วันพุธที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2562

The Lion King 2019

รีวิว The Lion King 2019

เรื่องย่อ

หลัง สกา (ให้เสียงโดย ชิเวเทล เอจิโอฟอร์) พระอนุชา วางแผนลอบปลงพระชนม์ มูฟาซา (ให้เสียงโดย เจมส์ เอิร์ล โจนส์) และเถลิงอำนาจเป็นกษัตริย์ผู้ครองผาทรนง ทำให้ ซิมบ้า (ให้เสียงโดย โดนัลด์ โกลเวอร์) หน่อเนื้อกษัตริย์แท้ๆต้องเนรเทศตัวเองไปไกลจากผาทรนง จนเขาได้พบกับ 2 คู่หู พุมบ้า (ให้เสียงโดย เซธ โรเจน)หมูป่าจอมป่วนและ ทีโมน (ให้เสียงโดย บิลลี ไอช์เนอร์) เมียร์แคตจอมกวน
จนวันนึงที่ได้พบกับ นาลา (บียอนเซ่) สิงห์สาวคู่หมายวัยเยาว์อีกครั้ง ทำให้ ซิมบ้า ต้องตัดสินใจว่าเขาจะกลับผาทรนงเพื่อพิสูจน์ความกล้าและทวงคืนบัลลังก์อันชอบธรรมของตนอีกครั้งหรือไม่ รีวิว The Lion King  ดูหนังออนไลน์

หลังชิมลางทั้งหนังซูเปอร์ฮีโร่อย่าง Ironman (2008) และ The Jungle Book (2016) หนังประเดิมไลฟ์แอ็คชั่นจากสินทรัพย์แอนิเมชันดิสนีย์ไปแล้ว ก็ถือว่า จอห์น แฟฟโรว์ เหมาะกับการกุมบังเหียน The Lion King ฉบับสิงโตและสารพัดสัตว์แบบสมจริงเสียที มองเผินๆจากโพรไฟล์อาจจะคิดว่างานนี้ แฟฟโรว์เคี้ยวหมูแน่ๆ

แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ อย่าลืมว่า ฉบับแอนิเมชันปี 1994 ถือเป็นงานคลาสสิกระดับชิ้นโบว์แดงที่แฟนๆรักและหวงแหนที่สุด ครองตำแหน่งทั้งแอนิเมชันวาดมือที่ทำเงินสูงที่สุดในโลก เคยกลับมาฉายทั้งแบบ IMAX และ 3D ที่ยังคงประสบความสำเร็จด้านรายได้ระดับปรากฎการณ์เช่นเดิม ดังนั้นการนำผลงานระดับขึ้นหิ้งแบบนี้หากไม่ได้รับดอกไม้ก็คงโดนกิโยตินจากทั้งคนดูและนักวิจารณ์รุมสับกันเละทีเดียว

ปัญหา

จากความเป็น “แอนิเมชันอันเป็นที่รัก” ยังคงเป็นกรอบตีตราให้หนังดิสนีย์ไลฟ์แอ็กชันแทบทุกเรื่องทั้ง The Jungle Book , Beauty and The Beast หรือ Cinderella มาก่อนหน้านี้แล้ว เพราะหากผู้กำกับไม่กล้าบ้าบิ่นแบบ กาย ริชชี ที่เลือกดัดแปลง ให้ Aladdin กลายเป็นนิทานอาหรับราตรีฉบับพังค์ ฮิปฮอป จนสำเร็จไปก่อนหน้านี้แล้วก็คงต้องเลือกดัดแปลง

โดยบิดมุมมองอย่าง Maleficent แต่แล้ว The Lion King กลับเลือกจะเพลย์เซฟ ด้วยการอิงบทดั้งเดิมของ เจฟ นาธานสัน และ เบรนดา แชปแมน แบบแทบทุกกระเบียดนิ้ว ลามไปยันงานภาพที่เหมือนกางกระดาษลอกลายจากฉบับการ์ตูนแบบเกือบเฟรมต่อเฟรม โดยชูเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์กราฟิกมารังสรรค์ให้ภาพ “ดูมีชีวิต” ขึ้นซึ่งก็กลายเป็นดาบสองคมอย่างช่วยไม่ได้

ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีอาจถือเป็นคุณูปการสำคัญที่ทำให้ช่วงชีวิตนี้ของผมได้กลับมาชม The Lion King ในโรงอีกครั้งแบบเห็นสิงโตดูเป็นสิงโต นกเป็นนก หมูป่า เมียร์แคต แบบเหมือนมีชีวิตจริงราวดูสารคดีสัตว์โลก กอปรกับภาพวิวทิวทัศน์อันงดงามของผาทรนง แอ่งน้ำอันเต็มไปด้วยนกฟลามิงโก้ และทุ่งหญ้าซาวันนาอันแสนงดงาม แต่ใดๆเลยล้วนไร้ความหมายเพราะตัวละคร

อันเป็นที่รักอย่างซิมบ้า มูฟาซ่า ทีโบน พุมบ้า นาล่า ต่างหากที่เราอยากกลับไปเจอพวกเขาอีกครั้ง
ซึ่งโดยส่วนตัวผมประทับใจจุดนี้นะครับ การได้เห็นราฟิกิอุ้มซิมบ้าน้อยท่ามกลางความปลาบปลื้มของมูฟาซ่า ซาราบี และผองสรรพสัตว์แค่นี้ก็คุ้มเกินคุ้มแล้วล่ะ แถมเหล่าสิงโตน้อยยังน่ารักน่าเอ็นดูชวนอุ้มอย่างกับลูกแมวอีก ยิ่งตอนฉากร้องเพลง I Just Can’t Wait To Be King ที่มีนกฟลามิงโกยิ่งสวยงามเป็นอาหารตาที่เพลิดเพลินมาก

และไฮไลต์สำคัญคงหนีไม่พ้นตัวละครที่เราโตมาพร้อมปรัชญาชีวิต ฮาคูน่า มาทาท่า อย่างทีโมน กับ พุมบ้า ที่ยังคงเป็นเหมือนเพื่อนช่วยปลอบประโลมเรามาตลอดร่วม 25 ปีที่ในหนังแบบสมจริงเราได้เห็น หมูป่า และ เมียร์แคต จอมกวนแต่จริงใจพร้อมไฝ่ว์ แค่นี้ภาพความทรงจำก็เหมือนถูกดึงมาปรากฎตรงหน้าให้ได้อิ่มเอมใจอีกครั้งแล้วล่ะ

และในความสมจริงของเทคโนโลยีซีจีไอก็ย่อมนำมาซึ่งราคาค่างวดสำคัญที่สุดนั่นคือ อารมณ์ร่วม เพราะการที่จะทำให้สัตว์ดูสมจริงย่อมหมายถึงการต้องพึ่ง “ตรรกะ” ในเชิงชีววิทยา เพราะในโลกความจริง สัตว์ไม่สามารถแสดงอารมณ์แบบมนุษย์ได้ แต่ในทางกลับกันเนื้อเรื่องและแก่นสารของ The Lion King คือการตีความบทะครโศกนาฏกรรมระบือโลกของวิลเลียม เชคสเปียร์อย่างแฮมเลต (Hamlet) ให้กลายเป็นนิทานสอนใจ

ดังนั้นเราจึงไม่ได้เห็นสีหน้ากลัวสุดขีดของซิมบ้าน้อย ความกังวลตามหัวอกคนเป็นพ่อของมูฟาซาที่ไม่อยากให้ลูกน้อยถูกควายป่าเหยียบตาย หรือที่สำคัญคือความหน้าเนื้อใจเสือของ สกา ที่มีแผนทุรยศต่อพระเชษฐาตัวเอง ดังนั้นสิ่งเดียวที่คนดูจะได้รู้ว่าเหล่าตัวละครสรรพสัตว์คิด รู้สึกอย่างไร เลยต้องพึ่งพาเสียงพากย์เพียงอย่างเดียว และแน่นอนมันเลยนำไปสู่การเปรียบเทียบสำหรับคนที่ผ่านประสบการณ์ชม The Lion King ฉบับแอนิเมชันปี 1994 ในประเด็นต่อๆมาทั้งเสียงพากย์และเพลงประกอบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ก่อนจะพูดถึงเหล่าดารานักพากย์ สิ่งหนึ่งที่เราต้องตระหนักคือคราวนี้ จอห์น แฟฟโรว์เลือกให้นักแสดง “แสดง” เป็นตัวละครและพยายามออกแบบการทำงานให้เหมือนพวกเขาได้สวมบทบาทกันจริงๆ ดังนั้นวิธีคิดจะต่างจากการ “พากย์” ที่ต้องให้จังหวะ น้ำเสียงและการแบ่งคำต้องตรงกับแอนิเมชันที่ถูกตัดต่อมาแล้ว เริ่มและหยุด เน้นคำให้หนักตามปากตัวละคร และผลลัพธ์คงต้องพูดตรงๆว่า หลายฉากดูไม่จืดทีเดียว

เพราะในขณะที่นักแสดงถ่ายทอดอารมณ์สมจริงตามตัวละครแต่ “ตัวละครที่ดูสมจริง” กลับให้ภาพแค่พะงาบๆปากเปิดปิดเฉยๆ จนเสียงกับสีหน้าตัวละครไม่สัมพันธ์กัน แม้กระทั่ง เจมส์ เอิร์ล โจนส์ ที่กลับมาพากย์มูฟาซ่า เราก็ยังไม่รู้สึกถึงความเมตตาหรือความรักต่อลูกที่หนักแน่นดังหินผาเหมือนฉบับแอนิเมชันนัก

ซึ่งวิธีการนี้มันพอไปรอดกับฉากคอเมดี้ทั้ง ซิมบ้า นาล่า ตอนเป็นสิงโตน้อย และ พุมบ้า กับ ทีโบน ที่อาศัยบุคลิกตลกๆของหมูป่ากับเมียร์แคตแล้วเสริมด้วยเสียงพากย์จากดาราตลกเข้าไปได้อย่างไม่สะดุดเท่าใดนัก

แต่รอยด่างพร้อยที่สุดของงานพากย์คงหนีไม่พ้นตัวละคร สกา จริงอยู่ว่า ชิเวเทล เอจิโอฟอร์ อาจเคยเล่นเป็นผู้ร้ายมาบ้าง แต่กลับ สกา ที่เสียงของ เจเรมี ไออ้อน ยังคงดังกังวาลในความทรงจำของผม เสียงทุ้มต่ำของ ชวีเทล เลยกลายเป็นโทนต่ำชวนง่วงและไม่นำพาอารมณ์ร่วมไปอย่างน่าเสียดาย

และอีกองค์ประกอบที่หลายคนจับตามองคืองานเพลงประกอบหนัง สำหรับดนตรีประกอบของฮานส์ ซิมเมอร์ ก็ยังสามารถกินบุญเก่า บวกปรับปรุงให้อลังการขึ้นเอาตัวรอดได้สบาย แต่กับงานออกแบบ-ตีความเพลงประกอบหนังใหม่ของ ฟาเรล วิลเลียม ที่โดยส่วนตัวก็ถือว่ารับเผือกร้อนไม่ต่างจากจอห์น แฟฟโรว์ ผู้กำกับหนังต่างหากที่เหมือนแต่ละเพลงผ่านไปก็โดนคนดูตัดเกรดไปเรื่อยๆ

ซึ่งสำหรับเพลง Circle of Life อันนี้คือแทบเหมือนเดิมก็ยังไม่เลวร้ายนัก I Just Can’t Wait To Be King ได้เสียงใสๆของ เจดี แมคเครรี และ ชาฮาดี ไรต์ โจเซฟ มาดูเอตก็ยังฟังน่ารักดี รวมถึงเพลง Hakuna Matata ก็ยังเอาตัวรอดได้ด้วยเสน่ห์ของ นักพากย์ที่ร้องได้มีสีสัน แต่จุดผิดพลาดแบบให้อภัยไม่ได้ของ ฟาเรล วิลเลียม จริงๆคือการเลือกขลิปเพลง Be Prepare ของ สกา ออก ไม่แน่ใจว่าเพราะ ชิเวเทล เอจิโอฟอร์ร้องไม่ได้หรืออย่างไร

แต่ความสำคัญของมันหนักหนามากหากใครได้ดู เวอร์ชัน ต้นฉบับที่เจเรมี ไอออน ร้องไว้ เพราะมันสื่อถึงความเจ้าเล่ห์ ความทะเยอทะยานของสกาได้อย่างหมดจด และทำให้เราเข้าใจว่าทำไมสกาถึงเจ็บแค้น มูฟาซา มาก ซึ่งการเลือกขลิปเพลงให้สั้นเลยทำให้สารตรงนี้ไม่ออกและทำให้การลอบปลงพระชนม์มูฟาซาของสกาเป็นเพียงความทะเยอทะยานเท่านั้นเอง


ด้านเนื้อเพลง

และแน่นอนเพลง Can You Feel The Love Tonight ที่ของเดิมขึ้นแท่นเพลงประกอบภาพยนตร์สุดโรแมนติกก็กลับมาในฉบับ R&B ซึ่งยอมรับว่าไพเราะน่าฟังนะครับ แต่พอมาประกอบกับภาพหนังกลับรู้สึกว่าไม่เข้ากัน การเอื้อนของทั้ง บียอนเซ่ และ โดนัลด์ โกลเวอร์ กลับทำให้ไม่รู้สึกเหมือนตัวละครกำลังร้อง มันเลยกลายเป็น มิวสิกวีดีโอ ของ บียอนเซ่ และ ไชล์ดิช แกมบีโน่ ที่มีภาพจาก The Lion King ไปประกอบเสียมากกว่า

หากยึดตามคำพูดของมูฟาซาที่ว่า ช่วงเวลาของคิงมีทั้งขึ้นเหมือนพระอาทิตย์ยามรุ่งอรุณและดับสลายเหมือนยามอัศดงแล้ว ก็ยังถือว่า The Lion King คือการต่อช่วงเวลาอันรุ่งเรืองของดิสนีย์ได้ดีเลยทีเดียว โดยเฉพาะผลประโยชน์มากมายที่ตามมาทั้งสินค้าจากหนังรวมถึงมูลค่าของคาแรกเตอร์ที่สามารถสานต่อรายได้เข้าอาณาจักรได้ไม่รู้จบ และแม้จะขัดใจแฟนแอนิเมชันต้นฉบับแค่ไหนแต่เชื่อเถอะว่าลึกๆยังไงเราก็ยังอยากกลับไปเจอเพื่อนเก่าที่เรา “โตมาด้วยกัน” อีกครั้งแน่ๆ เอาล่ะ ท่องไว้ว่า ฮาคูน่า มาทาท่า แล้วไปสนุกกับเหล่าตัวละครอันเป็นที่รักของ The Lion King กันทั้งครอบครัวกันดีกว่า

ข้อดี ของหนังเรื่องนี้สำหรับผมก็คือ CG ภาพ ฉากในหนังมันดูสมจริงๆ สวย ลื่นไหลดีมากๆ แค่ตีตั๋วเข้าไปชมก็คุ้มค่าแล้ว อีกอย่างคือเพลงประกอบ ฟังแล้วขนลุกหลายรอบ มันดูยิ่งใหญ่ (ตอนเด็กๆดูจนร้องเพลงตามได้ เพราะทุกเพลง)

ถามว่าอะไรแย่ในหนัง ทุกคนน่าจะตอบคล้ายๆกันคือมันสมจริงมากๆ จนตัวละครขาดอารมณ์ทางสีหน้า มันดูแข็งๆ ดูแปลกๆ แถมตัวละครยังหน้าตาไปในทางเดียวกันอีก จนบางครั้งงงว่านี่ใครกัน(ไฮยีน่านี่หน้าเหมือนกันทุกตัวไม่ค่อยมีเอกลักษณ์ฺ)

สรุป

ถ้าถามว่าชอบมั้ยก็บอกว่าชอบนะครับ แต่ก็สู่เวอร์ชั่นต้นฉบับไม่ได้ อันนั้นคือตำนานจริงๆ ดูกี่รอบก็ชอบ สำหรับ Live action นี้ก็ต้องบอกว่าอาจจะไม่ได้ชอบทั้งหมดแต่มันก็เป็นหนังที่ดีมากๆ แนะนำจริงๆ ว่าคุ้มค่าตั๋วแน่นอน หนังถ่ายทอดสด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น