินัลคอนเทนต์ของ Netflix ว่า “เรื่องราวในซีซัน 2 จะเริ่มต้นต่อจากตอนจบซีซันแรกทันที และจะเพิ่มความสนุกโดยเฉพาะพาร์ตดราม่าให้เข้มข้นขึ้นไปอีกอย่างแน่นอน”

เหตุผลหนึ่งที่ทำให้ Dead to Me ประสบความสำเร็จและได้ไปต่อในซีซันที่ 2 ก็เพราะนี่ไม่ใช่ซีรีส์อาชญากรรมที่พุ่งเป้าไปที่การหาคนผิดเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการให้คนดูและตัวละครค่อยๆ เรียนรู้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นไปพร้อมๆ กัน โดยจุดร่วมที่ทำให้คนดูรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งในความสัมพันธ์ของเจนและจูดี้คือท้ายที่สุดแล้วทุกคนล้วนมีปัญหา และมีวิธีจัดการกับปัญหา ความทุกข์ ความเจ็บปวดที่แตกต่างกันไป

Dead to Me เป็นผลงานสร้างของ ลิซ เฟลด์แมน นำแสดงโดย คริสตินา แอปเปิ้ลเกต, ลินดา คาร์เดลลินี, เจมส์ มาร์สเดน, เอ็ด แอสเนอร์ และแบรนดอน สก็อตต์ สร้างสรรค์โดย CBS Television Studios สำหรับวันออกอากาศของซีซัน 2 ยังไม่มีการประกาศออกมา แต่คาดว่าจะภายในปี 2020

เนื้อเรื่อง

เรื่องราวมาพร้อมกับการกลับด้านจากทุกข์กับบาปในใจของจูดี้ในซีซั่นแรก เมื่อเจนกลายเป็นตกที่นั่งลำบากแบบเดียวกันจากการพลั้งมือฆ่าสตีฟแฟนของจูดี้ จนต้องแบกรับชะตากรรมนั้นดูบ้าง ซึ่งก็กลายเป็นว่าเธอก็พยายามทำแบบเดียวกันกับที่จูดี้เคยทำกับเธอ แม้จะบอกว่าพลั้งมือฆ่าสตีฟจากการที่จะโดนสตีฟทำร้าย

แต่กลายเป็นว่ามีเรื่องราวที่แท้จริงหนังใหม่เต็มเรื่องซ่อนอยู่ในนั้นอีกเยอะมากกว่าที่เห็นในตอนจบซีซั่นแรก ที่ค่อยๆ เฉลยมาทีละนิดๆ และก็ผูกโยงกลับไปที่อุบัติเหตุชนแล้วหนีในซีซั่นแรกได้อย่างสมเหตุผล กลายเป็นปมใหม่ที่มีที่มาที่ไปจากปมเก่าแบบสับสนวุ่นวายมากกว่าเดิม จนไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วใครผิดกันแน่ในเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น

การเปลี่ยนจากคดีชนแล้วหนี มาเป็นคดีฆาตกรรมซ่อนศพ?

การเปลี่ยนเรื่องจากคดีชนแล้วหนีมาเป็นคดีฆาตกรรมซ่อนศพก็ทำได้ดี มีเหตุผลบอกตั้งแต่แรกว่าทำไมเจนถึงไม่ไปแจ้งตำรวจ ซึ่งก็ทำให้คนดูเข้าใจได้แบบสมเหตุผล แม้ซีซั่นนี้จะเกี่ยวกับศพตรงๆ ตลอดเรื่อง แต่ก็ไม่ได้ทำในแบบน่ากลัวสักเท่าไหร่ แม้จะมีฉากศพให้เห็นอยู่บ้าง

แต่ก็ออกแนวตลกร้ายไปกับความพยายามของสองคนนี้ที่ช่วยกันปิดบังอำพรางคดี ในขณะที่ตำรวจกับ FBI พยายามตามหาสตีฟว่าอยู่ไหน เรื่องเดินไปแบบทำให้ทั้งคู่ต้องเจอกับปัญหาซ่อนศพชวนปวดหัวต่างนานา และก็ต้องหวาดเสียวเมื่อทั้งตำรวจและคนรอบตัวทั้งคู่เริ่มสงสัยว่าทั้งคู่พยายามปิดบังอะไรสักอย่างอยู่แน่ๆ

ปมใหม่ และตัวละครใหม่

ในส่วนของมิตรภาพของทั้งคู่ก็ยังทำได้ดีเหมือนเดิม แม้ดูเหมือนว่าซีซั่นแรกจะหยิบมาเล่าไปเยอะแล้ว แต่กลายเป็นว่าซีซั่น 2 เรื่องยังสามารถใส่ปมและความน่าสนใจใหม่ๆ เพิ่มเข้ามาได้อีกจากการที่มีตัวละครอื่นมาเกี่ยวข้อง เป็นเพื่อนสาวคนใหม่ของจูดี้ รวมถึงตัวละครไม่คาดคิดว่าจะกลับมาได้ก็กลับมาอีกครั้ง

เรื่องไม่ทิ้งตัวละครในซีซั่นแรกไปเอากลับมาหมด และก็เพิ่มน้ำหนักความสำคัญขมวดตึงเข้ากับเรื่องได้ขึ้นไปอีก เพราะทุกคนเริ่มเข้ามาเกี่ยวกับคดีในคราวนี้มากขึ้น ต่างจากในซีซั่นแรกที่อยู่ห่างๆ เป็นแค่ปัญหาของทั้งสองคนเท่านั้น

ซีซั่นนี้ลดเรื่องดราม่าเครียดๆ ที่มีในซีซั่นแรกหายไปแทบทั้งหมด แต่ก็ยังมีปมของเรื่องความทุกข์ใจจากการโกหกอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง แถมทวีคูณหนักขึ้นกว่าเดิมเพราะกลายเป็นทั้งคู่ต้องช่วยกันโกหก แต่ดันพูดไม่ตรงกันเป็นประจำ แถมเจนยังโกหกจูดี้ซ้ำลึกกว่าหนักกว่าที่จูดี้เคยโกหกเจนในซีซั่นแรกซะอีก

หนังยังคงมีส่วนตลกร้ายที่ทำได้อยู่หมัดเหมือนเดิม แถมยังเพิ่มดีกรีตลกมากกว่าเดิมแบบรู้สึกได้ว่าเราขำได้หลายครั้งกว่าเดิม เว็บหนัง HD อาจจะเพราะพอเรื่องลดดราม่าหนักๆ หายไปทำให้เปิดโอกาสให้เล่นกับจังหวะตลกได้เต็มที่

ตัวเรื่องเปิดคดีใหม่ขึ้นมา และก็คลี่คลายเรื่องราวไปในตอนท้ายได้เกือบทั้งหมด จากนั้นก็เปิดปมใหม่เรื่องคดีชนแล้วหนีกลับมาอีกครั้งได้อย่างเหมาะเจาะ ต้องบอกว่าคนเขียนบทเรื่องนี้เก่งจริงที่โยงเรื่องวนกลับทับซ้อนไปมาได้อย่างน่าติดตามมากๆ เรียกว่าซีซั่น 2 นี้แรงดีไม่มีตกเลย แถมพาเรื่องให้ซับซ้อนวุ่นวายขึ้นได้อีกหลายเท่าแน่ๆ

รีวิว Dead To Me Season 2

โดยรวม

ส่วนตัว​มองว่า​นี่คือ​ซีรีส์​ที่​มาถึง​ซีซั่น​ที่​ 2 เเล้ว​ ทำได้ดีกว่า​ซีซั่นที่เเล้ว​เสียอีก เเม้​จะมีช่วงขัดใจ​เเละความน่ารำคา​ญ​อยู่บ้าง​ เเต่​ก็​สามารถ​ทำได้ดี​ตามมาตรฐานที่ซีซั่นเเรก​ได้ตั้งไว้อย่างดี​เลยทีเดียว​ ส่วนนักเเสดง​ก็​เล่นดีทุกๆคน​เลย​ โดย​เฉพาะสอง​บทนำ​ที่​ได้นักเเสดงหญิงทั้งสองคนที่มากฝีมือ

​คริสติน่า​ เเอปเปิ้ลเกท เเละลินดา​ คาร์เดลลินี่​มารับบทนี้​ ก็ทำหน้าที่​ได้สมกับบทบาทที่พวกเขาได้รับ​ได้ดีเลยทีเดียว​ ส่วนข้อเสียก็ มีอยู่บ้าง​อย่างการทิ้งค้าง​จากตอนจบที่รู้สึกว่ามากไปหน่อย​ ปม​บางปมที่ยังขยี้ไม่ค่อยสุดเเละบางจุดที่ยังขาดความสมเหตุสมผล​ไปบ้าง​ เเต่​รวมเเล้ว​นี่คือภาคต่อของซีรีส์ที่หลายคนอาจจะมองข้าม​ เเต่ยอมรับ​เลยว่า​ดู​เพลินตั้งเเต่ต้นยันจบ​เเน่นอน​ เเม้จะ​จุดที่รำคา​ญ​อยู่บ้าง

สรุป

ซีซั่น 2 เหมือนไม่ต้องปูดราม่าแล้วจึงจัดเต็มกับตลกร้ายได้เต็มที่โดยไม่เสียเวลาใส่ดราม่าเพิ่มอีกแล้ว แถมด้วยความซับซ้อนผูกโยงกันวุ่นวายในคดีต่อเนื่องจากซีซั่นแรก ที่ทำได้สนุกเฮฮามากกว่าเดิมหลายเท่า ตลอดตั้งแต่ตอนแรกยันตอนจบเลย

Dead To Me

ดูหนังฟรี

รีวิว Dead To Me - เดด ทู มี

ซีรีส์แนวดราม่าดาร์คคอมเมดี้ สืบสวนของ Netflix ที่แทรกความตลกร้ายตลอดทั้งเรื่อง สำหรับคนที่รอคอยซีรีส์แซ่บๆ มีตัวละครเดินเรื่องเป็นผู้หญิงที่ต่างก็กุมความลับบางอย่างเอาไว้ ให้คนดูลุ้นว่าเมื่อไหร่ความจะแตก เรื่องจริงจะปรากฏ Dead to Me คือซีรีส์ทาง Netflix แบบเผ็ดๆ ที่คุณต้องไม่พลาด รีวิว Dead To Me

เรื่องย่อ

เรื่องราวของ เจน หญิงสาววัยกลางคน ผู้ซึ่งต้องกลายเป็นแม่ม่ายเลี้ยงเดี่ยวหลังจากที่สามีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุชนแล้วหนี เจนรับมือกับความสูญเสียโดยเข้าร่วมกลุ่มบำบัดทุกข์ ที่นั่นเธอได้พบกับ จูดี้ เฮล ผู้หญิงนิสัยดี มีอารมณ์ขัน ที่พยายามเข้ามาตีซี้กับเธอ โดยที่เจนไม่รู้เลยว่าจูดี้กำลังเก็บงำความลับที่ว่าเธอเป็นคนร้ายที่ขับรถชนสามีของเจน


ซีรีส์ติดท็อปฮิตใหม่ของ Netflix 2019 ที่เรียกว่ามีเอกลักษณ์เฉพาะ ด้วยพล็อตง่ายๆ ของเรื่องราวคดี “ชนแล้วหนี” ที่ปกติจะมาแนวสืบสวนระทึกขวัญตามไล่จับฆาตกรอะไรแบบนั้น แต่เรื่องนี้นำเสนอเรื่องราวของชีวิตทั้ง 2 ด้านของผู้สูญเสียกับผู้ก่อเหตุ ซึ่งปกติคงเป็นอะไรที่เศร้ามากๆ และในเรื่องนี้ก็ยังคงมีอารมณ์นั้นอยู่ครบถ้วน แต่ว่าเพิ่มเติมคือเรื่องราวตลกร้าย แนวแบดโจ๊กที่เข้ากับชีวิตบัดซบหดหู่ในเรื่องได้เป็นอย่างดี

สำหรับคนที่รอคอยซีรีส์แซ่บๆ มีตัวละครเดินเรื่องเป็นผู้หญิงที่ต่างก็กุมความลับบางอย่างเอาไว้ ให้คนดูลุ้นว่าเมื่อไหร่ความจะแตก เรื่องจริงจะปรากฏ Dead to Me คือซีรีส์ทาง Netflix แบบเผ็ดๆ ที่คุณต้องไม่พลาด แถมแต่ละตอนก็ไม่ได้ยาวยืดจนต้องอดหลับอดนอน ตื่นเช้าขอบตาดำกลายเป็นหมีแพนด้าไปทำงาน เพราะความยาวในแต่ละ EP นั้นอยู่ที่ 27-29 นาทีโดยประมาณ และในซีซั่นแรกมีทั้งหมด 10 EP ด้วยกัน

เนื้อเรื่อง

หนังเล่าเรื่องราวของ “เจน” หม้ายลูกสองที่หลังสามีถูกรถชนตายผ่านไป 2 เดือนแล้วคดีก็ยังไม่ถึงไหน เพราะไม่มีหลักฐานอะไรเหลืออยู่ในที่เกิดเหตุเลย ซึ่งตามสถิติแล้วโอกาสที่จะตามผู้ก่อเหตุได้แทบไม่มี… ตำรวจจึงแทบเกียร์ว่างกับคดีนี้ จนทำให้เจนกลายเป็นคนเจ้าอารมณ์หัวร้อนง่าย ควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้

แถมยังชอบเดาส่งเดชแจ้งตำรวจให้ตรวจสอบรถทุกคันที่เธอสงสัยว่าอาจจะใช่คันที่ชนสามีเธอ จนวันหนึ่งเธอได้พบเจอกับ “จูดี้” ที่เข้ามาตีซี้เธอในกลุ่มปรับทุกข์ของผู้สูญเสียคนรัก และก็ถูกชะตาจนทำให้เธอต้องพาจูดี้เข้ามาอยู่บ้านด้วยกันเพื่อช่วยเยียวยาใจกัน โดยที่ไม่รู้เลยว่าจูดี้คือคนที่เกี่ยวข้องด้วยนั่นเอง และก็มีอะไรอีกมายมายตามมานับไม่ถ้วน

ปกติพล็อตเรื่องดูหนังฟรีแบบนี้ถ้าอ่านผ่านๆ คงคิดว่าหนังมาแนวฆาตกรตีซี้เพื่อมาสืบคดีบลาๆๆ แต่ไม่ใช่กับเรื่องนี้เลย หนังกลับนำเสนอเรื่องราวชีวิตแย่ๆ จากสภาพจิตใจที่แตกสลายไม่ฟื้นกลับมาหลังเกิดอุบัติเหตุของทั้งคู่ ผ่านมุมมองการเยียวยาใจกันและกัน กลายเป็นหนังมิตรภาพระหว่างเพื่อนในแบบที่เป็นไปได้จริงๆ

โดยที่ไม่ทิ้งเรื่องราวสืบสวนไปพร้อมกัน ซึ่งนอกจากสืบเรื่องคดีหลัก หนังยังเจาะลึกไปยังเรื่องราวปัญหาครอบครัว ชีวิตการแต่งงาน ซึ่งเธอเองก็อาจจะเป็นหนึ่งในต้นเหตุที่ทำให้สามีตายได้ด้วยเช่นกัน

การดำเนินเรื่อง

จุดเด่นของเรื่องนี้คือการที่นำตัวละครจูดี้เข้ามาในชีวิตของเจนแบบที่ไม่ได้ดูเป็นคนร้าย เพราะตัวจูดี้เองก็เป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบทางจิตใจมากเช่นกัน ซึ่งตัวละครจูดี้เป็นคนอ่อนไหว เชื่อโชคลาง มีจิตสำนึกความผิด แต่ก็ยังไม่ถึงจุดที่ยอมรับโทษได้ โดยจูดี้พยายามอย่างหนักที่จะหาทางเยียวยาความผิดที่ตัวเองก่อกับครอบครัวของเจน

โดยเข้ามาเป็นเพื่อนเจนช่วยเหลืออยู่เคียงข้างทุกอย่าง และมีภารกิจพิชิตใจลูกชายของเจนให้ยอมรับเธอไปพร้อมกัน ในขณะเดียวกันเธอก็รู้สึกผิดบาปตลอดเวลา จนอยากสารภาพความผิดแต่ก็ทำไม่ได้เพราะถลำลึกไปในความสัมพันธ์นี้มากขึ้นทุกที ซึ่งทำให้หลายๆ เรื่องกลายเป็นตลกร้าย เมื่อเจนต้องปรึกษาหาทางสืบคดีนี้โดยให้จูดี้ช่วย โดยที่ไม่รู้เลยว่าคนเกี่ยวข้องที่สำนึกผิดนั่งอยู่ข้างๆ

แถมเจนก็หัวร้อนสติแตกอยู่บ่อยๆ โดยที่มีจูดี้ที่คอยเป็นเพื่อนปลอบใจเสมอ ซึ่งพอดูๆ ไปอาจจะเแปลกสักหน่อยที่เราเองก็รู้สึกอึดอัดสงสารจูดี้ จนแอบเอาใจช่วยเธอลุ้นให้หาทางออกได้อยู่เหมือนกัน จากการเห็นพัฒนาการความสัมพันธ์ของทั้งคู่ที่เป็นไปอย่างดีงาม จนรู้สึกว่านี่เป็นหนังมิตรภาพระหว่างเพื่อนที่ดีมากเรื่องหนึ่ง

เรื่องราวการสืบสวน

นอกจากพาร์ทดราม่าแล้ว ส่วนของเรื่องราวการสืบสวน หนังนำเสนอเรื่องราวชนแล้วหนีแบบมีรายละเอียดที่ค่อนข้างดีเลยว่าคนที่ชนแล้วหนีคิดอะไร รวมถึงพวกนี้มักจะทำอะไรหลังจากเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น และในอีกมุมหนึ่งการติดตามคดีแบบนี้ทำได้อย่างไร หลักฐานหรือพยานแบบไหนที่ใช้สืบตามรอยได้บ้าง

หนังมีการเก็บรายละเอียดหลายอย่างมาให้ดูอย่างน่าสนใจ แม้อาจจะไม่ลึกสุดๆ เพราะนี่ไม่ใช่หนังออนไลน์สืบสวนโดยตรง แต่เป็นหนังตลกร้ายด้วยคำพูดเจ็บๆ ที่เกิดจากคดีชนแล้วหนีที่อัตราการจับกุมตัวได้น้อยมาก แต่ก็ทำให้เราได้เห็นภาพการติดตามคดีแนวนี้ได้ดีทีเดียว พร้อมทั้งชี้ช่องโหว่ทางกฎหมายให้เห็นอีกด้วย

การสูญเสีย ความเศร้าโศก

นอกเหนือจากอารมณ์ตื่นเต้น ลุ้นระทึกแล้ว ซีรีส์นี้ยังพาผู้ชมไปสำรวจห้วงอารมณ์ความสูญเสีย ความเศร้าโศก อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่เจน พยายามประคับประคองชีวิตครอบครัวที่เธอค้นพบว่าลูกชายทั้งสองนั้นต้องการพ่อมากกว่าแม่ หรือกระทั่งความลับของสามีที่เริ่มตอผุดขึ้นมาเรื่อย ๆ ว่าจริงๆ แล้วเขาอาจจะไม่ได้เป็นคนที่ควรได้รับความยุติธรรมในชีวิตเลยก็ตาม

เช่นเดียวกันกับตัวละครอย่างจูดี้ ที่เหตุการณ์รถชนนั้นยังคงตามหลอกหลอนเธออยู่ตลอดเวลา ในยามที่เธอหลับใหล มันเป็นเหมือนฝันร้ายที่ไม่มีวันจบสิ้นลง ประกอบกับเหตุผลที่เธอเลิกรากับแฟนหนุ่มมหาเศรษฐีอย่างสตีฟ (เจมส์ มาร์สเดน) เพราะเหตุผลทางร่างกายบางประการ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นแง่มุมที่น่าสนใจที่ทำให้ผู้ชมได้มองเห็นความเป็นมนุษย์ของตัวละครทั้งสองมากยิ่งขึ้น

รีวิว Dead To Me

โดยรวม

ในเรื่องนี้เราจะได้เห็นการรับมือกับความโศกเศร้าหลังจากการสูญเสียคนรักและมิตรภาพของผู้หญิงที่มีให้กันและกัน นอกจากนั้นผู้ชมจะได้สัมผัสกับความรู้สึกตื่นเต้น ลุ้นระทึกในแต่ละตอนว่าจูดี้จะปกปิดความลับไปได้นานเท่าไหร่ ความจะแตกตอนไหน

อีกทั้งยังมีเหตุการณ์ที่พีคขึ้นเรื่อยๆในระหว่างการสืบสวนหาความจริง อย่างการที่ความลับของสามีเจนได้ถูกเปิดเผยขึ้นทีละนิดเพื่อให้เห็นว่า หรือจริงๆแล้วเขาเป็นคนที่ไม่สมควรได้รับความยุติธรรมตั้งแต่แรก

สิ่งสำคัญที่ทำให้ผู้เขียนชื่นชอบในซีรีส์เรื่องนี้เป็นอย่างมาก คือการที่ตัวซีรีส์ตีแผ่แง่มุมที่น่าสนใจเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์โดยสะท้อนผ่านการกระทำของตัวละครแต่ละตัว ทำให้ผู้ชมได้เห็นว่าทุกการกระทำล้วนมีเหตุผลที่มาที่ไปเสมอ เห็นได้ชัดจากความสัมพันธ์ต่างๆภายในเรื่อง

ทั้งความสัมพันธ์ระหว่างเจนกับลูกๆ ความสัมพันธ์ระหว่างเจนกับจูดี้ ความสัมพันธ์ระหว่างเจนกับสามี หรือจะเป็นความสัมพันธ์ของจูดี้กับแฟนเก่า ทุกอย่างล้วนแฝงแง่คิดให้ผู้ชมได้ตระหนัก

สรุป

ซีรีส์ Dead to Me เป็นตอนสั้นๆ 25-30 นาที 10 ตอนจบ ใช้เวลาการดูไม่มากเท่ากับซีรีส์ปกตินัก เรื่องราวเน้นดราม่าสูง อาจจะไม่ถูกใจคอสืบสวนโดยตรงนัก แต่ก็ทำออกมาสนุกก็มีตลกร้ายแทรกไปตลอดเรื่อง (ที่ขำได้จริงๆ) ซีรีส์นี้ได้ไปต่อซีซั่น 2 และก็จบเรื่องราวของคดีชนแล้วหนีในซีซั่นแรกอย่างลงตัว ก่อนจะมีเรื่องราวต่อในแบบที่คาดเดาไม่ได้จริงๆ ว่าซีซั่น 2 จะไปต่อยังไง ถ้าหาหนังดราม่าสืบสวนที่มีแนวทางแตกต่างจากทั่วไป

Million Yen Women

ดูหนังฟรี

รีวิว Million Yen Women - มิลเลี่ยน เยน วีเมน

ในภาษาญี่ปุ่นมีชื่อว่า 100万円の女たち หรือ 100 Manen no Onna-tachi เป็นซีรี่ย์สัญชาติญี่ปุ่นที่ดัดแปลงมาจากมังงะที่เขียนโดย Shunju Aono นำออกมาฉายทาง Netflix ปี 2017 โดยผลงานการสร้างของ Netflix และ TV Tokyo กำกับโดย Michihito Fujii รีวิว Million Yen Women

เรื่องย่อ

ชิน มิชิมะ นักเขียนนิยายไส้แห้งที่อยู่ๆ ก็มีสาวสวยถึง 5 คน คือ มินามิ ชิราคาว่า, ฮิโตมิ ซึกาโมโตะ, ยูกิ โคบายาชิ, มิโดริ ซุซูมูระ และ นานากะ เซกิ มาขออยู่ด้วย โดยมีข้อเสนอว่าเธอทุกคนต้องจ่ายเงิน 1 ล้านเยนทุกเดือนเป็นค่าเช่าบ้าน

แต่ก็มีกฏเหล็ก 4 ข้อ คือ 1. ห้ามเขาตั้งคำถามพวกเธอ 2. ห้ามเข้าห้องนอนของเธอหากไม่ได้รับการอนุญาต 3. ทุกคนต้องมากินอาหารเย็นร่วมกันทุกวัน 4. ชิน ต้องเป็นคนดูแลและคอยบริการทุกอย่างแก่สาวๆ ในบ้าน แน่นอนว่าเมื่อชายหนุ่มอยู่ใกล้สาวสวยถึง 5 คน เรื่องราววุ่นๆ ย่อมเกิดขึ้นตามมา


หนึ่งในวัตถุดิบยอดนิยมที่ถูกนำมาสร้างเป็นซีรี่ส์โทรทัศน์ และภาพยนตร์ของญี่ปุ่นเสมอๆ คงไม่พ้นมังงะ จนกลายเป็นอิทธิพลต่อบุคลิกตัวละคร และพล็อตอันมีสีสันฉูดฉาดเกินจริงกว่าปกติในงานเหล่านี้ และในเน็ตฟลิกซ์บริการสตรีมมิ่งรายใหญ่ ผลงานที่ร่วมสร้างกับทางญี่ปุ่นหลายต่อหลายเรื่องก็ดัดแปลงจากงานเขียนการ์ตูนเหล่านี้เช่นกันดังเช่น

Million Yen Women หรือ 100 man yen no Onna tachi ที่ดัดแปลงจากผลงานของ ชุนจู อาโอโนะ ที่ตีพิมพ์ในนิตยสาร Big Comic Spirits ตั้งแต่ปี 2015

Million Yen Women หรือในภาษาญี่ปุ่นมีชื่อว่า 100万円の女たち หรือ 100 Manen no Onna-tachi เป็นซีรี่ย์ดูหนังฟรีสัญชาติญี่ปุ่นที่ดัดแปลงมาจากมังงะที่เขียนโดย Shunju Aono นำออกมาฉายทาง Netflix ปี 2017 โดยผลงานการสร้างของ Netflix และ TV Tokyo กำกับโดย Michihito Fujii เป็นซีรี่ย์ประเภท Drama, Crime, Mystery มีทั้งหมด 12 ตอน แต่ละตอนมีความยาวประมาณ 24 นาที เหมาะสมกับผู้ชมที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

เนื้อเรื่อง

เรื่องราวแปลกประหลาดเริ่มต้นขึ้นบนโต๊ะอาหารในบ้านแห่งหนึ่ง ที่มี มิชิมะ ชิน(โยจิโร่ โนดะ นักร้อง นักดนตรีวง Radwimps ) ชายหนุ่มเจ้าของบ้าน กับหญิงสาวห้าคนที่มาอยู่ร่วมชายคาด้วย โดยมีเงื่อนไขว่าเขาห้ามมีความสัมพันธ์เกินเลยกับใครคนใดคนหนึ่ง ห้ามถามเหตุผลว่าทำไมจึงมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ พวกเธอเป็นผู้อาศัยที่จะต้องจ่ายเงินค่าเช่าให้เขาเดือนละล้านเยน

มินามิ ชิราคาวะ (ริระ ฟูกุชิมะ จาก The Wolverine และ Terra Formars) หญิงสาวผมสั้น อายุมากสุดในห้าคน กับบุคลิกดุๆ ชอบพูดถากถาง มิชิมะ บ่อยๆ ที่แปลกก็คือในบ้านหลังนี้เธอจะชอบใช้ชีวิตเปลือยกายไม่ใส่เสื้อผ้าสักชิ้น เธอจะออกไปทำงานทุกคืนโดยไม่มีใครรู้ว่างานนั้นคืออะไร

ฮิโตมิ สึคาโมโตะ (เรนะ มัตสึอิ จาก Majisuka Gakuen, Megami Sama และอดีตสมาชิกวง SKE48) หญิงสาววัยเบญจเพสบุคลิกเรียบร้อย ผู้นำแมวมาเลี้ยงในบ้าน ชอบเล่นโยคะ และอ่่านหนังสือแทบจะตลอดเวลา นับเป็นคนแรกๆ ที่ถามและพูดถึงงานเขียนของมิชิมะ เธอเหมือนไม่มีอาชีพแทบไม่ได้ออกจากบ้านหลังนี้

นานากะ เซกิ (ยูโกะ อารากิ จาก Confessions, Code Blue Season 3 และ กราเวียร์ไอดอลชื่อดัง) หญิงสาวสวยโฉบเฉี่ยววัยยี่สิบปี อาชีพยังเป็นความลับเพราะไม่ได้ออกไปไหนจากบ้านเช่นกัน ชอบดื่มนมเป็นชีวิตจิตใจ พูดจาราวกับสนิทสนมกับมิชิมะ และมักนอนคุยกับหญิงสาวคนอื่นๆ ในบ้าน

มิโดริ ซูสุมูระ(เรนะ ทาเคดะ จาก Assassination Classroom, The Werewolf Game: Lost Eden และกราเวียร์ ไอดอลชื่อดัง) เด็กสาวมัธยมปลายหน้าตาน่ารัก ตั้งแต่ต้นเรื่องเธอถูกข่มขู่ขอเงินจากเด็กผู้ชายรุ่นเดียวกันที่อ้างว่าเป็นพี่ชาย

ยูกิ โคบายาชิ (มิวาโกะ วางาสึมะ จาก The End of Puberty และ สมาชิกวงไอดอล 9nine) หญิงสาววัยยี่สิบปลายบุคลิกดูหม่นเศร้า ชอบดื่มชา เธอเป็นคนเดียวที่เปิดเผยกับทุกคนว่าแต่งงานแล้ว มักพูดคุยเรื่องต่างๆ กับมิชิมะเป็นประจำ และบ่อยครั้งก็พูดอะไรตรงไปตรงมาจนเจ้าตัวทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน

หญิงสาวทั้งห้าคือคนที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตของมิชิมะ จากนักเขียนไส้แห้ง และมีชีวิตที่จ่อมจมอยู่กับความทุกข์ให้เห็นคุณค่าของตนเอง คุณค่าของชีวิต บ้านที่เผยตั้งแต่ต้นเรื่องว่าเป็นสถานที่ก่อเหตุคดีฆาตกรรมโดยพ่อของเขา และทำให้มันเป็นฝันร้ายของเขาจนถึงวันนี้ ทุกๆ วันจะมีแฟ็กซ์ส่งข้อความมาสาปแช่งเขาในฐานะลูกของฆาตกรไม่มีขาด

และก็มีกฏเหล็ก 4 ข้อ คือ 1. ห้ามเขาตั้งคำถามพวกเธอ 2. ห้ามเข้าห้องนอนของเธอหากไม่ได้รับการอนุญาต 3. ทุกคนต้องมากินอาหารเย็นร่วมกันทุกวัน 4. ชิน ต้องเป็นคนดูแลและคอยบริการทุกอย่างแก่สาวๆ ในบ้าน แน่นอนว่าเมื่อชายหนุ่มอยู่ใกล้สาวสวยถึง 5 คน เรื่องราววุ่นๆ ย่อมเกิดขึ้นตามมา

การดำเนินเรื่อง

เนื้อเรื่องในแต่ละตอนจะค่อย ๆ เฉลยปมปริศนาและเบื้องลึกเบื้องหลังของชีวิตชินและหญิงสาวทั้งห้า โดยชินเป็นนักเขียนที่ไม่ประสบความสำเร็จ หนังสือขายไม่ออก และเขาต้องอยู่ตัวคนเดียว เนื่องจาก พ่อเป็นนักโทษประหารที่ไปฆ่าแม่ที่กำลังมีอะไรกับชู้ ฆ่าตำรวจที่กำลังเข้ามาช่วย เขาจึงกลายเป็นลูกฆาตรกรและนั่นทำให้เกิดเป็นปมด้อยในจิตใจเขา

ในช่วงตอนแรกๆจะค่อยๆเฉลย Background ของผู้หญิงแต่ละคน ทำให้เรารู้จักหญิงสาวปริศนาทั้งห้ามากขึ้น แต่ละคนก็มี Character ที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด และนั่นก็ถือเป็นเสน่ห์ของเรื่องนี้มาก ๆ ในตอนหลัง ๆ จะมีการเกิดฆาตกรรมชึ้น มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับหนังใหม่ชนโรงวงการนักเขียนมากขึ้น เนื้อเรื่องจะเฉลยไปเรื่อย ๆ ว่าใครเป็นคนส่งจดหมายคำเชิญ แล้วทำไปเพื่ออะไร ทำไมต้องฆ่าแกงกัน ทำไมหญิงสาวทั้งห้าถึงมาอยู่กับชินทั้งๆที่รู้ว่าอาจจะตายได้

โดยซีรี่ส์จะค่อยๆ เผยให้เห็นชีวิตที่ย่ำแย่ของเขา แต่ค่อยๆ ดีขึ้นทั้งในบ้าน และในแวดวงวรรณกรรม ภายหลังจากพวกเธอเข้ามา แต่นั่นก็ไมได้ทำให้มิชิมะไปถึงเป้าหมายที่เขาตั้งใจไว้ได้ พวกเธอจึงพยายามสร้างโอกาสต่างๆ รวมถึงสอนให้ชายหนุ่มมองเห็นสิ่งที่เขาอาจมองข้ามไปในชีวิต คุณค่าของผู้คนรอบข้างที่เขาหมางเมิน ขณะเดียวกันเรื่องก็จะค่อยๆ เผยที่มาที่ไปของทั้งห้าคนว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร

รีวิว Million Yen Women

ประเด็นเกี่ยวกับเรื่องทางสังคมของญี่ปุ่น

นอกจากนี้ Million Yen Women ยังแฝงประเด็นเกี่ยวกับเรื่องทางสังคมของญี่ปุ่น ทั้งการอยู่อาศัยร่วมกันของคนแปลกหน้า และการใช้ชีวิตของคนหนุ่มสาวญี่ปุ่นที่ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับความรักไม่อยากแต่งงาน หรือมีชีวิตคู่แบบครอบครัว โดยไฮไลต์อยู่ที่การหักมุมในช่วงท้าย ซึ่งต้องขอแนะนำว่า ให้หลบสปอย์ให้ดี

นักแสดง

ด้านนักแสดงนำก็มีส่วนที่ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ได้รับความนิยมในญี่ปุ่น ไล่กันตั้งแต่ โนดะ โยจิโร่ นักร้องหนุ่มวงร็อคมาดเท่ ที่เคยมีผลงานหนังอย่าง Pieta in the Toilet และซีรีส์ Hello Harinezumi น่าจะได้ใจผู้ชมสาวๆ ส่วนผู้ชมหนุ่มๆ มีสาวสวยน่าดึงดูดใจหลายคน

นำโดย เรนะ มัตสึอิ อดีตนักร้องสาว ชื่อดังจากวง SKE48 วงพี่สาวของ BNK48 , เรนะ ทาเคดะ เจ้าของตำแหน่ง ไอดอลนักเรียนสาวอันดับหนึ่งของญี่ปุ่นหลายปีติดต่อกัน และ ยูโกะ อารากิ นักแสดง-นางแบบมากความสามารถชาวญี่ปุ่น ที่เพิ่งเดินทางมาเที่ยวประเทศไทยเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

โดยรวม

ส่วนตัวยกให้ซีรี่ย์นี้เป็นซีรี่ย์หนึ่งที่สนุกมาก ๆ ชอบมาก ๆ เปิดฉากมาก็เเป็นธีมแฟนตาซีแล้ว สาวสวย 5 คนมาอยู่กับหนุ่มมืดมน ไร้อนาคต แต่นั่นไม่ทำให้ตัวหนังเป็นแนวรักกุ๊กกิ๊กแต่อย่างใด เนื้อเรื่องจะให้ปมปริศนากับเรามาก่อน แล้วค่อย ๆ เล่าย้อนกลับไป พร้อมกับเดินหน้าเนื้อเรื่องไปด้วย ไม่พอแค่นั้นยังมีการเกิดฆาตกรรมขึ้นอีก ยิ่งทำให้เพิ่มปมปริศนาในใจเข้าไปอีก มันทำให้เรื่องนี้น่าติดตามทุกนาทีที่ดูจริง ๆ

สรุป

ซีรี่ส์แนวสืบสวนปนโรแมนติคของญี่ปุ่น จุดขายด้วยห้าสาวสวยปริศนาต่างบุคลิกที่มาอยู่ใต้ชายคาเดียวกับชายหนุ่ม สนุกชวนติดตามแต่กลับมีบทสรุปที่ไม่สมเหตุสมผลนัก

The Sinner Season 3

ดูหนังออนไลน์

รีวิว The Sinner Season 3 - คนบาป ซีซั่น 3

ซีรีส์ฝรั่งแนวสืบสวนที่พลิกการเล่าเรื่องใหม่ เพราะเฉลยตัวฆาตกรตั้งแต่ฉากแรก แต่เรื่องจะมุ่งเน้นการค้นหาความจริงที่ซ่อนอยู่ รวมถึงแรงจูงจงใจ ซึ่งเมื่อขุดค้นไปเรื่อยๆ เรื่องราวกลับโยงไปสู่ความจริงเบื้องหลังที่มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนที่สุดหักมุมอย่างไม่น่าเชื่อ รีวิว The Sinner Season 3

เรื่องย่อ

ณ เมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งในนิวยอร์ก เจ้าหน้าที่สืบสวนคนหนึ่งที่มีปมปัญหาน่าหวั่นใจต้องหาคำตอบเบื้องหลังคดีอาชญากรรมชวนฉงน และต่อสู้กับด้านมืดในจิตใจของตัวเองไปพร้อมๆ กันกับนักสืบแฮร์รี่ แอมโบรสสืบสวนเหตุรถชนสุดสยองที่นำไปสู่คดีที่อันตรายและซับซ้อนที่สุดคดีหนึ่งในชีวิตการทำงาน


เรื่องราวจะแบ่งหนึ่งซีซันต่อหนึ่งคดีใหญ่ ซึ่งก็ไม่ได้เชื่อมต่อกัน แต่ทั้งสองคดีมีคอนเซปต์หลักที่คล้ายกันคือ ฆาตกรแต่ละซีซันดูเหมือนเป็นคนธรรมดาที่ไม่ได้มีพิษภัยอะไร และไม่น่าจะมีเหตุให้ลงมือฆาตกรรม แต่เมื่อตัวเอกลองสืบสวนลึกลงไปกลับพบว่ามันมีอะไรซ่อนอยู่มากกว่าที่เห็น รวมถึงเล่นปมทางจิตวิทยาที่น่าสนใจ

ก่อนอื่นต้องบอกว่า ซีรีส์แนวสืบสวนทั่วไป จะมีแพทเทิร์นอย่างหนึ่งที่เราพบเห็นเป็นประจำคือ เกิดคดี นักสืบ หรือทีมงานเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ พบผู้ต้องหา หรือพยาน สอบปากคำ ค้นหาความจริง ค้นหาว่าฆาตกรคือใคร เชื่อมโยงสิ่งที่เกี่ยวข้อง ออกตามล่าฆาตกร และหลายคดีก็จะพบเบื้องหลังอื่นๆอีก

แต่เรื่องนี้มีความพยายามที่จะฉีกแนวทางการเล่าเรื่อง นั่นคือตัวเรื่องจะมีการเฉลยตั้งแต่ 10 นาทีแรกในตอนแรกสุดของแต่ละซีซันว่า คนร้ายคือใคร รวมถึงวิธีสังหารด้วย (ซีซัน 1 และ 2 ใช้วิธีนี้หมด)

เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่ดูหนังออนไลน์จะไม่ต้องสืบหาเลยในซีรีส์นี้ก็คือ ฆาตกร และ วิธีสังหาร แต่ซีรีส์กลับโยนระเบิดลูกใหญ่เข้ามาหาคนดูแทน นั่นคือเราจะพบว่าฆาตกรในเรื่อง ดูแล้วเป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นคนที่ไม่น่าจะลงมือก่อการอะไรด้วยซ้ำ

แต่พวกเขาทำไปแล้ว แบบนี้จะรอดพ้นโทษได้ยังไง ดังนั้นสิ่งที่ท้าทายซีรีส์เรื่องนี้คือ การสืบค้นหา “แรงจูงใจ” ของการฆาตกรรม ที่มีความสลับซับซ้อนมากกว่าที่ตาเห็น

โดยตัวเรื่องจะแบ่งเป็นหนึ่งซีซันต่อหนึ่งคดีหลัก และในระหว่างนั้นก็ไม่มีคดีย่อยด้วย คือทั้งซีซันมุ่งสู่การค้นหาความจริงในคดีเดียวล้วนๆ ทำให้เรื่องนี้มีจุดเด่นในแง่เป้าหมายการสืบสวนที่ชัดเจน

ในซีซั่นที่ 1

ซีซัน 1 เกิดคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญไปทั่วชายหาดแห่งหนึ่งของเมืองเล็กๆที่แทบไม่มีคดีร้ายแรงแบบนี้เกิดขึ้น เมื่อหญิงสาว โคร่า ที่เดินทางมาเที่ยวพักผ่อนพร้อมครอบครัวคือสามีและลูกสาว จู่ๆกลับก่อเหตุเอามีดไปจ้วงแทงชายคนหนึ่งที่กำลังพลอตรักกับแฟนสาวอยู่บนชายหาด ท่ามกลางพยานผู้เห็นเหตุการณ์นับร้อยคน

ในซีซั่นที่ 2

ในซีซัน 2 นักสืบแอมโบรสต้องกลับมารับหน้าที่สืบสวนคดีฆาตกรรมปริศนาอีกครั้ง เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจสาว เฮเธอร์ ลูกสาวของเพื่อนเก่าของแอมโบรสได้ติดต่อมาขอความช่วยเหลือจากเขาให้มาช่วยไขคดีฆาตกรรมร้ายแรง ที่สุดสดแสนจะเป็นปริศนา เมื่อเธอพบว่า เด็กชายผิวสีที่ดูใสซื่ออย่าง จูเลียน กลับเป็นคนลงมือวางยาใส่พ่อแม่ของตนจนเสียชีวิตโดยที่ไม่ทราบสาเหตุ

เนื้อเรื่องซีซั่น 3

การกลับมาในซีซัน 3 ของ นักสืบแอมโบรส ที่ต้องเผชิญหน้ากับคดีฆาตกรรมปริศนา แต่ในภาคนี้ รูปแบบการเดินเรื่องได้แตกต่างจากสองซีซันที่ผ่านมา

ก่อนหน้านี้ในซีซัน 1 และ 2 เรื่องเปิดมาด้วยคดีฆาตกรรมที่คนดูจะทราบตัวฆาตกรตั้งแต่แรก แต่จะพบว่าฆาตกรเหล่านั้นดูไม่น่าจะมีแรงจูงใจให้ลงมือเอาซะเลย แถมทั้งสองซีซันที่ผ่านมา ฆาตกรทั้งสองคนนั้น พวกเขาเป็นแค่ ผู้หญิงธรรมดา และเด็กชายคนหนึ่ง ดังนั้นปริศนาของเรื่องก็คือการตามสืบหาว่า เกิดอะไรขึ้น ถึงทำให้คนธรรมดาแบบนั้นกลับลงมือฆ่าคนด้วยวิธีที่ค่อนข้างโหดซะด้วย

ซึ่งในบทสรุปของทั้งสองซีซันก็ทำออกมาได้ดี เพราะกลายเป็นว่าคนร้ายทั้งสองคนนั้นแท้จริงแล้วคือเหยื่อซะมากกว่า แล้วพวกเขาก็ไม่ได้ถูกลงโทษถึงชีวิต หรือจะต้องติดคุกยาวนาน แต่ได้รับการลดหย่อนโทษตามสมควรจากความผิดที่พวกเขาก็ไม่ได้ตั้งใจก่อ

แต่ซีซัน 3 เรื่องราวซีรี่ย์ Netflixนำเสนอเปลี่ยนแปลงไปหมด แม้ว่าจะยังมีจุดที่เหมือนกันอยู่คือ คนร้ายในซีซันนี้ ก็ดูเป็นชายหนุ่มธรรมดาทั่วไป

เรื่องราวเริ่มขึ้นเมื่อ เจมี่ (นำแสดงโดย Matt Bomer) ชายหนุ่มที่เป็นอาจารย์ในโรงเรียนมัธยมหญิงล้วนในชานเมือง ภายนอกเป็นคนดูดีมีเสน่ห์ เป็นที่รักใคร่ของนักเรียน ตัวเขาก็มีภรรยาที่กำลังท้องแก่ใกล้คลอด ดูแล้วไม่น่ามีพิษมีภัยอะไรกับใคร แต่แล้วคืนหนึ่ง กลับมีเพื่อนเก่าของเขามาเยี่ยมถึงบ้าน แล้วก็กลายเป็นว่าหลังจากนั้นเพื่อนของเขากลับเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถยนต์ที่ตัวเขารอดมาได้

ซึ่งก็เป็นสิ่งที่นักสืบแอมโบรส์ได้รับหน้าที่เข้ามาสืบสวน และเขาก็พบว่าที่จริงแล้วอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นมันมีอะไรมากกว่านั้น รวมถึง เจมี่ ครูมัธยมมากเสน่ห์ ก็มีอะไรที่ซ่อนอยู่ในตัวเขาด้วย

จุดเด่นในซีซั่น 3

ข้อเด่นของซีซัน 3 เท่าที่เห็นคือ การฉีกแนวไปจากสองซีซันก่อน ที่ช่วยให้ไม่จำเจเกินไป เดาทางได้ยากว่าบทสรุปจะเป็นยังไงต่อไป อีกทั้งนักแสดงในบทเจมี่ ที่ได้ Matt Bomer ก็ทำได้ดีเอามากๆ เนื่องจากรูปร่างหน้าตาที่โดดเด่น เรียกว่าเขาไปเป็นพระเอกซีรีส์สักเรื่องได้สบายมาก การแสดงของเขาก็เฉียบขาด ทั้งในช่วงที่ยังไม่เกิดเรื่องกับช่วงที่อดีตของเขาเริ่มเผยออกมามากขึ้นเรื่อยๆ แสดงได้โรคจิตดี

รีวิว The Sinner Season 3

จุดด้อย

แต่ข้อด้อยนั้น สำหรับคนที่เข้ามาดู The Sinner โดยคาดหวังรสชาติแบบเดิมๆอาจจะผิดหวัง เพราะซีซันนี้มีเรื่องราวที่มืดหม่นมากขึ้น การเดินเรื่องช้า แต่ในช่วงสองตอนสุดท้าย คนดูอาจจะเริ่มเข้าใจสารสำคัญของซีซันนี้มากขึ้น เพราะเหมือนเรากำลังรับชมเรื่องราวของคนที่กำลังจะกลายเป็น “วายร้าย” ในหนังสืบสวนหรืออะไรสักอย่าง

ว่าถ้าเขาถูกบีบคั้นมากๆด้วยวิธีการช่วยเหลือที่อาจจะไม่ค่อยเข้าท่านัก ผลมันจะออกมาเป็นยังไงบ้าง แม้ว่าตอนสุดท้ายที่เป็นบทสรุปของเรื่องจะทำออกมาแล้วขัดใจคนดูอยู่บ้าง (ในเว็บ IMDB ให้คะแนนตอนจบของซีซัน 3 ไม่ดีนัก)

แต่ในมุมหนึ่งมันก็เหมือนเป็นการสอนคนดูด้วยว่า จะทำตัวเป็นคนร้าย มันไม่ได้ออกมาดีนักหรอก อย่าไปทำเลย และตำรวจในโลกจริงๆไม่มารอเสียเวลาต่อปากต่อคำกับคนร้ายเหมือนในซีรีส์ที่เราดูกัน ถ้ายิงได้เขายิง เพราะงั้นจะมาเล่นเป็นคนร้าย มันไม่สนุกในความเป็นจริงนักหรอก ซึ่งถ้ามองในมุมนี้ ก็ถือว่าซีรีส์นำเสนอออกมาได้ดีแล้ว

โดยรวม

ในภาพรวมแล้ว ซีซัน 3 พยายามที่จะหาทางฉีกแนวเรื่องให้แตกต่างออกมาจากซีซันก่อน เจมี่ ซึ่งเป็นคนร้ายในซีันนี้ดูแล้วไม่ได้เป็นคนน่าสงสารมากเหมือนกับสองคดีก่อน (ที่เป็นผู้หญิงและเด็ก) แล้วที่เพิ่มเข้ามาในภาคนี้ก็คือ การล้วงลึกในเชิงปมจิตวิทยาที่อาจจะดูแล้วมืดหม่นและมีบทพูดที่เข้าใจยากไปบ้าง

เพราะมีการอ้างอิงคำพูดในเชิงปรัชญาตะวันตกพอสมควร โดยเฉพาะปรัชญาของนีทเช่ ที่ถือว่าเป็นคีย์หลักของเรื่อง โดยเฉพาะประโยคที่บอกว่า “ถ้าเราจ้องมองนรกนานเกินไป นรกจะจ้องเรากลับ” ซึ่งประโยคนี้เองที่เป็นคีย์สำคัญของเรื่อง โดยเฉพาะในตอนท้าย จากการเผชิญหน้ากันระหว่างแอมโบรสและเจมี่

สรุป

เป็นซีรีส์สืบสวนที่พยายามหาทางฉีกจากแนวเดิมๆ เน้นหาแรงจูงใจของฆาตกรที่ดูแล้วเหมือนพวกเขาเป็นเหยื่อที่ทำให้น่าเห็นใจด้วย มีจุดหักมุม การเล่าเรื่องอืดไปบ้าง นักแสดงหลักก็มีอายุ บางคนอาจจะไม่ชอบ

เป็นความพยายามฉีกแนวทางของเรื่องให้ไม่ซ้ำซาก ถึงแม้ว่าในแง่บทอาจจะดูแปร่งๆอยู่บ้าง แต่สารสำคัญของซีซันนี้มีความชัดเจน และควรรับชม

The Sinner Season 2

ดูหนังออนไลน์

รีวิว The Sinner Season 2 - คนบาป ซีซั่น 2

ซีรีส์ฝรั่งแนวสืบสวนที่พลิกการเล่าเรื่องใหม่ เพราะเฉลยตัวฆาตกรตั้งแต่ฉากแรก แต่เรื่องจะมุ่งเน้นการค้นหาความจริงที่ซ่อนอยู่ รวมถึงแรงจูงจงใจ ซึ่งเมื่อขุดค้นไปเรื่อยๆ เรื่องราวกลับโยงไปสู่ความจริงเบื้องหลังที่มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนที่สุดหักมุมอย่างไม่น่าเชื่อ รีวิว The Sinner Season 2

เรื่องย่อ

นักสืบแอมโบรสต้องกลับมารับหน้าที่สืบสวนคดีฆาตกรรมปริศนาอีกครั้ง เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจสาว เฮเธอร์ ลูกสาวของเพื่อนเก่าของแอมโบรสได้ติดต่อมาขอความช่วยเหลือจากเขาให้มาช่วยไขคดีฆาตกรรมร้ายแรง ที่สุดสดแสนจะเป็นปริศนา เมื่อเธอพบว่า เด็กชายผิวสีที่ดูใสซื่ออย่าง จูเลียน กลับเป็นคนลงมือวางยาใส่พ่อแม่ของตนจนเสียชีวิตโดยที่ไม่ทราบสาเหตุ


ซีรีส์แนวสืบสวนที่จะพลิกโฉมวงการหนังแนวฆาตกร เพราะเฉลยตัวฆาตกรตั้งแต่ต้นเรื่อง ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่แปลกใหม่มากในวงการหนังฆาตกร ส่วนภายในเรื่องจะมุ่งเน้นการค้นหาความจริงที่ซ่อนอยู่บวกกับแรงจูงใจ ซึ่งเมื่อขุดค้นไปเรื่อย ๆ เรื่องราวกลับโยงไปสู่ความจริงเบื้องหลังที่มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนที่สุดหักมุมอย่างไม่น่าเชื่อ

เรื่องราวจะแบ่งออกเป็น 3 ซีซัน ซึ่งแต่ละซีซันก็จะมีคดีที่แตกต่างกันไปและไม่ได้เชื่อมต่อกัน แต่ทุกคดีมีคอนเซปต์หลักคล้ายกันคือ ฆาตกรแต่ละ ซีซันดูเหมือนเป็นคนธรรมดาที่ไม่ได้มีพิษภัยอะไร แต่เมื่อตัวเอกลองสืบสวนลึกลงไปกลับพบว่ามันมีอะไรซ่อนอยู่มากกว่าที่เห็น รวมถึงเล่นปมทางจิตวิทยาที่น่าสนใจ

เรื่องราวจะแบ่งหนึ่งซีซันต่อหนึ่งคดีใหญ่ ซึ่งก็ไม่ได้เชื่อมต่อกัน แต่ทั้งสองคดีมีคอนเซปต์หลักที่คล้ายกันคือ ฆาตกรแต่ละซีซันดูเหมือนเป็นคนธรรมดาที่ไม่ได้มีพิษภัยอะไร และไม่น่าจะมีเหตุให้ลงมือฆาตกรรม แต่เมื่อตัวเอกลองสืบสวนลึกลงไปกลับพบว่ามันมีอะไรซ่อนอยู่มากกว่าที่เห็น รวมถึงเล่นปมทางจิตวิทยาที่น่าสนใจ

แล้วในที่สุดเรื่องราวจากทั้งสามคดีที่ถูกเปิดเผยออกมาก็ทำให้เราพบว่า "คนบาปตัวจริงอาจจะไม่ใช่ฆาตกรที่ลงมือฆ่าเสมอไป" แต่พวกเขาเป็นเพียงเหยื่อที่อยู่ปลายทางของการก่ออาชญากรรมโดยคนที่มีฉากหน้าว่าเป็น "คนดี" ต่อสังคมมากกว่า

ต้องบอกว่า "ซีรีส์แนวสืบสวน" ทั่วไป จะมีรูปแบบอย่างหนึ่งที่เห็นเป็นประจำคือ เกิดคดี นักสืบและเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ พบผู้ต้องหาหรือพยาน สอบปากคำ ค้นหาความจริง ค้นหาว่าฆาตกรคือใคร เชื่อมโยงสิ่งที่เกี่ยวข้อง ออกตามล่าฆาตกร และหลายคดีก็จะพบเบื้องหลังอื่นๆอีก

แต่เรื่องนี้ดูหนังออนไลน์แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง นั่นคือตัวเรื่องจะมีการเฉลยตั้งแต่ต้นเรื่องของแต่ละซีซันว่า ฆาตกรเป็นใครและใช้วิธีการใดสังหารเหยื่อ

เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่ทำให้คนดูไม่ต้องลุ้นและไม่ต้องคิดเชื่อมโยงเลย ก็คือ "ฆาตกรและวิธีสังหาร" เปรียบเสมือนว่าซีรีส์โยนระเบิดลูกใหญ่เข้ามาหาคนดูในครั้งเดียวเลย นั่นคือเราจะพบว่าฆาตกรในเรื่อง ดูแล้วเป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นคนที่ไม่น่าจะลงมือก่อเหตุอะไรด้วยซ้ำ

แต่พวกเขาทำไปแล้ว แบบนี้จะรอดพ้นโทษได้ยังไง ดังนั้นสิ่งที่ท้าทายสำหรับซีรีส์เรื่องนี้คือ การค้นหา “แรงจูงใจ” ของการฆาตกรรม ที่มีความสลับซับซ้อนมากกว่าที่ตาเห็น

ในซีซั่นที่แล้ว

ซีซัน 1 เกิดคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญไปทั่วชายหาดแห่งหนึ่งของเมืองเล็กๆที่แทบไม่มีคดีร้ายแรงแบบนี้เกิดขึ้น เมื่อหญิงสาว โคร่า ที่เดินทางมาเที่ยวพักผ่อนพร้อมครอบครัวคือสามีและลูกสาว จู่ๆกลับก่อเหตุเอามีดไปจ้วงแทงชายคนหนึ่งที่กำลังพลอตรักกับแฟนสาวอยู่บนชายหาด ท่ามกลางพยานผู้เห็นเหตุการณ์นับร้อยคน

เนื้อเรื่องซีซั่น 2

ในซีซัน 2 นักสืบแอมโบรสต้องกลับมารับหน้าที่สืบสวนคดีฆาตกรรมปริศนาอีกครั้ง เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจสาว เฮเธอร์ ลูกสาวของเพื่อนเก่าของแอมโบรสได้ติดต่อมาขอความช่วยเหลือจากเขาให้มาช่วยไขคดีฆาตกรรมร้ายแรง ที่สุดสดแสนจะเป็นปริศนา เมื่อเธอพบว่า เด็กชายผิวสีที่ดูใสซื่ออย่าง จูเลียน กลับเป็นคนลงมือวางยาใส่พ่อแม่ของตนจนเสียชีวิตโดยที่ไม่ทราบสาเหตุ

การดำเนินเรื่อง

ซีซัน 2 ยังคงมาแนวทางเดียวกับซีซันแรกคือ เฉลยตัวฆาตกรตั้งแต่ฉากแรก รวมถึงวิธีสังหาร แต่เราต้องมาค้นหาว่า อะไรคือสิ่งที่อยู่เบื้องหลัง แรงจูงใจ แรงผลักดัน หรือปมทางจิตวิทยาอื่นๆที่นำไปสู่การลงมือฆ่า

ซึ่งในซีซันนี้เรื่องมีความกล้าและโหดเอามากๆ เพราะฆาตกรคือ เด็กชายที่อายุยังไม่เกิน 12 ปี แถมยังเป็นการทำปิตุฆาตซะด้วย แต่มันเป็นแบบนั้นแน่หรือ??? นี่คือสิ่งที่เรื่องโยนระเบิดให้คนดู

จุดเด่นของซีซันนี้

ที่ต้องชมเลยคือ อีไลชา เฮนิก ที่แสดงเป็น จูเลียน เด็กน้อยที่เป็นฆาตกรซึ่งแสดงได้เกินอายุมาก ส่วนตัวละครหลักอีกคนในซีซัน 2 คือ ตำรวจสาว เฮเธอร์ ที่จะมาร่วมมือกับแอมโบรส ตัวเอกของเรื่องสืบค้นหาความจริง ก็แสดงได้ดี

ในส่วนของการเดินเรื่อง เนื่องจากบทมีความชัดเจนว่าต้องการสืบหาอะไร ทำให้เรื่องเดินไป ได้แบบไม่ออกทะเล บทพูดหลายซีนไม่ได้สร้างมาลอยๆ หรือไม่มีความหมาย แต่มีการเชื่อมโยงไปถึงคดีด้วย

เรื่องยังคงนำเสนอประเด็นคนบาปตัวจริง ที่ซุกซ่อนอยู่ ว่าอะไรหรือใครกันแน่ที่ส่งผลกระทบสืบเนื่องมาทำให้เกิดเหตุฆาตกรรมไม่คาดฝันโดยเด็กชายที่ดูใสซื่อคนหนึ่ง

จุดด้อย

แต่ภาคนี้มีจุดด้อยพอสมควร ที่เห็นชัดคือ จังหวะการเดินเรื่องไม่สมูทเท่าซีซันแรก อีกทั้งตัวเรื่องพยายามไปเล่นปมจิตวิทยาของตัวเอกอย่างแอมโบรสเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มมิติตัวละคร และเป็นการเชื่อมโยงให้เจ้าตัวมีความเห็นใจเด็กชายจูเลี่ยนและตัวละครที่เพิ่มเข้ามาในซีซันนี้ด้วย แต่กลับกลายเป็นว่าทำให้ตัวเรื่องดูรกและชักช้าเกินไป จนคดีในซีซัน 2 ดูมีปมมากเกินเหตุ

สำหรับการเฉลยความจริงของคดี เบื้องหลังที่โคตรจะเบื้องหลังมีปมหักมุมเหมือนคดีแรก เรื่องเล่นประเด็นทางศีลธรรมของมนุษย์กับเรื่องเว็บดูหนัง ปัญหาทางเพศเพิ่มเติม ว่าเป็นต้นเหตุของคววามเลวร้ายอย่างอื่นตามมา แต่ภาพรวมแล้วยังทำไม่ถึงเท่ากับซีซันแรกเท่าไหร่ แต่ก็เป็นแนวสืบสวนที่ยังคงดูได้

รีวิว The Sinner Season 2

โดยรวม

ภาพรวมทั้งสองซีซัน ผลงานค่อนข้างดีและมีความสด ทำให้เดาทางได้ยาก แม้จะเดินเรื่องช้าไปบ้าง แต่ในซีซันสองพบว่าภาพรวมของเรื่องดรอปลงพอสมควรในแง่ความสมจริง แต่ยังดีที่สามารถนำไปสู่บทสรุปที่น่าพอใจเกินคาดได้

สรุป

เป็นซีรีส์สืบสวนที่พยายามหาทางฉีกไปจากแนวเดิมๆ แม้ว่าการเล่าเรื่องจะอืดไปบ้าง อีกทั้งนักแสดงหลักมีอายุแล้ว คนดูที่ไม่ใช่แนวนี้อาจจะไม่ชอบ แต่คอนเซปต์ของเรื่องถือว่าน่าสนใจเลยทีเดียว ส่วนจุดหักมุม อาจจะไม่ถึงขั้นอึ้งตะลึงมากนัก แต่คนเขียนบทก็เข้าใจทำในการเชื่อมโยงปริศนาได้ดี สามารถรับชมเรื่องนี้ได้ใน Netflix ส่วนซีซัน 3 กำลังจะมาวันที่ 19 มิถุนายนนี้แล้ว ส่วนตัวเรื่องเป็นเรต 18+ มีฉากรุนแรงและเรื่องทางเพศด้วย

วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2563

Forgotten

หนังใหม่เต็มเรื่อง

รีวิว Forgotten - ความทรงจำพิศวง

ภาพยนตร์ Original NETFLIX สัญชาติเกาหลีที่เด้งอยู่ในหน้าแรกของผมอยู่ยาวนานแล้วพอสมควรก็เลื่อนผ่านไปผ่านมาจนมีโอกาสได้รับชมจึงพบว่าเมื่อนานมาแล้วเราเคยพบความยอดเยี่ยมของพล็อตเรื่องแบบนี้ในภาพยนตร์เกาหลีมาก่อนเลยอยากมาชวนคนที่ยังไม่เคยดูและอยากจะให้คนที่เคยดูได้บอกเล่าต่อเช่นกัน รีวิว Forgotten

เรื่องย่อ

เรื่องราวของ “จิน ซอกชาย” ในช่วงเวลาที่กำลังย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านหลังใหม่กับครอบครัวที่ประกอบไปด้วย “พ่อ แม่ พี่ชาย” และตัวเขา ซึ่งภาพยนตร์เน้นการเล่าเรื่องราวถึงความยอดเยี่ยมของพี่ชายเขาว่าเป็นคนสมบูรณ์แบบแค่ไหน “จิน ซอกชาย” บอกว่าสุดท้ายแล้วพี่ชายของเขาก็เปรียบเสมือนฮีโร่ของบ้านหลังนี้


หลังจากที่ Netflix กระโดดลงมาทำคอนเทนท์ภาพยนตร์เพื่อป้อนทางสตรีมมิ่งของตัวเอง ส่งผลให้ผู้ชมทั่วโลกมีทางเลือกในการดูหนังมากยิ่งขึ้น และดูเหมือนว่าตอนนี้นอกจากหนังในบ้านเกิดตัวเองอย่างอเมริกา Netflix ยังจับตลาดหนังเกาหลีด้วยการส่งหนังระทึกขวัญ-เขย่าขวัญอย่าง Forgotten มาชิมลางผู้ชมด้วย

ช่วงนี้ภาพยนตร์เกาหลีกำลังมาแรง โดยเฉพาะแนวระทึกขวัญสยองขวัญที่หลายเรื่องล้วนสร้างได้ดีไม่แพ้ภาพยนตร์ฮอลลีวูดเลย ซึ่งเรื่อง Forgotten (2017) ความทรงจำพิศวง ก็เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ระทึกขวัญลึกลับของเกาหลีที่สร้างออกมาได้ดี โดยเฉพาะการหักมุมที่หลอกคนดูได้แนบเนียนสุด ๆ โดยหนังกำกับโดย Jang Hang-jun และนำแสดงโดย Kang Ha-neul, Kim Mu-yeol, Moon Sung-keun และ Na Young-hee

เนื้อเรื่อง

เล่าเรื่องราวของจิน ซอกชาย หนุ่มคนหนึ่งซึ่งตื่นขึ้นในรถที่กำลังเดินทางไปยัง “บ้าน” หลังใหม่ดูเหมือนว่าเขาจะสนิทกับพี่ชายมาก แต่ความทรงจำก่อนหน้านี้ เขากลับจำอะไรไม่ได้เลยสักนิดเดียว แถมบ้านหลังนี้เขากลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาดใจ ราวกับเขาเคยผูกพันกับบ้านหลังนี้มาเป็นเวลานั้น แต่ให้นึกอย่างไรเขาก็นึกไม่ออก

ณ บ้านหลังใหม่มีห้องเก็บของซึ่งเจ้าของบ้านคนเก่า ขอความรบกวนว่า “ห้าม” เข้าไปเด็ดขาดเนื่องจากเก็บของบางอย่างไว้ และพวกเขาจะกลับมาเอาไปในไม่ช้า ระหว่างนั้นเองจิน ซอกที่ต้องคอยทานยาเพื่อไม่ให้เกิดอาการประสาทหลอน เขามักจะได้ยินเสียงประหลาดเล็ดลอดออกมาจากห้องเก็บของ อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าพี่ชายของตนอย่างยูซอก ก็จะคอยห้ามปรามและให้กำลังชายน้องชายจากอาการป่วยอยู่เสมอ

หลังจากที่พวกเขาเข้าไปในบ้านก็พบว่ามีห้องอยู่ห้องหนึ่งที่ถูกห้ามเข้าไปโดยเด็ดขาดโดยให้เหตุผลว่าเจ้าของบ้านคนเก่ากำชับและขอความช่วยเหลือในการเก็บสิ่งของไว้ก่อนนั่นเอง แม้ว่าเขาพยายามจะเข้าไปแต่ก็โดนห้ามขัดขวางไว้โดยตลอด แต่ตัวเขาเองก็มีความรู้สึกคุ้นเคยกับบ้านหลังนี้อย่างประหลาดเหมือนเคยมีความทรงจำร่วมกัน ตัวเขารู้สึกว่าห้องนั้นมีอะไรผิดปกติจึงอยากที่จะรู้ความจริงให้ได้

จากจุดความสงสัยเล็ก ๆ นี้แหละครับที่ทำให้การสืบหาความจริงของ “จิน” เริ่มขึ้น และยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากอยู่ดี ๆ วันหนึ่งพี่ชายของเขา “ยูซอก” ก็ถูกลักพาตัวขึ้นรถตู้ไปอย่างไร้ร่องรอยและหลังจากหายตัวไปนานหลายสิบวัน พี่ชายของเขาก็เดินทางกลับมาที่บ้าน แต่ตัวเขาเองก็เริ่มสังเกตพบความเปลี่ยนแปลงของพี่ชาย ราวกับว่าคนคนนี้ไม่ใช่พี่ชายของเขาจนกลายเป็นการสืบหาความจริง

การดำเนินเรื่อง

โดยช่วงเปิดเรื่องจะฉายถึงครอบครัวของจินซอกที่กำลังเดินทางมายังบ้านหลังใหม่ ที่ซึ่งเขารู้สึกคุ้นเคยอย่างมาก ซึ่งช่วงนี้จะมีการพูดแนะนำยูซอก (พี่ชาย) เล็กน้อยผ่านตัวละครหลัก (จินซอก) โดยเขารู้สึกชื่นชมในตัวพี่ชายมาก ด้วยความเพียบพร้อมทุกด้านที่หาใครเปรียบได้ยาก จากนั้นทุกคนก็เข้าไปในบ้าน พร้อมกับช่วยกันจัดวางข้าวของตามที่ต่าง ๆ

ซึ่งช่วงแรก ๆ หนังพยายามฉายหนังใหม่เต็มเรื่องให้เห็นถึงสิ่งผิดปกติต่าง ๆ ในบ้าน เช่น ห้องลับที่เจ้าของห้องคนก่อนบอกห้ามเข้าไปโดยเด็ดขาด เสียงประหลาดที่ดังมาจากในห้องนั้น พี่ชายที่ถูกคนกลุ่มหนึ่งจับตัวไปอย่างไม่มีสาเหตุ ป้ายทะเบียนรถที่จับตัวพี่ชายไปซึ่งไม่มีอยู่จริง ความฝันประหลาดของจินซอก การกลับมาของพี่ชายที่ซึ่งลืมเลือนเรื่องราวที่ถูกลักพาตัวไป

จากนั้นหนังจะค่อย ๆ ฉายถึงความผิดปกติของพี่ชายที่ทำตัวต่างจากคนเดิมโดยสิ้นเชิง จนเมื่อจินซอกเริ่มสงสัยในตัวพี่ชายจนได้แอบตามเขาไป และได้พบกับความลับเบื้องหลังที่เห็นแล้วถึงกับชวนอึ้ง จนต้องเอาเรื่องราวที่ได้พบเจอไปบอกกับแม่

แต่ทว่าแม่ของเขาก็ดันทำตัวลึกลับเช่นกันและได้นำเรื่องราวนั้นไปบอกกับใครบางคน ยิ่งทำให้น่าสนใจชวนติดตามลุ้นเอาใจช่วยตัวละครและหวาดระแวงตัวละครมากขึ้น จนตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะไว้ใจใครได้บ้าง ซึ่งตัวละครแต่ละคนล้วนน่าสงสัยและแสดงได้แนบเนียนสมบทบาทสุด ๆ ทำให้จินซอกตัดสินใจหนีออกจากบ้านและไปแจ้งความกับตำรวจ

ซึ่งช่วงนี้หนังก็ได้เปิดเผยเรื่องราวบางส่วนออกมาที่ทำเอาชวนอึ้งไปตาม ๆ กันอีกครั้ง จากนั้นหนังก็ค่อย ๆ เปิดเผยเรื่องราวทีละน้อยไปเรื่อย ๆ ซึ่งหักมุมหลอกคนดูให้คาดเดาผิดไปอีกทางนึงมาตลอด จนดำเนินเรื่องวกกลับมาที่ช่วงเปิดเรื่อง

และค่อย ๆ เปิดเผยเรื่องราวทั้งหมดในช่วงก่อนหน้าที่ตัวละครจะย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านนั่นเอง และมาหักมุมหลอกคนดูอีกครั้งในช่วงท้ายเรื่อง แต่ช่วงหักมุมในจุดนี้ดูจะไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่ในด้านการใช้นักแสดงบางคนมารับบทนี้

ภาพยนตร์เรื่องนี้มีการวางเรื่องราวในความสนุกของการรับชมได้อย่างดีเยี่ยมนะครับ ในช่วงแรกเราจะรู้สึกถึงความเป็นหนังสยองขวัญเล็ก ๆ ต่อจากนั้นหนังก็เริ่มแสดงให้คุณดูรู้สึกสับสนกับเรื่องราวว่าจริงๆ แล้ว “จิน” อาจจะจิตหลอนไปเองหรือเปล่าคิดไปเอง

กับเหตุการณ์ทั้งหมดเพราะอาการประสาทหลอนหรือไม่ และก็เข้มข้นไปด้วยการตามสืบหาความจริงที่ค่อย ๆ คลายปมไปทีละนิด จนสุดท้ายมันกลายเป็นภาพยนตร์หักมุมชั้นดีเรื่องหนึ่งและสะเทือนใจสุด ๆ ละครับ

ตัวละครหลัก

จินซอก (รับบทโดย คังฮานึล) เป็นลูกชายคนเล็ก วัย 21 ที่กำลังขมักเขม้นการดูหนังสือสอบ มุ่งมั่นจะเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ในปีนี้ เขาเป็นคนขยัน แต่หัวไม่ดีเท่าพี่ชาย เขาเห็นพี่ชายเป็นต้นแบบที่น่านับถือและชื่นชมมาก เป็นเรื่องให้โม้ได้แบบ so proud เสมอๆ แต่เรื่องของตัวเองกลับสร้างความเครียด ถึงขั้นต้องกินยาช่วยคลายกังวลอยู่เป็นประจำ

ยูซอก (รับบทโดย คิมมูยอล) เป็นพี่ชายที่สุดแสนสมบูรณ์แบบในสายตาน้องชาย เก่ง ฉลาด สอบได้ที่หนึ่งมาตลอดจนจบมหาวิทยาลัยชั้นนำ มีพรสวรรค์เก่งรอบด้าน ทั้งดนตรี กีฬา งานช่างก็เยี่ยม วาทศิลป์ก็เลิศ แถมยังนิสัยดี ไม่กินเหล้าสูบบุหรี่อีก มารยาทดี ใจดี ชอบช่วยเหลือด้วย (555 แบบนี้เข้าสูตร Too good to be true ตามภาษิตฝรั่ง ดีเกินจริง)

ความลึกลับต่างๆ

หนังค่อยๆ ใส่ปริศนาเข้ามาให้กับผู้ชมมากขึ้น คนดูจะเริ่มสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลรอบตัวของจินซอก และดูเหมือนว่าหนังจะพยายามให้คนดูเอาใจช่วยตัวละครนี้ให้ไขปริศนาว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของผู้ชายคนนี้กันแน่ แต่เมื่อหนังเดินเรื่องไปเรื่อยๆ คนดูก็จะได้พบกับจุดหักมุมของเรื่องชนิด ตลบหลังคนดูจนหน้าหงายตั้งตัวไม่ทันกันเลยทีเดียว

ปมต่างๆ

นอกจากนี้ปมที่ถูกสร้างไว้เป็นพลอตเรื่อง จะทยอยเฉลย ทยอยหักมุม หลายตลบอยู่ ทำให้หนังมีความน่าติดตามเดากันไปได้เรื่อยๆตลอดเรื่องหนังออนไลน์ ไม่น่าเบื่อเลย ประมาณว่าเฉลยแล้วก็ยังไม่สุด ตามต่อกันได้อีก หักมุมไปแล้ว ก็ยังมีเซอร์ไพรส์หยอดตามมาใหม่ได้อีก ดังนั้นท้ายๆเรื่องจึงต้องดูจนจบเรื่องแบบสุดจริงๆ แบบว่าหลังไตเติ้ลขึ้นแล้วก็ยังมีอีกซีนนะ

เรื่องของปม จริงๆแล้วหนังก็มีปล่อย hint ไว้เล็กๆทีละนิดละหน่อยไว้ตั้งแต่ต้นเรื่องแหละ แต่ถึงจะดูอย่างละเอียดและช่างสังเกตแล้วก็ตาม ก็น่าจะได้แค่เก็บไว้ จะต่อเรื่องเดาเรื่องให้ถูก ก็ยากอยู่เหมือนกันนะ

รีวิว Forgotten

เรื่องคุณภาพ

ความสนุกเร้าใจที่ได้ ต้องยกความดีส่วนหนึ่งให้กับงานภาพ เสียง การตัดต่อ และลำดับการเล่าเรื่องที่ทำให้อารมณ์ผู้ชมตกอยู่ในจังหวะความตื่นเต้นของหนังที่หยอดไว้เรื่อยๆหลายช่วงตลอดเรื่อง

ระดับความดราม่าของหนังก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนกว่าความระทึกขวัญเลย ช่างเป็นโศกนาฏกรรมที่น่าเห็นใจอยู่ มีประเด็นชวนถกชวนวิจารณ์ แต่คงต้องละไว้ เพราะจะติดสปอยล์ไป หมดสนุก

โดยรวม

Forgotten เป็นหนังทริลเลอร์จิตวิทยา ที่จะว่าไปแล้วพล็อตเรื่องก็ไม่ได้มีความซับซ้อนมาก และถ้าคนดูเคยผ่านตากับหนังหักมุมที่มีตัวละครที่มีอาการ “ประสาทหลอน” น่าจะพอคาดเดากันได้ว่า หนังจะอำคนดูในทิศทางไหนบ้าง แต่ข้อดีของหนังเรื่องนี้คือต่อให้ผู้ชมเดาถูกทาง หนังก็ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยที่น่าสนใจ รวมไปถึงจุดขับเคลื่อนตัวละครที่ทำให้พวกเขามีพฤติกรรมแบบในเรื่อง

สรุป

ความสนุกของภาพยนตร์เรื่องนี้คือผู้ชมอย่างเราได้เริ่มค้นหาความลับของตัวละครลึกลงไปในอดีตที่ส่งผลมายังปัจจุบันเพราะเขาได้ทำอะไรเอาไว้ถึงต้องพบเจอกับเรื่องราวที่เรากำลังได้รับชมอยู่นี้ยิงขุดลงไปลึกยิ่งเจ็บทั้งเข้าใจในเหตุผลที่ลงมือกระทำ "สำหรับผู้ชมอย่างผมนั้นทั้งรู้สึกโกรธแค้นที่ไม่ใช่สติปัญญาในการแก้ไขปัญหาจนสุดท้ายกลายเป็นผลกรรมที่ต้องก้มหน้ายอมรับ"

The Sinner

หนังใหม่เต็มเรื่อง

รีวิว The Sinner - คนบาป

หนึ่งในมินิซีรีส์เป็นซีรีส์แนว สืบสวนสอบสวน กึ่งจิตวิทยาที่เหมือนจะธรรมดา แต่ก็ไม่ธรรมดา เมื่อดูจบ 8 ตอนผมก็เข้าใจว่าทำไมนักวิจารณ์ที่ได้ชื่นชม และตัวมินิซีรีส์ก็ได้เข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำถึงสองรางวัล (คือรางวัล “มินิซีรีส์/ภาพยนตร์ทางโทรทัศน์ยอดเยี่ยม” กับ “นักแสดงหญิงยอดเยี่ยม”) อีกด้วย รีวิว The Sinner

เรื่องย่อ

เรื่องราวของ หญิงคนหนึ่งนาม โคร่า หญิงผู้มีครอบครัวสุดน่ารักทั้งสามี และลูกน้อย แต่แล้วจู่ ๆ เธอกลับได้ไปฆาตกรรมชายคนหนึ่ง ในขณะที่เธอและครอบครัวกำลังพักผ่อนอยู่บนชายหาดอันสวยงาม ซึ่งการฆาตกรรมครั้งนี้ มีทั้งพยานคนอื่น ๆ มากมายที่อยู่บนชายหาดเดียวกับเธอ รวมถึงสามีของเธอก็เห็นฉากการเอามีดไปจ้วงแทงชายคนนี้ด้วยเช่นกัน


มินิซีรีส์เรื่องนี้ดัดแปลงจากนิยายเยอรมันที่เขียนโดย Petra Hammesfahr (ขออภัย ไม่แน่ใจว่าอ่านแบบเยอรมันต้องออกเสียงว่ายังไง) ซึ่งเท่าที่อ่านรีวิวใน Amazon เหมือนว่าตัวหนังสือจะถูกวิจารณ์เรื่องการแปลที่ไม่ดีเท่าไหร่ ตัวผมเองก็ไม่เคยซะด้วย จึงบอกไม่ได้ว่าการดัดแปลงนี้เหมือนหรือต่างกันมากน้อยแค่ไหน

เรื่องราวจะแบ่งหนึ่งซีซันต่อหนึ่งคดีใหญ่ ซึ่งก็ไม่ได้เชื่อมต่อกัน แต่ทั้งสองคดีมีคอนเซปต์หลักที่คล้ายกันคือ ฆาตกรแต่ละซีซันดูเหมือนเป็นคนธรรมดาที่ไม่ได้มีพิษภัยอะไร และไม่น่าจะมีเหตุให้ลงมือฆาตกรรม แต่เมื่อตัวเอกลองสืบสวนลึกลงไปกลับพบว่ามันมีอะไรซ่อนอยู่มากกว่าที่เห็น รวมถึงเล่นปมทางจิตวิทยาที่น่าสนใจ

แล้วในที่สุดเรื่องราวจากทั้งสองคดีที่ถูกเปิดเผยออกมาก็ทำให้เราพบว่า บางทีคนบาปตัวจริงอาจจะไม่ใช่ฆาตกรที่ลงมือฆ่าเสมอไป แต่พวกเขาเป็นเพียงเหยื่อที่อยู่ปลายทางของการก่ออาชญากรรมโดยคนที่มีฉากหน้าว่าเป็น “คนดี” ต่อสังคมมากกว่า

เนื้อเรื่อง

เกิดคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญไปทั่วชายหาดแห่งหนึ่งของเมืองเล็กๆที่แทบไม่มีคดีร้ายแรงแบบนี้เกิดขึ้น เมื่อหญิงสาว โคร่า ที่เดินทางมาเที่ยวพักผ่อนพร้อมครอบครัวคือสามีและลูกสาว จู่ๆกลับก่อเหตุเอามีดไปจ้วงแทงชายคนหนึ่งที่กำลังพลอตรักกับแฟนสาวอยู่บนชายหาด ท่ามกลางพยานผู้เห็นเหตุการณ์นับร้อยคน

ด้านหญิงสาวก็รับสารภาพทุกข้อกล่าวหา พร้อมกับที่เธอไม่สามารถอธิบายได้ว่า ทำไมถึงลงมือ ทำให้คดีร้อนถึง เจ้าหน้าสืบสวน แฮรี่ แอมโบรส ต้องเข้ามาสืบค้นหาความจริงที่ลึกลับของคดีนี้ว่า ทำไมหญิงสาวคนหนึ่งที่ดูภายนอกแล้วรักสามีและลูก ไม่ได้มีปัญหาอะไร ถึงก่อคดีเช่นนั้น

แต่เรื่องราวของซีรีส์เรื่องนี้ไม่ได้จบเพียงการฆาตกรรมแต่อย่างใด เพราะตัวซีรีส์ได้นำเสนอเรื่องราวภายในจิตใจของ โคร่า ว่าเพราะเหตุใด หรือแรงจูงใจใดที่ทำให้เธอฆาตกรรมชายผู้นี้ได้อย่างไม่ลังเล ทั้ง ๆ ที่สามีและลูกน้อยของเธอก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วยเช่นกัน

ถึงแม้ว่า โคร่า จะรับสารภาพในทุกข้อกล่าวหา แต่เธอกลับไม่บอกถึงเหตุผลในการฆ่าแต่อย่างใด เรื่องนี้จึงร้อนไปถึงตำรวจที่ต้องไขปมต่าง ๆ ของเหตุการณ์ฆาตกรรมครั้งนี้

ซึ่งตัวผู้ชมจะได้ร่วมไขปมต่าง ๆ ที่อยู่ภายในใจของโคร่า ซึ่งถือว่าเป็นซีรีส์หนังใหม่เต็มเรื่องแนว สืบสวน ที่มีความแตกต่างกับซีรีส์แนวเดียวกันเป็นอย่างมาก ที่ส่วนใหญ่จะเน้นไปในแนวสืบหาตัวฆาตกรต่าง ๆ แต่เรื่องนี้กลับถ่ายทอดถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เป็นเหตุให้ตัวนางเอกนั้นได้ลงมือฆ่าชายคนหนึ่งได้อย่างเลือดเย็น สำหรับซีรีส์เรื่องนี้ ได้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลต่าง ๆ มากมาย ทั้งทีวีซีรีส์ยอดเยี่ยม และตัวนักแสดงนำยอดเยี่ยมอีกด้วย

ใน The Sinner SS1

ก่อนอื่นต้องบอกว่า ซีรีส์แนวสืบสวนทั่วไป จะมีแพทเทิร์นอย่างหนึ่งที่เราพบเห็นเป็นประจำคือ เกิดคดี นักสืบ หรือทีมงานเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ พบผู้ต้องหา หรือพยาน สอบปากคำ ค้นหาความจริง ค้นหาว่าฆาตกรคือใคร เชื่อมโยงสิ่งที่เกี่ยวข้อง ออกตามล่าฆาตกร และหลายคดีก็จะพบเบื้องหลังอื่นๆอีก

แต่เรื่องนี้มีความพยายามที่จะฉีกแนวทางการเล่าเรื่อง นั่นคือตัวเรื่องจะมีการเฉลยตั้งแต่ 10 นาทีแรกในตอนแรกสุดของแต่ละซีซันว่า คนร้ายคือใคร รวมถึงวิธีสังหารด้วย (ซีซัน 1 และ 2 ใช้วิธีนี้หมด)

เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่จะไม่ต้องสืบหาเลยในซีรีส์นี้ก็คือ ฆาตกร และ วิธีสังหาร แต่ซีรีส์กลับโยนระเบิดลูกใหญ่เข้ามาหาคนดูแทน นั่นคือเราจะพบว่าฆาตกรในเรื่อง ดูแล้วเป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นคนที่ไม่น่าจะลงมือก่อการอะไรด้วยซ้ำ

แต่พวกเขาทำไปแล้ว แบบนี้จะรอดพ้นโทษได้ยังไง ดังนั้นสิ่งที่ท้าทายซีรีส์เรื่องนี้คือ การสืบค้นหา “แรงจูงใจ” ของการฆาตกรรม ที่มีความสลับซับซ้อนมากกว่าที่ตาเห็น

โดยตัวเรื่องจะแบ่งเป็นหนึ่งซีซันต่อหนึ่งคดีหลัก และในระหว่างนั้นก็ไม่มีคดีย่อยด้วย คือทั้งซีซันมุ่งสู่การค้นหาความจริงในคดีเดียวล้วนๆ ทำให้เรื่องนี้มีจุดเด่นในแง่เป้าหมายการสืบสวนที่ชัดเจน

จุดเด่นของซีซั่นแรก

ในซีซันแรก เรื่องที่เป็นจุดเด่นมากของซีรีส์ ต้องยกให้นักแสดง โดยเฉพาะ บิล พูลแมน นักแสดงรุ่นใหญ่ที่หลายคนคุ้นเคยจากภาพยนตร์แอ็กชั่นไซไฟเรื่อง ID4 ส่วนนักแสดงประจำซีซัน คนที่ต้องชื่นชมเป็นพิเศษคือ ฆาตกรทั้งสองคดี

โดยซีซันแรกได้ดาราหญิง เจสซิก้า เบล ที่ก่อนหน้านี้มีผลงานภาพยนตร์อย่าง The Illutionist (2005), Total Recall (2012) มารับบทเป็น โครา ฆาตกรในซีซันแรก ซึ่งเธอแสดงบทของหญิงสาวที่ภายนอกดูไม่มีพิษภัย แต่เราสามารถรับรู้ได้ถึงความผิดปกติบางอย่างของเธอได้

การดำเนินเรื่อง

ตัวเรื่องจะเล่าสลับไปมาระหว่าง ปัจจุบัน กับ อดีตของโครา ว่าเธอถูกเลี้ยงดูมายังไง ปมในครอบครัวที่คาดไม่ถึง รวมถึงการกระทำบางอย่างจากในอดีตที่ส่งผลกระทบมาถึงปัจจุบันของเธอเอง ทั้งหมดเป็นสิ่งที่นักสืบแอมโบรสต้องคอยสืบค้นไปด้วย ซึ่งบทสรุปค่อนข้างหักมุมเอามากๆ

เนื่องจากการสืบสวนจะไม่ใช่ค้นหาว่า ใครฆ่า แต่เป็นการค้นหาสิ่งที่อยู่เบื้องหลังและแรงผลักดันของการกระทำที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวอะไรกัน ทำให้ซีซันแรกมีความน่าติดตามเอามากๆ อีกทั้งการที่ตัวเอกยิ่งสืบสวนลงไปกลับยิ่งพบความลับดำมืดที่คาดไม่ถึงมากขึ้นเรื่อยๆ เราก็อาจจะพบว่า ที่แท้จริงแล้ว คนบาป ที่ถูกตราหน้า อาจจะไม่ใช่ฆาตกรที่ลงมือฆ่าคน แต่เป็นคนอื่นที่ภายนอกดูหน้าฉากเป็นคนดีของสังคมก็ได้

จุดด้อย

แต่จุดด้อยก็มีพอสมควร เช่น งานสร้างที่ดูแล้วรู้สึกได้ว่าเป็นงานทุนต่ำ แต่ก็ดูเหมือนเป็นความตั้งใจของทีมสร้าง เพราะคดีทั้งสองเกิดขึ้นในชนบทของสหรัฐ จึงให้บรรยากาศที่ดูไม่น่าไว้ใจ ผู้คนที่ดูแล้วมีอะไรซุกเงื่อนงำไว้

อีกจุดที่ด้อยพอสมควรคือ การเดินเรื่องที่แม้ว่าเป้าหมายการสืบสวนคดีจะชัดเจน แต่การเล่าเรื่องค่อนข้างช้า จนถึงช้ามาก ทำให้หลายคนที่ไม่ชอบแนวทางสืบสวนสไตล์ คุยไปคุยมาเพื่อหาความเชื่อมโยง ปนดราม่าโคตรๆ ของตัวละคร ทั้งฝั่งนักสืบและฆาตกร อาจจะไม่ชอบการเล่าเรื่องเอาซะเลย

การเฉลยความจริง

สำหรับการเฉลยความจริงของคดี ถือว่ามีการหักมุมที่คาดไม่ถึง คือเชื่อได้ว่าคนดูตอนแรกคงคิดไม่ออกว่า เรื่องมันจะลากและเชื่อมโยงมาได้จนถึงบทสรุป เรื่องจึงเป็นประมาณว่า ถ้าหากนี่เป็นคดีที่เกิดขึ้นจริง คงเป็นการยากที่จะสืบสวนด้วยวิธีการธรรมดาๆ แล้วความจริงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังแรงจูงใจของฆาตกรในเรื่องนี้อาจจะหายไปกับสายลมเลยก็ได้

รีวิว The Sinner

สิ่งที่ทำให้ซีรีส์นี้สนุกนั้นมีอยู่สองอย่าง

มันค่อยๆปล่อยข้อมูลและตอบคำถามคนดูในบางส่วน ในระดับที่กำลังพอดี ไม่มากไป ไม่น้อยไป เพราะถ้าปล่อยข้อมูลมากไป คนดูก็จะเดาได้และหมดสนุก แต่ถ้าปล่อยออกมาน้อยไป คนดูก็จะรู้สึกว่ามันดูยากจนไม่สนุก

ซีรีส์นี้ปูความรู้สึกของตัวละครให้คนดูได้รับรู้ เรื่องราวทั้งหมดส่งผลกระทบต่อตัวละครอย่างคอร่า หรือสามีของเธออย่างไร สิ่งที่คอร่าเผชิญอยู่นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด มันมีความทรงจำบางอย่างที่อยากจะผุดขึ้นมา แต่มันก็ไม่ได้ออกมาซึ่งจะเป็นเพราะเธอบล็อกมันไว้

หรืออะไรก็ตาม ซีรีส์เว็บหนัง HDแสดงความรู้สึกทุกข์ของเธอจนทำให้คนดูมีอารมณ์ร่วมได้โดยง่าย กลายเป็นว่ามันไม่ใช่แค่ซีรีส์สืบสวนหาความจริง แต่มันยังเป็น แนวดราม่า ว่าด้วยผู้หญิงคนหนึ่งที่ลงมือฆ่าคนเพราะปมอะไรบางอย่างในใจอีกเหมือนกัน

พอผมรู้สึกว่ามีอารมณ์ร่วมไปกับตัวละคร เมื่อเรื่องราวเข้าใกล้ความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ หัวใจของผมก็เต้นระรัวเพราะคิดว่าอดีตของเธอมันต้อง “ดาร์ก” มากๆ มันต้องกระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง ไม่อย่างนั้นคงไม่ถึงขนาดต้องทำให้เธอลืมเหตุการณ์สำคัญขนาดนี้

เมื่อเรื่องราวทั้งหมดถูกเปิดเผย… ผมดีใจที่ซีรีส์พยายามจะสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆขึ้นมาบ้าง มันไม่ได้ออกมาหดหู่อย่างที่ผมคาดไว้ก็จริง แต่ก็ดูสมเหตุสมผลพอจะทำให้เชื่ออยู่บ้าง ซึ่งชวนให้นึกถึงหนังเกาหลี Forgotten ที่พูดถึง “ความทรงจำที่หายไป” และ “เหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจอย่างรุนแรง” เหมือนกัน

ในขณะที่ Forgotten ส่งบทสรุปท้ายเรื่องด้วยอารมณ์เมโลดราม่าตามสไตล์ชาวเอเชียอย่างที่ว่าข้างต้น The Sinner กลับส่งบทสรุปในแง่มุมที่ลึกกว่าและน่าประทับใจกว่าพอสมควร หลักๆแล้วเป็นเพราะว่ามันทำให้คนดูแคร์ตัวละคร

สรุป

เป็นซีรีส์สืบสวนที่พยายามหาทางฉีกจากแนวเดิมๆ เน้นหาแรงจูงใจของฆาตกรที่ดูแล้วเหมือนพวกเขาเป็นเหยื่อที่ทำให้น่าเห็นใจด้วย มีจุดหักมุม การเล่าเรื่องอืดไปบ้าง นักแสดงหลักก็มีอายุ บางคนอาจจะไม่ชอบ

 

Murder Mystery

ดูหนังฟรี

รีวิว Murder Mystery - ปริศนาฮันนีมูนอลเวง

หนังตลกแนวสืบสวนสอบสวนที่ได้ดาราดังฮอลลีวู๊ดรุ่นเก่าอย่าง อดัมแซนด์เลอร์ กับ เจนนิเฟอร์อนิสตัน กลับมาร่วมเล่นกันอีกครั้ง เหมาะเจาะลงตัวสมกับวัย อดัมแซนด์เลอร์นี่ก็ปะยี่ห้อหน้าหนังตลกอยู่แล้ว ได้เจนนิเฟอร์อนิสตันอดีตเจ้าแม่หนังแนวคอเมดี้เบาสมองมาเสริมอีกแรง ทำให้หน้าหนังการันตีเสียงฮาล่วงหน้าก่อนดูได้อย่างแน่นอน รีวิว Murder Mystery

เรื่องย่อ

นิค (อดัม แซนด์เลอร์) ตำรวจนิวยอร์ก พาภรรยาช่างทำผม ออเดรย์ (เจนนิเฟอร์ อนิสตัน) ไปเที่ยวยุโรปอย่างที่สัญญาไว้มานาน และจับพลัดจับผลูได้รับเชิญจากหนุ่มไฮโซ คาเวนดิช (ลุค อีแวนส์) ให้ไปร่วมงานรวมญาติบนเรือยอชต์ของมหาเศรษฐีสูงวัยอย่าง มัลคอล์ม ควินซ์ แต่เพียงคืนแรกควินซ์ก็ถูกฆ่าต่อหน้าแขกที่เขาเชิญมาอย่างเป็นปริศนา และทำให้ทั้งนิคและออเดรย์ต้องตกเป็นผู้ต้องสงสัยคนสำคัญ นิคจะใช้ทักษะนักสืบ ร่วมกับความรู้จากติ่งนิยายสืบสวนของออเดรย์ เพื่อหาคนร้ายตัวจริง


หนังเน็ตฟลิกซ์เรื่องนี้เป็นผลงานของผู้กำกับชื่อไม่ค่อยดังอย่าง ไคล์ เนวาเช็ค ที่เคยมีผลงานซีรีส์สร้างชื่ออยู่บ้างอย่าง Community ทางช่อง NBC ที่ทำให้เขาได้รางวัลสายการกำกับซีรีส์ตลกจากสมาคมหนังและซีรีส์ออนไลน์ หรือ OFTA Awards 2012 และยังได้มือเขียนบทอย่าง เจมส์ แวนเดอร์บิลต์ จากหนัง The Amazing Spider-Man (2012) และ White House Down (2013) ที่น่าจะเป็นตัวตั้งตัวตีสำคัญร่วมกับ อดัม แซนด์เลอร์ ในการสร้างหนังเรื่องนี้

โดยยังได้ดึงดาราชั้นนำมาร่วมได้อีกหลายคนทั้ง เจนนิเฟอร์ อนิสตัน ที่จำไม่ได้แล้วว่าหนังดังเรื่องสุดท้ายคือเรื่องอะไร แต่หน้าเธอก็ยังคงขายดูหนังฟรีได้อยู่เรื่อย ๆ ยิ่งมาทางหนังตลกที่เธอสร้างชื่อขึ้นมาด้วยแล้ว และ ลุค อีแวนส์ ที่ให้เห็นหน้าเห็นตาในหนังดังอยู่เรื่อย ๆ และปลายปีนี้เตรียมเจอเขาในหนังสงครามโลกของ โรแลนด์ เอ็มเมอริช ใน Midway ด้วย

จริง ๆ ต้องบอกว่าหนังยังได้ผู้กำกับภาพจากหนัง Man of Steel (2013) อย่าง อาเมียร์ โมครี และมือตัดต่อจาก The Matrix อย่าง ทอม คอสเทน มาร่วมด้วย และถ้าไล่มาตั้งแต่เริ่มโปรเจ็กต์ตอนแรกหนังจะได้ เอมิลี่ บลันท์ โคลิน เฟิร์ธ และชาร์ลีซ เธอรอน มาแสดงนำร่วมกับแซนด์เลอร์ และยังจะได้ผู้กำกับอย่าง จอห์น แมดเดน จาก Shakespeare in Love (1998) มากำกับด้วย

ก็พอมองออกว่าจริง ๆ แล้วคงวางไว้เป็นหนังที่เอาจริงเอาจังกว่าตอนนี้แน่ ๆ แต่พอเปลี่ยนทีมงาน ก็เหมือนหน้าหนังที่ออกมาแบบเบาสมองดูสบาย ควรเรียกว่าเป็นงานทำเอามัน ทำพักมือกันมากกว่า แต่ก็กลายเป็นว่าอาจเป็นข้อดีด้วย เพราะมันดูง่ายและดูสนุกอยู่เหมือนกันนะ

เนื้อเรื่อง

เรื่องเริ่มที่นิค (อดัม แซนด์เลอร์) ตำรวจนิวยอร์กยศจ่าที่โกหกภรรยามาตลอดว่าเป็นนักสืบ ต้องพาภรรยาช่างทำผม ออเดรย์ (เจนนิเฟอร์ อนิสตัน) ไปเที่ยวยุโรปอย่างที่สัญญาไว้มานาน และระหว่างที่นั่งเครื่องบินก็บังเอิญเจอกับหนุ่มไฮโซ คาเวนดิช (ลุค อีแวนส์) ให้ไปร่วมงานรวมญาติบนเรือยอชต์ของมหาเศรษฐีสูงวัยอย่าง มัลคอล์ม ควินซ์

ที่กำลังจะกำลังเปิดเผยพินัยกรรมยกทรัพย์สินให้กับญาติๆ แต่แล้วควินซ์กลับถูกฆาตกรรมต่อหน้าทุกคนที่มารวมกันในช่วงไฟดับ นั่นเองเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ และทำให้นิคกับออเดรย์กลายมาเป็นผู้ต้องสงสัยคนสำคัญที่ตำรวจโมนาโคต้องการตัว

หนังใช้ความเก๋าของดารานำทั้งคู่มาเล่นสอดคล้องกันได้อย่างสนุกสนาน มุกตลกส่วนใหญ่คือ มุกจิกกัดกันเองของทั้งคู่ต่อหน้าตัวละครอื่น ซึ่งตามบทคือสามีภรรยาที่อยู่กันมานานจนไม่อายที่จะเล่าเรื่องเห่ยๆ ในชีวิตคู่ออกมาให้คนอื่นฟัง ซึ่งนิคก็โกหกว่าตัวเองเป็นนักสืบกับออเดรย์มาตลอด

แม้จะพยายามสอบครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ก็ไม่ผ่าน เพราะความสามารถยิงปืนของเขาห่วยแตกมากๆ แถมด้วยความจน ขี้เหนียว ไม่มีความโรแมนติกเลยสักนิด เรียกว่าเป็นบทพระเอกนักสืบสุดเห่ยในทุกทาง แต่ต้องมาพัวพันกับคดีฆาตกรรมระดับประเทศ ความฮาจึงบังเกิดขึ้นก็ตรงนี้แหละ และยิ่งได้ออเดย์ที่ติดนิยายฆาตกรรมอย่างหนัก

ด้วยความเชื่อว่าแฟนตัวเองเป็นนักสืบ เธอจึงพยายามขายทฤษฎีจากนิยายฆาตกรรมให้นิคนำไปใช้ แต่นิคก็ไม่ค่อยสนองตามแฟน นิคเชื่อว่าคดีฆาตกรรมส่วนใหญ่มาจากแรงจูงใจง่ายๆ ไม่ซับซ้อน แบบเมียตายก็ผัวฆ่านั่นแหละ ไม่ต้องมีทฤษฎีสมคบคิดอะไรแบบที่ออเดย์เชื่อ ซึ่งความขัดแย้งกันตรงนี้ก็ช่วยให้หนังยิงมุก ความจริง vs นิยาย ไปตลอดเรื่องได้อย่างลงตัว และเป็นการเติบโตของตัวละครนิคจากจ่าปลอมๆ กลายมาเป็นนักสืบตัวจริงได้อีกด้วย

การดำเนินเรื่อง

หนังเล่าเรื่องช่วงแรกได้เดิม ๆ จนเกือบเผลอปิดไปแล้วเหมือนกัน เพราะเสียเวลาปูเรื่องราวความสัมพันธ์ของ นิค และออเดรย์ อยู่พอสมควรว่าทั้งคู่แต่งงานกันมาสิบกว่าปี แต่นิคก็ยังคงสอบเป็นนักสืบไม่ได้ ทั้งคู่มีปัญหาการเงินมาก และออเดรย์ก็ยังรอสัญญาที่นิคเคยให้ตั้งแต่วันแต่งงานว่าจะพาไปฮันนีมูนที่ยุโรปอยู่เสมอ

แต่นิคก็ได้แต่ร้องเพลงเราจะทำตามสัญญาขอเวลาอีกไม่นานอยู่ร่ำไป จนวันครบรอบครั้งนี้ที่นิคจับสัญญาณได้ว่าความสัมพันธ์ของเขาทั้งคุ่กำลังเสี่ยงอันตราย เขาจึงแถและซื้อทัวร์ยุโรปราคาถูกแก้ลำไปก่อน เอาจริงแม้กระทั่งถึงตอนการปรากฏตัวของ คาเวนดิช ไฮโซสุดปริศนาบนเครื่องบินชั้นเฟิร์สต์คลาส

ที่มาตีสนิทและชักชวนออเดรย์ไปร่วมงานฉลองสมรสของลุงมหาเศรษฐีของเขา กับ ซูซี่ (คัตซึนะ ชิโอลิ) อดีตสาวคนรู้ใจชาวญี่ปุ่นของคาเวนดิช มันก็ยังไม่ถือว่าน่าติดตามนัก เป็นประมาณว่าดูแก้เบื่อได้เรื่อย ๆ อยากหยุดตอนไหนก็ไม่เสียดายอะไร มุกตลกก็มาแบบคำพูดปากหมาของนิคเสียส่วนใหญ่

แต่ทันทีที่หนังกระโจนเข้าสู่ปริศนาฆาตกรรม เมื่อควินซ์ถูกฆ่าด้วยกริชโบราณระหว่างไฟดับบนเรือสำราญส่วนตัวของเขา ต่อหน้าแขกพิเศษเพียงไม่กี่คน หนังก็ดูน่าสนุกขึ้นทันที ยิ่งแต่ละคนต่างมีแรงจูงใจที่น่าสนใจทั้งสิ้น คือดูมุกมันธรรมดาล่ะเหมือนเอานิยายและหนังปริศนาสืบสวนดัง ๆ มาดัดวิธีเล่า

รีวิว Murder Mystery

แต่เพราะมันมีสูตรสำเร็จที่ทำงานได้ผลอยู่แล้ว เราจึงสนใจและติดตามว่าหนังจะใช้ความตลก บวกกับสถานการณ์ประหลาด ๆ เล่าเรื่องหนังออนไลน์และเฉลยได้อย่างไร เพราะข้อสำคัญของหนังตลกคือมันจะพลิกจะหักไปเป็นอะไรก็ได้ มันไม่เรียกร้องความสมเหตุสมผลมากมายอยู่แล้ว จึงกลายเป็นว่าดูไปก็เดาไรไม่ถูก พอคิดว่าตัวนี้เป็นคนร้ายแน่ ๆ อ่าว ถูกฆ่าตายตามไปเฉย เอาจริงก็สนุกไปกับมันรอมันเฉลยไปนั่นล่ะ 555

ดราม่าชีวิตครอบครัว

นอกจากความตลกแล้ว หนังก็สอดแทรกในส่วนดราม่าชีวิตครอบครัวที่แม้จะไม่ประสบความสำเร็จร่ำรวย แต่ทั้งคู่ก็ยังรักกัน พร้อมฝ่าฟันอุปสรรคไปด้วย หนังใช้ตรงนี้เสริมเติมแต่งเข้ามาในเรื่องได้อย่างพอดี ทำให้เห็นว่าชีวิตมหาเศรษฐีที่พวกเขาไปพบเจอ

ก็ไม่ได้มีความสุขอะไรนัก แถมกลับต้องมาตายจากความร่ำรวยของตัวเอง หนังสร้างให้นิคแม้จะเป็นพระเอกที่เห่ยทุกทาง แต่สิ่งที่เขามีมากที่สุดคือ “ความรักให้กับภรรยา” ซึ่งถือว่าเป็นส่วนเล็กๆ ที่ดีงามให้เราเอาใจช่วยตัวละครนี้เพิ่มขึ้นมากกว่าความตลกเพียงอย่างเดียว

โดยรวม

หนังเดินเรื่องด้วยการสืบสวนชวนหัวร่อล้อเลียนนิยายนักสืบตลอดทาง แม้ไม่ถึงขนาดขำก๊าก แต่ก็ไม่ฝืดแน่นอน เป็นหนังเบาสมองที่ทำได้ดีเกินคาด ดีกว่าในกลุ่มหนัง Original Netflix ที่มักบ่นๆ กันว่ามีแต่แนวอินดี้หรือหนังสนองนี๊ดส่วนตัวของผู้กำกับ แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เลย เป็นหนังที่ยกไปฉายในโรงได้สบายๆ

แถมนอกจากแนวตลก ตอนท้ายยังมีแอ็กชั่นขับรถไล่ล่ากันในเมืองโมนาโค ที่ทำออกมาได้พอเหมาะพอเจาะ และใช้เป็นจุดไคลแม็กซ์หักมุมซ้อนก่อนจบเรื่องอีกด้วย ส่วนเหตุผลน้ำหนักคดีฆาตกรรม แรงจูงใจ ก็ออกมาได้โอเค หนังเดายากเพราะเดินเรื่องด้วยความตลก ทำให้ไม่ได้เน้นใบ้ให้คนดูคิดออกสักเท่าไหร่ ดูไปรอเฉลยอย่างเดียว ซึ่งหนังแนวนี้ก็คงไม่ต้องการให้คนดูขบคิดปวดหัวอยู่แล้ว

สรุป

ซึ่งที่ว่ามากลายเป็นว่าหยุดดูไม่ได้และก็สนุกพอสมควรทีเดียว มีหลายมุกที่ทำงานดีมาก มุกเกี่ยวกับพวกนิยายนักสืบก็ใช่ได้เลย การเฉลยก็ทำได้โอเคไม่ถือว่าเฟลอะไร ระหว่างทางก็สร้างปมปริศนา และเพิ่มความอยากรู้อยากเห็นให้มากขึ้น ๆ เป็นอีกเรื่องที่ดูธรรมดาแต่ดูสนุก และเหมาะกับการพักผ่อนหย่อนใจในวันหยุดครับ อ่อตอนจบเหมือนเขาจะบอกว่าอยากทำภาคต่ออยู่เหมือนกันนะ 555

Mindhunter

ดูหนังฟรี

รีวิว Mindhunter

ฆาตกรต่อเนื่องและอาชญากรที่โหดเกินมนุษย์ธรรมดาจะเข้าใจ เป็นวัตถุดิบอันน่าหลงใหลของนักสร้างหนังมานาน บรรณานุกรมแห่งความโหดร้ายไร้สำนึก การทารุณ ฆาตกรรม ข่มขืน ทรมาน ไม่เว้นเด็ก สตรีและคนชรา กระทำต่อเนื่องซ้ำซากและทวีความเหี้ยมมากขึ้นเรื่อยๆ หนังหลายเรื่องตั้งคำถามว่าเราสามารถเข้าใจคนที่กระทำการวิปริตเหล่านี้ได้โดยไม่กะพริบตาได้หรือไม่ รีวิว Mindhunter

เรื่องย่อ

เรื่องราวในยุคประมาณ 70’s เมื่อเจ้าหน้าที่ FBI โฮลเดน ฟอร์ด และ บิล เทนซ์ ได้ร่วมกันจัดตั้งแผนกใหม่ของ FBI ที่ชื่อว่า หน่วยพฤติกรรมศาตร์ หน้าที่ของพวกเขาคือ เดินทางสัมภาษณ์เหล่านักโทษฆาตกรโรคจิตทั่วสหรัฐฯ ที่ถูกขังอยู่ในคุก เพื่อเก็บข้อมูล เข้าถึงจิตใจและวิธีคิดเพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อช่วยเจ้าหน้าที่ในด้านอื่นๆ ไขคดีที่เกิดขึ้น โดยทั้งสองตัวละครนี้ อ้างอิงมาจากนักสืบจริงๆในยุค 1960s เพราะตอนนั้นทางสหรัฐฯ ได้ใช้หลักจิตวิทยาในการไขคดีอาชญากรรม โดยเฉพาะคดีฆาตกรรมที่อุกฉกรรจ์ โหดร้ายผิดมนุษย์ ทางเจ้าหน้าที่ต้องปรับตัว เรียนรู้ที่จะใช้สมองเพื่อวิเคราะห์บุคลิก ดักทางฆาตกร เพื่อให้เข้าใจว่าในหัวของปีศาจในร่างมนุษย์พวกนี้มีกลไก ความคิด หรือสัญชาติญาณแตกต่างจากคนทั่วไปอย่างไร


จิตใจของฆาตกรหรืออาชญากรเป็นอีกโลกหนึ่งที่หนังและซีรีส์ฮอลลีวูดชอบเข้าไปสำรวจ นัยหนึ่งเพราะเป็นโลกที่รังสรรค์ตัวละครคาแรกเตอร์โรคจิตสุดหลอน (ลองนึกถึงโจ๊กเกอร์หรือทูเฟซ มนุษย์สองหน้า ตัวละครจากคอมิก Batman) จากเหตุการณ์จริงที่ทำให้เรื่องราวตัวละครสมจริง

ทั้งที่เกิดจากกจิตที่ผิดเพี้ยนก่อให้เกิดเหตุฆาจกรรมของคนเหล่านี้ต่อเหยื่อมากมาย และอีกนัยหนึ่งก็เป็นโลกที่ผู้ชมทั่วไปสงสัยใคร่รู้ว่า เหตุใดอาชญากรเหล่านั้นถึงได้ก่อคดีหฤโหดขึ้นมาได้ ที่มาที่ไปของพวกเขาก่อนจะมาเป็นอาชญากรนั้นเกิดขึ้นเพราะเหตุใด

ในบรรดาซีรีส์ภาคต่อมากมายของ Netflix ผู้เขียนจดจ้องรอซีซั่นใหม่ของ Mindhunter มากที่สุด (ลงสถิตจอวันศุกร์ที่ 16 ส.ค. ที่ผ่านมา) ผู้สร้างโชว์ชุดนี้คือ เดวิด ฟินเชอร์ ผู้กำกับฮอลลีวูดขึ้นชื่อเรื่องสไตล์หนังอันเยือกเย็นและแหลมคม เป็นผู้กำกับที่เคยโคจรเข้าใกล้ฆาตกรต่อเนื่องมาหลายครั้ง

ตั้งแต่ Seven ถึง Zodiac ทุกครั้งเราจะเห็นนักสืบหนุ่มดูหนังฟรีผู้หมกมุ่นในการอ่านใจฆาตกร ลุ่มหลงในความพยายามเลียนแบบความคิดนักฆ่าหรือนักข่มขืน จนตัวเองหลุดเข้าไปในหลุมดำของมโนสำนึกเสียเอง

เนื้อเรื่อง

เรื่องราวดัดแปลงจากหนังสือ “Mind Hunter: Inside FBI’s Elite Serial Crime Unit” ของ John E. Douglas และ Mark Olshake ซึ่งในชีวิตจริงเคยเป็นเจ้าหน้าที่วิเคราะห์พฤติกรรมคนร้ายของ FBI ที่ช่วยจับฆาตกรและคนร้ายในคดีสำคัญมากมาย หนังมี Producer หรือผู้ควบคุมการสร้างระดับเจ้าพ่อหนังอาชญากรรมระทึกขวัญอย่าง David Fincher (Gone Girl, Zodiac, SE7EN) 

และนางเอกออสการ์ Charlize Theron (บทที่ทำให้เธอได้รับรางวัลออสการ์นำหญิงคือ บทอาชญากรหญิงที่มีตัวตนจริงอย่าง Aileen ในหนัง Monster (2003)) ผู้สร้างอย่าง Joe Penhall ผู้เขียนบทหนังโลกหลังวันล่มสลายชวนหดหู่อย่าง The Road (2009) และเหล่าผู้กำกับหนังและซีรีส์ชั้นนำที่ชวนเครียดและชวนลุ้นมากมายตามรายนามข้างต้น

นี่คือหนังตามล่าเหล่าอาชญากรที่มีความคิดยากเกินหยั่งถึง ต้องใช้สมองมากกว่ากำลังไปตามจับ ถ้าเป็นคอหนังสืบสวนและหนังอาชญากรที่มีตัวละครอย่าง Hannibal Lector ในนิยายของ Thomas Harris เป็นตัวหลักของเรื่องแล้วละก็ ย่อมจะชื่นชอบซีรีส์นี้ได้ไม่ยาก

Mindhunter ในซีซั่นแรก ตามนักสืบ FBI สองคน โฮลเด้น ฟอร์ด (แสดงโดย โจนาธาน กรอฟ) และ บิล เทนช์ (โฮลท์ แมคคอลลานี) ทั้งสองตัวละครอ้างอิงจากนักสืบจริงๆ ในยุค 1960s เมื่อทางการสหรัฐฯ เริ่มใช้หลักจิตวิทยาและพฤติกรรมศาสตร์ในการไขคดีอาชญากรรม

โดยเฉพาะกรณีอุกฉกรรจ์ที่โหดร้ายผิดมนุษย์มนา แทนที่ตำรวจจะใช้กำลังกายในการตามจับผู้ร้าย กลายเป็นต้องเรียนรู้ที่จะใช้สมอง การวิเคราะห์บุคลิก และทำตัวเป็นหมอโรคจิตเพื่อดักทางฆาตกร ฟอร์ดกับเทนช์ในซีรีส์ เดินทางไปทั่วอเมริกาเพื่อสัมภาษณ์ฆาตกรต่อเนื่องสุดอื้อฉาวที่ถูกจับได้แล้ว โดยหวังจะเข้าใจว่าพวกเขามีกลไกความคิดหรือสัญชาตญาณที่แตกต่างจะคนทั่วไปอย่างไร

ทีมงานทั้งหมดที่เป็นระดับตัวท็อปของวงการร่วมกันผลิตซีรีส์ที่บอกเล่า เรื่องราวของหน่วย BAU (Behavioral Analysis Unit) หน่วยงานที่ถือกำเนิดคำว่า “ฆาตกรต่อเนื่อง” (Serial Killer) ขึ้นจริงในแวดวงสืบสวนสอบสวนของโลกใบนี้  หน่วยวิเคราะห์พฤติกรรมอาชญากรใน FBI (มีบทบาทโดยตรงในซีรีส์ Criminal Minds (2005-ปัจจุบัน) ของช่อง CBS, ซีรีส์ Hannibal (2013-2015)

และหนัง Silence of the Lambs (1992)) เพียงแต่เรื่องนี้จะเป็นการเล่าย้อนไปที่จุดเริ่มต้นการบุกเบิกหน่วยงานในยุค 70 เจ้าหน้าที่ Holden Ford (Jonathan Groff) อาจารย์รุ่นใหม่ไฟแรงที่ให้ความสนใจกับพฤติกรรมของอาชญากรเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุร้าย (ในขณะที่ FBI เวลานั้น มักจะให้ความสำคัญกับการไล่ล่าอาชญากรรมที่เกิดขึ้นไปแล้ว มากกว่าป้องกันไม่ให้เกิด)

ต้องมาร่วมมือกับเจ้าหน้าที่รุ่นเก๋า Bill Tench (Holt McCallany) ที่พอจะเห็นด้วยกับแนวคิดนี้อยู่บ้าง และอาศัยโอกาสที่เขาต้องไปสอนหนังสือให้เจ้าหน้าที่ FBI ใตามสถานีตำรวจทั่วสหรัฐฯ ฟัง Bill จึงหนีบ Holden ไปเพื่อเผยแพร่แนวคิดนี้ด้วย ส่วนในช่วงครึ่งหลัง ซีซันแรก ทีมก็ได้ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยใน Boston Dr.Wendy Carr (Anna Tov) มาร่วมทีมด้วย 

จุดเด่น

ที่เด่นพอๆ กับนักสืบทั้งสอง คือบรรดาฆาตกรที่พวกเขาประสบพบเจอ Mindhunter สร้างตัวละครในหนังจากฆาตกรโหดจริงๆ ในประวัติศาสตร์ของอเมริกา ประเภทที่แค่ได้ยินว่าทำอะไรก็ขนลุกแล้ว ที่เดินมากในซีซั่นแรกคือ เอ็ด เคมเปอร์ (หรือ Co-ed killer) ฆาตกรที่ฆ่าตา-ยายตัวเอง ตัดหัวแม่ตัวเอง

หลังจากถูกปล่อยจากโรงบาลโรคจิต ออกมาฆ่าผู้หญิงและทำอนาจารศพอีกแปดครั้ง พระเอกใน Minhunter “อิน” กับเคมเปอร์มาก เพราะเขาพร้อมจะพูดและอธิบายตัวเองให้ฟัง ต่างกับฆาตกรคนอื่นๆ ที่เงียบไม่ปริปาก เช่น มอนเต ราลฟ์ ริสเซล ที่ฆ่าคนตั้งแต่อายุ 15 พออายุ 15 ฆ่าไป 5 ศพ

และข่มขืนผู้หญิงอีกนับสิบ เจอร์รี่ บรูดอส ฉายา “นักฆ่าบ้ารองเท้าส้นสูง” ฆ่าคนตายและถูกส่งเข้าสถาบันตั้งแต่อายุ 15 พอออกมาก็แต่งงานมีลูก แต่ต่อมาลักพาตัวผู้หญิง ฆ่า และหั่นชิ้นส่วนเก็บไว้เป็นที่ระลึกอีกอย่างน้อย 5 ศพ ริชาร์ด สเป็ค สุดโหดอีกรายที่ข่มขืน ทรมาน และฆ่าพยาบาล 8 คน สุดท้ายคือ ดาร์เรล จีน เดวิเอร์ ที่ฆ่าและทรมานเด็กอายุ 12 และถูกสองนักสืบแกะรอยจนจนมุม

ความวิปิริตผิดมนุษย์

แค่ฟังสิ่งก็เหนื่อยและขยะแขยงแล้ว สิ่งที่ Mindhunter ทำได้เด่นมาก คือการเล่าความวิปิริตผิดมนุษย์ของอาชญากรเหล่านี้ ผ่านทางสไตล์หนังที่เรียบ เยือกเย็น หนังไม่ได้พยายามทำให้ฆาตกร “มีความเป็นมนุษย์” (เป็นวิธีที่โหลมากๆ ของหนังที่พยายามทำตัวลึกซึ้ง) แต่มองพวกเขาอย่างตรงไปตรงมา ชัดเจน ไม่เวอร์ ไม่อวย ไม่เข้าข้างใคร เหมือนนักจิตวิเคราะห์ที่ค่อยๆ พาเราไปทัวร์เขาวงกตของความวิปลาส การจัดวางภาพ เสียง และพื้นที่ระหว่างนักสืบสองคนกับฆาตกรต่อเนื่องที่พวกเขาพบเจอ

ทำให้อุณหภูมิในห้องลดลงฮวบฮาบเพียงแค่จอมโหดเหล่านี้เปิดปากพูด และด้วยความที่เป็นซีรีส์ที่ให้เวลาเราอยู่กับตัวละครมากพอ (คือมากกว่าหนังสองชั่วโมง) เราจึงเห็นรายละเอียดความเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของนักสืบทั้งสอง โดยเฉพาะ โฮลเด้น ฟอร์ด เห็นเงามืดค่อยๆ แผ่เข้าปกคลุมใบหน้าและหัวใจของเขา

Season 1

ในซีซันแรกนั้น ซีรีส์นำเสนอเรื่องราวของ “ฆาตกรต่อเนื่อง” มากมาย ซึ่งเป็นตัวเอ้ของชาวอเมริกันที่ได้ติดตามบนหน้าหนังสือพิมพ์ในยุค 1960s-1970s เช่น “Co-ed Killer” Edmund Kemper (Cameron Britton) ผู้สังหารเหยื่อกว่า 10 รายรวมถึงย่าและแม่ของตัวเองก่อนจะมีเพศสัมพันธ์กับศพที่เขาฆ่า “The Lust Killer” Jerry Brudos (Happy Anderson) ฆาตกรต่อเนื่องที่ถูกเลี้ยงดูมาจากแม่ที่อยากได้ลูกผู้หญิงและบ้ารองเท้าผู้หญิงเป็นชีวิตจิตใจ

ซีรีส์นำเสนอชีวิตของ Ford ออกมาในแง่มุมของการดำเนินชีวิตอย่างมั่นใจทั้งในการทำงาน (ที่ต้องเผชิญกับการสัมภาษณ์ฆาตกรตัวเอ้มากมาย ซึ่งก็ทำให้เขาเกิดภาวะทางจิตตามไปด้วยอย่างไม่รู้ตัว) และกับความรัก ซึ่งก็ทำให้เขาหุนหันพลันแล่น ทะเยอทะยานและมั่นใจในตัวเองขึ้นเรื่อย ๆ จนเลือกจะใช้วิธีที่เลวร้ายเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ ซึ่งเพื่อนร่วมงานทั้งสองคน Bill และ Dr.Vendy ไม่เห็นด้วย จนเกือบส่งผลให้หน่วยงาน BAU ต้องจบลง 

คนดูจะสัมผัสได้ถึงจังหวะการเล่าเรื่องไปจนถึงโทนสีที่หนังเลือกหนังใหม่ชนโรงใช้ ซึ่งเป็นสไตล์ที่มีลายเซ็นที่โดดเด่นมากของ David Fincher ใกล้เคียงที่สุดที่หนัง Zodiac (2007) ที่บทสรุปของเรื่องก็เลือกจะเล่าตามความเป็นจริง ในกรณีที่ฆาตกรยังลอยนวลและทางการไม่อาจทำอะไรได้

รีวิว Mindhunter

Season 2

ส่วนซีซันสอง เริ่มต้นด้วยการให้หน่วย BAU เข้าไปเกี่ยวข้องกับ BTK (Bind, Torture and Kill) Killer ที่ทิ้งเชื้อไว้ตั้งแต่ปีแรก (ด้วยการหยอดเรื่องราวที่มาและพฤติกรรมประหลาดของ BTK Killer หรือ Dennis Rader ซึ่งเมื่อมาถึงเหตุการณ์ตามท้องเรื่องในปี 1979-1980 นั้น เขาก็ได้สังหารไปแล้วถึง 7 ศพ (จากทั้งหมด 9 ศพจนถึงปี 1991

และถ้าไม่ถือเป็นการสปอยล์ซีซันหน้า ๆ เพราะ search เอาได้จาก Google อยู่แล้ว ฆาตกรรายนี้กว่าจะถูกจับก็ปี 2005 ถือเป็นการลอยนวลที่ยาวนานกว่า 4 ศตวรรษ ซึ่งก็น่าสนใจว่าซีรี่จะนำเสนอออกมายังไงให้เวลาตามท้องเรื่องกินระยะเวลายาวนานขนาดนั้น)

ฆาตกรต่อเนื่องประจำซีซันที่น่าสนใจได้แก่ Berkowitz ฆาตกรฉายา Son of Sam ที่สังหารไป 6 ศพ (ยอมรับสารภาพแค่ 3) โดยอ้างว่า ถูกปิศาจที่อยู่ในร่างของสุนัขข้างบ้านเป็นสิ่งควบคุมให้เขาก่อเหตุ William Pierce ฆาตกรที่ฆ่าข่มขืน 9 ศพ หนึ่งในนั้นเป็นเด็กสาวอายุ 13 ปี Elmer Wayne Henley Jr. รายนี้เคยตกเป็นเหยื่อถูกชายชื่อ Dean Corll ล่อลวง

ก่อนที่เขาจะกลายเป็นผู้ร่วมมือกับชายคนนั้นเสียเอง นำเด็กชายซึ่งเป็นรุ่นน้องในโรงเรียนไปเป็นเหยื่อฆ่าข่มขืนไม่น้อยกว่า 28 ราย ก่อนที่เขาจะลงมือสังหาร Dean Corll เเองในท้ายที่สุด William Henry Hance สังหารโสเภณีทั้งผิวขาวและผิวดำไป 4 ศพ

สิ่งที่น่าสนใจและซีรีส์นำเสนอออกมาได้ดี คือ คนทั่วไปมักตั้งคำถามว่า ทำไม เพราะอะไรฆาตกรจึงกระทำการเหนือสำนึกผิดชอบชั่วดีหรือศีลธรรมไปได้ขนาดนั้น ซึ่งซีรีส์ได้อธิบายให้เห็นว่า เราไม่อาจใช้มาตรฐานทางคุณธรรม จริยธรรม ศีลธรรมเดียวกันได้กับพวกเขาได้เลย

สรุป

Mindhunter ทั้ง 2 ซีซันคือ งานละเอียดของทุกคนที่มีส่วนร่วม โดยเฉพาะ David Fincher ที่ใส่ใจตั้งแต่ข้อมูลเบื้องหลังคดีต่าง ๆ ที่สะท้อนปมหลายอย่าง บทสนทนาต่าง ๆ ที่น่าฟัง (ระดับที่เคยถ่าย The Social Network (2010) ฉากเดียวเป็นร้อยเทคก็ทำมาแล้ว!) คอประวัติศาสตร์คดีฆาตกรรมดังในสหรัฐฯ ก็น่าจะชอบเช่นกัน

และทำให้เห็นว่า วิธีการสอบสวนและเรียนรู้ฆาตกรของสหรัฐฯ ละเอียด ซับซ้อน เข้มข้น และลงลึก มากไปกว่าการหาตัวฆาตกรและจับมาลงโทษ (แล้วก็ปล่อยออกมาในที่สุดเหมือนในบางประเทศ) ซีรีส์คุมโทนบรรยากาศชวนหดหู่ไว้ได้ตลอดอย่างเอาอยู่ ชนิดที่ถ้าดูต่อเนื่องรวดเดียวก็อาจมีอาการจิตตกไปด้วยเหมือนกัน

Uncut Gems

ดูหนังออนไลน์

รีวิว Uncut Gems - เพชรซ่อนเหลี่ยม

หนังที่ต้องบอกว่าน่าจับตามองเพราะว่าเป็นการพลิกบทจากดาราสายฮามาเป็นสายจริงจังเดือดๆแบบนี้จากตัวอดัมแซนด์เลอร์เองต้องบอกว่าน่าจับตามองและหลายๆคนก็ชื่นชมการแสดงครั้งนี้เลยแหละไม่ใช่หนังทีจะแสดงดราม่าอะไรเยอะแต่การเข้าถึงตัวละครมันได้จริงๆ ส่วนเรื่องนี้ก็เป็นหนังคุณภาพจาก Netflix อีกแล้วครับที่ได้ ผกก ทั้ง 2 คนจาก Good time คือ พี่น้อง Safdie นั้นเอง รีวิว Uncut Gems

เรื่องย่อ

ผลงานอาชญากรรมระทึกขวัญของจอชและเบนนี่ แซฟดี้ นักสร้างภาพยนตร์ชื่อดังที่นำเสนอเรื่องราวของ ฮาเวิร์ด แรตเนอร์ (อดัม แซนด์เลอร์) นักค้าอัญมณีผู้มีวาทศิลป์ชาวนิวยอร์กที่คอยมองหาโอกาสรวยลัดเสมอ ครั้งนี้เขาเสี่ยงทุ่มเดิมพันครั้งใหญ่เพื่อผลตอบแทนที่เหลือเชื่อแต่อันตรายอย่างที่สุด ฮาเวิร์ดจึงต้องงัดทุกกลยุทธ์มาใช้เพื่อหักเหลี่ยมศัตรูที่มีอยู่รอบด้าน


ก่อนรับชมได้ยินเสียงวิจารณ์ว่าเป็นผลงานการแสดงที่ดีที่สุดของอดัม แซนด์เลอร์ แต่หลังดูจบก็ต้องขอค้านเลยว่าเขาไม่ได้เล่นดีอะไรจากที่เคยเป็นอยู่ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งก็ดีเสมอตัวอยู่แล้ว (ดีแบบเป็นตัวอดัมเองจนคนจำภาพนี้ได้) เพียงแต่เรื่องนี้เป็นหนังแนวดราม่าผสมอาชญากรรม

ซึ่งอดัมไม่เคยได้รับบทแบบนี้มาก่อนเท่านั้น ก็เลยอาจจะถูกยกสูงขึ้นเกินกว่าหนังตลกสไตล์เดิมๆ ของเขา แต่ก็ยังเล่นเป็นตัวละครที่พูดมากเน้นยิงมุกอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่เปลี่ยนโทนมาแนวพ่นคำพูดเป็นชุดกับมุกแห้งๆ เครียดๆ พร้อมกับเรื่องราวที่มีหลายองค์ประกอบชวนปวดหัวได้เหมือนกัน

และนี่ก็คืองานขายฝีมือของอดัม แซนด์เลอร์จริงๆ เมื่อเทียบกับงานส่วนใหญ่ของเขาที่ผ่านๆ มา แล้วกับประเด็นสนทนาที่เกิดขึ้น แซนด์เลอร์สมควรเป็นหนึ่งในห้าผู้เข้าชิง (หรือสี่ถ้าตัดวาคีน ฟีนิกซ์ที่จองพื้นที่ตั้งแต่ไก่โห่) ไหม?

คำตอบคือเข้าไปได้ก็ไม่ขี้เหร่ แต่จะเอาใครออกล่ะ แถมหนึ่งในผู้พลาดเข้าชิงทั้งที่ทำได้ดีเหลือเกินยังมี ทารอน เอเจอร์ตันจาก Rocketman อีกคน ทำให้พอมองย้อนไปถึงรางวัลนี้ของปีก่อน ปีนี้ถือว่าแข็งมากๆ สำหรับการเข้าชิง

หนังชื่อเรื่องเกี่ยวกับเพชรที่ยังไม่เจียรไน แถมชื่อไทย “เพชรซ่อนเหลี่ยม” ยังตั้งได้แบบชวนว้าวว่านี่คงเป็นหนังตัดเหลี่ยมเฉือนคมกันสุดๆ ดูหนังออนไลน์เรื่องย่อก็ยังออกมาในแนวให้เข้าใจว่าแบบนั้น ผสมกับตัวอย่างที่ดูเร้าระทึกกันสุดๆ แต่แท้ที่จริงแล้วหนังแทบไม่มีอะไรแบบที่ว่ามานั้นเลย เรื่องราวกับบทสรุปของหนังสามารถเล่าจบได้สั้นๆ และไม่ได้มีการหักมุมเฉือนคมอะไรแบบน่าตื่นตาตื่นใจทั้งสิ้น

สองพี่น้อง ตระกูลแซฟดี้ ทั้ง จอช และ เบนนี่ อาจเป็นชื่อไม่คุ้นหูคอหนังทั่วไปนัก แต่ในแวดวงหนังอินดี้แล้วนั้นพวกเขาวนเวียนอยู่กับเวทีล่ารางวัลมาอย่างโชกโชนจากหนังแนวดราม่าที่พวกเขาถนัดจัดเจน จนมามีชื่อแถวหน้าสำเร็จจากการเข้าชิงรางวัลปาล์มทองคำจากหนังดราม่าอาชญากรรม Good Time (2017) ที่เป็นจุดพลิกสำคัญให้ โรเบิร์ต แพตทินสัน

ได้ขึ้นมาเป็นดารานำชายแถวหน้าในหนังกลุ่มรางวัลด้วย สำหรับ Uncut Gems เรื่องนี้เองก็เป็นหนังที่ได้รับการจับตามองมากขึ้น ทั้งว่าเป็นผลงานดราม่าอาชญากรรมเรื่องล่าสุดหลังจากหายไปนานถึง 2 ปี และยังเป็นการนำ อดัม แซนด์เลอร์ ปรับภาพมาเป็นยิวนิวยอร์กที่ไม่เหลือคราบความฮาบ้องตื้นอีกต่อไป

เนื้อเรื่อง

หนังว่าด้วยโอปอลอัญมณีจากเอธิโอเปียก้อนหนึ่งซึ่งยังไม่ได้รับการเจียระไน หากแต่ประกายหลากสีของมันยั่วยวนให้บางคนหลงใหลคลั่งไคล้ได้ราวต้องมนต์ ซึ่ง ฮาเวิร์ด แรตเนอร์ (แซนด์เลอร์) พ่อค้าอัญมณีผู้ชอบความเสี่ยงได้ไปเจอเข้าจากช่องสารคดี และหวังว่าเจ้าโอปอลก้อนนี้จะช่วยเปลี่ยนสถานการณ์จนตรอกของเขาที่มีกับเหล่าเจ้าหนี้มากหน้าหลายตาที่เข้ามาวงเวียนทวงเงินเขาตลอดเวลาได้เสียที

แต่ด้วยบุคลิกลื่นเป็นปลาไหลและตัดสินใจได้ห่วยแตกหลายครั้งสถานการณ์ที่น่าจะดีขึ้นก็ลงเหวได้ง่าย ๆ ในมือของแรตเนอร์ ทั้งการแอบมีเมียน้อยเป็นลูกน้องในที่ทำงานและให้เวลากับภรรยาและลูก ๆ อย่างจำกัดจำเขี่ย การบ้าพนันบาสเก็ตบอลแบบเข้าเส้นอย่างที่ว่ามีเงินกองตรงหน้าก็เลือกจะเอาไปลงพนันล็อตใหญ่มากกว่าจะเอาไปจ่ายดอกหนี้ก้อนโต ราวกับในหัวเขามีแค่ชนะไม่ก็แพ้

และถ้าแพ้ก็แค่ลื่นไหลเอาตัวรอดไปวัน ๆ ให้ได้ก็พอ ทว่าเจ้าหนี้สุดเขี้ยวของเขานามว่า อาร์โน ก็จ้างคนทวงหนี้สุดโหดออกไล่ล่าเขาแบบไม่มีวันหยุด จนความเสี่ยงนี้ก้าวย่างไปถึงครอบครัวของเขาด้วย โดยความปั่นป่วนทั้งหมดนี้ก็มีอัญมณีก้อนที่ว่าเข้ามาเป็นส่วนสำคัญที่จะชี้ขาดว่าหนทางแบบนักเสี่ยงโชคของแรตเนอร์จะวินเนอร์หรือลูสเซอร์กันแน่

พล็อตเรื่องมีความแปลกใหม่น่าสนใจอยู่ไม่น้อยกับตัวเอกที่ดูมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว แต่ตัวหนังเองจริงๆ กลับกลายเป็นภาพของอดัม แซนด์เลอร์ ที่รับบทยิวที่ติดการพนันบาสเก็ตบอล NBA และวันๆ ก็พยายามเอาตัวรอดหาเงินด่วนจากทางนั้นมาโป๊ะทางนี้วนไปวนมา ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรจากผีพนันทั่วไปที่มีเงินเท่าไหร่ก็เอาไปลงการพนันหมด

แม้เจ้าหนี้จะตามมาราวีถึงที่หรือถึงขั้นซ้อมก็ยอมเจ็บตัวแต่ไม่มีตังให้ อาศัยโกหกยืดเยื้อไปเรื่อยๆ เท่านั้น แถมตัวเขาก็ไม่ได้ฉลาดอะไรมากในเรื่อง ยังโดนคนหลอกหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งก็ไม่เข้าใจว่าบทนี้มีเล่ห์เหลี่ยมตรงไหน? นอกจากโกหกยียวนเอาตัวรอดกับทนมือทนตีนนักเลงทวงหนี้ไปวันๆ เท่านั้น ซึ่งถ้าใครหวังมองหาหนังเฉือนคมหักมุมอะไรแบบนี้บอกเลยไม่มีครับ

จุดที่น่าปวดหัว

แล้วที่น่าปวดหัวมากๆ คือ หนังเต็มไปด้วยการพูดตะเบ็งเสียงแข่งกันของตัวละครแทบทุกตัวในเรื่อง ลำพังแค่ฟังอดัมพูดพ่นไม่หยุดก็ปวดหัวแล้ว ยังต้องเจอกับตัวละครผิวดำกับพวกมาเฟียที่พยายามพูดสวนซ้อนเวลาถกเถียงกับพระเอกอยู่ตลอดเรื่อง แล้วก็ไม่ได้เป็นบทสนทนาที่ฟังแล้วเฉียบคมหรือมีอะไรมากกว่าไปกว่าการทวงหนี้กับการขอยื้อเวลาของพระเอกวนซ้ำไปมาจนจบ

ประเด็นความอยากรวย

ประเด็นของการอยากรวยทางลัดของพระเอกก็ทำออกมาธรรมดาเหมือนคนทั่วไป ไม่ได้มีเหตุหรือแรงจูงใจให้เราเข้าใจมาก่อนว่าทำไมต้องหมกหมุ่นกับความอยากรวยเร็วแบบนี้ นอกจากว่าอยากรวย อยากทำตามที่คิดแล้วได้ผลก็เพียงแค่นั้น ทั้งๆ ที่เจ้าตัวก็เปิดร้านเพชรมีลูกน้องหลายคน ลูกค้าก็มีเข้ามาตลอดเรื่อง

ซึ่งเปิดร้านทำงานได้ขนาดนี้ก็ไม่น่าจะขัดสนกับพวกทวงหนี้ที่แค่หลักแสน แถมยังมีห้องพักส่วนตัวไว้อยู่กับกิ๊กอีกต่างหาก ซึ่งกลายเป็นว่าสิ่งที่พระเอกมีกับปัญหาที่เกิดขึ้นจากพวกทวงหนี้ที่เอาถึงตายค่อนข้างย้อนแย้งกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นมากมาย

สิ่งที่ยังดีอยู่

สิ่งที่ดีที่สุดของหนังคือตอนจบ หลังจากลากเรื่องราววนเวียนซ้ำๆ กับการหนี้ ทวงหนี้ ก็กลายมาเป็นไคลแม็กซ์สำคัญกับการพนันบาสเก็ตบอลของพระเอกที่ทุ่มหมดตัววัดดวงเลยว่ารอดหรือไม่รอดทั้งเงินก้อนและชีวิต

ซึ่งเป็นฉากเดียวของเรื่องที่เรียกว่าลุ้นที่สุด ผ่านการแสดงของอดัมที่ออกแนวคนเชียร์กีฬาที่อินสุดๆ ล้นๆ จนเกินเบอร์ แต่ก็ยังไม่วายทำให้รู้สึกว่าตัวละครตัวนี้สุดโต่งน่ารำคาญมากจนถึงมากที่สุด

ความโดดเด่น

ความโดดเด่นของหนังความยาวกว่า 2 ชั่วโมง 15 นาที นี้อยู่ที่บทหนังที่ใส่รายละเอียดและซีนมากมายเข้ามา เกิดสถานการณ์พลิกผันไปมาตลอดทั้งเรื่อง ไม่ใช่แค่แรตเนอร์ที่หัวปั่น ผู้ชมเองก็ต้องลุ้นแล้วลุ้นอีก ลุ้นจนเหนื่อยว่าตัวละครจะเอาตัวรอดได้อีกนานแค่ไหน แม้ว่าหลายอย่างมันจะอยู่ในสูตรที่หนังซีรี่ย์ Netflix แนวนี้มักใช้กันทั้งเรื่องตัวละครตัดสินใจห่วย ๆ ให้ทางเลือกมันย่ำแย่ลง

การสู้แบบหมาจนตรอกที่ช่องเล็กช่องน้อยต้องมุดรอดให้หมดก็ยอม แต่ในความคล้าย ๆ เดิมนี้ ต้องยอมรับว่าสองพี่น้องแซฟดี้ค่อย ๆ ทำให้เราผูกพันกับคนที่เชื่อถือไม่ได้หรืออย่างน้อยในชีวิตจริงเราคงหลีกเลี่ยงจะคบหาอย่างแรตเนอร์ไปทีละน้อย จนในที่สุดเราก็ตกที่นั่งว่าถ้ามันจะลุยไปทางเสี่ยงขนาดนี้

เราก็คงต้องเอากับมันไปให้ถึงที่สุดด้วย และนั่นจึงทำให้ช่วงสุดท้ายของหนังเราถึงกับต้องถอนหายใจยาว ๆ ออกมาจากความค่อย ๆ บีบรัดทางเลือกเรามาตลอด 2 ชั่วโมงว่าในที่สุดมันก็หาทางลงได้เสียที แม้จะถูกใจหรือไม่ถูกใจใครก็ตาม อย่างไรก็ดีชีวิตของตัวละครอย่างแรตเนอร์ และอีกหลาย ๆ ตัวรอบข้างก็สอนอะไรเราบางอย่างไว้ในที่สุด

รีวิว Uncut Gems

อดัม แซนด์เลอร์

อีกอย่างที่คนน่าจะพูดถึงกันมาคือการแสดงของ อดัม แซนด์เลอร์ นี่ล่ะ อาจพูดยากว่านี่คือการแสดงที่ดีที่สุดในคาแรกเตอร์แบบนี้ในหนังแนวนี้ แต่เมื่อพิจารณาจาก ความเป็นแซนด์เลอร์ ที่ผ่าน ๆ มา คงต้องยอมรับว่านี่เป็นการท้าทายตัวเองที่ประสบผลสำเร็จยอดเยี่ยมทีเดียว มันไม่เหลือเค้าเดิมของนักแสดงหนังตลกเบาสมองอีกเลย

เขาสวมความเป็นยิวที่น่ารังเกียจ กับคนที่น่าสงสารที่ติดอยู่ท่ามกลางกับดักที่ตนเองร่วมสร้างได้อย่างน่าติดตามเอาใจช่วย คงต้องติดตามว่าหลังจากเรื่องนี้แซนด์เลอร์จะต่อเนื่องในสายรางวัลจริงจังได้ขนาดไหน หรือจะกลับไปโกยทรัพย์ยาว ๆ อีก เพราะหนังโรแมนติกคอมเมดี้เบาสมองผสมปริศนาอย่าง Murder Mystery (2019) ของเขาก็ชนะซีรีส์อย่าง Stranger Things 3 ขึ้นเป็นคอนเมนต์ที่มีคนดูมากที่สุดบนเน็ตฟลิกซ์ในปี 2019 ที่ผ่านมาด้วย

จะบอกว่าเขาประสบความสำเร็จสูงสุดในสายทางบันเทิงแล้วคนหนึ่งก็ว่าได้ ก็คงต้องดูว่าเขายังอยากไล่ล่าความท้าทายอะไรใส่ตัวอีกหรือไม่ แต่ล่าสุดเขาก็มีโพรเจกต์หนังสั้นร่วมกับสองพี่น้องแซฟดี้ในชื่อเรื่อง Goldman v Silverman (2020) ก็ไม่แน่ว่าเขาอาจเจอผู้กำกับที่ถูกคอในแนวจริงจังนี้แล้วก็ได้

เซอร์ไพรส์เล็ก ๆ

หนังมีเซอร์ไพรส์เล็ก ๆ สำหรับคอบาสเก็ตบอลด้วย เพราะได้ เควิน การ์เน็ต หรือ เควี เจ้าของฉายา The Big Ticket นักบาสเก็ตบอลที่เคยคว้าแชมป์ NBA มาแล้วกับทีมบอสตัน เซลติกส์ และยังสร้างประวัติศาสตร์อีกหลายอย่างมาร่วมแสดงเป็นตัวเอง ในบทนักบาสวัย 30 กว่าที่เริ่มโรยราขาดความมั่นใจในตนเองจนมาเจอหินโอปอลที่เหมือนสัญญาณบางอย่างจากพระเจ้า

และก็ทำให้เขามั่นใจกับมาโชว์ฟอร์มเทพได้อีกครั้ง จนเขาเองยินยอมทำทุกอย่างให้ได้เจ้าหินนี้มา ซึ่งก็กลายเป็นอีกหนึ่งตัวละครที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตของตัวเอกด้วย และสำหรับสายดนตรีหนังก็มีฉากสั้น ๆ ที่ได้ เดอะวีกเอนด์ (The Weeknd) มาร่วมโชว์ด้วย

โดยรวม

นี่เป็นหนังที่ได้รับคำชมจนเรียกว่าโอเวอร์เรต ตัวหนังแม้จะมีพล็อตที่แปลกใหม่ แต่การดำเนินเรื่องราววนเวียนซ้ำกับเรื่องเดิมๆ ทั้งเรื่อง ทำให้หนังเหมือนไม่ได้เดินเรื่องไปไหน หรือมีความแปลกใหม่อะไรอย่างที่พล็อตและหน้าหนังถูกทำให้คิดว่าเป็น แถมด้วยบทพูดของตัวละครในเรื่องที่พยายามพูดสวนตะโกนแข่งกันตลอดความยาวของหนังสองชั่วโมงกว่า

ยิ่งทำให้รู้สึกหงุดหงิดรำคาญจนพาลเกลียดตัวละครไปด้วย แต่นั่นอาจจะเป็นสิ่งที่ผู้สร้างต้องการไว้ก็ได้ เพราะบทสรุปจบสุดท้ายก็มีที่มาจากความรำคาญที่ไต่ระดับจนสุดทนนี้เช่นกัน ซึ่งยังดีที่หนังยังมีความน่าสนใจและลากเรื่องยาวน่าติดตามเพื่อดูบทสรุปจบนี้ได้อยู่

สรุป

เป็นหนังซีเรียสเข้ม ๆ  แบบชะตาหนูติดจั่นที่ยิ่งดิ้นก็ยิ่งติดแน่น ให้บทเรียนชีวิตกับเราได้ ส่วนด้านโพรดักชันก็คุมอยู่มือแน่นในการนำเสนอและการเล่าแบบที่รู้สึกอิ่มมาก ๆ กับเรื่องราวพลิกผันซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่อาจต้องผ่านช่วงแรก ๆ ที่ยังไม่ค่อยอินในตัวละครให้ได้ก่อน ยิ่งเข้าเรื่องสถานการณ์ต่าง ๆ ชัดเจน เชื่อเลยว่าจะหยุดดูไม่ได้เลย