วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2563

The Babysitter Killer Queen

 

ดูหนังฟรี

รีวิว The Babysitter Killer Queen - ฆาตกรตัวแม่

ปี 2017 The Babysitter คือหนังสตรีมมิ่งจาก Netflix เรื่องหนึ่งที่ประสบความสำเร็จจากการเปิดรับชมของสมาชิก รวมไปถึงคำวิจารณ์ที่ค่อนไปในแง่บวก ปี 2020 The Babysitter: Killer Queen พร้อมกลับมากระตุกขวัญคนดูกันอีกรอบแล้ว รีวิว The Babysitter Killer Queen

เรื่องย่อ

สองปีหลังจากเอาชนะลัทธิซาตานที่นำโดยบีซึ่งเป็นพี่เลี้ยงของเขา แต่กลับไม่มีใครเชื่อเรื่องที่เขาเล่าเลย และถูกหาว่าเป็นบ้า โคลก็พยายามลืมเหตุการณ์ในอดีต จนกระทั่งแก๊งของบีกลับมาหาเขาอีกครั้ง


ต้องยกให้เลยว่านี่เป็น 1 ในหนังของ Netflix โดยตรงที่เขียนบทได้ฉลาดมากติดอันดับต้นๆ ของที่ผู้เขียนเคยดูมาเลย คนเขียนบทรู้ว่าคนดูชอบอะไรในภาคแรกก็หยิบจับใส่กลับมาทั้งหมด และต่อยอดมุกเดิมๆ ทั้งความฮา สยองขวัญ และความรัก ของภาคแรกให้เหนือชั้นขึ้นไปอีก แบบที่เกินคาดมาก ซึ่งมีน้อยเรื่องจริงๆ ที่หนังภาค 2 ทำได้

ในเรื่องนี้เลยหยิบเอางานภาคต่อขึ้นหิ้งอย่าง Terminator 2: Judgment Day มาใช้ทั้งคาราวะและล้อเลียนไปพร้อมกัน ซึ่ง “แม็คจี” คนเขียนบทและเป็นผู้กำกับด้วยคงมั่นใจในเรื่องนี้มาก ถึงดึงมุกแบบนี้มาใช้และก็ทำให้หนังเรื่องนี้กลายเป็นหนังคัลท์ที่ขึ้นหิ้งไปอีกเรื่องได้แน่ๆ (ถ้าคนดูไม่อคติกับความบ้อบอของเรื่องนี้ซะก่อนนะ)

ก่อนที่จะชม The Babysitter: Killer Queen ที่จะสตรีมมิ่งทาง Netflix วันที่ 10 กันยายนที่จะถึงนี้ก็ลองย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหนังภาคแรกกันก่อนนะครับ

เกิดอะไรขึ้นใน The Babysitter

โคล คือหนุ่มน้อยวัย 12 ปีที่กำลังมีช่วงชีวิตที่สดใสกับชั้นเรียนไฮสคูล เมื่อพ่อแม่ตัดสินใจจะจ้างพี่เลี้ยงมาดูแลเป็นการชั่วคราวก่อนที่พวกเขาจะออกไปเที่ยว แต่แทนที่โคลจะเข้านอนตามเวลาปกติ เขาเลือกที่จะแหกกฎตามคำท้าของเพื่อนๆว่า ให้ลองแอบดูพี่เลี้ยงว่าในยามดึกนั้น พวกเขาจะทำอะไรแก้เบื่อ จะนอนดูทีวีฆ่าเวลา หรือจะชวนหนุ่มหล่อมาเล่นจ้ำจี้กันบนโซฟา แต่โคลทายผิดทั้งหมด เพราะความเป็นจริงแล้วเมื่อเขาย่องลงบันไดมาดู ปรากฏว่าพี่เลี้ยงสุดแซ่บนั้นแท้ที่จริงแล้วเป็นสาวโรคจิตที่ยังเป็นสมาชิกลัทธิซาตานที่บ้าคลั่งเกินบรรยาย แน่นอนว่าเมื่อพี่เลี้ยงเด็กจับได้ว่าโคลรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว เธอต้องทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้โคลหลุดปากคายความลับออกไป

The Babysitter เป็นผลงานการกำกับของแมคจี ซึ่งมีผลงานเรื่องดังอย่าง Charlie's Angels (เวอร์ชั่นปี 2000 และ 2003) รวมถึง Terminator: Salvation ซึ่งผลงานของแมคจีมักจะมาพร้อมอารมณ์ขันร้ายๆ และมุกสองแง่สามง่ามที่ชอบเอาเรื่องสรีระสุดสะบึมของนักแสดงหญิงมาเป็นจุดขาย

โทนหนังของ The Babysitterนั้นคือหนังสยองขวัญตลกร้ายที่ตัวเอกของเรื่องอย่างโคลต้องพยายามหนีตายเอาชีวิตรอดจากพี่เลี้ยงโรคจิตและผองเพื่อน โดยฉากฆาตกรรมที่ปรากฏอยู่ในเรื่องก็จัดได้ว่าโหดเลือดสาดกระจาย ยิ่งไปกว่านั้นการที่หนังใช้เวลาปูความสัมพันธ์ระหว่างบี (ซามาร่า วีฟวิ่ง) และโคล (จูดาห์ เลวิส) ก็ยิ่งทำให้ช่วงเวลาที่ทั้งสองคนต้องมาไล่ล่ากัน ก่อนนำไปสู่บทสรุปตอนท้ายมีความทรงพลังอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

จะว่าไปแล้ว The Babysitter ถือได้ว่าเป็นหนังที่แจ้งเกิดให้กับซามาร่า วีฟวิ่งอย่างเต็มตัว ทั้งที่ก่อนหน้านี้เธอจะมีผลงานซีรีส์ทางโทรทัศน์มากมายหลายเรื่อง แต่แทนที่เธอจะได้แจ้งเกิดจากหนังแฟนตาซีอย่าง Monster Trucks แต่ฝันก็ต้องมอดไปเพราะคุณภาพหนังจัดได้ว่าย่ำแย่จนไม่มีใครอยากจะจดจำดูหนังฟรีเรื่องนี้ ก่อนที่เธอจะมีมีส่วนร่วมในหนังน้ำดีอย่าง Three Billboards Outside Ebbing, Missouri ในปี 2017 แต่หนังที่ทำให้เธอได้รับการจับตามองจริงๆก็คือบทบี จาก The Babysitter

ภายหลังจาก The Babysitter อีกหนึ่งบทบาทที่โลกจดจำเธอไม่ลืมก็คือบทเจ้าสาวดวงซวยในหนัง Ready or Not โดยคืนแรกหลังจากแต่งงานเธอจะต้องเข้าร่วมประเพณีประหลาดของครอบครัวสามี โดยเกมครั้งนี้เธอมีชีวิตของตัวเองเป็นเดิมพัน วิธีการเอาชนะเกมนี้ก็ง่ายนิดเดียว นั่นคือเธอต้องอยู่รอดให้ถึงรุ่งเช้าอีกวัน แต่แน่นอนว่ามันคงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

การกลับมาอีกครั้งของ The Babysitter :  Killer Queen

เนื้อเรื่อง

แน่นอนเมื่อหนังได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี Netflix จึงดำเนินการสร้างภาคต่อตามออกมา ซึ่งครั้งนี้ตัวหนังยังเล่าเรื่องราวของโคลที่รอดตายจากแก๊งพี่เลี้ยงเด็กมหาประลัยที่จะจับเขาไปบูชายันต์ซาตาน แต่กลายเป็นว่าหลังจากที่ทุกอย่างคลี่คลายกลับไม่มีคนรอบตัวคนไหนเชื่อไหนคำพูดของเขาแม้แต่นิดเดียว และยังโบ้ยว่าโคลเป็นเด็กเลี้ยงแกะที่ปั้นเรื่องขึ้นมา จนทำให้เขาถูกมองว่าเป็นเด็กมีปัญหา

ชีวิตของโคลไม่เคยมีความสุขเลยตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งนั้น แต่ชีวิตวัยรุ่นที่จัดได้ว่าเลวร้ายอยู่แล้วก็ต้องวุ่นวายหนักกว่าเดิมเมื่อแก๊งพี่เลี้ยงเด็กกลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งและพร้อมจะมาไล่ล่าเอาวิญญาณของโคล

เรื่องตัดมาสองปีหลังจากตอนจบภาคแรก และใช้นักแสดงชุดเดิมทั้งหมดที่เติบโตขึ้นตามวัยกันทุกคน ตรงนี้ถ้าดูจากตัวอย่างอาจจะเสียดายความน่ารักแบบเด็กๆ ของเจ้าหนูโคลในภาคแรก แต่พอมาดูจริงกลายเป็นว่าโคลก็ยังเป็นโคล ทั้งบททั้งลีลาการแสดงแบบหล่อขี้แพ้เหมือนเดิมเป๊ะ ซึ่งไม่ใช่แค่โคลที่โตขึ้น นักแสดงที่มีบทบาทในภาคแรกกลับมาทั้งหมดและก็ยังกวนๆ เช่นเดิมแต่เพิ่มความฮาตรงโตแล้วก็ยังแกล้งโคลอยู่เหมือนเดิมนี่แหละ

ซึ่งหนังฉลาดมากที่คงคาแรกเตอร์เดิมๆ ไว้หมด ทำให้ผู้ชมรู้สึกแค่ว่านักแสดงโตขึ้น แต่โลกในเรื่องก็ยังเป็นโลกเดิมที่โคลกลับมาเป็นคนไม่มั่นใจจนเรียกว่าไอ้ขี้แพ้ที่น่าเอาใจช่วยได้เช่นเดิม

ไม่ใช่แค่นักแสดงชุดเดิม แต่เรื่องยังเดินไปแบบเดิมเป๊ะๆ เป๊ะขนาดคำว่า What the Fuck ยังขึ้นในเวลาเดียวกันที่ 28 นาทีของเรื่องซึ่งผู้กำกับแม็คจีตั้งใจใช้ความเหมือนเป๊ะตรงนี้มาเล่นกับเรื่องราวตามรอยเดิม เพื่อให้อารมณ์ย้อนรอยอดีตกับคนดูแบบที่โคลเจอในภาคนี้ตอนนี้จนแทบบ้าอีกครั้ง ซึ่งเหตุผลที่ตัวละครเก่าที่ตายไปกลับมาได้หมดก็ไม่ต้องมีอะไรมาก (ไม่สปอยล์นะเพราะมีในตัวอย่างอยู่แล้ว) แค่พวกนี้กลับจากนรกมาทำที่คั้งค้างไว้ให้สำเร็จ แต่ต้องทำให้สำเร็จก่อนเช้าวันใหม่ ไม่งั้นต้องรอไปอีก 2 ปีถึงกลับมาได้อีกครั้ง

ในเมื่อเรื่องย้อนรอยเดิมขนาดนั้น แต่ทำไมหนังใหม่ชนโรงถึงเจ๋งกว่า นั่นก็เพราะการย้อนรอยครั้งนี้ต่อยอดมุกที่ค้างไว้จากคราวก่อนได้แบบสนิท อย่างมุกเตะไข่ไม่โดนของโคล มาคราวนี้โดนแหละ และยังขยายความย้อนหลังไปยังแก๊งบีในภาคแรกว่าแต่ละคนเป็นใครมายังไงที่เรื่องในภาคแรกไม่ได้เล่าไว้ ซึ่งบ้าบอมากพอๆ กับช่วงจิตๆ ของพวกนี้ตอนไล่ล่าโคลเลย

การดำเนินเรื่อง

เรื่องไม่ใช่แค่การย้อนรอยเดิมๆ ที่คนดูก็สนุกแหละ ผู้กำกับเหมือนอ่านใจคนดูไว้ก่อน รู้ว่าควรจะย้อนไปถึงแค่ไหนถึงพอดี ก่อนที่คนดูอาจจะคิดว่าแค่เอาของเก่ามารีมิกซ์ใหม่ ตัวเรื่องก็เปลี่ยนธีมเรื่องการไล่ล่าของโคลกับแก๊งบีไปอีกครั้ง ด้วยการย้อนรอยความคิดคนดูว่า ตกลงโคลนี่มันฆาตกรโหดมากกว่าพวกแก๊งบีไม่ใช่เหรอ ใครเข้าไปหาเจ้านี่ก็ตายสยองหมด (ซึ่งก็จริง)

รีวิว The Babysitter Killer Queen


เรื่องพลิกกลับไม่ล่าโคลกันดื้อๆ แต่เปลี่ยนมาแนวใช้สมองวางแผนให้โคลมาติดกับเอง ทำให้เรื่องขยายขอบเขตตัวเรื่องจากแค่โคลกับแก๊งไปได้ไกลถึงครอบครัวโคลที่ภาคแรกไม่ได้มีบทบาทอะไรนัก และยังสอดคล้องไปกับการปูเรื่องตอนแรกที่ใครๆ ก็คิดว่าโคลบ้าอีกด้วย

สิ่งที่จะเจอในภาคนี้

ในภาคแรกเชื่อเลยว่าคนที่ชอบเลือดสาดก็คงซึ้งไปกับฉากมิตรภาพของโคลกับบีไปพร้อมกัน  ซึ่งมาภาคนี้เหมือนจะไม่ได้เห็นอะไรแบบนั้น เพราะเมลานีสาวน้อยเพื่อนบ้านในภาคแรกก็มีแฟนไปแล้ว กลายเป็นโคลกินแห้ว แต่เธอก็ยังเป็นเพื่อนรักกับโคลเหมือนเดิม และก็เป็นทั้งจุดเริ่มกับจุดจบที่ทำเอาคนดูช็อคเล็กๆ

แต่อย่าพึ่งคิดว่าอารมณ์ซึ้งๆ แบบภาคแรกจะหายไป เพราะนี่คือทีเด็ดของเรื่องในภาคนี้ที่สุด เมื่อมีนางเอกคนใหม่เข้ามาแบบมีปริศนาเล็กๆ ให้คนดูชวนสงสัยกันตั้งแต่เปิดตัว แม้ว่าเธออาจจะไม่สวย ไม่เซ็กซี่ ไม่ดูน่ารักแบบเมลานีหรือบี แต่จุดนี้แหละคือตัวเชื่อมไปยังเรื่องราวซึ้งๆ ในภาคนี้ตอนจบได้สุดยอดมากๆ แบบไม่คาดคิดเลยว่าเรื่องจะทำได้ เพราะที่ผ่านมาทั้งแจกความตลกเลือดสาดมาตลอด

แต่พอตอนจบกลายเป็นหนังรักอบอุ่นเรียกน้ำตาได้เลยทีเดียว ขนาดที่ว่าผู้เขียนไม่รู้สึกอยากให้เรื่องนี้จบลงแบบนี้เลย และก็กลายเป็นว่าเรื่องนี้ก็ยังไม่จบที่ภาค 2 และไม่ใช่การขึ้นไตรภาคหรือตัดจบด้วย ผู้กำกับน่าจะกำลังเมามันส์กับไอเดียพิสดารพันลึกที่ใส่มาในโลกของเรื่องนี้ได้อย่างเต็มที่ไม่มีขีดจำกัด ซึ่งรับรองว่ามีต่อแน่จากตอนท้ายที่ทิ้งไว้แบบน่าติดตามว่าเรื่องนี้จะไปได้ถึงไหน และจะยังคงความสดใหม่ในขณะที่ล้อเลียนตัวเองไปพร้อมกันแบบภาคนี้ได้หรือไม่ครับ

สรุป

ต้องบอกเลยว่าห้ามพลาด ถ้าใครชอบภาคแรกมาดูภาคนี้จะยิ่งหลงรักทั้งเรื่องและตัวละครเข้าไปอีก นี่เป็นหนึ่งในหนัง Netflix ไม่กี่เรื่องที่สดใหม่ในทุกแนวทาง และยังกล้าฉีกทั้งตัวเองและขนบหนังทุนต่ำไปได้แบบสุดๆ ขอให้ 10 เต็มกับความสดใหม่ในทุกแนวทางที่เรื่องมอบให้ โดยที่ยังไม่ทิ้งอารมณ์เดิมๆ ไปเลยแม้แต่น้อยครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น