วันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2562

Brightburn เด็กพลังอสูร

รีวิว Brightburn เด็กพลังอสูร

ผลงานการสร้างสรรค์ของ เจมส์ กันน์ (James Gunn) ที่ทุกวันนี้ทุกคนคงรู้จักในบทบาทผู้กำกับแถวหน้าของโลกฮีโรจากหนังมาร์เวล Guardians of the Galaxy และยังเป็นคนเดียวที่ได้ข้ามฝั่งไปทำหนังฟากดีซีไปพร้อมกันกับ The Suicide Squad เวอร์ชันปี 2021 ซึ่งในปีเดียวกันนั้นก็จะเป็นช่วงเวลาของหนัง Guardians of the Galaxy Vol. 3 ด้วยเช่นกัน ก็จะกลายเป็นว่าปี 2021 เขาจะเป็นผู้กำกับคนแรกที่มีผลงานหนังทั้งฝั่งมาร์เวลและดีซีออกฉายภายในปีเดียวกันด้วย และด้วยบารมีระดับนี้จึงไม่แปลกที่เขาจะสามารถผลักดันโพรเจกต์ส่วนตัวออกมาได้ง่ายขึ้นในฐานะโพรดิวเซอร์ รีวิว Brightburn เด็กพลังอสูร ดูหนังออนไลน์
 
เรื่องย่อหนัง

หนัง Brightburn หรือชื่อไทยว่า เด็กพลังอสูร จะเป็นอย่างไรหากเด็กจากโลกใบอื่นมาเยือนโลกด้วยอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด แต่เขาไม่ได้มาเพื่อเป็นฮีโร่แก่มนุษยชาติ เขาพิสูจน์ตัวเองว่าเป็นยิ่งกว่าความเลวร้ายที่เราสามารถคาดคิดได้ถึง ด้วย Brightburn จากวิสัยทัศน์ของผู้สร้าง Guardians of the Galaxy และ Slither ที่จะมานำเสนอความสดใหม่และล้มแนวทางซูเปอร์ฮีโร่เก่า ๆ ด้วยการเป็นภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่สยองขวัญ

Brightburn ใช้คำโปรยโฆษณาด้วยคำว่า “จากวิสัยทัศน์ของ James Gunn ผู้สร้าง Guardians of the Galaxy” ที่จะมานำเสนอความสดใหม่และล้มแนวทางซูเปอร์ฮีโร่เก่าๆ ด้วยการเป็นภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่สยองขวัญ ที่ว่าเรื่องราวของเจ้าหนู Brandon Breyer ที่ถอดแบบพลังมาจากซูเปอร์แมนแทบจะทั้งหมด (มีเพิ่มคือพลังควบคุมกระแสไฟฟ้า) และก็มีการเดินเรื่องในแนวทางซูเปอร์แมนเติบโตมาเป็นเด็กเลวแทนว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

นี่เป็นหนังที่คนดูควรจะดูหนัง Man of Steel มาก่อนถึงจะเก็ทกับหลายๆ อย่างที่หนังถอดเอาไปแปลงเป็นแนวสยองขวัญ ซึ่งหนังก็เน้นทำแนวสยองขวัญได้ดี ตัวหนังมีความแหวะสดๆ หลายฉาก ซึ่งหนังก็จงใจเน้นขายตรงนี้ชัดเจนตั้งแต่ในเทรลเลอร์แล้ว เรียกว่าถ้าต้องการดูแนวทางนี้ก็คงไม่ผิดหวังเท่าไหร่ แต่ถ้าต้องการดูเรื่องราวลึกแบบมีมิติเหมือนซูเปอร์แมนอีกด้าน คงได้ผิดหวังเต็มๆ

เพราะถึงจะใช้เรื่องราวการเติบโตแบบ Man of Steel มาเป็นเมนหลัก ที่ว่าด้วยเด็กทารกที่ตกลงมายังโลกด้วยยานอวกาศ แล้วมีพ่อแม่บุญธรรมรับเลี้ยงโดยคิดว่าสักวันเด็กคนนี้ต้องมีเหตุผลต่อโลก แต่หนังกลับเลือกแนวทางเล่าง่ายๆ ชุ่ยๆ ด้วยการละทิ้งพัฒนาการของตัวละครที่ควรจะเป็นจริงไปหมด จากเด็กที่ครอบครัวอบอุ่นพ่อแม่เลี้ยงมาดี กลับกลายมาเป็นเด็กปีศาจชั่วข้ามคืน ด้วยการปลุกพลังด้านมืดที่ชวนให้คิดว่ามาจากปีศาจ มากกว่าจะเป็นแนวไซไฟต่างดาวแบบซูเปอร์แมน

หนังพลิกเร็วมากๆ และก็ไม่พยายามอธิบายอะไรเลยว่าทำไมเจ้าหนูนี่ต้องวาดรูปซ้ำๆ ใส่หน้ากากถุงกระสอบประหลาดๆ พกผ้าคลุมแดงใส่บินไปบินมา แค่จงใจให้เหมือนซูเปอร์แมนเท่านั้น แถมฆ่าคนแล้วก็ชอบทิ้งสัญลักษณ์ไว้ ที่บอกใบ้ว่ามาจากชื่อย่อ BB > Brandon Breyer

แต่กลับมารู้สึกเดือดร้อนที่โดนตำรวจตามมายุ่งเกี่ยว หลายๆ อย่างของหนังไม่เมคเซนส์ในเชิงที่จะเป็นเรื่องราวการเติบโตของเด็กที่เป็นด้านมืดของซูเปอร์แมนได้เลย ซึ่งเดือนนี้ก็มีหนังซีรีส์อย่าง The boys แนวทางเดียวกันคือ เมื่อซูเปอร์ฮีโร่กลายเป็นสายดาร์คจะเกิดอะไรขึ้น ซึ่งตัวร้ายสุดของหนังก็เป็นแนวซูเปอร์แมนเช่นกัน The boys ทำได้ดีกว่ามาก และก็มีเหตุผลที่มาที่ไปดีกว่า Brightburn ที่ตั้งใจแค่กลับด้านหนัง Man of Steel มาใช้แบบลวกๆ เท่านั้น

อาจจะด้วยทุนสร้างแค่ 6 ล้านเหรียญ ซึ่งนับว่าเป็นหนังทุ่นต่ำมาก หนังจึงไม่พยายามทำฉากเอฟเฟ็กต์อะไรเกินตัวไป จึงเน้นใช้ความน่ากลัวแบบอึมครึม ที่เจ้าหนู Brandon Breyer แสดงออกมาเป็นหลัก อย่างการแอบลอยตัวมองเพื่อนสาวนอกหน้าต่าง หลังพ่อพยายามสอนว่าให้ปลดปล่อยความรู้สึกกลัดมันออกมาได้ ซึ่งตัวนักแสดงเด็ก Jackson A. Dunn เล่นได้ดี ทั้งหน้าตา สายตา ท่าทางดูเหมือนเด็กที่ไม่รู้ผิดถูกชั่วดี ออกแนวโรคจิตๆ ที่แค่เห็นก็ต้องกลัวแล้ว



ข้อด้อยของหนัง

คงมีเรื่องของการเดินเรื่องที่รวดเร็วบางจุด ที่ทำให้พัฒนาการอารมณ์ของเจ้าหนูปีศาจนี่ดูโดดข้ามไปขั่วร้ายไวมาก และฉากซีจีที่มีรอยโหว่ให้เห็นความไม่เนี้ยบบ้างในฉากท้าย ๆ แต่โดยรวมหนังเก็บรายละเอียดด้านโพรดักชันดีมาก ยิ่งพวกฉากศพ หรือฉากแหวะก้อนเนื้อก้อนเลือดกระเซ็นสาดนี่โหดได้ใจมาก คือโดยรวมแทบไม่ได้อยากติอะไรล่ะเพราะมองว่าเป็นหนังที่รู้ประมาณตนว่าเป็นอะไรและไม่ได้พยายามเป็นเกินสิ่งที่ตัวเองเป็น

ถ้าใครจะไปคาดหวังแล้วตำหนิในเรื่องการลงมิติด้านลึกของจิตใจตัวละครที่ดูอ่อนด้อยอะไรนั่น เราก็เข้าใจเขาได้นะ แต่มันก็ไม่ใช่จุดควรตำหนิหนังร้ายแรงเพราะหนังไม่ได้ประกาศตนว่าจะเป็นดรามาจิตวิทยาแบบ The Joker ตั้งแต่แรกแล้ว มันคือหนังล้อยั่วซูเปอร์แมนในฉบับด้านมืดที่เน้นมันสะใจเข้าว่าอยู่แล้ว

แต่ปัญหาก็ตามที่บอกช่วงต้น หนังเปลี่ยนแปลงบุคคลิกไวจนละทิ้งช่วงพัฒนาการจากเด็กดีไปเลวไปอย่างน่าเสียดาย ทั้งๆ ที่ถ้าเน้นให้เป็นหนัง Coming of Age แบบดาร์ค ก็น่าจะมีอะไรมาให้เล่นมากกว่าการเปลี่ยนปุ๊บปั๊บแบบนี้ แม้จะอ้างว่าถูกยานต่างดาวส่งสัญญาณมาสั่งตรงสู่สมอง แต่กลับไม่มีรายละเอียดให้เห็นแบบที่ซูเปอร์แมนเข้าไปเจอเรื่องราวข้อมูลจากยานเลย

ซึ่งคงเพราะทุนต่ำเกินจนไม่สามารถใส่อะไรพวกนี้มาได้ ขนาดยานต่างดาวในโรงนายังดูเหมือนของเทียมติดไฟให้ดูเบลอๆ มองรายละเอียดไม่ออก แถมมี CG ลอยๆ แบบถ่ายกรีนสกรีนแล้วเอาฉากท้องฟ้ามาสวมง่ายๆ แสดงให้เห็นถึงข้อจำกัดงานสร้างมาก แต่ทั้งนี้ในส่วนฉากที่บินไปมาด้วยสปีดความเร็วสูงยังดูโอเค ดูเป็นเรื่องน่ากลัวไปได้เลยว่าถ้าซูเปอร์แมนบินชนใครก็คงเละเป็นโจ๊กแบบที่เจ้าหนูในเรื่องนี้ทำ

ในส่วนของพ่อแม่บุญธรรมนี้ก็ไม่ได้มีอะไรน่าจดจำนัก เนื่องจากบทที่ให้ลูกเปลี่ยนบุคคลิกฉับพลันชั่วข้ามคืน หนังก็โบ้ยไปให้ว่าพ่อแม่คิดว่าฮอร์โมนเปลี่ยนเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น และพยายามนำเสนอในแบบที่ทื่อๆ ว่า “ลูกฉันเป็นเด็กดี” ทั้งๆ ที่พึ่งบีบมือเพื่อนกระดูกแตกไป มันก็ไม่ธรรมดาแล้ว แต่หนังก็ทำเหมือนเรื่องเกินธรรมดานิดนึงเท่านั้น พร้อมกับดำเนินเรื่องราวให้พ่อกลัวลูก แต่แม่รักลูกสุดๆ แต่สุดท้ายหนังก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกถึงอารมณ์ร่วมแต่อย่างใด แม้ตอนจบจะพยายามบิ้วให้ดูมีอะไรก็ตามที

ในตอนท้ายหนังมีฉากข่าวที่มีนักวิชาการเล่นโดย ไมเคิล รูกเกอร์ (Michael Rooker) หรือ ยอนดู จาก Guardians of the Galaxy มาพูดถึงตำนานเมืองอื่น ๆ นอกจากคลิปคนที่ลอยอยู่บนฟ้าระหว่างเกิดมหันตภัยต่าง ๆ ที่เหมือนจะชงบทให้รู้ว่าโลกนี้ไม่ได้มีแค่ เจ้าหนูแบรนดอนเท่านั้น ก็เป็นการล้อทีมจัสติกลีกแบบโคตรจงใจ โดยจะมีตัวละครซูเปอร์วิลเลี่ยนตัวไหนให้ทำต่อภาค 2 ได้บ้างนั้น ต้องขอให้นั่งชมดี ๆ เลยครับ ลุ้นให้มีภาคต่อไว ๆ สุด ๆ เลย หวังว่าจะฉีกแนวจากซีรีส์ใกล้เคียงกันอย่าง The Boys ซึ่งกลายเป็นคู่เปรียบมวยไปแล้วได้สนุกกว่าด้วย รอ ๆ  ๆ  ๆ ๆ

สรุป

Brightburn เป็นหนังที่คงจะนิยามได้ว่า ถ้า Superman ถูกเลี้ยงดูมาไม่ดีคงจะกลายเป็นแบบในเรื่องนี้แหละ มันเป็นหนังขายไอเดียเท่านั้น เพราะเนื้อเรื่องมันกลับกลายเป็นธรรมดามาก แถมจุดขายอย่างความโหดของเด็กถึงแม้จะโหด แต่น้อยเกินไปจริงๆ
หนังออนไลน์ 
ปล. หนังมีฉากพิเศษ 1 ตัวก่อน End-Credit (Mid-Credit)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น