รีวิว Peninsula - ฝ่านรกซอมบี้คลั่ง
Train to Busan หนังซอมบี้โคตรดังที่ผลิกโฉมหน้าทั้งหนังซอมบี้ ทั้งหนังเกาหลีเลยก็ว่าได้ คนไม่เคยดูหนังเกาหลีเกินครึ่งเคยได้ยินชื่อนี้แน่นอน และด้วยกระแสอันโด่งดังของภาคแรก ประกอบกับการวางเหยื่อไว้ตอนจบก็ทำให้คอหนังหลายคนคาดหวังว่าจะมีภาค 2 แน่ๆ และเขาก็มาจริงๆ Peninsula (แปลว่า คาบสมุทร) แถมเขามาพร้อมๆ กับธีมโคโลน่าไวรัสเสียด้วย… รีวิว Peninsula
เรื่องย่อ
4 ปีให้หลังจากขบวนรถไฟนรก เชื้อซอมบี้ระบาดกวาดล้างประเทศ วิปโยคไปทั้งคาบสมุทรเกาหลี จนกลายเป็นดินแดนรกร้างที่เต็มไปด้วยฝูงซอมบี้กระหายเลือด และเหลือจำนวนผู้รอดชีวิตแค่เพียงหยิบมือ จองซอก (คังดงวอน) หนึ่งในผู้รอดชีวิต ที่จำเป็นต้องกลับมาเหยียบคาบสมุทรเกาหลีอีกครั้งเพื่อ ภารกิจของเขา คือการกู้ซากรถบรรทุกที่จอดทิ้งอยู่กลางกรุงโซลให้ได้ในเวลาจำกัด แต่แล้วเขากลับถูกกองกำลังไม่ทราบฝ่ายที่เรียกตัวเองว่า หน่วยพิเศษ 631 เข้าจู่โจม พร้อมกับที่ต้องรับมือฝูงซอมบี้จำนวนมหาศาลจนเกือบต้องสังเวยชีวิต มีเพียง มินจอง (อีจองฮยอน) และครอบครัวที่ช่วยชีวิตเขาไว้
ต้องยอมรับกันล่ะว่าหนังซอมบี้ที่เหมือนจะตายไปจากตลาดหลายรอบก็กลับมามีผลงานเด่น ๆ ได้เสมอ ด้วยความที่หนังซอมบี้เป็นพื้นที่ให้พูดเรื่องการเมืองและความฉ้อฉลโสมมของมนุษย์ได้ดีที่สุด และสำหรับประเทศเกาหลีใต้เองก็เคยส่ง Train to Busan หนังซอมบี้วิพากษ์การทำงานของรัฐบาล
และพูดถึงสังคมเกาหลีในโบกี้รถไฟไปปูซานที่ดันมีซอมบี้หลุดเข้าไปในขบวนรถไฟแคบ ๆ สร้างความคึกคักให้หนังตระกูลซอมบี้ได้อักโข และคราวนี้ ฮยอนซังโฮ ผู้กำกับ Train To Busan ก็ไม่รอช้าที่หนังใหม่เต็มเรื่องจะสานต่อความสำเร็จด้วย Peninsula หนังซอมบี้โลกอนาคต Dystopia หรืออนาคตอันมืดหม่นมาลงตลาดในปีนี้
เนื้อเรื่อง
(จริงๆ แล้วต้นเรื่องของ Peninsula ก็ยังเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับตอนจบของภาคแรกนะ) จากภาคแรก ที่เขาว่า Busan เอาอยู่ แต่เปิดภาคนี้มาบอกเลยเอาไม่อยู่! ตัวหนังเล่าอย่างรวดเร็วว่าเมือง Busan นั้นตั้งมั่นอยู่ได้ไม่นานก็แตก แถมการแตกครั้งนี้ทำให้คนเกาหลีใต้ดูเหมือน ตัวเชื้อโรคทันทีในสายตาของประเทศรอบข้างทันที ไม่มีใครเลยที่อยากจะให้ความช่วยเหลือ
แค่ล้อมให้คาบสมุทรเกาหลีเป็นเขตกักกันของโลกก็แทบแย่ เพราะสุดท้ายก็ยังหาสาเหตุจริงๆ ของการแพร่กระจายของโรคประหลาดในครั้งนี้ไม่ได้ คนกลุ่มสุดท้ายที่หนีออกนอกประเทศมาได้จากที่หวังจะไปพึ่งญี่ปุ่นก็ต้องเปลี่ยนเป้าหมายไปขึ้นเกาะที่ฮ่องกงแทน แม้กระนั้นประชาชนทั่วไปในประเทศฮ่องกงก็ยังเหยียดและหวาดกลัวคนเกาหลีใต้ที่อพยพมาอยู่ดี ทำให้ผู้อพยพต้องทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ และเป็นผลให้ต้องอยู่อย่างอดๆ อยากๆ ไปวันๆ
โดย Peninsula จะเล่าถึงช่วงเวลา 4 ปีหลังเหตุการณ์จาก Train to Busan โดยคาบสมุทรเกาหลีทั้งเหนือและใต้เต็มไปด้วยผู้ติดเชื้อจนทางการต้องสั่งอพยพประชากรออกจากคาบสมุทรเกาหลี และหนึ่งในผู้รอดชีวิตที่กลายเป็นศูนย์กลางของเรื่องก็ได้แก่ จองซอก (คังดงวอน) ทหารเกาหลีใต้ที่ไม่อาจรักษาชีวิตพี่สาวตัวเองไว้ได้ เขาจำต้องหอบความผิดบาปและพี่เขยที่แทบใช้ชีวิตแบบหายใจทิ้งไปวัน ๆ ไปยังฮ่องกงเพื่อเอาชีวิตรอด แต่แล้วก็มีเหตุให้ทั้งคู่ต้องกลับไปยังคาบสมุทรเกาหลีอีกครั้ง
โดยข้อเสนอจากนักเลงที่ฮ่องกงคือกลับยังเกาหลีเพื่อขับรถขนเงินมูลค่า 20 ล้านเหรียญกลับมาคืนพวกมัน โดยมีเงินส่วนแบ่งคนละ 2.5 ล้านเหรียญเป็นเงินรางวัล งานนี้จองซอกและพี่เขยพร้อมคนเกาหลีอีก 2 คนจำต้องกลับไปผจญเหล่าซอมบี้อีกครั้ง โดยหารู้ไม่ว่าตอนนี้เกาหลีได้กลายเป็นเมืองผุพังที่มีมนุษย์น่ากลัวกว่าผู้ติดเชื้อเสียอีก แถมชะตากรรมยังทำให้จองซอกต้องกลับไปเผชิญหน้ากับความผิดบาปในอดีตอีกครั้ง
แรงบันดาลใจจาก Mad Max?
หากจะให้จำกัดความ Peninsula ของฮยอนซังโฮก็คงต้องบอกว่ามันคือหนัง Mad Max ที่พยายามจะขายความดิบเถื่อนและความเสื่อมทรามของมนุษย์ แถมยังยืดอกรับเต็มปากว่าฉากแอ็กชันท้ายเรื่องตัวเองก็ได้แรงบันดาลใจมาจาก Mad Max Fury Road เต็ม ๆ
ส่งผลให้ซอมบี้กลายเป็นแค่องค์ประกอบหนึ่งที่พูดถึงความเสื่อมโทรมเน่าเฟะของมนุษย์และเป็นตัวเปรียบเทียบความน่ากลัวที่ทำให้เห็นว่ามนุษย์และการพยายามเอาตัวรอดก่อให้เกิดความน่ากลัวต่าง ๆ มากมายโดยเฉพาะกีฬามนุษย์หนีซอมบี้ที่กลายเป็นความบันเทิงอำมหิตให้กับบรรดามาเฟียที่ตั้งตนเป็นใหญ่ในดินแดนเสื่อมโทรม
แต่กระนั้นการพลิกแนวของฮยอนซังโฮกลับกลายเป็นดาบ 2 คมอย่างช่วยไม่ได้ เพราะในเมื่อหนังโปรโมตตัวเองให้อยู่ในตระกูลหนังซอมบี้และวางตัวเองเป็นภาคต่อ Train to Busan ดังนั้นตัวหนังเลยออกมาผิดความคาดหวังของคนดูแน่นอน งานนี้นอกจากตัวซอมบี้จะไม่ได้น่ากลัวหรือสร้างความตื่นเต้นและมีบทบาทสำคัญเหมือนหนังภาคแรกแล้ว การเป็นหนังภาคต่อก็ไม่ได้ต่อยอดประเด็นหรือชะตากรรมตัวละครที่คนดูให้ใจไปกับหนังภาคแรกอีกด้วย
แม้ตัวหนังจะมีประเด็นน่าสนใจไม่น้อยโดยเฉพาะการเอาเกาหลีมาเปรียบกับจีนในฐานะประเทศต้นทางของเชื้อโรคร้ายในโลกของหนังเทียบกับความเป็นจริง อีกทั้งยังมีฉากที่แสดงให้เห็นว่าคนเกาหลีก็ถูกรังเกียจและไม่มีใครรับเป็นผู้ลี้ภัยประหนึ่งจะโยงมายังวิกฤติ COVID-19 ให้ได้ แต่ประเด็นนี้ก็ถูกพูดถึงแบบผ่าน ๆ จนไม่เหลือความสำคัญต่อเรื่องเท่าใดนัก
เรื่องเกิดขึ้นที่ตรงนี้… ชาวเกาหลี 4 คนต้องบุกขึ้นฝั่งของประเทศบ้านเกิดของเขาอีกครั้ง และต้องฝ่าฝูงซอมบี้ (4 ปีนี่พี่ๆ เขาก็ยังยืนระเกะระกะไม่ยอมตายอยู่กลางถนนเหมือนเดิมเลย) เพื่อหนังออนไลน์ไปเอาเงินก้อนโต และกลับออกมาเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น แต่แล้วพวกเขาก็ได้พบความจริงที่ว่า ยังมีคนรอดตายอยู่ในประเทศมากมายตลอด 4 ปีที่ผ่านมา แต่คนที่อยู่ในดินแดนที่เหมือนนรกนี้มากว่า 4 ปีก็ไม่ได้เป็นมิตรกับคนแปลกหน้าที่ผ่านเข้ามาหรอกนะ
ด้าน CG
CG เยอะแต่ก็สวยงามสไตล์เกาหลี เมืองอาจจะดูเก่าเกิน 4 ปีไปหน่อย เมืองที่ร้างเพราะคนต้องสร้างโซนปลอดภัยเพื่อพักอาศัย แต่สภาพแวดล้อมกลับเหมือนโดน “สึนามิ” มา ฝีมือขับรถของเด็กผู้หญิงอายุ 10 กว่าปีต้นๆ ที่ “ไบรอัน โอ’คอนเนอร์” ยังต้องหลบ (จริงๆ ผมว่าน่าจะเว้นระยะไว้สัก 7-10 ปีน่าจะดีกว่า 4 ปีผมมองว่าเวลามันน้อยไปที่จะทำให้คนที่หนีออกมาไม่ทันพัฒนาสกิลได้เว่อร์วังขนาดนี้
จุดด้อย
แต่บาดแผลสำคัญที่เหวอะหวะยิ่งกว่าหนังหน้าของผีดิบก็คงหนีไม่พ้นการดีไซน์ตัวละครนี่แหละครับ โดยเฉพาะตัว จองซอก ของพระเอกหน้าหล่ออย่าง คังดงวอน ที่ไม่ได้สร้างความผูกพันเหมือนคุณพ่อ กงยู จากหนังภาคแรกได้แม้แต่น้อย ด้วยการที่หนังเล่นนำเสนอภาพความอ่อนแอปวกเปียกในการช่วยเหลือพี่สาวและอาการเหม่อลอยแบบไม่มีที่มาที่ไป แถมยังพยายามขยี้ไอ้อาการบาปที่ติดตัวนี้อีก ทั้งที่คนดูก็ไม่ได้รู้สึกว่า อีตัวพี่สาวมันน่าช่วยเหลือตรงไหนเลยจนทำให้ประเด็นดราม่ามันน่ารำคาญมากไปหน่อย
หรือจะเป็นประเด็นครอบครัวที่พอจองซอกต้องกลับมาเผชิญหน้ากับหญิงสาวที่เขาเคยเพิกเฉยขับรถผ่านตอนพาพี่สาวและพี่เขยหนี ประหนึ่งจะให้เป็นโอกาสที่สองที่ทำให้เขาได้มาไถ่บาปก็ดูพังพินาศมาก แม้จะมีตัวละครสองพี่น้องที่ดูมีสีสันหน่อยก็เถอะ แต่ให้ตายสิ! ทั้งเรื่องนางจะขับรถชนซอมบี้แบบแทบไม่บุบสลายไปอย่างนี้ตลอดจริง ๆ เหรอ ไหนล่ะความน่ากลัว? ไหนล่ะฉากหนีตายซอมบี้? ไม่เหลืออะไรให้ลุ้นกันเลย
สรุป
Peninsula เป็นเหตุการณ์ต่อจาก Train to Busan ก็จริง แต่จะให้มองเป็นหนังซอมบี้เรื่องใหม่ก็ไม่ผิด เพราะแทบจะไม่มีอะไรเกี่ยวของกันเลย ภาคนี้ดูจะเน้นความสะใจของผู้กำกับเป็นหลัก อยากใส่อะไรใส่ อยากลองทำอะไรลอง เพราะขึ้นชื่อว่า Train to Busan คนสนใจเยอะแน่นอน เพราะฉะนั้นเป็นธรรมดามากที่เราจะได้เห็นอะไรเว่อร์ๆ ในหนัง
15 นาทีแรกผ่านไปผมนึกว่าดูการ์ตูนขับรถแบบไลฟ์แอ็กชั่นอยู่ พอ 30นาทีผ่านไปนี่มันวอล์คกิ้งเดด ชั่วโมงนึงผ่านไปอ้าว! แมดแม็กซ์ก็มา
ฉากจบดีกว่าที่คิด ผมเชื่อว่าพอคุณดูไปสักกลางๆ เรื่อง คุณจะคิดว่า เมื่อมันดำเนินเรื่องมาแบบนี้ จนถึงขึ้นนี้ มันจะจบแบบดื้อๆ อย่างนี้เลยจริงดิ? มันจะจบยังไงนะ? แต่พอใกล้จบจริงๆ หนังจะทำให้คุณคิดได้ว่า อ่อมันพลิกจริงๆ แฮะ กะแล้วว่าเกาหลีไม่น่าจะจบดื้อแบบนั้นหรอก ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าการจบแบบนี้ ก็ถือเป็นฉากจบที่ดีครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น