รีวิว Fast & Furious Presents: Hobbs & Shaw
หลังแฮตตี้ (วาเนสซ่า เคอร์บี) สายลับเอ็มไอซิกส์ ถูกซ้อนแผนจารกรรมไวรัสมรณะจนเธอต้องฉีดมันเข้าเส้นเลือดและหนีการตามล่าจนตกเป็นเป้าหมายสำคัญที่ทางการได้ตามตัว เดคคาร์ด ชอว์ (เจสัน สเตแธม) พี่ชายตัวป่วน มาร่วมทีมกับ ลุค ฮอบบส์ (ดเวยน์ จอห์นสัน) คู่ปรับมหากาฬเพื่อช่วยเหลือน้องสาวของเขาจาก บริกซ์ตัน (ไอดริส อัลบา) นักรบดัดแปลงพันธุกรรมสุดโหด ก่อนเธอและไวรัสจะทำลายอนาคตของมวลมนุษยชาติจนสิ้นซาก
จากกรณีตีกันทางอินสตาแกรมจนดราม่าระหว่าง วิน ดีเซล กับ ดเวย์น จอห์นสัน ก็ทำให้ยูนิเวอร์แซลสตูดิโอหัวใส เข็นหนังในจักรวาลฟาสต์เปิดปฐมฤกษ์ด้วย Hobbs & Shaw โดยดึงคาแรกเตอร์โจรและตำรวจปากจัดให้มาปฏิบัติภารกิจร่วมกันเพื่อตัดปัญหาดาราเกาเหลา รีวิว Fast & Furious Presents: Hobbs & Shaw ดูหนังออนไลน์
และมีอำนาจควบคุมภัยคุกคามร้ายกาจทางชีวะที่อาจเปลี่ยนแปลงชีวิตของมนุษยชาติไปตลอดกาล และมีชัยเหนือเจ้าหน้าที่เอ็มไอซิกส์ผู้ชาญฉลาดและปราศจากความกลัว (วาเนสซา เคอร์บี้จาก The Crown) ผู้บังเอิญเป็นน้องสาวของชอว์ ศัตรูคู่อาฆาตทั้งสองคนนี้ จึงจำเป็นต้องจับมือกันเพื่อโค่นล้มคนเพียงคนเดียวที่อาจจะร้ายกาจยิ่งกว่าพวกเขา Hobbs & Shaw เป็นการกระแทกเปิดประตูใหม่สู่จักรวาล Fast เมื่อแอ็กชั่นของมันพุ่งทะยานไปทั่วโลก จากลอสแองเจลิสสู่ลอนดอน และจากเมืองร้างที่เต็มไปด้วยสารพิษอย่างเชอร์โนบิล สู่ความงามที่เขียวชอุ่มของซามัว
ถือโอกาสเปิดช่องทางทำกินใหม่ให้หนังตระกูลฟาสต์เสียเลยโดยดึง เดวิด ลีตช์ ผู้กำกับหนังแอ็กชันมาแรงจาก John Wick1, Deadpool2 และ Atomic Blonde มากุมบังเหียนศึกน้ำลายและกำปั้นลุ่นๆของ 2 เหม่งปากจัดโดยยังได้ คริส มอร์แกน มาเขียนบทให้เหมือนหนังฟาสต์ทุกภาค ซึ่งนอกจากความเวอร์วังที่ติดมาจากหนังตระกูลฟาสต์แล้วมันยังเล่นกับความโม้ระเบิดระดับหนังไซไฟยังต้องยอมอีกด้วย
ทว่าผลลัพธ์ของการขยายจักรวาลครั้งนี้นอกจากเสน่ห์ของนักแสดงนำแล้ว เราแทบจะไม่พบความสนุกแบบหนังตระกูลฟาสต์เคยเสิร์ฟให้เราเท่าไหร่ แม้ว่าจะมีการกล่าวเรื่องครอบครัวต้องช่วยเหลือกันบ้างแต่ก็ผิวเผินเหลือทน และนอกจากการตัดฉากแข่งรถออกแล้วแทนที่ด้วยพลอตหนังสายลับโคตรโม้แบบ มิชชั่น อิมพอสซิเบิ้ล แทน
แต่ก็นะลำพังแค่พลอตไวรัสถูกขโมยแล้วนางเอกต้องฉีดเข้าแขนตัวเองนี่ก็นึกถึงพลอต M:I2 (2000) กันโต้งๆแล้วหนังดันใส่ฉากขี่มอเตอร์ไซค์ไล่ล่า ฉากตบตาศัตรู จนเหลือแค่นกพิราบบินนี่แหละที่ไม่ได้ใส่มา จนงานอ้างอิงกลายเป็นลอกการบ้านไปซะงั้น
มิหนำซ้ำสิ่งที่พาให้หลุดโลกหนักเลยคือการใส่ บริกซ์ตัน นักรบดัดแปลงพันธุกรรมซึ่งมองเผินๆก็เท่ดีแต่รถมอเตอร์ไซค์พี่แกนี่แหละที่เวอร์จนมันเกือบจะแปลงร่างเป็นทรานส์ฟอร์เมอร์อยู่มะรอมมะร่อ
ซึ่งผลลัพธ์ของการคิดพลอตที่หยิบนี่ผสมนั่นเลยทำให้ตัวหนังไม่มีอะไรน่าจดจำเท่าไหร่ ซึ่งก็น่าเสียดายอีกเหมือนกัน เพราะนอกจากต้องจำทนดูหนังที่ไปลอกพลอต ลอกภาพจำชาวบ้านแถมเนื้อเรื่องที่แทบเดาได้ตลอดแล้ว ตรรกะของตัวละครที่เคยปูมาตั้งแต่ Fast 5 อย่างลุค ฮอบบส์ จะต้องสุขุมเยือกเย็น มีเหตุผลก็ถูกทำให้กลายเป็นกล้ามใหญ่ไร้สมอง ส่วนเดคคาร์ด ชอว์ ที่ดูโหดจัดจาก Fast7 ก็ดันดูติงต๊องแบบไม่ค่อยมีเหตุผล
มิหนำซ้ำพอทั้งคู่ร่วมซีนกันเรากลับไม่รู้สึกถึงเคมีที่ทั้งคู่จะมีร่วมกันนอกจากบทที่ให้ปะทะคารมกันยืดยาวที่ขำบ้างชวนหาวบ้างแล้ว หนังก็ดันไม่ใส่จุดอ่อนให้เราได้ลุ้นหรือเห็นใจพวกเขาเท่าที่ควรกลับให้ทั้งคู่ชนะตลอดจนแทบไม่ต้องเอาใจช่วยใดๆ ดังนั้นเราจึงต้องหวังกับการดีไซน์ฉากบู๊แล้วล่ะว่าจะช่วยให้หนังดูสนุกหรือน่าตื่นตาตื่นใจขึ้นบ้างไหม
แน่นอนครับว่าการที่เราดูหนังแอ็กชันคงต้องทิ้งเหตุผลไว้บ้านแล้วไปรับความมันอย่างเดียว ซึ่งพอเราได้ลองสวมวิญญาณคอหนังแอ็คชั่นเพื่อดูและหวังว่าจะลุ้นกับฉากบู๊ต่างๆ ผลลัพธ์เหรอครับ เรากลับได้ดูหนังแอ็กชันที่มีการโคโรกราฟได้ขี้เกียจมาก ถามอย่างว่าใครไม่เคยเห็นฉากขับรถไล่ล่าใครไม่เคยเห็นซีนขับรถลอดรถบรรทุกหรือซีนพะบู๊ดวลหมัดเตะต่อยบ้าง..ก็เคยเห็นมาทั้งนั้นแหละ
และยิ่งในหนังคือแทบหาความสดใหม่ในการออกแบบไม่เจอยิ่งดูก็ยิ่งเฟลนะ ยิ่งการกำกับคิวบู๊ที่เราคาดหวังมากๆมาจบที่ก่ารเตะต่อยแบบนัดคิวถ่าย คือเราแทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่แทนที่จะรู้สึกว่ามันเจ๋งหรือเท่ กลับรู้สึุกว่าเขาเอานักแสดงระดับนี้มาทำอะไรกันปัญญาอ่อนขนาดนี้แทน แถมฉากแอ็กชันเวอร์ๆส่วนใหญ่เรายังจำได้ชัดๆเลยว่าถ่ายหน้าบลูสกรีนความสดจึงหมดไปอย่างน่าเสียดาย ซึ่งก็ถือว่า เดวิด ลีตช์ เองที่เคยแจ้งเกิดจาก John Wick ดูมือตกและทำผลงานได้มือตกไปพอควร แต่ยังดีที่หนังได้วาเนสซ่า เคอร์บี ในบท แฮดดี้ ที่เอาเสน่ห์ความสวยของเธอมาผนวกในฉากบู๊จนทำให้ตัวหนังยังมีฉากแอ็กชันที่น่ามองอยู่บ้างครับ
พ้นจากเสน่ห์ของวาเนสซ่า เคอร์บีที่เราไม่รู้ว่าจะเลิกชื่นชมความสวยของเธอยังไง ซึ่งถือว่าทีมแคสติ้งตาถึงดึงเธอมาจาก Mission Impossible : Fallout (2018) (คือไหนๆลอกพลอตมาแล้วก็เอานักแสดงมาด้วยแล้วกัน 55) เพราะบทแฮตตี้ของเคอร์บี้เป็นตัวละครเดียวที่คนดูพอจะเห็นอกเห็นใจและร่วมลุ้นกับชะตากรรมของเธอ ส่วน เจสัน สเตแธม กับ ดเวย์น จอหฺ์นสัน หากมองในแง่การทำหน้าที่เอ็นเตอร์เทนแล้วก็ถือว่าไม่บกพร่องนักเรายังจะได้หัวเราะและยิ้มเวลาทั้งคู่ร่วมจอกันอยู่แม้ว่าบทสนทนาบางช่วงจะยืดเยื้อไปหน่อยก็ตาม
เรื่องนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการโคจรกลับมาพบกันของ Luke Hobbs และ Deckard Shaw ที่ต้องร่วมมือกันปกป้องไวรัสที่น้องของ Shaw อย่าง Hattie ได้ฉีดเข้าไปในตัวเอง ไม่ให้ตกไปอยู่ในมือของคนชั่ว Brixton ที่ถูกวิวัฒนาการณ์จนมีพลังเหนือมนุษย์!
ซึ่งในภาคนี้ ถือว่าเป็นภาคที่ให้อารมณ์ต่างจากภาคอื่นๆ ในแฟรนไชส์ของ Fast and Furious พอสมควร จริงๆ ก็เป็นการเปิดจักรวาลใหม่นั่นแหละ เพราะภาคนี้กลายเป็นหนังแอ็คชั่น โจรกรรมไปแล้ว ที่มีพล็อตและการดำเนินเรื่องที่เช๊ยเชย เดาทางง่ายไปซะหมด
ความสนุกของมันอยู่ตรงที่คู่นักแสดงนำระหว่าง Hobbs กับ Shaw นี่แหละ เป็นจุดที่ชอบที่สุดละ กัดกันตลอดทั้งเรื่อง บทสนทนาฮาๆ ทั้งนั้น เป็นเหมือนเครื่องสร้างความบันเทิงชั้นดี (แต่บางฉากก็พล่ามเยอะไปก็ชวนหาวเหมือนกัน) ตามมาด้วยฉากแอ็คชั่นเนืองๆ ตลอดทั้งเรื่อง ที่ดูสนุกเพลิดเพลินใช้ได้ แต่ไม่ได้ดีและไม่เหมือนอย่างที่ผู้กำกับเคยทำมาในเรื่องก่อนๆ เลย
เช่น John Wick, Deadpool 1-2, Atomic Blonde ดูดร๊อปลงไปพอสมควร โดยเฉพาะฉากท้ายๆ ที่น่าจะเป็นฉากที่มันส์ที่สุด พีคที่สุด แต่กลับกลายเป็นน่าเบื่อที่สุดซะงั้น รวมไปถึงตัวละครอย่าง Brixton รับบทโดย Idris Elba ที่ดูดีตอนต้นแต่แผ่วปลายยังไงชอบกล แต่ที่สำคัญ Hattie ที่รับบทโดย Vanessa Kirby คือสวยมว๊ากกกกกกก เสน่ห์ล้นสุดๆ
ด้วยความที่เป็นหนังในจักรวาล Fast and Furious ก็ยังใส่ฉากขับรถไล่ล่าสุดมันเข้ามาให้ได้เชยชมอย่างพอหอมปากหอมคอด้วยนะ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องยกเครดิตหลายๆ อย่างให้เพลงประกอบ เพราะเพลงประกอบในเรื่องนี้คือดีงามมาก มันช่วยทำให้หนังแต่ละฉากดูดีขึ้น เท่ขึ้น มันขึ้น อีกกว่า 50% เลยทีเดียว!
ส่วน ไอดริส อัลบา ก็ทำให้บริกซ์ตันเป็นตัวละครผู้ร้ายที่ดูน่ากลัวและมีเสน่ห์ไม่น้อย จนเราอาจบอกได้เลยว่าพาร์ตนักแสดงนี่แหละที่ช่วยให้เราทนกับความไม่เข้ากันของพลอตและการดำเนินเรื่องอันสะเปะสะปะไปมาได้ตลอดรอดฝั่ง แถมยังใส่นักแสดงจอมขโมยซีนทั้ง เควิน ฮาร์ต และ ไรอัน เรย์โนลด์ ที่โผล่มาเอาฮาแม้ไม่ค่อยเข้ากับโทนหนังโดยรวมแต่ก็ยังถือว่าสร้างความบันเทิงได้ดีทีเดียว
ปล. มีการ Cameo ของสองนักแสดงที่เรียกเสียงฮาได้เป็นอย่างดี
เรื่องย่อ
นับตั้งแต่ที่ ฮ็อบส์ เจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมายเจ้าของร่างล่ำบึ้ก (จอห์นสัน) ผู้จงรักภักดีต่อองค์กรหน่วยรักษาความปลอดภัยทางการทูตแห่งอเมริกาและชอว์ (สเตแธม) ชายนอกกฎหมาย อดีตเจ้าหน้าที่ทหารชั้นสูงของอังกฤษ ได้เผชิญหน้ากันเป็นครั้งแรกใน Fast & Furious 7 ในปี 2015 ทั้งคู่ก็ได้ปะทะกันทั้งด้วยคารมและหมัดด้วยความมุ่งหมายที่จะโค่นอีกฝ่ายให้ได้ แต่เมื่อบริกซ์ตัน (ไอดริส เอลบา) ผู้ชื่นชอบในลัทธิอนาธิปไตย และได้รับการปรับแต่งทางพันธุกรรมให้มีความสามารถสูงขึ้นและมีอำนาจควบคุมภัยคุกคามร้ายกาจทางชีวะที่อาจเปลี่ยนแปลงชีวิตของมนุษยชาติไปตลอดกาล และมีชัยเหนือเจ้าหน้าที่เอ็มไอซิกส์ผู้ชาญฉลาดและปราศจากความกลัว (วาเนสซา เคอร์บี้จาก The Crown) ผู้บังเอิญเป็นน้องสาวของชอว์ ศัตรูคู่อาฆาตทั้งสองคนนี้ จึงจำเป็นต้องจับมือกันเพื่อโค่นล้มคนเพียงคนเดียวที่อาจจะร้ายกาจยิ่งกว่าพวกเขา Hobbs & Shaw เป็นการกระแทกเปิดประตูใหม่สู่จักรวาล Fast เมื่อแอ็กชั่นของมันพุ่งทะยานไปทั่วโลก จากลอสแองเจลิสสู่ลอนดอน และจากเมืองร้างที่เต็มไปด้วยสารพิษอย่างเชอร์โนบิล สู่ความงามที่เขียวชอุ่มของซามัว
ถือโอกาสเปิดช่องทางทำกินใหม่ให้หนังตระกูลฟาสต์เสียเลยโดยดึง เดวิด ลีตช์ ผู้กำกับหนังแอ็กชันมาแรงจาก John Wick1, Deadpool2 และ Atomic Blonde มากุมบังเหียนศึกน้ำลายและกำปั้นลุ่นๆของ 2 เหม่งปากจัดโดยยังได้ คริส มอร์แกน มาเขียนบทให้เหมือนหนังฟาสต์ทุกภาค ซึ่งนอกจากความเวอร์วังที่ติดมาจากหนังตระกูลฟาสต์แล้วมันยังเล่นกับความโม้ระเบิดระดับหนังไซไฟยังต้องยอมอีกด้วย
ทว่าผลลัพธ์ของการขยายจักรวาลครั้งนี้นอกจากเสน่ห์ของนักแสดงนำแล้ว เราแทบจะไม่พบความสนุกแบบหนังตระกูลฟาสต์เคยเสิร์ฟให้เราเท่าไหร่ แม้ว่าจะมีการกล่าวเรื่องครอบครัวต้องช่วยเหลือกันบ้างแต่ก็ผิวเผินเหลือทน และนอกจากการตัดฉากแข่งรถออกแล้วแทนที่ด้วยพลอตหนังสายลับโคตรโม้แบบ มิชชั่น อิมพอสซิเบิ้ล แทน
แต่ก็นะลำพังแค่พลอตไวรัสถูกขโมยแล้วนางเอกต้องฉีดเข้าแขนตัวเองนี่ก็นึกถึงพลอต M:I2 (2000) กันโต้งๆแล้วหนังดันใส่ฉากขี่มอเตอร์ไซค์ไล่ล่า ฉากตบตาศัตรู จนเหลือแค่นกพิราบบินนี่แหละที่ไม่ได้ใส่มา จนงานอ้างอิงกลายเป็นลอกการบ้านไปซะงั้น
มิหนำซ้ำสิ่งที่พาให้หลุดโลกหนักเลยคือการใส่ บริกซ์ตัน นักรบดัดแปลงพันธุกรรมซึ่งมองเผินๆก็เท่ดีแต่รถมอเตอร์ไซค์พี่แกนี่แหละที่เวอร์จนมันเกือบจะแปลงร่างเป็นทรานส์ฟอร์เมอร์อยู่มะรอมมะร่อ
ซึ่งผลลัพธ์ของการคิดพลอตที่หยิบนี่ผสมนั่นเลยทำให้ตัวหนังไม่มีอะไรน่าจดจำเท่าไหร่ ซึ่งก็น่าเสียดายอีกเหมือนกัน เพราะนอกจากต้องจำทนดูหนังที่ไปลอกพลอต ลอกภาพจำชาวบ้านแถมเนื้อเรื่องที่แทบเดาได้ตลอดแล้ว ตรรกะของตัวละครที่เคยปูมาตั้งแต่ Fast 5 อย่างลุค ฮอบบส์ จะต้องสุขุมเยือกเย็น มีเหตุผลก็ถูกทำให้กลายเป็นกล้ามใหญ่ไร้สมอง ส่วนเดคคาร์ด ชอว์ ที่ดูโหดจัดจาก Fast7 ก็ดันดูติงต๊องแบบไม่ค่อยมีเหตุผล
มิหนำซ้ำพอทั้งคู่ร่วมซีนกันเรากลับไม่รู้สึกถึงเคมีที่ทั้งคู่จะมีร่วมกันนอกจากบทที่ให้ปะทะคารมกันยืดยาวที่ขำบ้างชวนหาวบ้างแล้ว หนังก็ดันไม่ใส่จุดอ่อนให้เราได้ลุ้นหรือเห็นใจพวกเขาเท่าที่ควรกลับให้ทั้งคู่ชนะตลอดจนแทบไม่ต้องเอาใจช่วยใดๆ ดังนั้นเราจึงต้องหวังกับการดีไซน์ฉากบู๊แล้วล่ะว่าจะช่วยให้หนังดูสนุกหรือน่าตื่นตาตื่นใจขึ้นบ้างไหม
แน่นอนครับว่าการที่เราดูหนังแอ็กชันคงต้องทิ้งเหตุผลไว้บ้านแล้วไปรับความมันอย่างเดียว ซึ่งพอเราได้ลองสวมวิญญาณคอหนังแอ็คชั่นเพื่อดูและหวังว่าจะลุ้นกับฉากบู๊ต่างๆ ผลลัพธ์เหรอครับ เรากลับได้ดูหนังแอ็กชันที่มีการโคโรกราฟได้ขี้เกียจมาก ถามอย่างว่าใครไม่เคยเห็นฉากขับรถไล่ล่าใครไม่เคยเห็นซีนขับรถลอดรถบรรทุกหรือซีนพะบู๊ดวลหมัดเตะต่อยบ้าง..ก็เคยเห็นมาทั้งนั้นแหละ
และยิ่งในหนังคือแทบหาความสดใหม่ในการออกแบบไม่เจอยิ่งดูก็ยิ่งเฟลนะ ยิ่งการกำกับคิวบู๊ที่เราคาดหวังมากๆมาจบที่ก่ารเตะต่อยแบบนัดคิวถ่าย คือเราแทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่แทนที่จะรู้สึกว่ามันเจ๋งหรือเท่ กลับรู้สึุกว่าเขาเอานักแสดงระดับนี้มาทำอะไรกันปัญญาอ่อนขนาดนี้แทน แถมฉากแอ็กชันเวอร์ๆส่วนใหญ่เรายังจำได้ชัดๆเลยว่าถ่ายหน้าบลูสกรีนความสดจึงหมดไปอย่างน่าเสียดาย ซึ่งก็ถือว่า เดวิด ลีตช์ เองที่เคยแจ้งเกิดจาก John Wick ดูมือตกและทำผลงานได้มือตกไปพอควร แต่ยังดีที่หนังได้วาเนสซ่า เคอร์บี ในบท แฮดดี้ ที่เอาเสน่ห์ความสวยของเธอมาผนวกในฉากบู๊จนทำให้ตัวหนังยังมีฉากแอ็กชันที่น่ามองอยู่บ้างครับ
พ้นจากเสน่ห์ของวาเนสซ่า เคอร์บีที่เราไม่รู้ว่าจะเลิกชื่นชมความสวยของเธอยังไง ซึ่งถือว่าทีมแคสติ้งตาถึงดึงเธอมาจาก Mission Impossible : Fallout (2018) (คือไหนๆลอกพลอตมาแล้วก็เอานักแสดงมาด้วยแล้วกัน 55) เพราะบทแฮตตี้ของเคอร์บี้เป็นตัวละครเดียวที่คนดูพอจะเห็นอกเห็นใจและร่วมลุ้นกับชะตากรรมของเธอ ส่วน เจสัน สเตแธม กับ ดเวย์น จอหฺ์นสัน หากมองในแง่การทำหน้าที่เอ็นเตอร์เทนแล้วก็ถือว่าไม่บกพร่องนักเรายังจะได้หัวเราะและยิ้มเวลาทั้งคู่ร่วมจอกันอยู่แม้ว่าบทสนทนาบางช่วงจะยืดเยื้อไปหน่อยก็ตาม
เรื่องนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการโคจรกลับมาพบกันของ Luke Hobbs และ Deckard Shaw ที่ต้องร่วมมือกันปกป้องไวรัสที่น้องของ Shaw อย่าง Hattie ได้ฉีดเข้าไปในตัวเอง ไม่ให้ตกไปอยู่ในมือของคนชั่ว Brixton ที่ถูกวิวัฒนาการณ์จนมีพลังเหนือมนุษย์!
ซึ่งในภาคนี้ ถือว่าเป็นภาคที่ให้อารมณ์ต่างจากภาคอื่นๆ ในแฟรนไชส์ของ Fast and Furious พอสมควร จริงๆ ก็เป็นการเปิดจักรวาลใหม่นั่นแหละ เพราะภาคนี้กลายเป็นหนังแอ็คชั่น โจรกรรมไปแล้ว ที่มีพล็อตและการดำเนินเรื่องที่เช๊ยเชย เดาทางง่ายไปซะหมด
ความสนุกของมันอยู่ตรงที่คู่นักแสดงนำระหว่าง Hobbs กับ Shaw นี่แหละ เป็นจุดที่ชอบที่สุดละ กัดกันตลอดทั้งเรื่อง บทสนทนาฮาๆ ทั้งนั้น เป็นเหมือนเครื่องสร้างความบันเทิงชั้นดี (แต่บางฉากก็พล่ามเยอะไปก็ชวนหาวเหมือนกัน) ตามมาด้วยฉากแอ็คชั่นเนืองๆ ตลอดทั้งเรื่อง ที่ดูสนุกเพลิดเพลินใช้ได้ แต่ไม่ได้ดีและไม่เหมือนอย่างที่ผู้กำกับเคยทำมาในเรื่องก่อนๆ เลย
เช่น John Wick, Deadpool 1-2, Atomic Blonde ดูดร๊อปลงไปพอสมควร โดยเฉพาะฉากท้ายๆ ที่น่าจะเป็นฉากที่มันส์ที่สุด พีคที่สุด แต่กลับกลายเป็นน่าเบื่อที่สุดซะงั้น รวมไปถึงตัวละครอย่าง Brixton รับบทโดย Idris Elba ที่ดูดีตอนต้นแต่แผ่วปลายยังไงชอบกล แต่ที่สำคัญ Hattie ที่รับบทโดย Vanessa Kirby คือสวยมว๊ากกกกกกก เสน่ห์ล้นสุดๆ
ด้วยความที่เป็นหนังในจักรวาล Fast and Furious ก็ยังใส่ฉากขับรถไล่ล่าสุดมันเข้ามาให้ได้เชยชมอย่างพอหอมปากหอมคอด้วยนะ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องยกเครดิตหลายๆ อย่างให้เพลงประกอบ เพราะเพลงประกอบในเรื่องนี้คือดีงามมาก มันช่วยทำให้หนังแต่ละฉากดูดีขึ้น เท่ขึ้น มันขึ้น อีกกว่า 50% เลยทีเดียว!
ส่วน ไอดริส อัลบา ก็ทำให้บริกซ์ตันเป็นตัวละครผู้ร้ายที่ดูน่ากลัวและมีเสน่ห์ไม่น้อย จนเราอาจบอกได้เลยว่าพาร์ตนักแสดงนี่แหละที่ช่วยให้เราทนกับความไม่เข้ากันของพลอตและการดำเนินเรื่องอันสะเปะสะปะไปมาได้ตลอดรอดฝั่ง แถมยังใส่นักแสดงจอมขโมยซีนทั้ง เควิน ฮาร์ต และ ไรอัน เรย์โนลด์ ที่โผล่มาเอาฮาแม้ไม่ค่อยเข้ากับโทนหนังโดยรวมแต่ก็ยังถือว่าสร้างความบันเทิงได้ดีทีเดียว
สรุป
หากมองมันแฟร์ๆในฐานะหนังแอ็กชัน ตลกๆ ไม่ต้องอ้างอิงกับหนังตระกูลฟาสต์ฺอะไรก็ยังถือว่าหนังให้ความบันเทิงได้เต็มที่นะครับเป็น 2 ชั่วโมง 15 นาทีที่บันเทิงที่ทั้ง ตูมตาม และพระเอกข่มกันน้ำลายแตกฟอง แบบแทบไม่ว่างเว้นเลย แม้พลอตไม่ค่อยใหม่และฉากบู๊ไม่น่าตื่นตานักแต่ก็ถือว่าพอพาเราออกจากโลกความจริงได้อย่างสำเริงอารมณ์ทีเดียว ส่วนฉากหลังเอนด์เครดิต 2 ตัวก็น่าสนใจและอาจขยายจักรวาลหนังภาคแยกไปได้อีก และเหมือนเปิดเส้นทางให้เล่าเรื่องใหม่ได้อีก ถ้าใครไปดูมันก็ยังคงมีความสนุก ดูได้เพลินๆ เว็บสตรีมหนังปล. มีการ Cameo ของสองนักแสดงที่เรียกเสียงฮาได้เป็นอย่างดี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น