รีวิว Frozen 2 ผจญภัยปริศนาราชินีหิมะ
หลังปกครองเอเรนเดลให้สงบสุขมาเนิ่นนานจนกระทั่ง เอลซา (พากย์โดย อีดินา เมนเซล) ราชินีเอเรนเดลผู้มีพลังแห่งหิมะได้ยินเสียงพรากจากแดนไกลที่มาพร้อมภัยพิบัติครั้งใหญ่ต่อเอเรนเดล จนเธอ และอันนา (พากย์โดย คริสเตน เบล) น้องสาวของเธอ, คริสทอฟ (พากย์โดย โจนาธาน กรอฟ) , โอลาฟ (พากย์โดย จอช แกด) และสเวนจึงออกเดินทางเพื่อตามหาที่มาพลังของเอลซาและได้ล่วงรู้ความลับของตำนานความขัดแย้งระหว่าง เอเรนเดล กับ นอร์ธัลดราที่อาจเป็นกุญแจสำคัญสู่คำตอบที่พวกเธอหาอยู่ รีวิว Frozen 2 ผจญภัยปริศนาราชินีหิมะ ดูหนังออนไลน์
เรื่องย่อหนัง
ทำไมเอลซ่าถึงเกิดมาพร้อมกับพลังวิเศษ? คำตอบกำลังเรียกหาเธอและกำลังคุกคามอาณาจักรของเธอ เธอจึงเริ่มการเดินทางสุดอันตรายแต่แฝงไว้ด้วยความน่าพิศวง ไปกับ อันนา, คริสตอฟฟ์, โอลาฟ และสเฟน ใน “โฟรเซ่น – ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ” เอลซ่ากลัวว่าพลังของเธอรุนแรงไปสำหรับโลกใบนี้
“โฟรเซ่น 2 – ผจญภัยปริศนาราชินีหิมะ” เธอเพียงได้แค่หวังว่าพลังของเธอจะรุนแรงพอ จากทีมผู้สร้างเจ้าของรางวัลออสการ์ผู้กำกับ เจนนิเฟอร์ ลี และคริส บัค ผู้อำนวยการสร้าง ปีเตอร์ เดล เวโค่ และผู้เขียนเพลง คริสเทน แอนเดอร์สัน-โลเปซและโรเบิร์ต โลเปซ และนักแสดงผู้ให้เสียงพากย์ อิดิน่า เมนเซล คริสเทน เบลล์ โจนาธาน กรอฟฟ์, และ จอช แกด
หลัง โฟรเซ่น 2 สร้างปรากฎการณ์ไปทั่วโลกเมื่อ 6 ปีก่อนส่งผลให้ เอลซา และ อันนา กลายเป็นเจ้าหญิงดิสนีย์ยุคใหม่ที่ไม่ต้องรอพึ่งพาผู้ชายเหมือนในแอนิเมชันคลาสสิกของค่าย ที่สำคัญคือมันล้างอาถรรพ์และคำสบประมาทที่ว่า ดิสนีย์ ทำแอนิเมชัน 3 มิติ
ไม่ได้ดีเท่าพิกซาร์ ไปได้แบบราบคาบจริง ๆ
โดยยังคงเอกลักษณ์แอนิเมชันที่เล่าเรื่องด้วยมิวสิคัลและเพลงประกอบภาพยนตร์ก็ฮิตติดลมบนไปตามระเบียบ และเพื่อสานต่อเสียงเรียกร้องของแฟนคลับ (และรายได้มหาศาลที่จะหลั่งไหลมาสู่บริษัท) คริส บัค และ เจนนิเฟอร์ ลี จึงกลับมาสานต่อตำนานอีกครั้ง เพียงแต่คราวนี้งานยากเป็นเท่าทวี เพราะไหนจะต้องรักษาศรัทธาคนดูต่อหนังและตัวละคร Frozen อันเป็นที่รัก ไหนจะต้องทำเพลงประกอบภาพยนตร์ให้ได้มาตรฐานเหมือนเดิม
ที่สำคัญคือการหาเรื่องราวที่ใช่สำหรับการต่อลมหายใจให้ เอลซ่า และ อันนา กลับมาโลดแล่นบนจออีกครั้ง และก็ถือว่าโชคดีที่ความตั้งใจในการบ่มเพาะเรื่องราวและคุณภาพในการผลิตเกิดเป็นภาคต่อที่ถึงพร้อมด้วยความบันเทิงแบบจัดเต็มให้แฟนคลับได้ฟินกันทั้งเรื่องแบบนี้
สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับคือ การที่ผู้สร้างก็รู้แหละว่าทำยังไงก็คงไม่ได้ดีกว่าภาคแรกอีกแล้ว ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาโฟกัสเลยคือการหาสูตรสำเร็จที่แฟน ๆ น่าจะชอบประหนึ่งไปนั่งอ่านรีวิวจากคนดูแล้วลิสต์มาเขียนบทเลย เริ่มจากการให้ เอลซา ปล่อยพลังมากขึ้น ซึ่งคราวนี้คุณเธอก็ไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรอีกแล้วแถมยังมีโอกาสได้ปล่อยนำ้แข็งกันแบบ ฮีโรค่ายมาร์เวลยังอายม้วนต้วน ตั้งแต่ทอดสะพานน้ำแข็งบนทะเลที่เราได้เห็นตัวอย่างแล้ว
เธอยังตะบี้ตะบัน “แช่แข็ง” มันทุกอย่างที่ขวางหน้าทั้ง ไฟป่า ทั้ง “ปั้นน้ำเป็นตัว” ด้วยตรรกะ “น้ำมีความทรงจำ” เพื่อให้เห็นอดีตและไขปริศนา ไปจนถึงตอนจบที่…เอ่อ… (เล่าไม่ได้เดี๋ยวสปอยล์ เอาเป็นว่ามันก็เกี่ยวกับเรื่องแช่แข็งนี่ด้วยละกันครับ 555) หรือกระทั่ง โอลาฟ ที่คราวนี้ก็มีบทบาทมากขึ้น แถมเรายังใช้คำว่าขโมยซีนได้ลำบากเหลือเกิน เพราะเหมือนบทเขียนมาให้ซีนนางแบบจงใจมาก ซึ่งตรงนี้ถ้าใครชื่นชอบโอลาฟ ก็คงฟินลึ่มกันเลยทีเดียว
ทั้งมีเพลงที่น่าจะฮิตต่อไปอย่าง When I am older หรือ Something never change ที่ร้องร่วมกับตัวละครอื่น ๆ ซึ่งก็ต้องยอมรับในเสน่ห์การพากย์และร้องเพลงของ จอช แกด ที่ทำให้เจ้ามนุษย์หิมะเป็นขวัญใจคนดูได้ โดยมุกเด็ดภาคนี้คือมุก “ความเดิมตอนที่แล้ว” ที่ต้องยอมในความ”กาว”ของคนเขียนบทจริง ๆ และถ้ายังคิวต์ไม่พอ ภาคนี้ยังเพิ่มน้อง “จิ้งเหลนไฟ” ที่ออกแบบได้น่าเอ็นดูแบบอยากกลับไปกอดจิ้งจกที่บ้านมาเรียกเสียง “งุ้ย” กันลั่นโรงแน่นอน
และแน่นอนอีกองค์ประกอบของแอนิเมชันมิวสิคัลแบบดิสนีย์ คือเพลงประกอบภาพยนตร์ ยอมรับนะครับว่าเพลงเปิดตัวอย่าง Into the Unknown อาจยังไม่ติดหูเท่าไหร่ แถมยังพาลให้นึกถึง Spechless จาก Aladdin ที่ฉายไปก่อนอย่างช่วยไม่ได้ แต่กระนั้นก็ต้องยอมรับในฝีมือทีมทำเพลงของ Frozen ที่ยังรักษามาตรฐานไว้ได้น่าชื่นชมทีเดียวทั้งมิวสิคัลอลังการที่ต้องอาศัยเสียงคอรัสหนัก ๆ ทั้งเพลง All is Found หรือ Show Yourself ที่ได้ฟังในหนังก็อดขนลุกตามไม่ได้
แต่ถ้าจะคิดว่าในหนังคงมีแต่เพลงมิวสิคัลอลังการขลัง ๆ แบบภาคแรกแล้วล่ะก็…คุณคิด….ผิด ! เพราะคราวนี้หนังยังอุตส่าห์เพิ่มความกาวด้วยการแต่งเพลงบัลลาดสไตล์จิ๊กโก๋อกหักอย่าง Lost In The Woods ให้ โจนาธาน กรอฟ ร้องเป็นตัวละครคริสทอฟ ในฉากที่เขาต้องพลัดพรากจากอันนา ด้วยดนตรีแบบบัลลาดร็อกที่ชวนให้นึกถึงเพลงร็อกช้า ๆ หวาน ๆ อกหัก ๆ ยุค 80s. แถมยังทำภาพเลียนแบบมิวสิกวีดีโอยุคนั้นทั้งให้ตัวละครเดินไปมาในป่า
หรือการผสมภาพทั้งใบหน้าตอนร้องเพลงและทำอิริยาบถที่แสดงถึงอาการอกหักแบบชาวร็อก ก็นับว่าเป็นความสร้างสรรค์ของผู้สร้างที่ทำออกมาเรียกเสียงฮาและทำให้เพลงนี้น่าจะกลายเป็นเพลงสามัญประจำสมาร์ตโฟนได้ไม่ยากเลย
กระนั้นหนังก็ยังมีจุดบกพร่องที่เห็นได้ชัด ๆ อยู่บ้างอาทิ การให้บทบาท อันนา ที่น้อยเกินไปจนแทบไม่มีความจำเป็นกับเรื่องราวไปกว่าพาร์ตโรแมนติกระหว่างเธอกับคริสทอฟ หรือความขัดแย้งในประวัติศาสตร์ระหว่าง เอเรนเดล กับ นอร์ธัลดรา ที่เป็นหัวใจหลักของเรื่อง ตัวหนังก็ไม่กล้าลงลึกหรือขยี้ให้มากพอ
เพราะกลัวเรื่องราวจะมืดหม่นเกินไปจนน่าเสียดาย เพราะเอาเข้าจริง..ปมขัดแย้งนี้แทบจะเป็นจุดเด่นของเรื่องราวเลยก็ว่าได้ แต่เรากลับเห็นแค่ภาพจากคำบอกเล่าของพ่อและตอนเฉลยที่มาที่ไปของเรื่องราว ซึ่งก็ไม่ได้ยากเกินคาดเดาเท่าใดนัก แต่ยังดีที่งานภาพของหนังที่อลังการมากขึ้นก็มีผลให้เกิดความประทับใจได้ไม่ยาก แม้โดยภาพรวมจะแทบลอกพิมพ์เขียวภาคก่อนมาเป็นฉาก ๆ ก็เถอะนะ.
ปิดท้ายที่คำเตือนเดียวและถือเป็นอันตรายต่อ(กระเป๋าตังค์) พ่อแม่ที่จะพาลูกสาวไปดู Frozen 2 คือชุด เอลซา ชุดใหม่นางสวยมาก กรุยกราย มีรสนิยม และแน่นอน ว่าต้องมีทั้งของเล่น และคอสตูม มาให้เสียตังค์กันตั้งแต่ออกโรงแน่นอน เพราะจากรอบสื่อที่ไปดู ตอนนี้ดิสนีย์ได้วางกับดักเป็น ร้านชั่วคราวอยู่หน้าโรงหนังเลย ฮ่าาาา.
ปล หนังมีฉากหลัง End Credit 1 ตัว
“โฟรเซ่น 2 – ผจญภัยปริศนาราชินีหิมะ” เธอเพียงได้แค่หวังว่าพลังของเธอจะรุนแรงพอ จากทีมผู้สร้างเจ้าของรางวัลออสการ์ผู้กำกับ เจนนิเฟอร์ ลี และคริส บัค ผู้อำนวยการสร้าง ปีเตอร์ เดล เวโค่ และผู้เขียนเพลง คริสเทน แอนเดอร์สัน-โลเปซและโรเบิร์ต โลเปซ และนักแสดงผู้ให้เสียงพากย์ อิดิน่า เมนเซล คริสเทน เบลล์ โจนาธาน กรอฟฟ์, และ จอช แกด
หลัง โฟรเซ่น 2 สร้างปรากฎการณ์ไปทั่วโลกเมื่อ 6 ปีก่อนส่งผลให้ เอลซา และ อันนา กลายเป็นเจ้าหญิงดิสนีย์ยุคใหม่ที่ไม่ต้องรอพึ่งพาผู้ชายเหมือนในแอนิเมชันคลาสสิกของค่าย ที่สำคัญคือมันล้างอาถรรพ์และคำสบประมาทที่ว่า ดิสนีย์ ทำแอนิเมชัน 3 มิติ
ไม่ได้ดีเท่าพิกซาร์ ไปได้แบบราบคาบจริง ๆ
โดยยังคงเอกลักษณ์แอนิเมชันที่เล่าเรื่องด้วยมิวสิคัลและเพลงประกอบภาพยนตร์ก็ฮิตติดลมบนไปตามระเบียบ และเพื่อสานต่อเสียงเรียกร้องของแฟนคลับ (และรายได้มหาศาลที่จะหลั่งไหลมาสู่บริษัท) คริส บัค และ เจนนิเฟอร์ ลี จึงกลับมาสานต่อตำนานอีกครั้ง เพียงแต่คราวนี้งานยากเป็นเท่าทวี เพราะไหนจะต้องรักษาศรัทธาคนดูต่อหนังและตัวละคร Frozen อันเป็นที่รัก ไหนจะต้องทำเพลงประกอบภาพยนตร์ให้ได้มาตรฐานเหมือนเดิม
ที่สำคัญคือการหาเรื่องราวที่ใช่สำหรับการต่อลมหายใจให้ เอลซ่า และ อันนา กลับมาโลดแล่นบนจออีกครั้ง และก็ถือว่าโชคดีที่ความตั้งใจในการบ่มเพาะเรื่องราวและคุณภาพในการผลิตเกิดเป็นภาคต่อที่ถึงพร้อมด้วยความบันเทิงแบบจัดเต็มให้แฟนคลับได้ฟินกันทั้งเรื่องแบบนี้
สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับคือ การที่ผู้สร้างก็รู้แหละว่าทำยังไงก็คงไม่ได้ดีกว่าภาคแรกอีกแล้ว ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาโฟกัสเลยคือการหาสูตรสำเร็จที่แฟน ๆ น่าจะชอบประหนึ่งไปนั่งอ่านรีวิวจากคนดูแล้วลิสต์มาเขียนบทเลย เริ่มจากการให้ เอลซา ปล่อยพลังมากขึ้น ซึ่งคราวนี้คุณเธอก็ไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรอีกแล้วแถมยังมีโอกาสได้ปล่อยนำ้แข็งกันแบบ ฮีโรค่ายมาร์เวลยังอายม้วนต้วน ตั้งแต่ทอดสะพานน้ำแข็งบนทะเลที่เราได้เห็นตัวอย่างแล้ว
เธอยังตะบี้ตะบัน “แช่แข็ง” มันทุกอย่างที่ขวางหน้าทั้ง ไฟป่า ทั้ง “ปั้นน้ำเป็นตัว” ด้วยตรรกะ “น้ำมีความทรงจำ” เพื่อให้เห็นอดีตและไขปริศนา ไปจนถึงตอนจบที่…เอ่อ… (เล่าไม่ได้เดี๋ยวสปอยล์ เอาเป็นว่ามันก็เกี่ยวกับเรื่องแช่แข็งนี่ด้วยละกันครับ 555) หรือกระทั่ง โอลาฟ ที่คราวนี้ก็มีบทบาทมากขึ้น แถมเรายังใช้คำว่าขโมยซีนได้ลำบากเหลือเกิน เพราะเหมือนบทเขียนมาให้ซีนนางแบบจงใจมาก ซึ่งตรงนี้ถ้าใครชื่นชอบโอลาฟ ก็คงฟินลึ่มกันเลยทีเดียว
ทั้งมีเพลงที่น่าจะฮิตต่อไปอย่าง When I am older หรือ Something never change ที่ร้องร่วมกับตัวละครอื่น ๆ ซึ่งก็ต้องยอมรับในเสน่ห์การพากย์และร้องเพลงของ จอช แกด ที่ทำให้เจ้ามนุษย์หิมะเป็นขวัญใจคนดูได้ โดยมุกเด็ดภาคนี้คือมุก “ความเดิมตอนที่แล้ว” ที่ต้องยอมในความ”กาว”ของคนเขียนบทจริง ๆ และถ้ายังคิวต์ไม่พอ ภาคนี้ยังเพิ่มน้อง “จิ้งเหลนไฟ” ที่ออกแบบได้น่าเอ็นดูแบบอยากกลับไปกอดจิ้งจกที่บ้านมาเรียกเสียง “งุ้ย” กันลั่นโรงแน่นอน
และแน่นอนอีกองค์ประกอบของแอนิเมชันมิวสิคัลแบบดิสนีย์ คือเพลงประกอบภาพยนตร์ ยอมรับนะครับว่าเพลงเปิดตัวอย่าง Into the Unknown อาจยังไม่ติดหูเท่าไหร่ แถมยังพาลให้นึกถึง Spechless จาก Aladdin ที่ฉายไปก่อนอย่างช่วยไม่ได้ แต่กระนั้นก็ต้องยอมรับในฝีมือทีมทำเพลงของ Frozen ที่ยังรักษามาตรฐานไว้ได้น่าชื่นชมทีเดียวทั้งมิวสิคัลอลังการที่ต้องอาศัยเสียงคอรัสหนัก ๆ ทั้งเพลง All is Found หรือ Show Yourself ที่ได้ฟังในหนังก็อดขนลุกตามไม่ได้
แต่ถ้าจะคิดว่าในหนังคงมีแต่เพลงมิวสิคัลอลังการขลัง ๆ แบบภาคแรกแล้วล่ะก็…คุณคิด….ผิด ! เพราะคราวนี้หนังยังอุตส่าห์เพิ่มความกาวด้วยการแต่งเพลงบัลลาดสไตล์จิ๊กโก๋อกหักอย่าง Lost In The Woods ให้ โจนาธาน กรอฟ ร้องเป็นตัวละครคริสทอฟ ในฉากที่เขาต้องพลัดพรากจากอันนา ด้วยดนตรีแบบบัลลาดร็อกที่ชวนให้นึกถึงเพลงร็อกช้า ๆ หวาน ๆ อกหัก ๆ ยุค 80s. แถมยังทำภาพเลียนแบบมิวสิกวีดีโอยุคนั้นทั้งให้ตัวละครเดินไปมาในป่า
หรือการผสมภาพทั้งใบหน้าตอนร้องเพลงและทำอิริยาบถที่แสดงถึงอาการอกหักแบบชาวร็อก ก็นับว่าเป็นความสร้างสรรค์ของผู้สร้างที่ทำออกมาเรียกเสียงฮาและทำให้เพลงนี้น่าจะกลายเป็นเพลงสามัญประจำสมาร์ตโฟนได้ไม่ยากเลย
กระนั้นหนังก็ยังมีจุดบกพร่องที่เห็นได้ชัด ๆ อยู่บ้างอาทิ การให้บทบาท อันนา ที่น้อยเกินไปจนแทบไม่มีความจำเป็นกับเรื่องราวไปกว่าพาร์ตโรแมนติกระหว่างเธอกับคริสทอฟ หรือความขัดแย้งในประวัติศาสตร์ระหว่าง เอเรนเดล กับ นอร์ธัลดรา ที่เป็นหัวใจหลักของเรื่อง ตัวหนังก็ไม่กล้าลงลึกหรือขยี้ให้มากพอ
เพราะกลัวเรื่องราวจะมืดหม่นเกินไปจนน่าเสียดาย เพราะเอาเข้าจริง..ปมขัดแย้งนี้แทบจะเป็นจุดเด่นของเรื่องราวเลยก็ว่าได้ แต่เรากลับเห็นแค่ภาพจากคำบอกเล่าของพ่อและตอนเฉลยที่มาที่ไปของเรื่องราว ซึ่งก็ไม่ได้ยากเกินคาดเดาเท่าใดนัก แต่ยังดีที่งานภาพของหนังที่อลังการมากขึ้นก็มีผลให้เกิดความประทับใจได้ไม่ยาก แม้โดยภาพรวมจะแทบลอกพิมพ์เขียวภาคก่อนมาเป็นฉาก ๆ ก็เถอะนะ.
ปิดท้ายที่คำเตือนเดียวและถือเป็นอันตรายต่อ(กระเป๋าตังค์) พ่อแม่ที่จะพาลูกสาวไปดู Frozen 2 คือชุด เอลซา ชุดใหม่นางสวยมาก กรุยกราย มีรสนิยม และแน่นอน ว่าต้องมีทั้งของเล่น และคอสตูม มาให้เสียตังค์กันตั้งแต่ออกโรงแน่นอน เพราะจากรอบสื่อที่ไปดู ตอนนี้ดิสนีย์ได้วางกับดักเป็น ร้านชั่วคราวอยู่หน้าโรงหนังเลย ฮ่าาาา.
สรุป
โฟรเซ่น 2 น่าจะทำออกมาเอาใจแฟนคลับจริงๆ นั่นแหละ คือภาคแรกเราก็ไม่ได้ประทับใจอะไรขนาดนั้น ก็เรื่อยๆ เพลินๆ แต่ชอบเพลง พอมาในภาคนี้หลายๆ อย่างมันชวนให้ไม่เอ็นจอยสักเท่าไหร่ แถมเพลงยังไม่ติดหูเหมือนภาคแรกอีก เหมือน MV เพลงเรียงต่อกันอีกต่างหาก แต่ยังมีงานภาพที่น่าจับตา โอลาฟที่คอยดึงเราอยู่บ้าง และลุคปล่อยผมของแม่นางเอลซ่า เว็บสตรีมหนังปล หนังมีฉากหลัง End Credit 1 ตัว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น