รีวิว The New Mutants - มิวแทนท์รุ่นใหม่
อีกหนึ่งหนังฟอร์มดีจากฮอลลิวูดที่เข้าฉายบ้านเราในสุุดสัปดาห์นี้ก็คือหนังที่อยู่ในจักรวาลเดียวกับเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ X-Men ที่ฉีกแนวมาเป็นหนังเขย่าขวัญแฟนตาซีบนพื้นฐานของเหล่าคนมีพลังวิเศษที่ไม่เชิงซูเปอร์ฮีโร่ และในที่สุดก็ได้เข้าฉายและออกสู่สายตาผู้ชมเสียที หลังจากที่เลื่อนฉายอยู่หลายรอบมาตลอด 2 ปีที่ผ่านมา รีวิว The New Mutants
เรื่องย่อ
เดเนี่ยล เด็กสาวอายุ 16 ปีที่รอดจากเหตุโศกนาฏกรรมมาได้ราวกับปาฏิหารย์ แต่ต้องทำให้เธอต้องมาติดอยู่ในสถาบันแห่งหนึ่งที่มีหมอหญิงท่าทางใจดีชื่อเรเยสที่บอกว่าเธอควรอยู่ที่นี่กับเด็กกลายพันธุ์กลุ่มใหม่อย่าง ราเน่ แซม โรเบิร์ตโต้ และ อียาน่า ซึ่งทุกคนล้วนแต่มีความลับที่ไม่กล้าเปิดเผยให้ใครรับรู้ แต่แล้วความไม่น่าไว้วางใจก็เกิดขึ้นในกลุ่ม เมื่อปีศาจชั่วร้ายหลอกหลอนพวกเขาจนแทบสติแตก แต่พวกเขาก็ไม่สามารถหนี พวกเขาจึงต้องหันหน้าเข้าหากัน และหาทางเอาชีวิตรอดให้ได้ ก่อนที่ปีศาจจะกินพวกเขาจนไม่เหลือซาก
เรื่องราวโฟกัสอยู่ที่เหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ที่ต่างอยู่ในช่วงวัยรุ่น ประกอบด้วย เรห์น ซินแคลร์, มาจิค หรือ อิลยานา รัสปูติน, ซัม กูธรี, โรเบอร์โต ดา คาสตา และน้องใหม่ แดนี มูนสตาร์ ที่พวกเขาอยู่รวมกันในสถานพยาบาลแห่งหนึ่ง ที่มี ดร.เรเยส เป็นผู้ควบคุมดูแลอยู่ พวกเขาจะต้องรับมือกับปัญหาของเหล่าวัยรุ่นที่ผสมผสานกันระหว่างช่วงฮอร์โมนพลุ่นพล่านกับพลังพิเศษที่ค่อยๆ เปล่งประกายออกมา
มิวแทนท์รุ่นใหม่ ภาพยนตร์ในเฟรนไชน์ X-MEN เฟรนไชน์แห่งโลกคนกลายพันธุ์พลังมหัศจรรย์ที่มีมากว่าสองทศวรรษ และเป็นหนังปิดฉากจักรวาลอย่างเป็นทางการ ก่อนที่จะส่งไม้ต่อไปยังมาร์เวล สตูดิโอให้ได้สานต่อ ภายหลังทเวนตี เซนจูรี่ ฟ็อกซ์ได้ถูกดิสนีย์ซื้อไปเรียบร้อย และนั่นก็ทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ มากมายที่ทำให้หนังที่เคยตั้งมั่นว่าจะเข้าฉายใน 4 ปีก่อนต้องถูกเลื่อนไปต่าง ๆ นา ๆ
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะในที่สุดภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายนี้ก็ออกฉายในที่สุด ผมล่ะรู้สึกโล่งใจแทนทีมผู้สร้างมากดองไว้ซะนานเชียว แต่ถ้าทุกคนได้ยินชื่อนี้ ก็อย่าเพิ่งคิดว่า นี่จะเป็นภาคต่อของหนังภาคก่อน แต่มันคือหนังแยกเดี่ยวในจักรวาล เพราะงั้น อย่าถามว่าสิ่งใดนอกจากวัยรุ่น และพลังมหัศจรรย์
ถือเป็นหนังเจ้าปัญหาอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าใครตามข่าวคงพอทราบว่าหนังถูกเลื่อนฉายมาแล้วหลายครั้งโดยดูหนังออนไลน์ไม่ได้เกี่ยวกับเทรนด์โควิด-19 แต่อย่างใด ทว่าเป็นเรื่องของตัวหนังเองที่ออกมาได้ไม่เป็นที่น่าพอใจของสตูดิโอเสียที ถึงขนาดมีกระแสช่วงหนึ่งว่าตัวหนังอาจไปลงสตรีมมิงหรือวิดีโอออนดีมานด์แทนกันเลยทีเดียว
แถมพอดิสนีย์กับฟ็อกซ์ควบกิจการกันแล้ว แทนที่หนังจะได้แก้ไขตามที่มาร์เวลเห็นควร เหล่าดาราก็โตเกินจะไปถ่ายเพิ่มแล้ว เรียกว่าสุดปัญญาจะปรับปรุงแล้วนั่นเอง
ซึ่งวันนี้เมื่อตัวหนังลงฉายโรงก็คงบอกได้เพียงว่า เออ ค่ายคิดถูกแล้วล่ะที่อยากเอาไปฉายสตรีมมิงน่ะ เพราะไม่ว่าจะมองแง่ไหน มันก็คล้ายซีรีส์ตอนไพลอตเสียจริง ๆ
หนังเป็นความรับผิดชอบของผู้กำกับและมือเขียนบทอย่าง จอช บูน ที่เคยมีหนังแนวรักวัยรุ่นอย่าง The Fault in Our Stars (2014) เป็นเครดิตสำคัญ และเขาก็ได้นำจิตวิญญาณแบบวัยรุ่นมาขยายขึ้นเป็นหนังซูเปอร์ฮีโรตระกูล X-Men ที่แตกไลน์มาจากคอมิกชื่อเดียวกันเมื่อปี 1982 บอกเล่าเรื่องราวแนวก้าวผ่านวัยของลูกศิษย์วัยรุ่นของศาสตราจารย์ชาร์ลส์ ซาเวียร์ แต่โจทย์ที่ จอช บูน ได้รับนั้นกลับพิเศษขึ้นไปอีก เพราะค่ายหมายมั่นปั้นหนังให้เป็นแนวซูเปอร์ฮีโรสยองขวัญซึ่งตลาดขาดแคลนในเวลานั้นพอดี
การดำเนินเรื่อง
ในช่วงต้น ๆ จริงอยู่ที่หนังพยายามเรียงตัวละครให้มาอยู่รวมกัน แต่ถึงกระนั้นแล้ว ตัวละครแต่ละคนก็น่าสนใจ เรียกแบบง่าย ๆ ว่าเด็กมีปัญหา ซึ่งพวกเขาล้วนไม่ได้อยากให้มันเกิดขึ้น และเขาก็ถูกตัดสินไปแล้วว่ามันเลวร้าย จนพวกเขาต้องมาอยู่ในกรงที่เรียกว่าสถาบัน แต่ก็อย่างที่รู้กัน กรงไม่สามารถขังพวกเขาได้ พลังของพวกเขาแก่กล้าขึ้นทุกวัน
แต่ขณะเดียวกัน ต่างฝ่ายต่างก็เริ่มเปิดใจเข้าหากัน จนไปถึงขั้นสานสัมพันธ์โรแมนติกชวนให้จักจี้หัวใจเล่น พวกเขาต่างต้องการให้มีคนเข้าใจ แต่แสดงออกอย่างแตกต่าง บางคนหัวขบถ บางคนไม่สนใจอะไร บางคนเลือกที่จะทำตามกฏ แต่ว่ามันไม่มีอะไรที่ดีไปกว่าการที่พวกเขาเปิดใจให้กัน ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ทำให้หนังดีขึ้นมา
โดยเฉพาะการที่ทั้งห้าอยู่ด้วยกัน เป็นอะไรที่สนุกและเพลินตาดี เสียดายที่หนังสั้น เราเลยได้เห็นมันผ่านไปอย่างรวบรัดมาก ชั่วโมงครึ่งเป็นจุดด้อยเลยที่ทำให้หนังทำหน้าที่ของมันไม่ดีพอ
จุดเด่น
ส่วนที่ดูดีอยู่ก็มีเรื่องของนักแสดงที่น่าสนใจ อย่าง ไมซี่ วิลเลี่ยมส์ (Game of Thrones) และ อันยา เทย์เลอร์-จอย (Glass) ที่คุ้นหน้าคุ้นตาคอหนังอยู่ นอกนั้นก็ถือว่ามีเสน่ห์และพอให้จำได้อยู่บ้างอย่าง ชาร์ลี ฮีตัน (Stranger Things) เฮนรี่ ซาก้า (13 Reasons Why) และตัวนำหลักอย่าง บลู ฮันต์ ส่วนอีกหนึ่งคนที่ช่วยแบกหนังซีรี่ย์ Netflix ก็คงยกให้ผู้ใหญ่หนึ่งเดียวในเรื่องอย่าง อลิซ บราก้า (Elysium) ในบทหมอเรเยสที่ต้องดูเทา ๆ ไม่ออกขาวดำชัดเจน ซึ่งทีมนักแสดงก็ถือว่าลงตัวดีในระดับหนึ่ง แม้ว่าด้วยคาแรกเตอร์ตัวละครไม่ช่วยให้เคมีลงตัวง่ายเลยก็ตาม
อีกหนึ่งสิ่งที่หนังให้แบบเกินคาดเหมือนกัน คือข้อคิดต่าง ๆ ในแง่ของวัยรุ่นปะทะวัยผู้ใหญ่ ความหวังดีของผู้ใหญ่ปะทะการกดขี่จำกัดความคิดเด็ก ซึ่งกลายเป็นปัญหาสากลขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในบ้านเรานี่ก็เห็นเป็นดราม่าอยู่เนือง ๆ ตลอดช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา แถมเรื่องนี้ยังชวนให้นึกถึงสังคมบ้านเราหลาย ๆ อย่างแบบไม่ได้ตั้งใจเสียด้วย
จุดด้อย
แต่ปัญหาหลักที่นักแสดงช่วยไม่ได้ คือ เมื่อคุณเอาคนที่อาจถนัดเล่าความสัมพันธ์มิติด้านลึกของตัวละครวัยรุ่น ให้มาทำหนังแนวสยองขวัญ ซึ่งความหวังคือหนังต้องเรตผู้ใหญ่ ดาร์ก ๆ น่ากลัว ๆ กดดัน ๆ เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายของแฟนบอยหนังซูเปอร์ฮีโร แล้วหนังมันมีศักยภาพไปถึงแค่หนังวัยรุ่นเน้นมิตรภาพงดงาม มันก็ไม่มีทางจะได้ใจคนดูอยู่แล้ว เมื่อ มันผิดฝาผิดฝั่ง มาแต่ต้น
หนังแสดงความอ่อนประสบการณ์ในแนวดาร์กอย่างชัดเจน ที่หนักสุดคือหนังหลอกล่อคนดูไม่ได้เลย ว่าไปแทบเฉลยพลอตสำคัญแบบเชย ๆ เลยด้วยซ้ำ เข้าใจว่าเดิมค่ายคงอยากเห็นเรื่องราวของ แดนี่ เด็กสาวหนึ่งเดียวที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์ประหลาด แล้วตื่นอีกครั้งก็มาอยู่ในการดูแลของคุณหมอเรเยสผู้มีพลังม่านบาเรีย
และเฝ้าคอยสั่งสอนเด็กกลายพันธุ์ที่ยังหลงทางให้เข้ารูปเข้ารอย ออกไปเป็น X-Men ที่มีคุณภาพ ทว่าเด็กแต่ละคนก็มีปัญหามีอดีตที่อยากลืมกันทั้งนั้น แถมความสัมพันธ์ระหว่างวัยรุ่นที่ต้องมาอยู่ที่เดียวกันก็ไม่ค่อยลงรอยเสียอีก แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ประหลาดหลอกหลอนผู้อาศัยในสถาบันนี้ทุกคน เด็กทั้งหมดต้องเติบโตและร่วมมือกันเพื่อแก้ปริศนาสุดสยองนี้ไปให้ได้
สรุป
แม้จะเป็นหนังสยองขวัญวัยรุ่น แต่ก็ยังมีความเป็นหนังซุปเปอร์ฮีโร่อยู่ อย่างที่ใครหลายคนรู้ เด็กพวกนี้ก็คือมนุษย์กลายพันธ์เพราะงั้นก็คงต้องมีฉากปล่อยพลังให้สาวกแฟนคอมมิคฟิน ซึ่งทำออกมาได้ดีเลย จัดเต็มโครมครามมาก แต่บอกไม่ได้ว่ามันอยู่ช่วงไหนของเรื่อง แต่ผมว่าคงจะพอทำให้หนังดีขึ้นไปอีก
ซึ่งผมไม่สปอยล์ว่าฉากต่อสู้มันคืออะไรยังไง แต่เอาเป็นว่าทุกคนได้โชว์ของกันอย่างถ้วนหน้า นอกจากนี้เรื่องการแสดงยังทำได้ดีตามฐานะนักแสดงใหม่ ที่ตอนนี้คงแยกไปมีผลงานใหญ่ของตัวเองแล้ว แต่ที่ผมสะดุดตาที่สุดคือ อันย่า เทย์เลอร์ จอย ที่สวมบทสาวหัวขบถได้อย่างน่ารักน่าชัง น่าเอ็นดู
ในขณะที่คนที่เหลือถูกกลบหมดเลย อาจเพราะตัวละครทั้ง 4 ไม่มีมิติอะไรมากไปกว่า การเป็นคนปกติที่มีเสน่ห์ และมีเรื่องของมิตรภาพที่เชื่อมโยงกัน แต่ผมก็จดจำทุกคนได้ เพราะทุกคนก็ทำหน้าที่ได้ดี แม้จะเล่นกันทั้งเรื่องแค่ หกคน ในสถานที่เดียวก็ตาม ส่วนเสียงกับภาพ ไม่มีอะไรจะพูดถึง เพราะมันไม่เสริมอะไรกับหนังเลย แสงก็มืดเกินความจำเป็น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น