รีวิว Polaroid - ถ่ายติดตาย
เดินตามแนวทางเดียวกับ Light Out หนังสยองขวัญปี 2016 ที่หยิบเอาหนังสั้นชื่อเดียวกัน มาขยายเป็นหนังเรื่องยาวที่ได้ผู้กำกับหนังสั้นต้นฉบับตามมากำกับ แล้วหนังก็ประสบความสำเร็จและส่งให้ เดวิด เอฟ.แซนด์เบิร์ก ได้โดดไปกำกับหนังทุนสูงอย่าง Shazam!และยังได้เสียงตอบรับที่ดีเช่นเคย แต่สำหรับ Polaroid เรื่องนี้ หยิบเอาหนังสั้นชื่อเดียวกันของ ลาร์ส เคลฟเบิร์ก ปี 2015 มาดัดแปลง แต่จุดที่มันไม่น่าสนใจก็คือ ตัวหนังสั้นต้นฉบับก็ไม่ได้มีความน่ากลัวเลย ก็เลยไม่เข้าใจว่าผู้สร้างเกิดไปประทับใจอะไรกับหนังสั้นเรื่องนี้ ถึงได้อยากหยิบมาขยายเป็นภาพยนตร์ แต่สุดท้ายแล้วเวอร์ชั่นภาพยนตร์ก็ไม่ได้มีเนื้อหาส่วนใดคล้ายคลึงกับหนังสั้นเลย รีวิว Polaroid - ถ่ายติดตาย ดูหนังออนไลน์เรื่องย่อ
คุณกล้าถ่ายรูปหรือเปล่า? หากว่าทุกคนในรูปจะต้องตาย! เบิร์ด ฟิทเชอร์ (แคทรีน เพรสคอตต์) ได้พบกับกล้องโพลารอยด์ตัวหนึ่งในร้านขายของเก่า แต่แล้วเธอกลับพบว่าผู้ที่ถูกถ่ายด้วยกล้องตัวนี้ล้วนแต่จะต้องตายอย่างน่า สยดสยอง เธอและเพื่อน ๆ จึงต้องร่วมมือกันเพื่อหาทางออกจากสถานการณ์นี้ก่อนที่พวกเธอทุกคนจะ ถูกมันฆ่า!บทภาพยนตร์ของ Polaroid เขียนโดย แบลร์ บัตเลอร์ ที่มาจากสายทีวีซีรีส์และหนังสั้น ปีที่แล้วก็มีหนัง Hell Fest ที่เป็นผลงานเขียนบทของแบลร์ บัตเลอร์ เช่นกัน พอต้องมาพยายามผูกเรื่องของเจ้ากล้องถ่ายรูปโพลารอยด์ที่ถ่ายแล้วได้ภาพทันทีนี้ ให้โยงเป็นเรื่องราวสยองขวัญก็ดูเป็นความพยายามที่ถูลู่ถูกังมาก หนังวางตัวสาวน้อย เบิร์ด ฟิตเชอร์ ให้เป็นตัวละครหลักของเรื่อง
เธอเป็นนักเรียนมัธยมที่รักการถ่ายภาพ เลิกเรียนเธอไปทำงานพิเศษที่้ร้านขายของเก่า ไทเลอร์หลานชายเจ้าของร้านแอบชอบเบิร์ดอยู่ เขาก็เลยเอากล้องโพลารอยด์รุ่นคลาสสิกที่ซื้อมาจากตลาดเปิดท้ายมาฝากเธอ เธอถ่ายรูปไทเลอร์เป็นรูปแรก แล้วคืนนั้นเธอก็ไปงานปาร์ตี้และถ่ายรูปหมู่เพื่อน ๆ แล้วก็พบว่าบรรดาเพื่อน ๆ ที่เธอถ่ายภาพด้วยกล้องโพลารอยด์ทยอยตายทีละคน เบิร์ดจึงเริ่มสืบหาที่มาของกล้องโพลารอยด์ตัวนี้
บทหนังเริ่มต้นได้น่าสนใจมาก ทั้งการปูตัวตนของแบลร์ให้เป็นเด็กสาวที่มีอดีตอันเจ็บช้ำและรอยแผลลึกลับที่อยู่บนคอเธอ ทำให้เธอมีปมด้อย เวลาไปไหนมาไหนก็ต้องใส่ผ้าพันคอปิดรอยแผลตลอด มาจนถึงปริศนาของกล้องโพลารอยด์ที่ชวนติดตามว่าวิญญาณที่อยู่ในกล้องนี้คือใคร และทำไมถึงต้องตามฆ่าทุกคนที่ถูกถ่ายภาพ ในครึ่งหลังนี้หนังเดินหน้าไปตามฟอร์มหนังสยองขวัญหลาย ๆ เรื่อง ด้วยการตามสืบต้นตอของวิญญาณร้ายและหาทางยับยั้งให้ทันก่อนที่เพื่อน ๆ ของเธอจะเสียชีวิตกันหมด
เบิร์ด ตามสืบมาจนเจอตัวตนของวิญญาณร้ายและพบว่าเกี่ยวโยงกับคดีสยองที่น่ากลัวมาก โยงไปเกี่ยวพันกับตัวละครสำคัญรายหนึ่งที่ปรากฏตัวมาก่อนหน้านี้ ถือว่าบทภาพยนตร์มีลีลาในการเล่าเรื่องที่พลิกไปพลิกมาได้น่าสนใจ ถึงแม้เนื้อหาจะดำเนินแบบหนังผีสูตรสำเร็จ แต่ก็เป็นการเดินตามโจทย์ที่ทำได้ดี น่าถูกใจคอหนังสยองขวัญ
หนังผีสูตรสำเร็จ ที่ตกใจเสียงมากกว่าตัวผี (พยายามบิ้วซะดังเกิ๊น)
ตัวละครก็พากันทำอะไรโง่ๆ ตามสูตรหนังผี เช่นวิ่งหนีแล้วสะดุด เป็นต้น
ตัวละครก็พากันทำอะไรโง่ๆ ตามสูตรหนังผี เช่นวิ่งหนีแล้วสะดุด เป็นต้น
อยากพูดมากคือตัวผีที่สิงกล้อง มันคือวิญญาณร้ายที่มีความอาฆาต พอเปิดเผยเรื่องความอาฆาตแค้นก็พอเข้าใจหรอกนะ การออกมาจัดการเหยื่อรายแรก ๆ เป็นเงามืด ๆ เหมือนกับที่อยู่ในภาพโพลารอยด์ ก็ชื่นชมผู้กำกับนะว่าแค่เงามืดก็นำเสนอออกมาได้น่ากลัวซึ่งน่าจะหยุดอยู่แค่นี้ บวกกับการพยายามเสริมภาพลักษณ์ให้ไอ้กล้องโพลารอยด์นี้ดูน่ากลัวขึ้นมาได้ ด้วยการใส่เสียงแฟลช ที่ชาร์จไฟดัง วี้ๆๆๆๆๆ ก็พอหลอน ๆ ได้บ้าง ก็ถือว่าเป็นการปรุงแต่งที่ได้ผลดี เพราะกล้องรุ่นSX-70 ตัวจริงนั้นไม่มีแฟลช ไม่ได้ออกแบบแม้กระทั่งต่อพ่วงกับแฟลชด้วยซ้ำ
แต่แล้วทั้งผู้กำกับและคนเขียนบทก็มันส์มือเกินไป เติมนู่นเติมนี่กันจนเลยเถิด เสน่ห์ที่สร้างมาหายหมดสิ้น เมื่อให้ผีออกมาเป็นตัว มีเนื้อหนังจับต้องได้ บีบคอ ทำร้ายเหยื่อได้ เฮ่ยมึงเป็นวิญญาณนะ และที่ไร้ซึ่งคำอธิบายหลุดพ้นตรรกะมาก ก็อย่างที่หลายคนได้เห็นในตัวอย่างหนังล่ะครับ ถ้าเผาภาพ หรือฉีกภาพโพลารอยด์ คนในภาพก็จะโดนไฟลุกไหม้ไปด้วย ถ้าโดนฉีกตรงไหนร่างกายก็จะฉีกขาดไปด้วย โอ้โห เวอร์วังจริง
และสิ่งหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์สำหรับหนังสยองขวัญ ซึ่ง polaroid ก็ยังคงเอกลักษณ์นี้ไว้ด้วย กับการกำหนดให้บรรดาเหยื่อในเรื่องต้องสวยหล่อแต่ไม่มีสมอง ต้องทำเรื่องโง้โง่จนน่าหงุดหงิด เหยื่อหลาย ๆ ตัวในเรื่องนี้ชอบเดินเข้าหาเสียงประหลาด ๆ ในบ้าน และที่สำคัญ น้อง ๆ ปิดไฟครับ แล้วก็เดินในบ้านมืด ๆ นั่นล่ะ ดูแล้วกุมกบาล
สรุป
สำหรับเรื่องนี้ เรียกได้เลยว่าเป็นหนังผีสูตรสำเร็จ คอหนังผีก็จะคุ้นกันเป็นอย่างดีเวลาเจอเหตุการณ์นู่นนี่นั่นเต็มไปหมด คาดเดาได้ง่ายๆ รู้เลยว่าต่อไปผีโผล่แน่ เดี๋ยวคนนี้มันต้องทำแบบนั้นแบบนี้แน่ๆ และมันก็ใช่จริงๆ ที่น่าหงุดหงิดเลยคือเหล่าเหยื่อหรือตัวละครในเรื่องต้องทำอะไรโง่ๆ เสมอ เดินหาที่มึดบ้างไรบ้างโดยเฉพาะไอ้การที่วิ่งไปสะดุดล้ม ชนนู่นชนนี้ ในระหว่างหนีผีนี่มันโคตรเก่า นี่ 2019 แล้ว ยังเล่นแบบนี้อีกหรอ - -” และมันไม่ใช่แค่ทีเดียว มันมีฉากแบบนี้ 2-3 รอบเลยทีเดียว คนที่นั่งดูในโรงนี้ถึงกับหลุดขำกันเป็นหนังตลกเลยทีเดียว ตัวหนังก็พยายามเหลือเกินที่จะให้คนดูตกใจด้วยการจั้มสแกร์ผ่านเสียง ที่ดังโคตรๆ
การดำเนินเรื่องมันก็ดูดีแค่ตอนแรกๆ มันก็น่าสนใจและหลอนพอใช้ได้อยู่ ซึ่งเป็นฉากแรกเลยนั่นแหละ บวกกับเสียงชัตเตอร์ของกล้อง ที่ติดๆ ขัดๆ ก็ชวนน่าขนลุกดีเหมือนกัน เรื่องนี้มีจุดที่ไม่เข้าใจอยู่เยอะเหมือนกัน และสงสัยว่าจะมีทำไม คือนางเอกจะใส่ผ้าพันคออยู่ตลอด เพื่อปกปิดร่องรอยตั้งแต่แรก จนคนดูเริ่มสงสัย และเราเริ่มสนใจ อยากจะรู้ละ แต่พอเฉลยถึงที่มาที่ไป ก็ไม่ได้มีภาพให้เห็นว่าเกิดขึ้นได้ยังไง ที่สำคัญ มันยังไม่ได้ส่งผลอะไรต่อเหตุการณ์หลักที่เจออยู่เลยแม้แต่น้อย แล้วบทจะเสียเวลาปูประเด็นนี้ให้นางเอกเพื่อ!!!
มาถึงทางด้านตัวผีกันบ้าง ที่แรกๆ มาเป็นเงา มันก็ดูหลอน และแอบนึกในใจ ก็พอโอเคน่า ไม่ต้องเห็นเป็นเต็มๆ แต่พอมันออกมาเต็มๆ นี่สิ หมดกัน ความน่ากลัวที่สั่งสมมาตั้งแต่ต้น มันออกมาได้แบบมีพลังมหาศาล ไม่รู้ที่มาที่ไปว่ามันมีพลังเหล่านั้นยังไง จริงอยู่ที่หนังบอกเล่าเรื่องราวเบื้องหลังกล้องตัวนี้ได้น่าสนใจว่าทำไมถึงมีผี แต่ไม่ได้บอกถึงเหตุผลว่าทำไมผีถึงเป็นแบบนั้นได้
นี่คือหนังที่มีไอเดียเริ่มต้นน่าสนใจ แต่ขยายเกินไปจนไร้ตรรกะยากเกินจะอธิบายได้ ภาพลักษณ์ผีออกแบบมาดูไม่น่ากลัว แต่ก็มีฉากให้ตกใจเยอะมาก ไม่ได้ตกใจผีเลยนะ แต่หนังเล่นฉากตุ้งแช่ด้วยเสียง ตกใจเสียงดังนั่นล่ะ ไม่ได้ตกใจภาพเลย เรื่องราวเบื้องหลังที่มาของกล้องโยงมาดี หลอกคนดูพลิกไปพลิกมา แต่มาตายกับอิทธิฤทธิ์ของผีที่เวอร์วังเกินไป รอดูออนไลน์เหอะครับไม่เสียอรรถรสแต่อย่างใด
เป็นหนังผีที่มองข้ามไปก็ไม่ถือว่าน่าเสียดายแต่อย่างใด ที่น่ากลัวสุดคงจะเป็น กลัวว่าหนังเรื่องหน้าของผู้กำกับคนนี้อย่าง Child’s Play จะออกมาเป็นยังไงน้อออออ ดูหนังผ่านเน็ต
ปล .รู้ก็ดีไม่รู้ก็ได้ การสะบัดภาพที่ออกมาจากกล้อง Polaroid ไม่ได้ช่วยทำให้ปรากฏภาพเร็วขึ้นแต่อย่างใด (ในเรื่องนี้ก็หยิบมาสะบัดกันซะจนรู้สึกตะหงิดๆ เลยทีเดียว) ไม่ได้ช่วยอะไรเลย วางเฉย ๆ ภาพก็ขึ้นในเวลาเท่ากัน