วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2563

Okja - โอคจา

ดูหนัง HD

รีวิว Okja - โอคจา

Okja (ออกเสียงว่า โอคจา) เป็นหนังทุนสร้าง Neflix เรื่องก่อนหน้า Parasite ของผู้กำกับเกาหลี “บงจุนโฮ” (Bong Joon Ho) ที่พึ่งได้รางวัลจากลูกโลกทองคำ 2020 มาหมาดๆ ซึ่งความพิเศษของเรื่อง Parasite จนได้รางวัลนั่นเพราะหนังมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ตลกเสียดสีสังคมตรงไปตรงมามากที่สุดของผู้กำกับคนนี้เลยก็ว่าได้ รีวิว Okja

เรื่องย่อ

เรื่องราวในอนาคตอันใกล้นี้ที่วงการอาหารจะถูกต่อต้านจนตกต่ำลงจากเรื่องตัดต่อยีนส์ GMO ทั้งหลายเพื่อการค้า Okja คือชื่อหมูตัวนึงที่ถูกโฆษณาว่าเป็นหมูยักษ์จากธรรมชาติไม่ผ่านการดัดแปลงใดๆ ซึ่งเลี้ยงแบบปล่อยอิสระในหมู่บ้านชนบทโดยเด็กสาวคนนึงตั้งแต่ 4 ขวบจนเธออายุ 14 ถึงได้รู้ว่าโอคจาที่เธอรักสุดชีวิตเหมือนครอบครัวจะต้องกลายมาเป็นเหยื่อโฆษณาสร้างภาพให้บริษัทอาหารยักษ์ที่ครองโลกนี้อยู่ การเดินทางเพื่อช่วยเหลือโอคจาให้รอดจึงเกิดขึ้น พร้อมกับรับรู้เรื่องราวทุนนิยมแฝงความโหดร้ายสามานย์ผ่านการผจญภัยในเมืองใหญ่ที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อน

Lost in Space Season 2

 โปรแกรมหนัง

รีวิว Lost in Space Season 2 - ทะลุโลกหลุดจักรวาล ซีซั่น 2

หลังสร้างกระแสความสนุกจนกลายเป็นอีกหนึ่งซีรีส์ฮิตทาง Netflix จนได้มีซีซัน 2 ในวันนี้ สิ่งที่โดดเด่นมากสำหรับ Lost in Space คือการเป็นซีรีส์ไซไฟที่มีเนื้อหาด้านวิทยาศาสตร์ที่เข้มข้นกว่าหนังและซีรีส์เรื่องอื่นแต่อยู่ในโครงเรื่องแบบซีรีส์ผจญภัยดูสนุกควบคู่กับประเด็นดราม่าครอบครัวได้กลมกล่อมมากทีเดียว รีวิว Lost in Space Season 2

โดยหลังจากซีซันแรกที่ได้ปูให้เรารู้จักคาแรกเตอร์ของแต่ละคนในบ้านโรบินสันรวมถึง ดร.สมิธ ที่คราวนี้ถูกปรับให้มาเป็นผู้หญิงพร้อมเพิ่มความซับซ้อนและอุปนิสัยไม่น่าไว้ใจ แน่นอนว่ามาถึงซีซันนี้ึคนดูย่อมคาดหวังจะได้เห็นการผจญภัยที่น่าตื่นตามากขึ้น ซึ่งซีรีส์ก็จัดให้แบบเต็มคราบกันไปเลย

Lost In Space

ดูหนัง

รีวิว Lost In Space - ทะลุโลกหลุดจักรวาล

Lost in Space ซีรีส์ไซไฟสร้างโดย Netflix เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่แกะกล่องแต่เป็นการนำซีรีส์เก่าแก่กลับมาปัดฝุ่นทำใหม่ จากปี 1965 ในชื่อเดียวกัน และหนังที่เข้าโรงฉายเมื่อปี 1998 แต่ไม่ประสบความสำเร็จทั้งรายได้และคำวิจารณ์จนต้องหยุดโปรเจ็กต์นี้ไป และได้กลับมาอีกครั้งใน Netflix รีวิว Lost In Space

เรื่องย่อ

เมื่อโลกไม่อาจอาศัยได้อีกต่อไปจึงเกิดโครงการสร้างอาณานิคม เรสโซลูต  ในอวกาศโดย ครอบครัวโรบินสัน ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในมนุษย์กลุ่มแรกที่ได้สิทธิ์ขึ้นไปใช้ชีวิตบนนั้น แต่หลังเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝันทำให้ยาน จูปิเตอร์ของพวกเขากระเด็นไปตกยังดาวลึกลับ งานนี้ทั้ง จอห์น (โทบี สตีเฟน์) คุณพ่อทหารผู้เข้มงวดกับลูกๆ  มอรีน (มอลลี พาร์คเกอร์) คุณแม่นักวิทยาศาสตร์  จูดี้ (เทย์เลอร์ รัสเซลล์) ผู้รอบรู้ ชาญฉลาด และกล้าหาญ  เพนนี (มีนา ซันด์วอลล์) ลูกสาวคนกลางที่พร้อมลุยทุกสถานการณ์ และ วิล (แม็กซ์ เจนคินส์) ลูกชายคนเล็กที่พบมิตรภาพในตัวหุ่นยนต์สังหารต้องร่วมใจกันหาหนทางกลับสู่ เรสโซลูต ก่อนดาวดวงนี้จะถูกดวงอาทิตย์แผดเผา โดยมี ดร.สมิธ (พาร์คเกอร์ โพซีย์) ผู้มีความลับดำมืดและไม่อาจไว้ใจได้ก้าวเข้ามาแทรกกลางระหว่างครอบครัวของพวกเขา

วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2563

Anne with an E

หนัง HD

รีวิว Anne with an E - แอนน์ที่มี “น์”

Anne with an E แอนน์ที่มี “น์” จากวรรณกรรมคลาสสิกที่ถูกนำไปทำเป็นภาพยนต์หลากหลายเวอร์ชั่น สู่ซีรีย์ใน Netflix เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กสาวกำพร้าที่ถูกส่งมายังเมือง กรีน เกเบิลส์ สู่การผจญภัยเรื่องราวต่าง ๆ มากมายไม่ว่าจะเป็นทั้งมิตรภาพ ความรัก การเติบโตและการผจญภัยเรื่องราวมากมายได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว  รีวิว Anne with an E

เรื่องย่อ

Anne with an E  หรือ แอนน์ที่มี “น์” เริ่มต้นเรื่องราวด้วย 2 พี่น้องชาวไร่ชื่อว่า แมทธิว และ มาริลา คัธเบิร์ต ตัดสินใจที่จะรับ “เด็กผู้ชาย” มาอุปการะเนื่องด้วยจากทั้งสองอายุมากแล้วและทั้งคู่ยังไม่ได้แต่งงาน จึงต้องการคนมาช่วยงานที่ไร่ และสืบทอดดูแลกิจการไร่ต่อไป ทั้งคู่จึงตัดสินใจรับเด็กมาเลี้ยง พอถึงวันที่แมทธิวจะต้องไปรับเด็ก แทนที่จะได้รับเด็กผู้ชาย กลับหลายเป็นว่าได้เด็กสาวมาแทนและเธอก็มีชื่อว่า แอนน์

วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2563

Snowpiercer

หนัง HD

รีวิว Snowpiercer - ปฏิวัติฝ่านรกน้ำแข็ง

ซีรีส์จากภาพยนต์ดังในชื่อเดียวกันลงช่องเคเบิล TNT ของอเมริกา และ Netflix ซื้อสิทธิ์มาลงฉายทั่วโลกทุกวันจันทร์บ่าย 2 โมงเป็นต้นไป เวลาต่อตอน 45-55 นาที มีทั้งหมด 10 ตอนจบซีซั่นแรก (เตรียมทำ SS2 ต่อแล้ว) เรื่องราวแตกต่างจากภาพยนตร์เป็นคนละไทม์ไลน์กัน โดยเรื่องในซีรีส์เริ่มตั้งแต่แรก สำหรับคนที่ไม่ดูภาพยนตร์มาก่อนก็สามารถดูได้รู้เรื่อง แต่ใครที่ดูภาพยนตร์มาแล้วก็อาจจะแปลกใจกับหลายอย่างที่เปลี่ยน ในรีวิวนี้จะมีเทียบให้เห็นทั้งสองแบบครับ รีวิว Snowpiercer

Snowpiercer ดัดแปลงมาจากนิยายภาพของฝรั่งเศสเรื่อง “Le Transperceneige” ของ Jacques Lob และ Jean-Marc Rochette ตีพิมพ์เมื่อปี 1982 ซึ่งผู้กำกับบงจุนโฮเอามาดัดแปลงเป็นฉบับหนังในปี 2013 บอกเล่าเรื่องราวโลกในอนาคตที่กลายเป็นยุคน้ำแข็ง ผู้รอดตายกลุ่มสุดท้ายอาศัยอยู่บนรถไฟที่แล่นไม่มีวันหยุดที่ต้องแล่นตลอดเวลาไปบนรางรถไฟที่วิ่งรอบโลก ที่เนื้อหาถูกใจบงจุนโฮจนเอามาทำเป็นหนังก็เพราะเนื้อเรื่องนั้นมีจุดเด่นอยู่ที่การวิพากษ์ประเด็นชนชั้นทางสังคมเช่นเดียวกับที่ทำกับ Parasite (2019)

Kimetsu No Yaiba (Demon Slayer)

ดูหนัง HD

รีวิว Kimetsu No Yaiba (Demon Slayer) - ดาบพิฆาตอสูร

Kimetsu no Yaiba (ชื่อภาษาอังกฤษ Demon Slayer) หรือในชื่อตามฉบับลิขสิทธิแปลไทยคือ “ดาบพิฆาตอสูร” ซึ่งปัจจุบันออกกับ สนพ.สยามอินเตอร์แล้ว 17 เล่ม และยังไม่จบ สำหรับในฉบับอนิเมะก็กำลังติดเทรนด์และเป็นกระแสอยู่ที่ญี่ปุ่นและผู้ชมในต่างประเทศทั่วโลกด้วย รีวิว Kimetsu No Yaiba
ดาบพิฆาตอสูร Kimetsu no Yaiba เป็นสุดยอดอนิเมะมาแรงแห่งปี 2019 ที่ปฏิเสธไม่ได้ว่ายอดเยี่ยมเกินคาด แล้วยังส่งผลไปถึงการผลักดันยอดขายของมังงะฉบับรวมเล่ม จนกระทั่งสามารถทำยอดขายรวมเล่มแซงชนะวีนพีซได้ เป็นเรื่องแรกที่ทำได้สำเร็จในรอบ 11 ปี จากการประกาศของ Oricon แล้วยังกวาดรางวัลต่างๆมากมายด้วย

The Stranded - เคว้ง

ดูหนัง HD

รีวิว The Stranded - เคว้ง

เคว้ง (The Stranderd) ซีรีส์ไทยเรื่องแรกที่ Netflix ออกทุนสร้างให้ กำกับโดย โสภณ ศักดาพิศิษฏ์ ผู้กำกับลัดดาแลนด์กับเขียนบทชัตเตอร์ ก็ถือว่าชั้นแนวหน้าของเมืองไทย เป็นเรื่องราวของกลุ่มเพื่อนนักเรียน 36 คนที่่รอดชีวิตจากภัยพิบัติสึนามิในหมู่เกาะแห่งทะเลอันดามันเหตุการณ์ปริศนามากมายเกิดขึ้นบนเกาะและความช่วยเหลือยังคงมาไม่ถึง รีวิว The Stranded - เคว้ง

เรื่องย่อ

หลังสึนามิซัดงานปาร์ตีฉลองจบการศึกษาทิ้งให้นักเรียนโรงเรียนไฮโซต้องใช้ชีวิตแบบไร้เทคโนโลยีหรือกระทั่งสิ่งอำนวยความสะดวกใด ๆ และเมื่อภัยร้ายจากสิ่งลี้ลับมาเยือน พวกเขาจึงเริ่มหาทางออกจากเกาะ แต่ในขณะเดียวกันก็เริ่มเกิดอาการแปลก ๆ กับ คราม (ปภังกรณ์ ฤกษ์เฉลิมพจน์) นักเรียนท้องถิ่นที่พ่อได้มอบของขวัญชิ้นสุดท้ายไว้ให้ก่อนตาย นำมาซึ่งการค้นหาคำตอบถึงตัวตนของเขา และความลับของเกาะปินตู 

The Witcher - นักล่าจอมอสูร

ดูหนัง

รีวิว The Witcher -  นักล่าจอมอสูร

ซีรีส์ยุคโล่ดาบใหม่เอี่ยมจาก Netflix แต่มันไม่ใช่แค่นั้น เพราะมันถูกสร้างมาจากนวนิยายและเกมดังในชื่อเดียวกัน ที่คอเกมน้อยนักที่จะไม่รู้จักเพราะมันเป็นเกมที่ถูกนำมาใช้วัดประสิทธิภาพการ์ดแสดงผลมากที่สุดเกมนึงเลยในยุคนี้ รีวิว The Witcher

เรื่องย่อ

เกรอลด์ แห่ง ริเวีย (เฮนรี คาวิล) นักล่าอสูรเผ่าวิทเชอร์ ได้ออกเดินทางเพื่อเติมเต็มชะตากรรมในการปกป้องเด็กสาวที่เขาจะพบในป่าตามคำทำนาย ซึ่งเด็กสาวคนนั้นก็คือ ซิรี (เฟรยา อลลัน) เจ้าหญิงแห่งซินตราที่ต้องลี้ภัยสงครามล่าอาณานิคมโดยกองทัพแห่งนิล์ฟการ์ด โดยเธอยังต้องค้นหาความลับของพลังลึกลับที่ครอบครัวเก็บงำเอาไว้ และอีกด้านของโชคชะตายังมี เยนนิเฟอร์ แห่ง เวงเกอร์เบิร์ก (อันยา ชาโลตรา) จอมเวทย์สาวอาคมแก่กล้าผู้ยอมแลกโอกาสในการมีลูกกับความงามที่เธอไม่ต้องทนทุกข์กับหลังคดงออันอัปลักษณ์ต่อไป  งานนี้นอกจากเหล่าปีศาจที่ วิทเชอร์ อย่าง เกรอลด์ ต้องจัดการแล้ว การตามหา ซิรี ยังเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้โลกปลอดภัย

Riverdale Season 4

ดูหนัง

รีวิว Riverdale Season 4 - ริเวอร์เดล ปริศนาเมืองมรณะ

หลังจาก Netflix ปล่อยซีรีส์วัยรุ่นลึกลับสุดดังอย่าง Stranger Things ออกมา แล้วเห็นลู่ทางความสำเร็จก็ได้ร่วมมือกับ Warner Bros. Television ร่วมผลิต Riverdale ซีรีส์ลึกลับที่มีวัยรุ่นเป็นตัวดำเนินเรื่องโดยจะฉายคู่ขนานกับทางช่อง CW แบบอาทิตย์ต่ออาทิตย์ ซึ่งด้วยผลตอบรับที่ดีมากก็ทำให้ขณะนี้ Riverdale ได้ดำเนินเรื่องราวมาถึงซีซันที่ 3 แล้วซึ่งมีหลายอย่างที่เหนือความคาดหมายของผมมากไปพอสมควรดังจะกล่าวถึงเป็นข้อๆ รีวิว Riverdale Season 4

เรื่องย่อ

การหายตัวไปของเจสัน บลอสซัม (เทรเวอร์ สไตนส์) ทำให้โฉมหน้าอันสวยหรูของริเวอร์เดลเปลี่ยนไป นอกจากความเศร้าโศกของ เชอรีล (แมตเดอเลน เพ็ตช์) น้องสาวตัวร้ายที่เป็นกัปตันทีมเชียร์ลีดเดอร์ริเวอร์วิกเซนแล้ว ยังมีเรื่องราวอันดำมืดรอการพิสูจน์จากกลุ่มเพื่อนรักชาวริเวอร์เดลไฮทั้ง เบตตี้ (ลิลี ไรน์ฮาร์ต) สาวน้อยอ่อนต่อโลกผู้มีด้านมืดอันซุกซ่อนอยู่, อาร์ชี่ (เคเจ เอปา) หนุ่มนักกีฬาสุดหล่อผู้เป็นที่หมายปองของสาวๆ ที่ดันมีสัมพันธ์ลับกับครูสอนดนตรีในเช้าวันเกิดเหตุ,เวโรนิกา (คามิลา เมนเดส) บุตรสาวมาเฟียตระกูลลอดจ์ที่มาพร้อมความลับอันดำมืดของครอบครัวเธอที่นำภัยร้ายมาสู่ริเวอร์เดล และ จั๊กเฮด (โคล สเปราส์) เด็กหนุ่มจากแดนใต้ที่ถูกเหยียดหยามในชาติกำเนิด พวกเขาต้องร่วมกันไขปริศนาก่อนภัยร้ายจะมาถึงตัว

วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2563

Chilling Adventures of Sabrina Part 2

หนัง HD

รีวิว Chilling Adventures of Sabrina Part 2

บางคนอาจคุ้นเคยกับชื่อของ “ซาบริน่า” Sabrina the teenage Witch ตัวละครแม่มดสาววัยรุ่นไฮสคูล จากซีรีส์ฝรั่งชื่อดังในยุค 90 ที่ครั้งหนึ่งเคยนำมาฉายในประเทศไทยแล้วก็มีชื่อเสียงพอสมควร ส่วนต้นฉบับมาจากการ์ตูนคอมิคเรื่องดังในชื่อเดียวกัน โดยนิตยสาร Archie book รีวิว Chilling Adventures of Sabrina Part 2

เรื่องย่อ

หลังเลือกเส้นทางแม่มดแบบเต็มตัว ซาบรีน่า (เคียร์แนน ชิปกา) ตีตัวห่างจากเพื่อนมนุษย์ของเธอทั้ง ฮาร์วีย์ (รอสส์ ลินช์) โรซาลิน (แจ๊ส ซินแคลร์) และ ซูซี่ (แลชแลน วัตสัน) เพื่อป้องกันพวกเขาจากอันตราย และที่สถาบันแห่งศาสตร์มืดเธอก็ได้พบรักกับ นิโคลัส (เกวิน เลเธอร์วูด) จอมเวทย์หนุ่มเสน่ห์แรง แต่สิ่งที่เธอไม่คาคคิดคือภัยมืดที่ดาร์กลอร์ดกำลังวางแผนนำโลกสู่วันโลกาวินาศ งานนี้ซาบรีนาจำต้องทำทุกทางเพื่อปกป้องครอบครัว เพื่อนและโลกใบนี้ไว้ให้จงได้แม้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม

นับว่ารวดเร็วทันใจจริงๆสำหรับ ซาบรีนา สาวน้อยต้องสาป ที่เพิ่งปล่อยสตรีมภาคแรกไปเมื่อฮาโลวีนปีที่แล้ว และปล่อยตอนพิเศษต้อนรับวันคริสต์มาสเมื่อปลายเดือนธันวาคม ก็ได้เวลาที่ภาค 2 ปล่อยสตรีมมิง 9 ตอนไปเมื่อวันที่ 5 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งสำหรับเรื่องราวในภาค 2 นี้ก็ทวีความน่าสนใจมากเลยทีเดียว โดยเราจะขอพูดถึงเป็นประเด็นต่างๆดังนี้

เรื่องรักในกรีนเดล

ในภาคแรกความรักระหว่าง ซาบรีนา กับ ฮาร์วีย์ อาจทำให้คนดูเกิดอาการรำคาญปนอิจฉาในความหวาน เดี่ยวกอดเดี๋ยวจูบ สำหรับภาคนี้ต้องยอมรับว่าทีมบทได้ปรับเนื้อหาเรื่องราวๆรักๆใคร่ๆได้มีมิติมากขึ้น เพราะหลังจากเหตุการณ์ที่ ซาบรีนาไปชุบชีวิตพี่ชายของฮาร์วีย์ก็ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

นั่นทำให้ตัวละครเริ่มมีพัฒนาการในเรื่องความรู้สึกมากขึ้น ฮาร์วีย์ได้ใกล้ชิดกับโรซาลินที่มีพลังหยั่งรู้อนาคตจนเริ่มกลายเป็นความรัก ในขณะที่ซาบรีนาเองก็เริ่มใกล้ชิดกับ นิโคลัส จอมเวทย์หนุ่มเสน่ห์แรงจนทั้งคู่ได้มีช่วงเวลาสุดโรแมนติกร่วมกัน

และแน่นอนว่าความรักย่อมมาพร้อมกับเซ็กส์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลังภาคแรกทำเอาผู้ปกครองช็อคกับฉาก เซ็กส์หมู่ระหว่างเยาวชนแม่มดและจอมเวทย์หนุ่มๆไป มาภาคนี้ก็มีเทศกาล ลูเปอร์คาเลีย หรือวาเลนไทน์สำหรับโลกมืดที่ให้โอกาสหนุ่มสาวแต่งตัวน้อยชิ้นอาบแสงจันทร์ด้วยกัน ซึ่งถือเป็นการหลีกเลี่ยงคำครหาจากภาคแรกได้ชาญฉลาดดี โดยคงเหลือไว้แค่การเอ่ยถึงเรื่องเซ็กส์อันเผ็ดร้อนเท่านั้น

ซาตาน

ในภาคแรก เน็ตฟลิกซ์ และ วอเนอร์ ผู้สร้างซีรีส์หนัง HDต้องเจอกับการฟ้องร้องจาก โบสถ์อันเสื่อมเกียรติของซาตานของจริง เมื่อซีรีส์ดันมีฉากที่แสดงให้เห็นรูปปั้นบาโฟเมตซึ่งใกล้เคียงกับสัญลักษณ์ของโบสถ์ซาตานจริงๆจนโดนฟ้องร้อง พอมาภาคสองจะสังเกตได้ว่าตัวซีรีส์มีฉากในสถาบันน้อยลงและพยายามไม่ให้เห็นรูปปั้นบาโฟเมตแล้วจนกระทั่งตอนท้ายๆมีการเปลี่ยนแปลงรูปปั้นเป็นรูปของเจ้าคณะแทนเสียด้วยซ้ำ ซึ่งก็เป็นไปตามบทที่เขียนขึ้นมาเพื่อแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของตัวละครต่างๆในเรื่อง

ส่วนในเนื้อหาต้องยอมรับเลยว่า ตัวซีรีส์ในภาคนี้มีการปูเรื่องราวอันเกี่ยวพันกับไบเบิลมากขึ้น ตั้งแต่การแสดงละครเวทีกำเนิดลูซิเฟอร์ หรือมีฉากแรกพบของลิลิธและลูซิเฟอร์ในตอนท้าย ไล่ไปจนถึงปมของเรื่องอันเกี่ยวพันกับการกระทำของซาบรินาที่แทบจะคู่ขน่านกับภารกิจของพระเจ้าในการปลดปล่อยมนุษย์เรื่อยไปจนถึงการกล่าวถึงวันสิ้นโลก

ซึ่งไม่แน่ใจเหมือนกันว่าสำหรับครอบครัวที่นับถือศาสนาคริสต์จะกล้าให้บุตรหลานชมหรือเปล่า เพราะต้องยอมรับว่าตัวซีรีส์มีการออกแบบคาแรกเตอร์ งานคอสตูมไปจนถึงไลฟ์สไตล์ แม่มดและจอมเวทย์ที่ดูน่าหลงไหลพอสมควร แถมเมืองไทยเองก็มีลัทธิซาตานจริงๆเสียด้วย ผู้ปกครองจึงต้องพิจารณาก่อนให้ลูกหลานชมพอสมควรนะครับ

ลำไยมากกว่าเดิม

แม้ภาคแรกหลายคนจะเกิดอาการลำไยยัยซาบรินาที่หมั่นหาเรื่องเดือดร้อนให้ตัวเองและคนรอบข้างเสมอ มาภาคสองนี้ต้องยอมรับว่า ไม่ใช่แค่ซาบรินาคนเดียวแล้วล่ะที่มีพฤติกรรมชวนลำไย เพราะอย่างป้าเซลดา (รับบทโดย มิแรนดา ออตโต จาก The Lord of the Rings) เองก็ดูจะหลงปั๋วราชาคณะจนพาครอบครัวสเปลแมนเดือดร้อนเหมือนกัน ส่วนครูแมรี่ (รับบทโดย มิเชล โกเมซ) ที่ถูกวิญญาณปีศาจครอบงำก็ขยันเป่าหูอะไรยัยซาบรินาก็เชื่อจังเลย จนคนดูดูไปก็คอยด่ายัยซาบริน่าไป แต่ก็ต้องยอมรับนะครับว่าความโง่ของตัวละครก็ทำให้เราได้ปลดปล่อยอารมณ์โกรธเกรี้ยวได้ดีเหมือนกัน คงเหมือนเราดูละครไทยหลังข่าวนั่นแหละเนอะ 555

ความหลากหลายทางเพศ

ประเด็นที่น่าพูดถึงสำหรับซีรีส์เรื่องนี้คือการเปิดกว้างเรื่องเพศอย่างมาก ในภาคแรกเราอาจเห็นแค่กรณีของ แอมโบรส (แชนซ์ เพอร์โดโม) กับ ลุค (ดาเรน มานน์) คู่รักจอมเวทย์สุดร้อนแรงเท่านั้น แต่มาภาคนี้ตัวละครซูซี่ เริ่มค้นพบเพศสภาพของตัวเองและชัดเจนจนมีฉากเปิดตัวหรือ Coming Out ในซีรีส์ไปจนถึงการเปลี่ยนชื่อตัวเองเป็นธีโอ และคัดตัวเข้าทีมบาสเก็ตบอลชาย ซึ่งถือเป็นซีรีส์วัยรุ่นที่กล้าแตะประเด็นหมิ่นเหม่และนำเสนอได้อย่างจริงใจทีเดียว

ทบทวนตัวละคร

ซาบริน่า สเปลแมน 
สาวน้อยลูกครึ่งพ่อมดและมนุษย์ เป็นเด็กสาวที่เฉลียวฉลาด มีไหวพริบ กล้าแสดงออก รักความยุติธรรม เธอรู้ตัวว่าตนเองเป็นลูกครึ่งของพ่อที่เป็นพ่อมดและแม่ที่เป็นมนุษย์ แต่ทั้งสองเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตก เธอจึงมาอยู่ในการเลี้ยงดูของป้าสองคนคือ เซลด้าและฮิลด้า เธอจึงเติบโตโดยใช้ชีวิตในสังคมมนุษย์มานานเกือบ 16 ปี

เซลด้าและฮิลด้า
คู่แม่มดพี่น้อง ป้าที่เลี้ยงดูซาบริน่ามานาน ฉากหน้าเปิดกิจการรับบริการแต่งศพและจัดงานศพ ทั้งสองมีนิสัยแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เซลด้าเป็นคนเคร่งครัดและศรัทธาต่อดาร์กลอร์ดอย่างเข้มข้น มีความสามารถและรอบรู้ในเวทย์มนต์กว้างขวางมาก ฮิลด้าเป็นคนใจดี ชอบทำอาหาร แม้ว่าจะไม่เก่งเวทมนต์เท่ากับเซลด้า แต่ก็มีความรู้เฉพาะทางที่น่าทึ่งเช่นกัน

แอมโบรส
จอมเวทย์หนุ่มผิวสี ลูกพี่ลูกน้องของซาบริน่า เขาได้ชื่อว่าเป็นคนขบถ ชอบต่อต้านสังคมเวทย์มนต์ เขาถูกลงโทษจากเรื่องที่วางแผนจะระเบิดวาติกัน จึงถูกกักขังไว้ให้อยู่แต่ในบ้านของครอบครัวสเปลแมนเท่านั้น

ซาเล็ม
แมวดำประจำตัวของซาบริน่า ซึ่งปกติแม่มดพ่อมดทุกคนต้องมีสัตว์ประจำตัวที่เรียกว่า แฟมิเลียร์ ซึ่งเป็นสัตว์ผู้พิทักษ์ข้างตัว แม้ว่าภายนอกซาเล็มดูจะไม่น่าช่วยอะไรได้ แต่หลายครั้งมันสามารถที่จะพาตัวเองเข้าไปช่วยซาบรีน่าในช่วงที่กำลังลำบากและคอยปลอมประโลมเธอได้

เพื่อนของซาบรีน่า

ฮาร์วีย์
แฟนหนุ่มของซาบริน่า เป็นคนอ่อนไหว จิตใจดี มีความรักให้ซาบรีน่ามาก แต่มีความขัดแย้งกับพ่อของตัวเองที่เป็นเจ้าของเหมืองในเมืองนี้ เขาสนิทและรักทอมมี่พี่ชายของตนมาก

โรซาลินด์
สาวน้อยผิวสี เพื่อนสนิทของซาบริน่า เป็นคนชอบอ่านหนังสือและเป็นนักกิจกรรมขับเคลื่อนสังคมที่ต้องการต่อต้านความอยุติธรรมในโรงเรียน เธอยังมีความลับคือการสืบทอดพรสวรรค์ลี้ลับจากตระกูลวอค์เกอร์ในการรับรู้สิ่งเหนือธรรมชาติ มองเห็นวิญญาณ และมีนิมิตเห็นอนาคตได้ แต่ก็ต้องแลกกับดวงตาที่จะต้องบอดลง จึงเป็นทุกข์กับเรื่องนี้มาก

ซูซี่
สาวน้อยทอมบอย เพื่อนสนิทของซาบริน่า เป็นกล้าหาญ พยายามต่อต้านการกลั่นแกล้งในโรงเรียนจากการที่ตนถูกล้อเลียนเรื่องภาวะทางเพศ แต่มาได้ซาบริน่าช่วยเหลือไว้ เธอยังสืบเชื้อสายของบรรพบุรุษตระกูลพัทนัมที่เคยช่วยชีวิตเหล่าแม่มดในยุคที่เริ่มตั้งสังคมเอาไว้ รับสืบทอดพลังในการมองเห็นและสื่อสารวิญญาณจากตระกูล

ตัวละครพ่อมดแม่มด

นิโคลัส
พ่อมดหนุ่มในสถาบันจอมเวทย์ ชอบซาบริน่าตั้งแต่ทีแรกที่พบ เขายังได้ชื่อว่าเป็นเพลย์บอยหนุ่มด้วย เคยมีความสัมพันธ์กับพรูเดนซ์และแม่มดสาวๆมากหน้าหลายตามาก่อน นิโคลัสพยายามที่จะชักจูงซาบริน่าให้เอียงเข้าสังคมของจอมเวทย์มากกว่ามนุษย์ แต่ก็คอยช่วยเหลือซาบรีน่าที่สถาบันบ่อยครั้ง

พรูเดนซ์
หญิงสาวผิวสี ที่ได้ชื่อว่าเป็นตัวแม่ในสถาบันเวทย์มนต์ เธอกับพี่น้องเพื่อนหญิงอีกสองคนมีความเป็นอริกับซาบรีน่าอย่างชัดเจนตั้งแต่ตอนแรก แต่ในขณะเดียวกันก็ยอมรับในความสามารถและสติปัญญาของเธอด้วย ทำให้บางครั้งก็สามารถร่วมมือกับซาบรีน่าได้

วอร์ดเวลล์
แม่มดผู้ทรงอำนาจ ที่เข้ามาเป็นครูในโรงเรียนของซาบริน่า ที่จริงแล้วเธอได้รับคำสั่งจากดาร์กลอร์ดให้เข้ามาใกล้ชิดอยู่กับเธอเพื่อเป้าหมายบางอย่าง วอร์ดเวลล์ในสมัยอดีตเคยมาทำงานให้กับพ่อของซาบรีน่ามาก่อน เธอมีความรอบรู้ในเวทมนต์มหาศาล แม้แต่ปีศาจก็ยังรู้จักชื่อและพลังอำนาจของเธอ สำหรับตัวตนแท้จริงและเป้าหมายของเธอเป็นหนึ่งในปริศนาในเรื่องว่าแท้จริงแล้วเธอเป็นมิตรหรือศัตรูของซาบรีน่ากันแน่

หลวงพ่อแบล็กวูด
ประมุขของโบสถ์แห่งราตรีคนปัจจุบัน เป็นคนที่เคร่งครัดและศรัทธาในดาร์กลอร์ดอย่างสุดขั้ว เขาทำตามประสงค์ที่ต้องการดึงตัวซาบริน่ามาเข้าร่วมสถาบันเวทย์มนต์ เคยมีความสัมพันธ์กับพ่อของซาบรีน่ามาก่อน แล้วยังมีความสัมพันธ์ลับๆกับเซลด้าด้วย

รีวิว Chilling Adventures of Sabrina Part 2

Chilling Adventure of Sabrina ss1-2 สนุกไหม

ถ้าเปรียบเทียบกับซีรีส์ ซาบริน่า ยุค 90 จะมีธีมการเล่าเรื่องในแบบสดใส วัยรุ่น เรื่องราวรักใคร่ ตลกคอเมดี้ กับแนว Coming of Age ส่วนดูหนังผ่านเน็ตในเวอร์ชั่น Netflix ซีรีส์เลือกที่จะนำเสนอในแบบโคตรดาร์ก ดิบ 18+ แถมนำเสนอเรื่องราวในแง่มุมที่รุนแรง กล้าเล่นกับประเด็นละเอียดอ่อนทางสังคมหลายเรื่อง

ไม่ว่าจะเป็นการกลั่นแกล้ง Bully ในโรงเรียน การเหยียดผิว เหยียดเพศที่สาม ปัญหาชนชั้น การใช้ความรุนแรงในครอบครัว ความแตกต่างทางศาสนา ความเชื่อ ไปจนถึงประเด็นการเมืองในท้องถิ่น เรียกว่าเรื่องที่ไม่น่าเล่นหรือเรื่องทางสังคมที่ละเอียดอ่อน เรื่องนี้เอามานำเสนอหมด แถมเลือกเล่าในแบบที่รุนแรงด้วย

แล้วหากจะให้คำนิยามอย่างหนึ่งที่ทำให้ Sabrina Chilling Adventure Sabrina ซีรีส์แม่มดวัยรุ่นเรื่องนี้น่าติดตาม และทำได้ดีเกินคาดก็คือ เป็นซีรีส์ที่มีความกล้าที่สะท้อนสังคมและโลกจริงในแบบโคตรดาร์ก แม้ว่าฉากหน้าจะเป็นเรื่องราวของแม่มดสาววัยรุ่น แต่ถ้าดูไปเรื่อยๆจะพบว่าเนื้อหาและการเล่าเรื่องราวข้างในมันมีความเรียล ดาร์ก ดิบ อยู่ในระดับที่ซีรีส์แนวซีเรียสจริงจังหรือสะท้อนสังคมบางเรื่องก็ยังไม่กล้าตีแผ่ขนาดนี้เลยด้วยซ้ำ

อีกทั้งเรื่องนี้ยังมีหลายตอนที่จงใจตั้งคำถามและตีแผ่สังคมตะวันตกในหลายแง่มุมชนิดถึงแก่น โดยเฉพาะประเด็นความเชื่อที่แตกต่างกันในด้านศาสนา ไปจนถึงความเชื่อในระดับสังคม ท้องถิ่น และชุมชน ที่ผู้คนล้วนมีความศรัทธาที่แตกต่างกันแล้วต้องมาอาศัยอยู่ร่วมกัน ในเมื่อทุกคนต่างก็มีความเชื่อของตนเอง แล้วมันจะผิดตรงไหน

แต่ที่เป็นปัญหาคือ ทุกฝ่ายต่างนำมาเป็นข้ออ้างเพื่อดูถูกหรือทำลายล้างอีกฝ่ายที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็น ชาติพันธุ์ ลักษณะทางกายภาพ ภาวะทางเพศ ซึ่งในเรื่องนี้ ได้เอาความแตกต่างระหว่าง มนุษย์ และแม่มด มาใช้เป็นธีมหลัก

รวมถึงในเรื่องยังมีย้อนกลับไปเล่นเรื่องการล่าแม่มดที่เป็นบาปร้ายของคริสต์จักรและชาวคริสต์ในยุคกลาง และสังคมชาวตะวันตกเมื่อแรกเริ่มก่อตั้งชุมชนในสหรัฐอเมริกาหลายแห่งด้วย ว่าบาปของบรรพบุรุษเหล่านั้นมันส่งผลต่อเนื่องมาถึงคนรุ่นหลังได้มากขนาดไหน เพราะสาเหตุใหญ่ข้อหนึ่งที่ทำให้สังคมแม่มดและพ่อมดไม่ต้องการเปิดเผยตัวหรือข้องเกี่ยวกับสังคมมนุษย์มากนัก ก็เพราะเรื่องการล่าแม่มดที่เคยเกิดขึ้นในกรีนเดลในเรื่องนั่นเอง

นอกจากนี้ยังมีการสะท้อนเรื่องของการมองคนที่แตกต่างจากตนเอง การผลักคนกลุ่มน้อย คนที่แตกต่าง หรือคนตัวเล็กในสังคมออกไปจากการยอมรับของสังคมกลุ่มใหญ่ด้วย

จุดน่าที่น่าสนใจอีกอย่างคือ แท้จริงแล้วนี่เรื่อง Chilling Adventures of Sabrina เป็นซีรีส์ที่แตก Spin-off ออกมาจากเรื่อง Riverdale ซีรีสวัยรุ่นแนบสืบสวนลี้ลับชื่อดังของ Netflix ซึ่งในเรื่องมีการระบุไว้ชัดเจนว่า เมืองที่พวกซาบรีน่าอยู่ ก็คือเมืองเดียวกันกับเมืองที่พวกตัวเอกในเรื่อง Riverdale อาศัยอยู่นั่นเอง

Chilling Adventures of Sabrina

หนัง HD

รีวิว Chilling Adventures of Sabrina - แม่มดสาว ซาบริน่า

บางคนอาจคุ้นเคยกับชื่อของ “ซาบริน่า” Sabrina the teenage Witch ตัวละครแม่มดสาววัยรุ่นไฮสคูล จากซีรีส์ฝรั่งชื่อดังในยุค 90 ที่ครั้งหนึ่งเคยนำมาฉายในประเทศไทยแล้วก็มีชื่อเสียงพอสมควร ส่วนต้นฉบับมาจากการ์ตูนคอมิคเรื่องดังในชื่อเดียวกัน โดยนิตยสาร Archie book รีวิว Chilling Adventures of Sabrina

เรื่องย่อ

ชีวิตของซาบรีน่า สเปลแมน (เคียร์แนน ชิปคา) แม่มดสาวน้อยกำพร้าที่อาศัยอยู่กับ ฮิลดา(ลูซี เดวิส) และเซลดา (มิแรนดา อ๊อตโต) ผู้กุมความลับการตายของพ่อแม่เอาไว้ เธอต้องตัดสินใจครั้งใหญ่ก่อนย่างเข้าสู่วัย 16 วัยที่เธอที่จะต้องเลือกระหว่างการเดินบนเส้นทางของศาสตร์มืดด้วยการยอมเข้าพิธีรับศีลทมิฬ แล้วปวารณาตัวให้จอมมาร ซึ่งเธอจะต้องบอกลา ฮาร์วีย์ (รอส ลินช์) แฟนหนุ่มและเพื่อนๆ หรือจะละทิ้งโลกเวทย์มนตร์กลายเป็นเด็กสาวธรรมดา และในขณะเดียวกันเธอยังต้องผจญอันตรายรอบด้านจาก  แมรี่ วอร์เดล (มิเชล โกเมซ) ครูสาวใหญ่ที่ถูกสาวกจอมมารเข้าสิงร่างเพื่อเอาซาบริน่าเป็นเครื่องบรรณาการจอมมารให้จงได้

บางคนอาจคุ้นเคยกับชื่อของ “ซาบริน่า” Sabrina the teenage Witch ตัวละครแม่มดสาววัยรุ่นไฮสคูล จากซีรีส์ฝรั่งชื่อดังในยุค 90 ที่ครั้งหนึ่งเคยนำมาฉายในประเทศไทยแล้วก็มีชื่อเสียงพอสมควร ส่วนต้นฉบับมาจากการ์ตูนคอมิคเรื่องดังในชื่อเดียวกัน โดยนิตยสาร Archie book

สำหรับ Chilling Adventure Sabrina ที่ฉายใน Netflix ครั้งนี้ นำแสดงโดย Kiernan Shipka นักแสดงสาววัย 20 ปี ในบทแม่มดสาว ซาบริน่า ซึ่งเธอเคยมีบทบาทเด่นในซีรีส์เรื่องดังอย่าง Mad Men
โดยครั้งนี้เป็นการกลับมารีเมคทำใหม่ที่ตั้งใจตีความและเล่าเรื่องในแบบโคตรดาร์ก ดิบ เถื่อน 18+ พร้อมกับการนำเสนอประเด็นละเอียดอ่อนและรุนแรงในแบบที่จงใจจิกกัดและสะท้อนสังคมจริงของโลกไปด้วย ซึ่งเล่นแม้กระทั่งประเด็นการล่วงละเมิดทางเพศและความรุนแรงกับเด็กและในครอบครัว เรื่องนี้ก็ยังกล้าเล่นด้วย

ซึ่งอันที่จริงแล้ว ก่อนหน้านี้ก็มีต้นฉบับคอมิคในชื่อเดียวกันของซีรีส์ซาบรีน่า ที่ทำเล่าเรื่องในมุมดาร์กและมืดหม่นมาก่อน ซีรีส์ชุดนี้จึงเป็นการนำคอมิคมาดัดแปลงอีกทีหนึ่ง

เดิมที  Chilling Adventures of Sabrina มีต้นธารมาจากคอมิกของค่าย อาร์ชี่ (Archie) โดยตัวละคร ซาบรินา สเปลแมน ได้มีโอกาสพบผู้อ่านครั้งแรกใน Archie’s Mad House เล่มที่ 22 เดือนตุลาคมปี 1962 เขียนเรื่องโดย จอร์จ แกลเดอร์ (George Gladir) และวาดโดย แดน เดอคาร์โล (Dan DeCarlo) จนต่อมาได้ซีรีส์คอมิกเป็นของตัวเองในชื่อ Sabrina the Teenage Witch และโอกาสแรกที่ ซาบรินา สเปลแมน ได้มีโอกาสโลดแล่นบนจอแก้วก็เป็นในรูปแบบอนิเมชันซีรีส์

ในปี 1969 รายการ The Archie Show ที่หนัง HDรวมตัวละครจากคอมิกของอาร์ชี่ มานำเสนอในรูปแบบการ์ตูน แต่สำหรับเวอร์ชั่น ไลฟ์แอ็คชั่นที่ประสบผลสำเร็จที่สุดก็ได้แก่ Sabrina the Teenage Witch หรือที่คนไทยคุ้นเคยกับชื่อ ซาบรินา แม่มดใสวัยปิ๊ง ทางช่อง ITV    โดยซีรีส์ ออกอากาศ 7 ซีซันตั้งแต่ปี 1996 – 2003 โดยได้ เมลิตส่า โจน ฮาร์ต มารับบท ซาบรินา สเปลแมน ได้อย่างน่ารักน่าชัง
และในตุลาคมปี 2014 ทางอาร์ชี่ก็ได้ฤกษ์หยิบตัวละคร ซาบรีนา สเปลแมน มาบอกเล่าใหม่ภายใต้ Archie Horror สายคอมิกสยองขวัญในซีรีส์ Chilling Adventures of Sabrina ที่ต่อมาก็ได้กลายมาเป็นต้นธารให้กับซีรีส์ชุดนี้ที่ได้ โรแบร์โต อากีเร-ซาคาซ่า จาก RIVERDALE มาอำนวยสร้างนั่นเอง

เนื้อเรื่อง

ข้อแตกต่างอย่างชัดเจนในด้านเนื้อเรื่องคือตัวละคร ซาบรีนา สเปลแมนในฉบับนี้จะรู้ตัวดีอยู่แล้วว่าตัวเองเป็นแม่มด ในขณะเวอร์ชั่น Teenage Witch ในตอนแรกตัวละครจะยังไม่รู้ความจริง แต่ต่อมาได้รู้ความจริงจากป้าทั้งสองว่าตัวเองเป็นแม่มดจากของขวัญที่เป็นตำราเวทย์มนตร์ในวันเกิดครบรอบ 16 ปี และโทนในการเล่าเรื่องของเวอร์ชั่นก่อนจะออกแนวหนังรักป๊อบวัยรุ่นใสๆที่สำคัญมีฉากขโมยซีนของเจ้าเหมียว เซเล็ม เยอะมาก
เพราะเป็นแมวที่พูดได้แถมกวนโอ๊ยซะด้วย ส่วนเวอร์ชั่น Chilling Adventures of Sabrina ต้องยอมรับว่าแค่ตอนไพล็อตที่ได้ชมนี่ก็จัดเต็มทั้งความสยองขวัญชวนช็อคมีฉากฆ่ากันเลือดสาด และใครกลัวแมงมุมนี่อาจมีขนหัวลุกได้เลย ขณะที่เจ้าเหมียวเซเล็ม ยังไม่แน่ชัดว่าฉบับนี้จะพูดได้เหมือนอันเดิมหรือไม่

แม่มดสาว

ซาบริน่า สเปลแมน สาวน้อยลูกครึ่งพ่อมดและมนุษย์ เป็นเด็กสาวที่เฉลียวฉลาด มีไหวพริบ กล้าแสดงออก รักความยุติธรรม เธอรู้ตัวว่าตนเองเป็นลูกครึ่งของพ่อที่เป็นพ่อมดและแม่ที่เป็นมนุษย์ แต่ทั้งสองเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตก เธอจึงมาอยู่ในการเลี้ยงดูของป้าสองคนคือ เซลด้าและฮิลด้า เธอจึงเติบโตโดยใช้ชีวิตในสังคมมนุษย์มานานเกือบ 16 ปี
กระทั่งวันหนึ่ง หลวงพ่อแบล็กวูดที่เป็นพระราชาคณะของโบสถ์แห่งราตรีก็เข้ามาแจ้งว่า เธอถึงอายุที่จะต้องเข้าร่วมพิธีกรรมเพื่อเซ็นชื่อลงในหนังสือสัญญา เพื่อที่จะถวายตัวเองต่อดาร์กลอร์ด แลกกับพลังอำนาจในฐานะแม่มดเต็มตัวที่จะทำให้เธอมีชีวิตยาวนานและทรงอำนาจ แต่ก็ต้องแลกมากับการต้องใช้ชีวิตอยู่แต่ในสังคมของแม่มดและพ่อมด ต้องไม่ข้อเกี่ยวกับสังคมมนุษย์อีก รวมถึงต้องเป็นผู้รับใช้ของดาร์กลอร์ดตลอดไป
ซึ่งแม้ว่าเรื่องนี้เว็บสตรีมหนังจะเป็นสิ่งที่เหล่าแม่มดและพ่อมดส่วนมากรู้สึกเป็นเกียรติก็ตาม แต่ตัวซาบริน่ากลับตั้งคำถามและรู้สึกถึงความผิดปกติของการลงนามในสัญญา ทำให้เธอต้องสับสนกับชีวิตของตนเอง และต้องเลือกว่าจะใช้ชีวิตในฐานะแม่มดหรือมนุษย์ต่อไป แม้ว่าแท้จริงแล้วเธอแทบจะไม่เลือกทางเหลือก็ตามที

รีวิว Chilling Adventures of Sabrina


ซาบริน่ายังมีบุกคลิกโดดเด่นคือสติและไหวพริบในการแก้ไขปัญหา ซึ่งตัวละครแม่มดและพ่อมดในเรื่องมักเชื่อกันว่านี่คือพรสวรรค์ที่เธอรับสืบทอดจากพ่อซึ่งเป็นอดีตพระราชาคณะประจำกรีนเดล ในเรื่องราวเมื่อดำเนินเรื่องไประยะหนึ่ง ซาบรีน่ารู้ตัวอยู่ว่าการที่มีศัตรูคือดาร์กอลร์ดที่มีอำนาจเวทมนต์ยิ่งใหญ่ การจะใช้เวทมนต์ต่อต้านย่อมไม่มีทางทำได้ง่ายๆ เธอจึงคิดที่จะใช้สติปัญหาและหาทางสะสมความรอบรู้กับข้อมูลทุกอย่างที่หาได้เพื่อใช้มันเป็นอาวุธในการต่อต้านดาร์กลอร์ดที่ต้องการนำตัวเธอเข้ามาเป็นข้ารับใช้ให้จงได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เหล่าแม่มดในเรื่องเองก็คาดไม่ถึง

สำหรับน้องหนู เคียร์แนน ชิปคา นี่ผมให้ 3 ผ่านเลยครับ น่ารัก..ผ่าน! แสดงดี..ผ่าน! แดเมจแรงเวลายิ้ม..ผ่าน! แล้วด้วยความที่วัยของนุ้งเคียร์แนน ใกล้เคียงกับตัวละครเพราะเธอเพิ่งอายุ 19 ปีเองเลยทำให้เราเชื่อหมดใจว่านี่เด็กอายุ 16 จริงๆทั้งหน้าตา บุคลิก ที่สำคัญคือทักษะการแสดงต้องยอมรับว่าสามารถจับความสนใจจากคนดูได้อยู่หมัดเลยล่ะ

การเชื่อมโยงจากคอมมิค

เนื่องจากเป็นคอมิกในสังกัดของอาร์ชี่ทั้งคู่ แถมเมืองกรีนเดล ฉากหลังของเรื่องได้ถูกกล่าวถึงไปแล้วในซีรีส์ RIVERDALE และในฉบับคอมิกตัวละครทั้งสองเรื่องก็รู้จักกันถึงขั้น ซาบริน่า เคยปลุกซอมบี้ให้อาละวาดริเวอร์เดลโดยไม่ตั้งใจมาแล้ว แถมผู้อำนวยการสร้างของทั้ง 2 เรื่องก็ยังเป็น โรแบร์โต อากีเร-ซาคาซ่า อีกด้วย ซึ่งหาก Chilling Adventures of Sabrina ประสบความสำเร็จด้วยดี เราอาจได้เห็น ซาบรีนา และ เหล่าวัยรุ่นแห่งริเวอร์เดล มาครอสโอเวอร์แบบเดียวกับซีรีส์ฮีโร่ของ DC ก็เป็นได้นะครับ

สรุป

แม่มดสาว ซาบริน่า จัดว่าเป็นซีรีส์แนวดาร์กแฟนตาซีแบบ Comin og Age ที่มีเนื้อหาสนุกน่าติดตามขึ้นเรื่อยๆทุกตอน ไม่ใช่แฟนตาซีสายสดใสมากนัก บางตอนดาร์กแบบมืดสุดกู่เลยก็ว่าได้ แต่เรื่องราวก็นำเสนอโดยชูการมีความหวัง และแสดงให้เห็นว่าคนเราสามารถแก้ไขปัญหาได้ ถ้าใช้สติปัญญาและความกล้าหาญ กับการหาพันธมิตรมากพอ แบบในเรื่องที่ตัวซาบรีน่าเองแม้ว่าจะเป็นแม่มด

แต่ก็ไม่ได้โดดเด่นในเรื่องเวทมนต์ตั้งแต่แรก กลับใช้สติปัญญา และความกล้าหาญ การคิดนอกกรอบ จิตใจที่เข้มแข็ง ไปจนถึงการรู้จักเอาใจใส่จิตใจของคนอื่น แม้แต่คนที่คิดไม่เหมือนกันให้มาเป็นพันธมิตรได้ ถ้าจำเป็น จึงเป็นตัวเอกที่คนดูจะเอาใจช่วยและชอบได้ไม่ยากเลย เรียกว่าความสวยน่ารักของนักแสดงจะเป็นจุดเด่นรองไปเลยเมื่อเราเริ่มดูในเรื่องไปสักระยะ

รวมถึงในเรื่องก็กล้านำเสนอเรื่องราวในมุมมืดของสังคมอเมริกัน ทั้งระดับวัยรุ่นไฮสคูล ปัญหาในครอบครัว การไม่ยอมรับคนที่แตกต่าง ความรุนแรงในครอบครัว ซึ่งทั้งหมดนำเสนอออกมาผ่านทางซีรีส์ที่นำเสนอชีวิตของแม่มดวัยรุ่นได้อย่างน่าสนใจครับ

Dark Season 2 - ดาร์ก ซีซั่น 2

ดูหนัง HD

รีวิว Dark Season 2 - ดาร์ก ซีซั่น 2

ถ้าย้อนเวลากลับไปแก้ไขซีซั่นแรกได้จะทำไหม? นี่เป็นคำถามที่ผมอยากจะถามโปรดิวเซอร์ของซีรีส์นี้จริงๆ ถ้ามีโอกาสได้เจอกัน เนื่องจากว่า Dark ในซีซั่น 1 นั้นได้รีวิวตกมาตรฐานซีรีส์จาก Netflix เป็นอย่างมาก ทั้งๆ ที่พล็อตนั้นน่าสนใจ ใน รีวิว Dark ดาร์ก season 2 นี้ ผมจะพาย้อนเวลากลับไปใน season 1 ก่อนเพื่อช่วยไม่ให้ทุกคนต้องเสียเวลาในการนอนไปมากกว่านี้ รีวิว Dark Season 2

เรื่องย่อ

การค้นหาเส้นทางกลับไปยังเวลาบัจจุบันของโยนาสที่ยิ่งซับซ้อนและอันตราย รวมถึงช่วงเวลาทั้งสามของ อดีต / บัจจุบัน / อนาคต ที่กำลังจะเชื่อมต่อกันอย่างสมบูรณ์ (อีกครั้ง)

ขอสรุป Dark season 1 กันก่อน

เมืองวินเดนเป็นเมืองเล็กๆเมืองหนึ่งในเยอรมัน ที่เศรษฐกิจขับเคลื่อนไปได้ด้วยโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
แต่เรื่องวุ่นวายก็ต้องเกิดขึ้นเมื่อมีเด็กคนแรกหายไปชื่อว่าเอริคที่ยังตามหาตัวไม่เจอ และพ่อของโยนาสตัดสินใจแขวนคอตายแบบไม่มีปีไม่มีขลุ่ย พร้อมทิ้งจดหมายปริศนาที่ห้ามเปิดอ่านก่อนวันที่เขียนไว้หน้าซอง ต่อมามิคเคลลูกคนเล็กของ อูลริค นายตำรวจประจำเมืองได้หายสาปสูญไปอีกคน ซึ่งมิคเคลนั้นหายไปหลังจากที่เข้าไปเล่นสำรวจถ้ำในป่ากับก๊วนเพื่อนของพี่ชาย ประกอบไปด้วย โยนาส(พระเอก), มาธาร์(คนรักพระเอก), มักนุส(พี่ชายมาธาร์และมิคเคล), มาโทส(เพื่อนซี้พระเอก), ฟรานซิสกา(แฟนมักนุส) และ มิคเคล

ในระหว่างที่กำลังถกเถียงกันอยู่หน้าถ้ำ อยู่ๆก็เกิดมีเสียงประหลาดดังออกมาจากถ้ำ ทำให้ทุกคนวิ่งหนีกันกระเจิง แต่มิคเคลกับโยนาสขยับช้าสุดเลยทำให้แยกจากกลุ่มเพื่อน โยนาสหกล้มและคลาดกับมิคเคล

ภาพตัดมาที่มิคเคลเดินออกมาจากถ้ำ แต่ว่าสิ่งที่เขาเจอนั้นกลับกลายเป็นเมืองในอดีตเมื่อ 33 ปีที่แล้ว ไม่ใช่เวลาปัจจุบันที่เขาอยู่

มิคเคลเร่ร่อนไปเรื่อยจน อิเนส นางพยาบาลใจดีรับเขามาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรมและได้พบฮันน่าห์(แม่ของโยนาส)

มิคเคลเคว้งและพยายามกลับไปที่บ้านที่ตัวเองเคยอยู่ และได้ไปเจอพ่อของตัวเองตอนที่เป็นวัยรุ่น และน้องชายของเขาได้หายตัวไป ณ เวลานั้นเช่นเดียวกัน

ชีวิตเด็กวัยรุ่นก็ดำเนินไปตามปกติ มิคเคลเองก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของช่วงเวลานั้นไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ ฮันน่าห์ตกหลุมรัก อูลริค แต่อูลริคชอบกับคาธารีน่า ฮันน่าห์ได้แต่แอบมอง สุดท้ายฮันน่าห์ได้ลงเอยพบรักกับมิคเคล ซึ่งเขาเป็นลูกชายที่มาจากอนาคตของอูลริคผู้ชายที่เธอชอบอยู่ตอนนี้ยังไงล่ะ

เริ่มเห็นความซับซ้อนมาหรือยังครับ และนี่เป็นจุดเริ่มต้นของความวุ่นวายทั้งหมด
ดาร์กซีซั่นแรกนั้นจะพูดถึงมิติเวลา 3 ที่ นั่นคือ ปัจจุบัน อดีต และอนาต โดยที่ตัวหลักคือ อดัมที่ตั้งก๊วนขึ้นมา มีโนอาร์เป็นสมุนมือขวาที่คอนเดินทางข้ามเวลามาเซี่ยมและทำให้แน่ใจว่าสิ่งต่างๆจะเกิดขึ้นตามที่วางไว้

ศพเด็กปริศนาศพแรกถูกพบในเวลาปัจจุบัน และตำรวจไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นใคร อูลริคที่ลูกชายหายไปก็พยายามหาคำตอบจากทุกทาง แต่เขาก็ต้องตกใจเมื่อศพเด็กที่พบนั้นคือน้องชายของเขาที่หายตัวไปเมื่อ 33 ปีที่แล้ว แต่กลับเพิ่งมาโผล่และจากการตรวจสอบเขาเพิ่งตายได้ไม่นาน

นั่นก็เพราะเฮลเกอเป็นคนจัดการขังและทดลองอะไรบางอย่างกับเด็กเหล่านี้ที่หายตัวไป
เฮลเกอเป็นเด็กหนุ่มที่เป็นลูกชายของนายทุนที่สร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในวินเดนขึ้นมา และเขาเองนั้นก็เป็นตัวละครสำคัญที่ทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายเหล่านี้ เพราะถูกหลอกใช้มาตลอดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
อูลริคเริ่มจะอยู่ไม่ติด เขาพยายามทุกวิถีทางเพื่อที่จะตามหามิคเคล และเมื่อเขาค้นพบข้อมูลบางอย่างที่เกี่ยวกับถ้ำปริศนา

ในขณะเดียวกัน ชายนิรนามที่แต่งตัวซอมซ่อก็โผล่มาจากไหนไม่มีใครทราบ เขาพยายามจะบอกอะไรบางอย่าง และเขาได้ส่งพัสดุอันหนึ่งให้กับโยนาส ในนั้นมีแผนที่ ไฟฉายและเครื่องวัดรังสี และบอกให้เขาตามสัญญาณไป

โยนาสเดินทางไปที่ถ้ำและเจอกับประตูเหล็กประหลาดที่พาเขากลับไปสู่อดีตและได้ไปเห็นมิคเคลที่นั่น เขาพยายามจะเข้าไปหามิคเคลแต่ถูกชายนิรนามซึ่งอยู่ๆโผล่มาเตือนไว้ว่าจะทำอะไรให้คิดดีๆ
อูลริคได้เบาะแสบางอย่างเลยไปสอบถามเฮลเกอในปัจจุบัน(แก่และสติไม่ดี) แต่ก็ไม่ได้อะไรมาก จนเฮลเกอวันแก่พยายามจะแก้อดีตที่เขาเคยทำไม่ดีไว้ โดยการเดินทางข้ามประตูเวลากลับไปเตือนตัวเองในวัยกลางคน อูลริคจึงสะกดรอยตามไปจนเจอกับประตูเดียวกัน เพียงแต่เขาเดินทางผิด ไปโผล่ในอดีตที่ย้อนไปกว่า 66 ปี

แต่เขากลับได้เจอกับเฮลเกอในวัยเด็ก อูลริคที่รู้แล้วว่าเฮลเกอคือคนอยู่เบื้องหลังเด็กหายและตายปริศนา พยายามจะแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นโดยการกำจัดต้นตอด้วยการฆ่าเฮลเกอเด็ก แต่เขากลับไม่ตาย และอูลริคก็โดนจับโดยพ่อของเคลาเดียร์ที่เป็นตำรวจหนุ่มในเวลานั้น ในข้อหาฆ่าเด็ก และเขาถูกส่งไปอยู่ รพ บ้า

ในยุคปัจจุบัน เมื่ออูลริคหายและมิคเคลหายไปด้วย ทำให้คาธารีน่าซึ้งเป็นเพื่อนซี้กับฮันน่าห์แม่ของโยนาสสติแตก และเธอพาลไปกับทุกคน รวมถึงเพื่อนซี้ของเธอด้วย เพราะเธอรู้แล้วว่า อูลริคนั้นแอบไปคบชู้กับฮันน่าห์นั่นเอง

ครอบครัวและความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนของหลายๆคนเริ่มแตกแยก ความจริงที่โยนาสนั้นเป็นลูกชายของลูกเพื่อนแม่ยิ่งทำให้โยนาสสับสน เนื่องจากเขาเองชอบมาธาร์ พี่สาวของมิคเคล ซึ่งจริงๆแล้วก็คือพี่สาวของพ่อเขาเอง มันเลยเกิดความวุ่นวายเข้าไปใหญ่

ชายนิรนามที่คอยโผล่มาให้ข้อมูลและช่วยเหลือเหล่าตัวละครในยุคปัจจุบันนั้นก็คือโยนาสจากอนาคตที่แก่ขึ้น และเขามาพร้อมกับเครื่องมือที่ใช้เดินทางข้ามเวลาได้แบบไม่ต้องผ่านประตูถ้ำ

จุดประสงค์ของโยนาสที่มาจากอนาคตคือการปิดประตูเวลานี้ แต่เขากลับทำให้ทุกอย่างวุ่นวายหนักกว่าเดิม

หญิงแก่ผมขาวปริศนาปรากฏตัวขึ้นพร้อมบอกว่าเธอคือเคลาเดียร์ที่มาจากอนาคต และเธอคือตัวแปรหลักที่จะช่วยให้ทุกอย่างกระจ่างขึ้น

โยนาสในยุคปัจจุบันพยายามเดินทางไปหาพ่อของเขาในอดีตอีกครั้ง แต่รอบนี้ถูกโนอาร์จับขังและระหว่างนั้นโยนาสวัยกลางคนได้พยายามปิดประตูมิติในถ้ำ

ในระหว่างนั้นเช่นกันก็มีประตูมิติเปิดขึ้นในห้องขังของโยนาสและเขาได้เห็นเด็กผู้ชายที่กำลังเลือดอาบอยู่อีกฟากของประตู เด็กคนนั้นคือเฮลเกอที่โดนอูลริคพยายามฆ่าและเมื่อทั้งคู่สัมผัสกัน ก็เกิดการสลับเวลาขึ้น เฮลเกอหลุดเข้ามาในโลกของโยนาสและโยนาสหลุดไปในโลกของเฮลเกอ แต่สิ่งที่แปลกไปก็คือ โลกที่โยนาสอยู่ ณ ตอนนี้คือโลกอนาคตที่ทุกอย่างพังทลายลงไปหมดแล้วเหลือเพียงเศษซากของเมืองวินเดนที่โดนทำลายไปหมดสิ้น…จบ ซีซั่นแรก

ผมพยายามข้ามบางตอนที่ดูแล้วไม่ค่อยจะมีประโยชน์เท่าไหร่ แต่สรุปของสรุปก็คือ ประตูมิติในถ้ำมี 3 ทางแยก คือเป็นประตูมิติปัจจุบัน อดีตและอนาคต ซึ่งผมเข้าใจมาตลอดว่าฉากที่ดำเนินเรื่องในตอนแรกๆคือปัจจุบัน แต่เปล่าเลยครับ มันคือฉากดำเนินเรื่องในอนาคต (2019) และฉากในอดีตที่มิคเคลหลุดไป เป็นเวลาปัจจุบัน (1986) และอดีตคือเวลาที่ทุกอย่างเริ่มต้น (1953)
เรื่องนี้ค่อนข้างดูยากนิดนึงนะครับ เนื่องจากไทม์ไลน์ซับซ้อนและตัวละครก็เยอะ

จบสรุป Dark season 1


ถ้าย้อนเวลากลับไปแก้ไขซีซั่นแรกได้จะทำไหม? นี่เป็นคำถามที่ผมอยากจะถามโปรดิวเซอร์ของซีรีส์นี้จริงๆ ถ้ามีโอกาสได้เจอกัน เนื่องจากว่า Dark ในซีซั่น 1 นั้นได้รีวิวตกมาตรฐานซีรีส์จาก Netflix เป็นอย่างมาก ทั้งๆ ที่พล็อตนั้นน่าสนใจ ใน รีวิว Dark ดาร์ก season 2 นี้ ผมจะพาย้อนเวลากลับไปดูหนัง HD season 1 ก่อนเพื่อช่วยไม่ให้ทุกคนต้องเสียเวลาในการนอนไปมากกว่านี้

เอาเป็นว่าใครที่เกิดสนใจ Dark ขึ้นมาแล้วอยากดูผมอยากจะแนะนำให้ข้าม season 1 ไปเลยนะครับ หาอ่านสรุป หรือว่าอ่านสปอยล์ที่ผมกำลังจะเขียนให้อ่านกันแทน เนื่องจากว่าซีรีส์ที่ผลิตโดย Netflix เรื่องนี้นั้นมีความซับซ้อนค่อนข้างมาก และในซีซั่นที่แล้วก็ทำเอาผมหลับไปหลายตลบ

เพราะการดำเนินเรื่องที่ทิ้งปมให้เราคิดแทบจะทุกย่างก้าว การถ่ายทำที่ชวนให้เราคิดและโฟกัส รวมถึงธีมสีที่ดาร์กและสุดแสนจะฮิปสเตอร์ แต่ว่าเรื่องการเกรดสีผมชอบเลย มันเข้ากับฉากและบรรยากาศดีมากๆ การดำเนินเรื่องที่ขาดการดึงดูดทำให้การที่จะดูจบแต่ละตอนจะต้องใช้พลังเยอะ แต่ถ้าอยากดูจริงๆ แนะนำให้ดูแค่ 2-3 ตอนสุดท้ายของซีซั่นแรกครับ

Dark หรือว่าชื่อไทยว่า ดาร์ก (ต่างกันตรงไหน) ถือเป็นซีรีส์ที่ผลิตโดย Netflix จากประเทศเยอรมันที่มีพล็อตน่าติดตามมากๆ อันหนึ่งเลย การนำเสนอสุดแสนจะดาร์ก (การเกรดสีและการถ่ายทำ) เข้ากันได้ดี แม้ว่าในซีซั้นแรกจะทำออกมาค่อนข้างน่าผิดหวังจากการนำเสนอที่ไม่เร้าใจและดูยากเลยทำให้รีวิวบน Netflix ออกมาไม่ถูกใจคอหนังมากนัก

แต่อยากให้โอกาสซีซั่น 2 นะครับ โดยเฉพาะคนที่ชอบหนังแนวเดินทางข้ามเวลา เรื่องนี้คอนเซ็ปต์ดีเลยล่ะ ผมเองก็ไม่คิดว่า Netflix จะทำต่อ แต่เลือกทำต่อก็แสดงว่ายอดดูน่าจะดีพอสมควรเลย ก็ถือว่าออกมาแก้มือได้ดีเลยนะครับ ผมก็ได้แต่หวังว่า season 3 จะไม่พาเราออกทะเลก็แค่นั้นเอง

รีวิว Dark Season 2


สำหรับ season 2 จะเป็นการดำเนินเนื้อเรื่องต่อจากตอนจบของซีซั่นแรกเลย ไม่มีพัก และการเดินเรื่องทำได้ดีกว่าเดิมเยอะครับ แม้ว่าจะยังมีปมให้ชวนคิดอยู่แบบเดิมก็ตาม แต่เมื่อเราเข้าใจคอนเซ็ปต์ของมันแล้ว การดูใน season 2 นี้ก็ค่อนข้างลื่นไหลเลยทีเดียว

หลายๆ อย่างจะถูกเฉลยในซีซั่นนี้ การปะติดปะต่อหนังออนไลน์และการเล่าเรื่องราวมีการพัฒนาที่ดีขึ้นจากเดิมค่อนข้างมาก ผมดูแล้วรู้สึกถึงความน่าติดตามมากขึ้นกว่าเดิมเยอะ เราจะได้รู้เรื่องราวเบื้องลึกหลายๆอย่างรวมถึงสร้างคำถามเพิ่มเข้ามาอีกเช่นกันครับ ซึ่งในตอนท้ายๆ ของเรื่องนั้นมีจุดที่เอื่อยและไม่ค่อยสนุกอยู่บ้าง แต่ไม่ถึงกับพาหมดอารมณ์ในการดู

การถ่ายทำและการนำเสนอยังคงมาแนวเดิม แบบชวนให้คิดเพียงแต่ว่าไม่ปล่อยให้เราคิดและงงนาน ด้วยการดำเนินเรื่องที่ไวขึ้น ทำให้ตรงนี้ดูสนุกขึ้น หรือไม่ก็เพราะผมชินกับมันไปแล้ว เรื่องนี้พล็อตค่อนข้างน่าสนใจและฉีกกฏเกณฑ์หนังพล็อตแนวนี้พอสมควรเลยครับ นี่เป็นจุดขายหลักที่ผมยังทนทรมานดูจนจบซีซั่นแรกเลยนะ

แต่ทั้งหมดทั้งมวล ผมขอยกความสุดยอดให้คนเลือกนักแสดงครับ นักแสดงที่ต้องรับบทบุคคลนั้นๆในวัยต่างๆ มีความคล้ายกันค่อนข้างมาก และคุมโทนได้ค่อนข้างดีครับ คือดูแล้วเดาไม่ยากเลย แทบไม่ต้องใบ้อะไรมากว่าคนนี้เป็นใครในแต่ละช่วงวัย และแอบสปอยล์แบบไม่สปอยล์ ดาร์คไม่จบในซีซั่นนี้นะครับ เตรียมดู season 3 กันได้เลย

สรุป

นี่แหละที่ Dark ควรจะเป็น season 1 ชวนหลับถึงพล็อตจะดี แต่ season 2 กลับมากู้ชื่อ Dark ได้แบบไร้ข้อกังขา

Dark - ดาร์ก

ดูหนัง HD

รีวิว Dark - ดาร์ก

ซีรีส์น้ำดีอีกเรื่องของทางช่อง Netflix ที่ออกฉายให้ดูเมื่อปี 2017 โดยเป็นซีรีส์ที่ " ห้ามสปอยล์ " เพราะจะหมดสนุกทันที ซึ่งซีซันที่ 2 กำลังจะมาในวันที่ 21 มิถุนายนที่จะถึงนี้ ซีรีส์เรื่องนี้บอกเล่าเรื่องราวของเมืองแห่งหนึ่งที่ในอดีตเคยเกิดคดีเด็กหายไปอย่างไร้ร่องรอย ทิ้งปมไว้เพียงแค่เบาะแสของถ้ำกลางป่าที่อยู่ใกล้ๆ กับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เพียงเท่านั้น จนทำให้คนในเมืองเริ่มสงสัยกับสิ่งที่เกิดขึ้นและพยายามหาคำตอบให้กับเรื่องนี้ รีวิว Dark

เรื่องย่อ

เด็กที่หายตัวไปคนหนึ่งส่งผลให้สี่ครอบครัวต้องตามล่าหาคำตอบอย่างร้อนรน จนค้นพบเรื่องราวลึกลับชวนสะเทือนใจที่สืบต่อมานานกว่าสามชั่วอายุคน

Dark ซีรี่ย์สัญชาติเยอรมัน สุดลึกลับแห่งปี ที่ว่าด้วยเรื่องกลุ่มผู้คนในเมืองเล็กๆเมืองหนึ่งที่มีชื่อว่า วินเดน ที่ในแต่ละครอบครัวต้องประสบพบเจอเรื่องผิดธรรมชาติมากมาย ณ เมืองๆนี้ มีเด็กหายไปอย่างลึกลับอยู่บ่อยครั้ง และยิ่งสืบค้นหาความจริงลึกลงเท่าไหร่ สิ่งที่พวกเขาได้เจอมันก็ยิ่งน่าตกใจมากขึ้นเท่านั้น…

เป็นซีรีส์อีกเรื่องที่คิดว่าน่าติดตามมากครับ ด้วยความที่โทนหนังมีความดาร์กสมชื่อ ประกอบกับการเล่าเรื่องที่น่าติดตามมากๆ เรียกได้ว่าต้องตั้งใจดูกันดีๆ เพราะมีตัวละครเยอะมากและทุกตัวมีความสำคัญในการดำเนินเรื่องราวจริงๆ ทุกๆ ตอนเราจะได้ขบคิดและลุ้นไปตามๆ กันว่าตัวละครแต่ละตัวจะพาเราไปหาคำตอบของเรื่องราวในทิศทางไหน

ต้องบอกว่า ว้าว เป็นซีรีย์ที่เหมาะแก่การ ว้าว มากๆ เพราะในช่วงแรกของซีรีย์จะดูเอื่ยๆไปนิดนึง แต่พอพ้นช่วงการปูเรื่องและสร้างปมไปแล้ว ก็สนุกมาก

สิ่งที่ชอบ

สิ่งที่ชอบของเรื่องนี้คือ ความซับซ้อนของเงื่อนเวลา คือด้วยหนังหรือนิยายใดๆที่เกี่ยวกับเวลา ความยากคือ ไทม์ไลน์ ที่ผู้สร้างจะต้องวางโครงเรื่องดีๆ พลาดนิดนึงคือพังได้เลย

แต่เรื่องนี้ใช้ความซับซ้อนมาทำให้เป็นเรื่องสนุก ใช้เรื่องที่ต้องใช้เวลาคิดมาทำให้มีเรื่องราวในแบบของมัน ซึ่งมันเป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย คือถ้าใครชอบก็คือชอบเลย ส่วนคนที่ไม่ชอบคือ มันอาจจะยุ่งยากเกินไปและบางคน ไม่ชอบการปูเรื่องแบบนี้เพราะมันต้องอดทนซักพักกว่าจะเริ่มพอเข้าใจ ภาพใหญ่ของเนื้อหาทั้งหมด

อีกทั้งตัวซีรีย์มีตัวละครที่เยอะ เยอะในที่นี้หมายถึง ในแง่ของเวลา คือแต่ละช่วงเวลา มันจะมีตัวละครที่เกี่ยวข้องกัน และตัวละครเหล่านั้น ก็มีจะ พ่อ แม่ พี่น้อง ที่คุณจะต้องจำนามสกุล เพื่อเข้าใจว่าใครอยู่บ้านไหน และเคยทำอะไรกับใครไว้เพราะเนื้อเรื่องเกิดขึ้นในเมืองเล็กๆ ที่ดูเหมือนว่าทุกคนจะรู้จักกันเกือบทั้งหมด

ด้านเนื้อเรื่อง

เนื้อหาของซีรีย์ดำเนินไปด้วยการค้นหาความจริงแนว สืบสวน สอบสวน ที่จะพาเราไปค้นหาความจริงว่า เมืองเล็กๆแห่งนี้ จริงๆแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่พอยิ่งค้นหา สิ่งที่เจอกลับยิ่งสร้างคำถามให้มากมาย และเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า จริงๆแล้วเราควรค้นหาคำตอบหรือเปล่า

บทสรุป

เนื่องจากซีรี่ย์ Dark ซีซั่น 2 ดูหนัง HDเพิ่งจะเข้าฉายบน Netflix เมื่อไม่นานมานี้ และเนื่องจากว่ามันได้ทิ้งห่างจากซีซั่นแรกพอสมควร ในวันนี้ เราจึงมาย้อนเรื่องราวข้อมูลในภาคแรกให้แฟนๆซีรี่ย์ลึกลับได้เข้าใจกันอีกครั้ง รวมไปถึงแผนผังตัวละคร ในแต่ละครอบครัวในเมืองวินเดน ที่ทุกคนอาจจะจำไม่ได้ว่าพวกเขาเป็นใคร และสำหรับใครที่ดูแล้ว งง บทความนี้อาจช่วยคุณได้ และแน่นอนว่าบทความนี้จะเป็นการสปอยล์ซีรี่ย์ Dark อย่างแน่นอน หากใครอยากค้นหาและทำความเข้าใจด้วยตัวเองก่อนหมดสนุกแนะนำให้ไปดูก่อนนะ แล้วหากดูไม่เข้าใจ ค่อยมาเปิดดูก็ได้

ปีทั้งหมดที่เกิดขึ้นภายในซีรี่ย์

1.ปี 1921

-เริ่ม การขุดอุโมงค์ภายในถ้ำวินเดน โดยกลุ่มนักท่องเวลา (ซิก มันดัส…)

2.ปี 1953

-ก่อนโรงงานนิวเคลียร์จะสร้างในเมืองวินเดน

-ศพของยาซิน และ เอริค ถูกนำมาทิ้งในยุคนี้

3.ปี 1986

-มิคเคลหลงเวลามาอยู่ยุคนี้ ก่อนที่จะเติบโตขึ้น เปลี่ยนชื่อเป็น มิคาเอล พ่อของโยนาส

4.ปี2019 ปีปัจจุบันที่เป็นจุดกำเนิดเรื่องราวต่างๆ

-เอริค(เด็กผมส้ม) หายตัวไปอย่างลึกลับ

-มิคาเอล พ่อของโยนาส ฆ่าตัวตาย

-มิคเคล หายตัวไป

-มีการพบศพเด็ก ซึ่งนั่นก็คือ มัดส์ น้องชายของอูลริค ที่หายตัวไปเมื่อ 33 ปีก่อน โดยศพยังใหม่เหมือนเพิ่งเสียชีวิตไม่นาน

-ยาซิน เด็กหูหนวกหายตัวไป

5.ปี 2020

-เกิดเหตุการณ์วันสิ้นโลก

6.ปี 2052

-ไม่ได้มีบอกไว้ชัดเจนในเรื่องว่าเป็นปีนี้ แต่คาดเดาว่ามันน่าจะ 33 ปีต่อมาหลังจากปี 2019
-ในตอนจบซีซั่นแรก โยนาส หลุดเข้ามาอยู่ในอนาคต ที่ที่เมืองวินเดนล่มสลาย

ย้อนความจำตัวละคร

ครอบครัว คาห์นวัลด์

อิเนส – ย่า(บุญธรรม)ของโยนาส ในอดีตเมื่อปี 1986 เธอเป็นนางพยาบาลผู้พบเจอเด็กหนุ่มหลงเวลาอย่างมิคเคลจึงรับมาเลี้ยงดู ก่อนจะเติบใหญ่กลายเป็นมิคเคล

มิคาเอล/มิคเคล – พ่อของโยนาส ลูกชายแท้ๆของ อูลริค และ คาธารีน่า นีลเซน เมื่อปี 2019 เขาได้พลัดหลงข้ามเวลาย้อนไป 33 ปี และไม่สามารถกลับได้ เขาถูกอิเนสรับไปเลี้ยงค่อยๆเติบใหญ่ กลายเป็นมิคาเอล

ฮันนาส์ – แม่ของโยนาส มีอาชีพหมอนวดและมีใจให้อูลริคมาตลอด
โยนาส – พระเอกของเรื่องผู้ปะติดปะต่อเรื่องราวและช่วงเวลาทั้งหมด

ครอบครัว นีลเซน

อักเนส – แม่ของทรอนเทอ
ทรอนเทอ – พ่อของอูลริค และ มัดส์ แอบมีใจให้เคลาเดียมาโดยตลอด

เยนา – แม่ของอูลริค และ มัดส์ เมื่อ มัดส์ หายตัวไป เธอจึงเสียสติ ไม่อยู่กับร่องกับรอย

มัดส์ – น้องชายอูลริค หายตัวไปในปี 1986 ศพข้ามเวลากลับมายังปี 2019

อูลริค – พ่อของมาร์ธ่า  เป็นตำรวจแห่งเมืองวินเดน หนังถ่ายทอดสดพยายามย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีต ไปตามหามิคเคล แต่กลับโดนจับติดอยู่ในยุค ปี 1953 และมีชีวิตอยู่เรื่อยมา

คาธารีน่า – แม่ของมาร์ธ่า เป็นครูใหญ่โรงเรียนวินเดน

มาร์ธ่า – นางเอกของเรื่อง เธอมีใจให้โยนาส แต่โยนาสไม่สามารถตอบรับรักได้ เพราะโยนาสรู้ว่ามาร์ธ่าคือป้าแท้ๆของเขา

มักนุส – ลูกชายคนโต พี่ชายของมาร์ธ่า มีใจให้กับฟรานซิสก้า

มิคเคล – ลูกชายคนเล็ก หายตัวไปในปี 2019 โผล่ในปี 1986 ใช้ชีวิตจนโตและเปลี่ยนชื่อเป็นมิคาเอล

ครอบครัว ดอพเพลอร์

ฮา.เก.ทันน์เฮ้าส์ – ตา(บุญธรรม)ของชาล็อตเทอ เจ้าของร้านนาฬิกา ผู้เขียนหนังสือการเดินทางข้ามเวลา และเป็นผู้สร้างเครื่องย้อนเวลา

ชาร์ล็อตเทอ – แม่ของฟรานซิสก้าและเอลิซาเบธ เป็นตำรวจหญิงแห่งเมืองวินเดน

แบนด์ – พ่อของเฮลเกอ ชายขาไม่ดีผู้เป็นเจ้าของรุ่นแรงโรงงานนิวเคลียร์วินเดน

เฮลเกอ – พ่อของปีเตอร์ ชายผู้ที่ตอนเด็กๆโดนอูลริคย้อนมาพยายามฆ่าคนหูเป็นแผล กลายเป็นคนสติไม่ค่อยดี โดนโนอาห์หลอกใช้ให้ลักพาตัวเด็กมาทดลองเครื่องย้อนเวลา

ปีเตอร์ – พ่อของของฟรานซิสก้าและเอลิซาเบธ เป็นจิตแพทย์

ฟรานซิสก้า – เด็กสาวนักยิมนาสติกลีลา ผู้มีใจให้กับมักนุส

เอลิซาเบธ – น้องสาวฟรานซิสก้า หูหนวก ต้องใช้ภาษามือสื่อสาร และเธอจะมีบทบาทในซีซั่นสอง

ครอบครัว ทีเดอมันน์

เอกอน – พ่อของเคลาเดีย อดีตสารวัตรเมืองวินเดน
เคลาเดีย – แม่ของเรกีน่า ผู้หญิงคนแรกที่ได้เข้าคุมโรงงานนิวเคลียร์ต่อจากแบนด์
เรกีน่า – แม่ของบาร์โทสซ์ เจ้าของโรงแรมป่าวินเดน
อเล็กซานเดอร์ – พ่อของบาร์โทสซ์ คนคุมโรงงานนิวเคลียร์ต่อจาก เคลาเดีย
บาร์โทสต์ – เพื่อนโยนาส คบกับมาร์ธ่า

รีวิว Dark

บทสรุปของ Dark ซีซั่นแรก

-มิคาเอล พ่อของโยนาส(พระเอก) ผูกคอตาย ทิ้งจดหมายไว้ให้อิเนสผู้เป็นแม่

-ฮันนาส์ แม่ของโยนาสมีชู้กับอูลริคนายตำรวจแห่งเมืองวินเดน

-เอริค เด็กผมส้มในเมืองวินเดน หายตัวไป

-โยนาสและกลุ่มเพื่อนเข้าไปในป่า เกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้น มิคเคลน้องชายของเพื่อนโยนาสหายตัวไป

-พบศพเด็กชายคนหนึ่ง ซึ่งก็คือ มัดส์ น้องชายของอูลริคที่หายตัวไปเมื่อ 33 ปีก่อน แต่ศพเหมือนเพิ่งจะเสียชีวิตไม่กี่วัน

-มิเคล หลงเวลากลับไปยังปี 1986 เมืองวินเดนเมื่อ 33 ปีก่อน

-อิเนส สาวพยาบาลยุคนั้น รับมิคเคลเด็กชายผู้หลงยุคไปเลี้ยง

-ตัดกลับมาที่ปี 2019 ยาซิน เด็กผู้ชายหูหนวก หายไปอีกคน โดยมีการเฉลยว่าผู้อยู่เบื้องหลังคนที่ลักพาตัวเด็กคือชายที่ชื่อ โนอาห์

-เรื่องราวของสองยุค 1986 และ 2019 เริ่มมีความเกี่ยวโยงกันมากขึ้นเรื่อยๆ

-ในปี 1986 มิคเคลเด็กชายผู้หลงยุคได้เจอกับฮันนาส์วัยเด็ก ผู้ที่อนาคตจะเป็นแม่ของโยนาส

-โยนาสได้อ่านจดหมายที่พ่อของเขาทิ้งเอาไว้ และได้รู้ความจริงว่า พ่อของเขา มิคาเอล คือ มิคเคล น้องชายของเพื่อนสนิทที่หายตัวกลับไปในอดีต

-โยนาสได้เข้าไปในถ้ำวินเดน และได้ย้อนเวลากลับไปเมื่อปี 1986

-ในปี 2019 อูลริครู้ว่าศพเด็กผู้ชายที่ถูกพบคือ มัดส์ น้องชายของตนเองที่หายไปเมื่อ 33 ปีก่อน
-โยนาสที่กลับไปยังอดีตเจอมิคเคลวัยเด็กที่หายตัวไป เขาตั้งใจจะพาตัวมิคเคลกลับยุค แต่ถูกห้ามไว้โดยชายหนุ่มนักท่องเวลาอีกคน และ ชายคนนั้นได้บอกว่า หากพาตัวมิคเคลกลับ นั่นแสดงว่า มิคาเอล จะไม่มีตัวตน และโยนาสก็จะไม่เกิด

-โยนาสกลับมายังปัจจุบัน

-อูลริคผู้เป็นตำรวจและเป็นพ่อของมิคเคล เด็กหนุ่มผู้หายตัวไป สืบจนเริ่มรู้เรื่องราวหลายๆอย่าง และรู้ว่า เฮลเกอ คือชายผู้อยู่เบื้องหลังการหายตัวไปของเด็กๆ (ซึ่งเฮลเกอ โดนชายนักท่องเวลาที่ชื่อว่าโนอาห์หลอกใช้)

-เรื่องราวตัดไปยังปี 1953 เมื่อ 66 ปีก่อนหากนับจากปี 2019 พบศพเด็ก 2 คนในพื้นที่ที่กำลังจะเตรียมสร้างโรงงานนิวเคลียร์ และศพเด็ก 2 คน คือ เอริค และ ยาซิน เด็กที่หายตัวไปในปี 2019
-อูลริค เข้าไปในถ้ำและพาตัวเองย้อนเวลาหลงยุคไปยังปี 1953 !

-ในปี 1953 ศพเด็กที่ถูกพบสร้างความมึนงงให้กับหมอชันสูติศพและตำรวจเป็นอย่างมาก เพราะเด็กทั้งสองคนแต่งตัวแปลกๆ อีกทั้งเสื้อผ้ายังเขียนว่า Made in China! นอกจากนี้ เด็กชายคนหนึ่งยังมีรอยสักโพนี่อีกด้วย

-อูลริค ตามหามิคเคล ในปี 1953 และก็รู้ตัวว่าเขามาผิดยุค เขาจึงตามหา เฮลเกอ ชายผู้เป็นคนลักพาตัวเด็กแทน และในที่สุดเขาก็เจอเฮลเกอวัยเด็ก อูลริคจึงพยายามฆ่าเขาอนาคตจะได้ไม่เกิด

-อูลริคจะหนีกลับยุค แต่ถูกตำรวจจับเสียก่อน อูลริคเลยติดอยู่ในปี 1953

-เฮลเกอยังไม่ตาย ได้รับการช่วยเหลือโดยโนอาห์

-เฮลเกอวัยแก่ในปี 2019 รู้ตัวว่าตัวเองโดนโนอาห์หลอกมาตลอด จึงย้อนเวลากลับไปยังปี 1986 เพื่อห้ามตัวองในวัยหนุ่ม เมื่อพูดคุยไม่สำเร็จ เฮลเกอวัยแก่จึงตัดสินใจขับรถชนเฮลเกอวัยหนุ่ม จนตัวเองในวัยแก่เสียชีวิต

-ที่โนอาห์จับเด็กมา ก็เพื่อที่จะทดลองเครื่องย้อนเวลาบางอย่าง แต่มันกลับไม่เป็นผล เด็กเหล่านั้นจึงตาย

-โยนาสตัดสินใจย้อนเวลากลับไปอดีตอีกครั้งเพื่อเอามิคเคลกลับมา แต่เขาก็ถูกโนอาห์จับตัวซะก่อน
-โยนาสตื่นขึ้นมาในห้องขังและเจอกับชายหนุ่มที่เขาเคยเจออีกคนหนึ่งนอกห้อง ในตอนนั้นเองเขาจึงได้รู้ว่า ชายหนุ่มอีกคนคือตัวเขาจากอนาคต และเรื่องราวเหล่านี้ มันจำเป็นจะต้องเกิดขึ้น

-โยนาสวัยแก่พยายามใช้เครื่องย้อนเวลาปิดมิติเวลาภายในถ้ำ แต่กลายเป็นว่ามันเป็นการส่งโยนาสวัยหนุ่มไปยังสถานที่ที่หนึ่ง

-โยนาสตื่นขึ้นในโลกอนาคต! ที่ภาคในหนังไม่ได้บอกปี แต่คาดว่า น่าจะเป็นปี 2052. 33 ปีจากปี 2019 ในโลกแห่งนี้เมืองวินเดนล่มสลายเพราะการระเบิดของโรงงานนิวเคลียร์

-โยนาสพบผู้คนในอนาคต เธอกล่าวคำต้อนรับว่า “ยินดีต้อนรับสู่อนาคต” ก่อนที่จะโดนปืนกระแกหน้าสลบไป….

นี่เป็นเพียงแค่เรื่องราวหลักๆคร่าวๆภายในซีซั่นแรกเท่านั้น ภายในเนื้อเรื่องจริงๆยังมีรายละเอียดปลีกย่อยที่น่าสนใจอีกเยอะ รวมไปถึงความสัมพันธ์ของตัวละครต่างๆที่เชื่อมโยงกันไปหมด ซีรี่ย์ Dark จึงเป็นอีก 1 ซีรี่ย์ที่น่าสนใจและน่าค้นหามากๆในปีนี้

13 Reasons Why Season 4 - 13 บันทึกหัวใจสลาย

ดูหนัง

รีวิว 13 Reasons Why Season 4 - 13 บันทึกหัวใจสลาย

13 Reasons Why SS4 The Final Season (13 บันทึกลับหัวใจสลาย ซีซั่นสุดท้าย) เมื่อความทุกข์ทนของคนเป็นวัยรุ่นก็มาถึงปลายทางสักที สำหรับ ซีรีส์แนวดราม่าวัยรุ่นสะท้อนสังคมไฮสคูลแบบอเมริกันที่สร้างจากวรรณกรรมเยาวชนในเน็ตฟลิกซ์ ที่ใครหลายคนถึงกับต้องยอมให้กับเนื้อหาที่แสนใจสลาย กับชะตากรรมของตัวละคร ทั้งเหยื่อ และผู้กระทำ และด้วยกระแสตอบรับที่เกินคาด ทำให้มันเกิดซีซั่นต่อมาอีก สองซีซั่นที่ไม่อิงกับวรรณกรรมอีกต่อไป และนั่นก็เป็นที่มาของคำวิจารณ์ที่มีทั้งแง่บวกและแง่ลบในหมู่ผู้ชมและแฟนซีรีส์ที่ติดตามมาตลอด รวมถึงผมตั้งแต่เน็ตฟลิกซ์เริ่มจะบูม ๆ ไม่แน่ใจว่าปี 2017 หรือเปล่า ผมได้ดูเรื่องนี้และผมก็รู้สึกหดหู่ใจกับชะตากรรมของพวกเขามาก ๆ และผมก็ติดตามเรื่องนี้มาตลอด 3 ปี จนถึงปี 2020 หรือปีนี้นี่เอง รีวิว 13 Reasons Why Season 4

เรื่องย่อ

เมื่อ วินสตัน วิลเลี่ยม ชายหนุ่มที่เคยมีความสัมพันธ์รักกับ มอนตี้ อันธพาลวายร้ายที่เป็นต้นเหตุของความวุ่นวายต่าง ๆ ได้ค้นพบความจริงของบางอย่างที่ทำให้คนรักของเขาต้องจบชีวิตลง เขาจึงย้ายมาที่โรงเรียนลิเบอร์ตี้ไฮท์ เพื่อสืบหาความจริงในการยืนยันความบริสุทธิ์และแก้แค้นให้กับคนที่พรากชีวิตคนรักของเขาไปร่วมกับเพื่อนใหม่ ในขณะเดียวกันเคลย์และกลุ่มเพื่อน ๆ โดยมีเคลย์ เจนเซ่น และเพื่อน ๆ ที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นปีสุดท้ายก็ต้องเผชิญหน้ากับภัยคุกคามครั้งสำคัญที่หวังจะพรากอนาคตอันสดใสของพวกเขาไปในวันใกล้สำเร็จศึกษา เคลย์และเพื่อน ๆ จะต้องเผชิญหน้ากับการตัดสินใจที่ยากลำบาก เมื่อความผิดพลาดในอดีตกำลังจะย้อนกลับมาทำลายทุกคน ทั้งตัวเขา และคนที่อยู่รอบตัว บทสรุปของพวกเขาจะจบลงด้วยรอยยิ้ม หรือ การสูญเสีย กันแน่

คงปฏิเสธไม่ได้ว่ามันออกทะเลในทุกซีซั่นที่ออกมาหลังจากซีซั่นแรก เพราะการที่ซีรีส์นี้ถูกเขียนบทเพิ่มเข้ามาใหม่ ทั้งในส่วนของปม และตัวละคร มันได้ทำให้เกิดการสวนทางกับทิศทางที่ซีรีส์เคยเป็น จากที่เล่าถึงความทุกข์ของสาวไฮสคูลผ่านเทปที่รวมเหตุผลที่ต้องฆ่าตัวตาย 13 ข้อ สู่การตามล่าหาความจริงอีกด้าน การปล่อยวาง การแก้แค้น ทรยศ และหักหลังกันระหว่างกลุ่มวัยรุ่นที่ดูยังไง๊ยังไงมันก็หลุดคอนเซปต์ บันทึกลับหัวใจสลายไปจริง ๆ หากแต่ปมพวกนี้ที่พอทำให้เข้าใจได้

เพราะตัวละครเหล่านี้ก็ล้วนใจสลายไม่ต่างกับคนที่ตายไปแล้วเช่นกัน ทำให้ทีมนักแสดงเป็นส่วนสำคัญในการถ่ายทอดอารมณ์ เรื่องราว บรรยากาศ ความสัมพันธ์และเคมีที่ทำให้ซีรีส์ยังคงดำเนินอยู่ได้ ท่ามกลางความสับสนวกวน จนคนหลายบอกให้จบไปซะ ไม่ก็อย่าทำต่อเลย แต่ในที่สุดแล้ว นี่อาจจะเป็นสิ่งที่ทุกคนรอคอยอยู่มาตลอดก็ได้ กับการส่งท้ายมหากาพย์วัยรุ่นวุ่นฉิบเป๋ง อย่าง 13 Reasons Why SS4 หรือ The Final Season นั่นเอง

สำหรับเรื่องราวผมจะขอเล่าแค่เพียงในซีซั่น 4 เท่านั้น ถ้าจะอยากรู้อะไรในซีซั่นหนึ่งกับสอง ดูได้ที่นี่ หรือ ในซีซั่นสาม ดูได้ที่นี่ จะได้ทำความเข้าใจ แต่ผมก็อยากจะแนะนำให้ทุกคนไปไล่ดูให้ครบทุกซีซั่นก่อนจะดีมาก ๆ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในซีซั่นนี้ถือเป็นผลพวงที่ส่งต่อกันมาตั้งแต่ต้นเลยก็ว่าได้ ผมเล่าให้ฟัง คุณอาจจะไม่เข้าใจหรือรู้สึกร่วมด้วยสักเท่าไรหรอกนะครับ แต่ถ้าเกิดคุณอยากฟังผมเล่า เพราะงั้นเรามาร่วมส่งท้ายพวกเขาไปพร้อม ๆ กับผมเลยดีกว่า

13 Reasons Why  The Final Season

หากซีซั่นก่อนเป็นการ “สำรวจจิตใจของคนเรา ผ่านสิ่งที่มองได้ด้วยตา” คราวนี้จะเป็นการ “เผชิญหน้ากับจิตใจภายในของคนเรา” ผ่านตัวละครของเคลย์ ตัวเอกหลักประจำซีรีส์ที่ต้องแบกรับทุกอย่าง ต้องสูญเสียคนที่รักไปมากมาย จนเขายอมทำทุกอย่างเพื่อที่จะปกป้องเพื่อน ๆ ไม่ว่าจะผิดจะถูก จนมันเป็นเหตุดูหนังให้อาการทางจิตของเขากำเริบ จนทำให้ชีวิตของเขาต้องวุ่นวาย ยิ่งเมื่อสังคมรอบตัวเริ่มตัดสินเขา ชีวิตของเขาก็ยิ่งเหมือนตายทั้งเป็น

โดยที่เขาไม่สามารถอธิบายมันออกมาให้ใครรับรู้ได้เลย เหมือนกับแฮนน่าห์ อดีตคนที่เขาเคยพยายามช่วยในตอนที่จะสาย แต่เคลย์ตัดสินใจที่ต่างจากแฮนนาห์ เพราะเขายังมีเพื่อน ๆ ที่หล่อเลี้ยงให้ชีวิตเขายังคงเป็นปกติท่ามกลางความไม่ปกติ และเขาก็พร้อมจะแลกมัน เพื่อให้ทุกอย่างสงบสุข เช่นเดียวกับตัวละครอื่น ๆ ที่รอบนี้ต่างพยายามใช้ชีวิตวัยไฮสคูลแบบปกติ แต่ก็ยังคงต้องพยายามปิดบังการฆาตกรรมที่เคยเกิดขึ้น

กระทั่ง วินสตัน ชายหนุ่มจากซีซั่น 3 ที่เคยมีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับมอนตี้ ผู้ไม่เคยได้สัมผัสถึงรักที่แท้จริง เขาหลงอยู่ในวังวนว่าความยุติธรรมต่อมอนตี้ คนรักที่ถูกใส่ร้ายจนต้องถูกฆาตกรรมคือสิ่งที่เขาต้องทำ แต่นานวันเข้าความรัก ความหวังดีที่เขาได้รับจากคนรอบ ๆ ตัว มันทำให้เขาเริ่มลังเล แต่น่าเสียดายที่ผมคาดหวังตัวละครนี้มากไปหน่อย เพราะการที่ซีรีส์ปูตัวละครนี้มาตั้งแต่ซีซั่นสาม แต่การออกมาของเขาไม่ได้มีความลึกเท่าไหร่

รีวิว 13 Reasons Why Season 4


แต่พอได้เห็นความรู้สึกที่ใจสลายจากการสูญเสียคนรัก มันก็ทำให้การตัดสินใจตอนท้ายของเขาน่านับถือ แต่กว่าจะถึงตรงนั้นมันก็ได้สร้างความหวาดระแวง ไม่แน่ใจ หวาดกลัว ได้ผลักให้พวกเขาต้องพบกับปัญหาของตัวเอง อยากจะบอกว่ารอบนี้ คุณไว้ใจใครไม่ได้เลย ฉากแรกที่เปิดมามันจะเป็นการบอกใบ้ชะตากรรมบางอย่างของตัวละครในเรื่อง ให้โปรแกรมหนังต้องตามเรื่องไปเรื่อย ๆ และขอบอกว่าตัวละครทุกตัวมันไม่มีใครทำให้ผมรู้สึกขัดใจเหมือนที่ดูซีซั่นก่อน ๆ มาแต่อย่างใด อาจเพราะผมติดตามพวกเขามาสามปีด้วยล่ะมั้ง

สังคมและความรุนแรง

สังคมไฮสคูลที่อเมริกาทุกวันนี้มีแต่ความรุนแรงที่เกิดขึ้น ทั้งการกลั่นแกล้งจนไปถึงการล่วงละเมิดทางเพศนำไปสู่การก่อเหตุยิงปืนกลางโรงเรียน ซีรีส์ได้ขยายภาพของซีซั่น 2 ที่ตัวละครหนึ่งเคยมีปัญหานั้นจนตัดสินใจที่จะก่อเหตุทำร้ายคนอื่น ให้ออกมาผ่านเหล่าผู้ใหญ่ ที่เริ่มหวาดกลัว และไม่ไว้ใจให้เหล่าวัยรุ่นอยู่กันตามลำพังเหมือนกัน จึงได้ใช้ระบบเทคโนโลยีและกฏหมายใหม่ในการควบคุมวัยรุ่นให้อยู่ในโอวาท มีแอพติดตาม มีตำรวจคอยคุมอยู่แถวทางเดิน ตรวจกระเป๋าก่อนเข้าเรียน

แต่พวกเขาอาจลืมไปว่าวัยรุ่นก็คือวัยรุ่น พวกเขาอาจจะใช้ชีวิตที่ผิดพลาด พวกเขาก็ยังเป็นวัยรุ่น พวกเขาสามารถที่จะมีชีวิตรอดอยู่ได้ตราบใดที่พวกเขายังมีความเชื่อมั่นในตนเอง และบางครั้งวิธีการที่ผู้ใหญ่ใช้ อาจทำให้เกิดผลเสียตามมา เท่าที่ดูมา 10 ตอน ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงต้องมีสิบตอน เพราะมันอิ่มครบสมบูรณ์จริง ๆ ในช่วง 5 ตอนแรก ผมได้เรียนรู้ความผิดพลาดที่เหล่าตัวละครต้องแบกรับ และในช่วง 5 ตอนหลัง ถ้าเราเลือกเป็นคนที่ดีกว่า ยังไงก็มีชีวิตใหม่ได้ ซึ่งมันก็คือสิ่งที่ตัวละครในเรื่องพยายามจะเป็น แม้ว่าจะเป็นการทำร้ายจิตใจใครบางคนก็ตาม แต่มันก็ดีที่ได้เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตเป็นของตัวเอง

เหตุผลที่ทำให้คนเจ็บปวด

ซีรีส์ได้ใส่ตัวละครใหม่เข้ามาสองตัวคือ ดีเอโก้ เด็กหนุ่มทีมฟุตบอลสุดใจร้อนที่เคารพรักในมอนตี้ยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด แม้ว่าสิ่งที่มอนตี้ทำจะผิดพลาด แต่เขาก็ยังเชื่อว่าไม่ควรมีใครตาย เขาพยายามใช้ความอคติ กับความแค้นบ่อนทำลายคนรอบ ๆ ตัว เพียงเพราะเขาเชื่อว่ามอนตี้บริสุทธิ์ ซึ่งทำให้เขาได้ใช้ความรุนแรงในการทำร้ายคน ไม่รู้เหมือนกันว่าเพื่อความสบายใจหรือเพื่อมอนตี้ แต่นั่นทำให้เขารู้ว่า ถ้าสุดท้ายแล้วความรักจะกัดกร่อนความแค้นในใจของเขา มันสามารถทำได้อย่างไม่มีเงื่อนไข

เช่นเดียวกับ เอสเตลล่า น้องสาวของมอนตี้ผู้ที่พยายามจะช่วยเหลือคนอื่นที่เคยเจ็บปวดเพราะพี่ชาย แม้ว่าตัวเองจะต้องเดือดร้อน หรือตกระกำลำบาก แต่เธอก็พร้อมที่จะสนับสนุนทุกคน เธอรักพี่ชายของเธอมาก แต่เธอก็รู้ตัวเองว่าเธอไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว แม้ตัวละครนี้จะไม่ได้มีอิมแพ็คมากเหมือนดีเอโก้

แต่ก็ทำให้รู้ว่า เธอเองเจ็บปวดไม่แพ้กับคนอื่น ๆ แต่เธอเลือกที่จะปล่อยวางและมีความสุข เหตุผลทั้งหมดที่เราสามารถทำได้เพื่อคนอื่นมีอยู่สองอย่าง มันคือ ความรัก และ ความเกลียด ซึ่งเราจะเลือกทางไหน ก็อยู่ที่ความรู้สึกเหล่านั้น และมันก็ผลักดันให้ตัวละครมุ่งหน้าไปตามเส้นทาง เหมือนกับการที่จะเรียนต่อ หรือ ไม่เรียนต่อ ถ้าเรามีจุดมุ่งหมายและความตั้งใจ มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องลังเลเลยที่จะทำ

สรุปซีซั่นสุดท้าย

ปิดฉากบันทึกลับหัวใจสลายอย่างงดงาม แม้ระหว่างทางจะมีหลายอย่างที่เจ็บปวด ไม่ลงตัว แต่ก็ทำให้ไม่อาจละสายตาได้จนจบ

13 Reasons Why Season 3 - บันทึกหัวใจสลาย

ดูหนัง

รีวิว 13 Reasons Why Season 3 - บันทึกหัวใจสลาย

13 REASONS WHY SEASON 3 เป็นซีรีส์วัยรุ่นดราม่าจากเน็ตฟลิกซ์ที่สร้างจากวรรณกรรมชื่อดังตอนนี้กลับมาแล้ว หลังจากที่เจอในชื่อไทยเรื่อง 13 บันทึกหัวใจสลาย ก็ว่าไปนั่น555 หลังจากที่ทำโปรเจกต์ปูก่อนเข้าซีซั่น 3  ใครหลายคนที่สมัครเน็ตฟลิกซ์ไว้คงจะได้ชมไปแล้วกับซีซั่นที่ 3 นี้ซึ่งฉายวันศุกร์ก่อนแล้ว เราจะได้เห็นทิศทางใหม่ที่ซีรีส์พยายามทำและพยายามเป็น ซึ่งมันก็ทั้งได้ผล และก็ล้มเหลวในเวลาเดียวกัน รีวิว 13 Reasons Why Season 3

เรื่องย่อ

เมื่อ ไบรซ์ วอร์คเกอร์ อดีตอันธพาลผู้หญิงที่ถูกย้ายโรงเรียนหายตัวไปอย่างลึกลับ ถูกฆาตกรรมในเวลาต่อมา เคลย์และเพื่อนในลิเบอร์ตี้ไฮท์เริ่มหวาดระแวงและไม่ไว้ใจกัน จากเหตุการณ์ที่เทย์เลอร์เคยคิดก่อไว้ สร้างความตึงเครียดขึ้นในกลุ่ม หนำซ้ำเด็กใหม่ที่ชื่อ “อานี” ก็ดูมีความสัมพันธ์บางอย่างกับไบรซ์ วอร์คเกอร์ด้วย เคลย์จะหาคำตอบได้ทันหรือไม่ว่าคดีฆาตกรรมครั้งนี้ มูลเหตุมาจากอะไร และใครเป็นคนก่อ ใช่คนในกลุ่ม หรือคนนอกกลุ่มที่คาดไม่ถึงหรือไม่

13 Reasons Why บันทึกหัวใจสลายปูเรื่องสักนิดก่อน Season 3

ซีรีส์วัยรุ่น-ดราม่า สะเทือนขวัญสร้างจากนวนิยายในชื่อเดียวกันของเจย์ แอชเชอร์ พัฒนาบทโดยไบรอัน ยอร์คีย์ มีนักร้องสาวที่เคยถูกวางตัวเป็นตัวเอกอย่างเซรีน่า โกเมซ ร่วมเป็นโปรดิวเซอร์ เมื่อปีค.ศ. 2015 และใช้เวลาถ่ายทำกว่า 2 ปี และได้เข้าฉายผ่านสตรีมมิ่งอย่าง Netflix ในวันที่ 31 มีนาคม ปีค.ศ. 2017
ซึ่งได้รับกระแสชื่นชมอย่างล้นหลามในฐานะ “ซีรีส์ที่ทำให้คนดูใจสลายตั้งแต่ต้นจนจบ” นำแสดงโดย ดีแลน มินเน็ตต์,แคทเธอรีน แลงฟอร์ด,รอสส์ บัตเลอร์,แบรนดอน ฟลินน์,จัสติน เพรนทิซ และนักแสดงชั้นนำอื่น ๆ อีกมากมาย ในขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดความตระหนักในเรื่องปัญหาวัยรุ่น และโรคซึมเศร้าในอเมริกา แต่ในขณะเดียวกันก็มีกระแสคำวิจารณ์ในด้านลบของการนำเสนอเนื้อหาที่อาจจะเกินความจำเป็น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า นี่เป็นหนึ่งในซีรีส์ที่ดีเรื่องหนึ่งของ Netflix ที่สมควรชมเป็นอย่างยิ่ง

ด้วยความสำเร็จจากซีซั่นแรก Netflix จึงอนุมัติซีซั่นถัดมาทันที ซึ่งสร้างเสียงตอบรับผสมกันในด้านของเนื้อเรื่องที่ควรจะจบไปนานแล้ว ในขณะเดียวกันก็ยังมีบางอย่างที่ยังไม่ชัดเจนในซีซั่นก่อน แน่นอนว่านักแสดงทุกคนหวนกลับมา เพิ่มเสริมทัพอีกมากมาย โดยมีชื่อว่า 13 Reason Why Season 2 เข้าฉายในวันที่ 18 พฤษภาคม ปีค.ศ. 2018 และได้รับคำวิจารณ์ที่ไปในทางลบมากกว่า ด้วยด้านของเนื้อเรื่องที่ไม่น่าสนใจ ปมของตัวละครที่ไม่สอดคล้องกับภาคแรก

เรียกได้ว่า จากเหตุผลที่ปัง กลายเป็นเหตุผลที่พัง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้กระแสของซีรีส์เรื่องนี้ลดลงแต่อย่างใด เพราะด้วยการที่ยังมีฐานคนดูที่มีมากมาย และการจบซีซั่นสองที่ไปในทิศทางที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้ในที่สุดจึงมีการอนุมัติ ซีซั่น 3 เข้าฉายในวันที่ 23 สิงหาคม ปีค.ศ. 2019 และ ซีซั่น 4 ซึ่งเป็นซีซั่นสุดท้ายที่ยังไม่มีกำหนดสตรีมมิ่งในตอนนี้

เพราะฉะนั้นแล้วด้วยเหตุนี้ ผมจึงอยากพาท่านผู้อ่านไปสำรวจถึงเรื่องราวคร่าว ๆ ของซีซั่น 1 และ ซีซั่น 2 ซึ่งไม่ได้มาในทางของการรีวิวองค์ประกอบของเรื่อง เพราะถ้าหากให้ผมพูด บทความนี้อาจจะยาวเกิน จนคนไม่อยากอ่านก็ได้ และเพื่อเป็นการอุ่นเครื่องต้อนรับ ซีซั่นที่ 3 ที่กำลังจะมาในศุกร์หน้า  และที่สำคัญผมอยากให้ไปชมกันหลังอ่านบทความนี้เสร็จ แต่ต้องบอกก่อนเลยว่า นี่ไม่ใช่ซีรีส์สำหรับดูอย่างเพลิดเพลิน หรือสนุกสนาน ควรใช้วิจารณญาณก่อนรับชม

13 Reasons Why ซีซั่นที่ 1 : ถึงเวลามองเหตุผล

ในซีซั่นแรก เคลย์ เจนเซ่นได้รับกล่องปริศนาวางไว้หน้าบ้าน โดยในกล่องมีเทปคาสเซส 7 ม้วนที่พอเปิดฟังสักพัก จึงรู้ว่าเป็นของ เพื่อนร่วมชั้นและคนที่เขาแอบรักอย่าง แฮนน่าห์ ซึ่งได้อัดก่อนที่จะเสียชีวิต โดยการฆ่าตัวตาย แต่แล้วสองอาทิตย์ถัดมา โดยในเทปแต่ละม้วนจะบอกเล่าถึงเรื่องราวที่ทั้งสุข ทุกข์ เจ็บปวด และใจสลาย เป็นลำดับ ซึ่งเป็นเหตุผลในการจากโลกนี้ไปของเธอ ซึ่งในเรื่องราวเหล่านี้ต่างก็มีการกล่าวถึงบุคคลทั้งมิตรและศัตรูที่เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้เธอต้องตาย

แต่เรื่องราวมันซับซ้อนมากไปกว่านั้นเมื่อเขาพบว่า ไม่ได้มีแค่เขาคนเดียวที่ได้รับกล่องเทป แต่ยังมีคนอีกมากมายที่ได้รับเทปเหล่านี้อีกด้วย และเคลย์ยังต้องส่งต่อไปอีก ระหว่างนั้นสิ่งที่เขาคิดว่าธรรมดาที่สุดในเมืองที่เขาอยู่ อาจจะมีเรื่องราวที่เกิดความคาดหมายและทำให้เขาต้องเผชิญหน้ากับการหักหลัง ความรุนแรง และความหดหู่ หนำซ้ำมันอาจจะตอกย้ำเขา ว่าที่เขาได้รับกล่องเทปนั้น เป็นเพราะเขาเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญด้วยเช่นกัน

เพราะถ้าหากเหตุผลมีทั้งหมดสิบสามข้อ มันคงไม่แปลกถ้าจะมี เคลย์ อยู่ในนั้นด้วย….
โดยเพลงประกอบของซีรีส์นี้ขับร้องโดย เซเลน่า โกเมซ นั่นเอง กับเพลง Only You ที่เป็นนำเพลงของวง Yazoo มาทำใหม่ โดยเนื้อหาสะท้อนถึงความโหยหาของคนที่รักเพียงคนเดียว (เคลย์ และ แฮนน่าห์)

13 Reasons Why ซีซั่น 2 : ถึงเวลามองภาพรวม

ซีซั่น 2 เล่าช่วงเวลาเดือนต่อมาหลังจากซีซั่นแรก เมื่อเคลย์ที่กำลังจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่กับเพื่อน ต้องหวนคืนสู่วงจรแห่งความใจสลายอีกครั้ง เมื่อมีภาพโพลารอยด์ส่งมาหาเขาบอกว่า “ไม่ใช่แฮนน่าห์หรอกที่เป็นเหยื่อ” และครอบครัวของแฮนน่าห์ก็พร้อมที่จะทวงความยุติธรรมต่อคนที่ทำให้บุตรสาวต้องฆ่าตัวตาย แต่ก็ต้องแบกรับกับกฏหมายที่ไม่มีภาพชัดเจนว่าจะช่วยเธอได้ เมื่อเหตุผลอยู่นอกเหนือม้วนเทป ภาพเหล่านี้ที่ถูกส่งมาเรื่อย ๆ ก็ยิ่งทำให้เคลย์ตกอยู่ในสภาวะเครียดถึงขีดสุด จนมองเห็นแฮนน่าห์ได้ ราวกับเธอยังมีชีวิตอยู่ และเธออาจจะช่วยไขความจริงบางอย่างที่แฮนน่าห์ไม่ได้บันทึกไว้ในเทปเมื่อหนึ่งเดือนที่แล้ว

ในขณะเดียวกันคนที่เกี่ยวข้องกับแฮนน่าห์ต่างก็ต้องปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะทั้งดีขึ้น หรือเลวร้ายลง แต่สิ่งที่พวกเขารู้ก็คือ เทปเพลงเพียงแค่ 7 ม้วนนั้น มันได้กลายเป็นเหมือนการขยับปีกของผีเสื้อที่มันสะเทือน พร้อมที่จะกระหน่ำพายุอารมณ์ใส่พวกเขาอย่างไม่ปราณี

ใครกันที่จะจมปลักอยู่กับความผิดของตัวเอง และใครกันที่จะยอมปล่อยวางอดีตและเริ่มต้นใหม่

เพลงประกอบของซีซั่นนี้ยังได้ เซเลน่า โกเมซมาร้องเช่นเคยชื่อ เพลง Back To You เนื้อหาบ่งบอกถึงการเหนี่ยวรั้งความรัก ที่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็จะหวนกลับคืนมาอยู่เสมอ

13 Reasons Why Season 3

13 บันทึกลับหัวใจสลาย ซีซั่นหนึ่ง พูดถึง “เรื่องเล่าผ่านเทปบันทึกเสียง” หรือ ซีซั่นสอง พูดถึง “ภาพโพราลอยด์ที่ส่งผลกระทบ” ซีซั่นสามนี้ จะพาไป “สำรวจจิตใจของคนเรา ผ่านสิ่งที่มองได้ด้วยตา” ใช่ครับ ประเด็นนี้จะนำเสนอเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่นำไปสู่คีย์หลักสำคัญของเรื่องอย่างที่ได้ปูมา นั่นคือ  “ใครฆ่าไบรซ์ วอร์คเกอร์” ผ่านตัวละครทั้งเก่า และใหม่ที่เข้ามาขับเคลื่อนเรื่องราวของชีวิตมัธยมที่เคยแสนธรรมดา

จนกระทั่งฮานน่าห์ เบเกอร์ ได้เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ อันนำมาสู่ผลใน 13 บันทึกลับหัวใจสลาย ซีซั่นนี้นี่เอง แต่เรื่องจะเล่าผ่านคำบอกเล่า ที่ทำให้เรารู้จัก “อะไร” มากขึ้นเกี่ยวกับตัวละครที่อาจจะทั้งน่าสงสาร น่าสมเพช และสุดสะเทือนใจ ซึ่งมันก็แล้วแต่คนดูแต่ละคนแล้วกัน ว่าจะให้ใครมีความจริงแบบไหน

ตัวละคร

เราจะเห็นตัวละครต่าง ๆ มีพัฒนามากขึ้น ซึ่งดูหนังทั้งหมดทั้งมวลก็มีผลมาจากสองซีซั่นก่อนหน้าทั้งสิ้น แต่ไม่ต้องกลัวว่าจะดูซีซั่นสามไม่เข้าใจ เพราะครั้งนี้เราได้ “อานี” ตัวละครผิวสีใหม่แทนคนดูและตัวละครแฮนน่าห์ที่ไม่มีบทบาทแล้วในซีซั่นนี้ แต่อิทธิพลของแฮนน่าห์ยังคงมีอยู่เป็นระยะ ๆ ตาม 13 บันทึกลับหัวใจสลายโดยในการตอบสนองของตัวละคร คนรอบตัวเริ่มมีความคิดที่ดูจะเป็นไปตามวัยรุ่นมากกว่าภาคก่อนที่ไปมัวเล่าอะไรอยู่ก็ไม่รู้
แต่ตรรกะก็ยังบ้าบอ แถม 13 บันทึกลับหัวใจสลาย เวลาปริศนาจะแก้ดื้อ ๆ เลยครับ สงสัยใคร ดูมีแรงจูงใจ ยังไงก็พุ่งเข้าไปหาคนนั้น จนต้องมาเคลียร์กันแบบนี้ทั้งตอน แต่ระหว่างนั้น “ความลับ” ของแต่ละคนก็จะออกมาเชื่อมกับเรื่องอย่างช้า ๆ ซึ่งจะเกี่ยวโยงกับปัญหาที่เคยค้างคาในซีซั่นก่อน ๆ หรือเปิดประเด็นใหม่ ไม่ว่าจะ การคุกคามทางเพศ, การใช้ความรุนแรง, การทำแท้ง, การมีเพศสัมพันธ์ การใช้ยาเสพติด การต่อสู้สิทธอเพศ และอีกต่าง ๆ นา ๆ ที่ซีรีส์พยายามใส่เข้ามา

รีวิว 13 Reasons Why Season 3


ซีซั่นที่แล้ว พยายามบอกคนดูอย่างเรา ๆ ว่า อย่าตัดสินใครเพียงเพราะเห็นเขามุมเดียว ซีซั่นนี้เลยใจกล้า พาคนดูเราไปสำรวจตัวละครที่ดูจะลอยตัวจากซีซั่นที่แล้วอย่างไบรซ์ วอร์คเกอร์ ว่าจริง ๆ แล้วเขาเป็นปีศาจที่เกิดมาเพื่อปลิดชีวิตแฮนน่าห์ เบเกอร์ ใช่ไหม? หรือมีอะไรมากกว่านั้น ซึ่งซีรีส์ประสบความสำเร็จมากในการตีความตัวละครนี้ให้มีมิติมากกว่าซีซั่นก่อน ๆ จนบางครั้งก็คิดว่าชีวิตคนเราคงไม่มีใครที่จะเป็นแบบนั้นตั้งแต่แรกหรอก เว็บดูหนังต้องมีปัจจัยหลาย ๆ อย่างมากมาย ในขณะเดียวกันก็สะท้อนผลกระทบที่ตัวละครต่าง ๆ ที่ได้รับจากการอยู่กับไบรซ์ ว่ามันส่งผลเสียอย่างไร

คงปฏิเสธไม่ได้ว่านักแสดงคือหัวใจสำคัญของซีรีส์เรื่องนี้ เพราะเราคงจะได้เห็นตัวละครเหล่านี้โลดแล่นมาตลอด ซึ่งพวกเขาก็ยังทำได้ดีอยู่ ติดอยู่แค่อย่างเดียว คือ “อานี” ที่ผมไม่เห็นเสน่ห์ของเธอเลย ซ้ำยังถูกบททำร้ายอย่างน่าเสียดาย เพราะทั้งใน 13 บันทึกลับหัวใจสลาย เราจะเห็นเธอพยายามมีส่วนร่วมกับเธอทั้งหมด และมันก็ช่างง่ายดายเกินไป  ซึ่งเอาเข้าจริง ๆ เนื้อเรื่องไม่ต้องมีอานีก็ได้ ถ้าเธอไม่ได้มีส่วนเกี่ยวพันกับตัวละครสำคัญของเรื่อง 13 บันทึกลับหัวใจสลาย คงเล่าผ่านเคลย์ได้แน่ ๆ ซึ่งเพราะมีเธอในทุกสถานการณ์นี่แหล่ะ ที่ทำให้เรื่องราวไม่เข้มข้นเท่าที่ควร อย่างที่ฝรั่งบอกกันจริง ๆ แต่ก็ไม่ได้จะบอกว่าเธอเป็นจุดอ่อน แต่หวังว่าซีซั่นสุดท้าย จะทำให้บทเธอน่าสนใจกว่านี้นะ

สรุปควรดูหรือไม่?

ซีซั่นนี้ก็ถือว่ายกระดับจากซีซั่นที่แล้วในระด้บหนึ่ง เรียกว่าดีกว่าซีซั่น 2 แต่ยังด้อยกว่าซีซั่น 1 ตรงที่มันไม่ค่อยจะใจสลาย แต่ดูแล้วเหนื่อยใจแทนตัวละครในเรื่องมาก ต้องมาเจอเรื่องวุ่นวาย แถมยังมีใครที่ไหนไม่รู้ เข้ามาสร้างเรื่องราวให้ทุกอย่างไปไกลกว่าอีก ปริศนาแม้จะไม่ได้ซับซ้อน แต่ก็ชวนให้ติดตามเรื่อย ๆ แต่ยังติดเนือย ๆ ในบางตอน แต่น้อยกว่าซีซั่นที่แล้ว ขอบอกก่อนเลยว่าคนที่จะดูซีรีส์ 13 บันทึกลับหัวใจสลาย จะต้องว่างพอสมควร หรืออยากหาอะไรดาร์ก ๆให้กับชีวิตซะมากกว่า เพราะมันไม่เพลิดเพลินหรือตลกหรรษาเลย มันคือความเทาของชีวิตคนเท่าที่มันจะเป็นไปได้

วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2563

13 Reasons Why Season 2 - 13 บันทึกลับหัวใจสลาย

หนัง HD

รีวิว 13 Reasons Why Season 2 - 13 บันทึกลับหัวใจสลาย

หลังซีซันแรกสร้างปรากฏการณ์ฮิตติดลมบนจน Netflix ได้กลับมาจับมือกับ ไบรอัน ยอร์คีย์ ภายใต้การผลักดันของ เกร็ก อารากิ ผู้กำกับหนังอินดี้และ เซเลนา โกเมซ นักร้องสาวคนดัง ในการกลับมาสานต่อเรื่องราวหลังซีซันแรกทิ้งไว้ที่เหตุการณ์พ่อกับแม่ แฮนนา ตัดสินใจฟ้องร้อง ลิเบอร์ตี้ ไฮ โรงเรียนมัธยมภาพลักษณ์ดีแต่แฝงอันตรายรอบด้านทั้งการล่วงละเมิดทางเพศ และการปกป้องผลประโยชน์ของนักเรียนรวยๆ ดังนั้นเหตุการณ์ในซีซันนี้จะใช้การให้ปากคำในศาลของผู้เกี่ยวข้องแต่ละคน ในการให้ข้อมูลอีกด้านที่แฮนนา เบเคอร์ ไม่ได้กล่าวในเทป ที่ทำให้เราได้รับรู้เรื่องราวของแต่ละคนที่มีทั้งความรู้สึกผิด และความรักที่กลายเป็นความแค้น เพิ่มมิติให้ตัวละครที่เคยเป็นเพียงเรื่องเล่าของแฮนนาในซีซันแรกได้เป็นอย่างดีทีเดียว รีวิว 13 Reasons Why Season 2

เรื่องย่อ

และเมื่อซีซันแรกมีเทปแคสเซตเป็นกิมมิกในการเล่าเรื่อง สำหรับซีซันนี้ก็มีภาพถ่ายโพลารอยด์ที่เคลย์ได้รับจากบุรุษปริศนา เพื่อให้เขาตามหาต้นตอของภาพที่ไม่เพียงเรียกร้องความยุติธรรมให้แฮนนาเท่านั้นแต่ยังเปิดโปงความโสมมของสังคมในลิเบอร์ตี้ ไฮ อีกด้วย ซึ่งทำให้เนื้อหาในซีซันนี้นอกจากสานต่อบทสรุปชีวิตของแฮนนา เบเคอร์แล้ว มันยังมุ่งเป้าตีแผ่การล่วงละเมิดทางเพศและความรุนแรงในรั้วโรงเรียนให้เข้ากับกระแส Me Too อีกด้วย

หลังซีซันแรกสร้างปรากฏการณ์ฮิตติดลมบนจน Netflix ได้กลับมาจับมือกับ ไบรอัน ยอร์คีย์ ภายใต้การผลักดันของ เกร็ก อารากิ ผู้กำกับหนังอินดี้และ เซเลนา โกเมซ นักร้องสาวคนดัง ในการกลับมาสานต่อเรื่องราวหลังซีซันแรกทิ้งไว้ที่เหตุการณ์พ่อกับแม่ แฮนนา ตัดสินใจฟ้องร้อง ลิเบอร์ตี้ ไฮ โรงเรียนมัธยมภาพลักษณ์ดีแต่แฝงอันตรายรอบด้านทั้งการล่วงละเมิดทางเพศ

และการปกป้องผลประโยชน์ของนักเรียนรวยๆ ดังนั้นเหตุการณ์ในซีซันนี้จะใช้การให้ปากคำในศาลของผู้เกี่ยวข้องแต่ละคน ในการให้ข้อมูลอีกด้านที่แฮนนา เบเคอร์ ไม่ได้กล่าวในเทป ที่ทำให้เราได้รับรู้เรื่องราวของแต่ละคนที่มีทั้งความรู้สึกผิด และความรักที่กลายเป็นความแค้น เพิ่มมิติให้ตัวละครที่เคยเป็นเพียงเรื่องเล่าของแฮนนาในซีซันแรกได้เป็นอย่างดีทีเดียว

เนื้อเรื่อง

13 Reasons Why ซีซัน 2 เล่าถึงเหตุการณ์และสภาพจิตใจของผู้คนหลังการฆ่าตัวตายของนางเอก ฮันนาห์ เบเกอร์ (รับบทโดย แคทเธอรีน แลงฟอร์ด) ในซีซันแรก ซึ่งคุณแม่ของเธอ โอลิเวีย เบเกอร์ (รับบทโดย เคต วอลช์) ได้ตัดสินใจฟ้องร้องลิเบอร์ตี้ไฮสคูล ข้อหาปล่อยให้ลูกสาวโดนรังแก และส่งผลต่อจิตใจจนทำให้เธอตัดสินใจปลิดชีวิตตัวเอง

ในแต่ละตอนจะมีตัวละครมาให้ปากคำในชั้นศาล (ตัวละครเหล่านี้ล้วนอยู่ในเทปคาสเซตต์ที่ฮันนาห์พูดถึงในซีซันแรก) ส่วนทนายของฝ่ายโรงเรียนเองก็จะพยายามโต้กลับว่าเหตุการณ์การรังแกเกิดขึ้นนอกรั้วโรงเรียน และเป็นเพราะการตัดสินใจของฮันนาห์เองที่ทำให้เธอพบเจอปัญหาต่างๆ แต่จุดหักมุมก็เกิดขึ้นหลังจากพระเอก เคลย์ เจนเซน (รับบทโดย ดีแลน มินเนตต์) ตัดสินใจปล่อยเทปคาสเซตต์ที่ฮันนาห์ได้อัดไว้สู่สาธารณะเพื่อความเป็นธรรม ซึ่งก็พลิกรูปแบบคดีและทำให้ทุกอย่างเข้มข้นขึ้น

แม้ซีซัน 2 จะเป็นการเขียนเรื่องราวขึ้นมาใหม่ภายใต้มุมมองของผู้สร้าง ไบรอัน ยอร์คีย์ ที่เคยชนะรางวัลพูลิตเซอร์จากบทละคร Next to Normal โดยไม่ได้ดัดแปลงมาจากหนังสือของผู้ประพันธ์ เจย์ แอชเชอร์ เหมือนซีซันแรก แต่สิ่งที่ 13 Reasons Why ในภาคนี้หนัง HDยังคงสำรวจลึกไปถึงก้นบึ้งของอารมณ์ตัวละครที่มาพร้อมความซับซ้อนและแปรปรวนตามประสามนุษย์ เราจะเห็นได้ว่าในแต่ละครั้งที่ตัวละครให้ปากคำในศาล ทุกคนล้วนมาในอารมณ์ที่ต่างกัน บางคนทลายกำแพงตัวเองและพูดทุกอย่างออกมา บางคนเลือกที่จะช่วยบุคคลที่ไม่ควรปกป้อง บางคนพูดตามสคริปต์ที่ทนายบอก หรือบางคนยังไม่กล้าพูดความจริงเพราะถูกหลอกหลอนจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง

ประเด็นที่น่าสนใจ

ประเด็นที่น่าสนใจของ 13 Reasons Why ซีซัน 2 คือซีรีส์ถูกฉายในช่วงเวลาที่เรื่องราวการล่วงละเมิดทางเพศ การข่มขืน และจุดยืนของผู้หญิงกำลังเป็นที่พูดถึงเป็นอย่างมากในสังคม ซึ่งจะบอกว่าผู้สร้างและ Netflix ไม่อยากจะเป็นกระจกสะท้อนประเด็นนี้ก็คงไม่ใช่ เพราะด้วยอิทธิพลอันมหาศาลของเรื่องนี้ที่ถึงขั้นมีการรายงานว่าบางหน่วยงานและโรงเรียนได้ออกมาเปิดเผยตัวเลขการฆ่าตัวตายที่เพิ่มขึ้น สืบเนื่องจากเรื่องนี้ 13 Reasons Why จึงเลือกจะปรับตัวเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยขับเคลื่อนสังคมได้อย่างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน จึงไม่แปลกใจว่าทำไมบทสนทนาในหลายตอนเหมือนถูกเขียนขึ้นเพื่อสื่อสารกับคนดูทางบ้าน และทำให้คนในสภาพอารมณ์ที่เปราะบางไม่รู้สึกว่าหมดหนทาง แถมทางซีรีส์เองก็จัดตั้งเว็บไซต์ 13reasonswhy.info ที่เมื่อเข้าไปแล้วจะมีรายชื่อหน่วยงานช่วยเหลือในกว่า 50 ประเทศ รวมถึงประเทศไทย

ถ้าให้ตีความลงไปอีก 13 Reasons Why ซีซัน 2 ได้ถ่ายทำในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันกับที่วงการฮอลลีวูดถูกสั่นคลอนกับการเปิดโปงประเด็นการล่วงละเมิดทางเพศของโปรดิวเซอร์หนังมือทองอย่าง ฮาร์วีย์ ไวน์สตีน ซึ่งตัวละคร ไบรซ์ วอล์กเกอร์ (รับบทโดย จัสติน เพรนทิส) ที่มีการข่มขืน เจสสิก้า เดวิส (รับบทโดย อลิชา โบ) และฮันนาห์ ในซีซันแรกเหมือนถูกปรุงแต่งและเนรมิตในซีซันนี้ให้จัดจ้านขึ้นและให้คนเห็นถึงความคล้ายคลึงกัน

โดยลักษณะของไบรซ์กับฮาร์วีย์เหมือนกันตรงที่ทั้งคู่มีอำนาจในแวดวงตัวเอง ได้รับการยกย่องในหน้าที่การงานและมีเงินล้นหลามจนกลบเกลื่อนความผิดได้ระดับหนึ่ง ซึ่งเพราะปัจจัยนี้หลายคนจึงเลือกที่จะยังอารักขาและสนับสนุนต่อไป หนึ่งในโปรดิวเซอร์ของซีรีส์นี้อย่าง จอย กอร์แมน ก็ได้ให้สัมภาษณ์ที่งาน Teen Vogue Summit ว่าเธอเคยทำงานให้ค่ายหนัง Miramax ในยุคที่ฮาร์วีย์เคยเป็นเจ้าของ และเธอเองก็ได้รู้ถึงวัฒนธรรมข่มขืนของฮอลลีวูด ซึ่งคดีของฮาร์วีย์ก็กลายเป็นหนึ่งในสิ่งที่ในกองถ่ายพูดคุยกันตอนถ่ายทำ

เพราะตัวละครไบรซ์ที่ถูกโฟกัสมากขึ้นในซีซันนี้ ทำให้เกิดอีกหนึ่งตัวละครใหม่ที่น่าศึกษาและมีกราฟชีวิตในเรื่องที่สะท้อนปัญหาหลายจุดก็คือแฟนใหม่ช่ีอ โคลอี้ (รับบทโดย แอน วินเทอร์ส) เธอเป็นหัวหน้าทีมเชียร์ลีดเดอร์ ซึ่งในช่วงแรกของเรื่อง เราจะทำความรู้จักโคลอี้พร้อมอุปนิสัยและภาพลักษณ์แบบเดิมๆ เช่น ผมบลอนด์ ตาสีฟ้า และมีความพยายามเป็นนางพญา แต่พอเธอเริ่มเห็นธาตุแท้ของแฟนตัวเองกับการกระทำต่างๆ โคลอี้เริ่มเข้าใจหัวอกของเจสสิก้าที่โดนไบรซ์ข่มขืนและถูกใส่ร้ายป้ายสีว่าเธอยินยอม แต่เพราะความรักและการติดกับเรื่องวัตถุนิยมที่ไบรซ์ได้วาดฝันให้เธอ เราก็ต้องดูว่าโคลอี้จะเลือกเส้นทางใดต่อไป

ส่วนอีกหนึ่งตัวละครจากก๊วนเพื่อนทีมเบสบอลของไบรซ์ที่จะสร้างความฮือฮา และเราจะได้เห็นมิติใหม่อย่างสิ้นเชิงในซีซันนี้ก็คือ แซค เดมป์ซีย์ (รับบทโดย รอสส์ บัตเลอร์) กับการให้ปากคำในศาลที่แม้คนดูอาจจะเริ่มสามารถเชื่อมโยงจุดต่างๆ เข้าด้วยกันได้ แต่พอแซคบอกเล่าเรื่องราวของเขาก็ทำให้เราต้องคิดใหม่!

นักแสดง

สำหรับบทบาทของนักแสดงในซีซันนี้ ถือว่าเฉลี่ยความเด่นให้อย่างทั่วถึง นอกจาก ดีแลน มินเนต และ แคทเธอรีน แลงฟอร์ด ในบทเคลย์และแฮนนา ที่ยังคงรักษาเคมีระหว่างตัวละครได้ยอดเยี่ยมแล้ว ในซีซันนี้ ตัวละครที่มีบทบาทสำคัญในหลายๆตอนมากขึ้นคงหนีไม่พ้นบท เจสสิกา ของ เอไลชา โบ ที่พูดถึงประเด็น Me Too โดยตรง รวมถึงตัวละคร ไทเลอร์ ของ เดวิน ดรูอิด ที่พลิกจากบทตัวประกอบกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเรื่องจนต้องสานต่อในซีซันถัดไป นอกจากนี้ รอสส์ บัตเลอร์ หนุ่มตี๋สุดหล่อ ยังขยันขโมยหัวใจสาวๆในบท แซค ที่ซีซันนี้นอกจากจะเปิดเผยเรื่องราวของเขากับแฮนนามากขึ้น บทบาทการเป็นพี่เลี้ยงดูแล อเล็กซ์ ที่รับบทโดย ไมลส์ เฮเซอร์ ยังแอบซ่อนอารมณ์จิ้นจนสาววายอดใจต่อเรือให้ไม่ได้เลยจริง ๆ

จะไม่ให้พูดถึง เคลย์ อีกหนึ่งนักแสดงนำและพระเอกในใจหลายๆ คนก็คงไม่ได้ ซึ่งในซีซันนี้เรายังคงเห็นเขาต้องต่อสู้กับความรู้สึกตัวเองที่อยากเดินหน้าต่อกับแฟนใหม่ สกาย มิลเลอร์ (รับบทโดย โซซี เบคอน) แต่ใจก็ยังไม่สามารถปล่อยวางจากฮันนาห์ได้ ขณะเดียวกันก็ยังอยากสู้เพื่อหาความยุติธรรมมาให้เธอ แต่ต้องเตือนแฟนคลับก่อนว่าในซีซันนี้บทบาทอาจลดลงถ้าเทียบกับภาคแรก แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าสิ่งที่เราจะได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของตัวละครนี้จะไม่สร้างอิมแพ็ก

รีวิว 13 Reasons Why Season 2


ปิดท้ายที่ตัวละครซึ่งหลายคนอาจมองข้ามหรือไม่ได้นึกถึงมากอย่าง ไทเลอร์ ดาวน์ (รับบทโดย เดวิน ดรูอิด) ช่างภาพประจำรุ่นที่แอบถ่ายรูปของฮันนาห์ในซีซันแรก ในภาคใหม่เขาคือตัวแทนของบุคคลที่เลือกจะปรับเปลี่ยนตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้นจากเหตุการณ์อันเลวร้ายและโตจากมัน ซึ่งดูหนังผ่านเน็ตต้องชื่นชมผู้สร้างอีกรอบที่ไม่พยายามทำให้ตัวละครจมปลักอยู่กับความทุกข์อย่างเดียว และทำให้เห็นว่าสำหรับบางคนก็มีแสงสว่างที่เล็ดลอดออกมา แต่พอคนเรามีความกล้าหาญขึ้น นอกคอกขึ้น เราจะรู้ลิมิตตัวเองเหรอไม่ นั่นคือสิ่งที่ตัวละครไทเลอร์สะท้อน

ข้อดี

อย่างหนึ่งที่ต้องชื่นชมกับตัวละครแซคคือการที่ผู้สร้างเลือกให้นักแสดงเป็นคนเอเชีย และในซีซันนี้ได้สร้างบรรยากาศ ความละเอียดอ่อน และบริบทของครอบครัวที่มีความกดดันแบบครอบครัวสไตล์เอเชีย ซึ่งคนไทยน่าจะเข้าใจกันดี แถมตัวละครแซคเองก็มีความแข็งนอกอ่อนในที่มาพร้อมความเซนสิทีฟสูงแบบอยากช่วยเหลือผู้อื่น เช่น ตัวละคร อเล็กซ์ สแตนดัลล์ (รับบทโดย ไมล์ส ไฮเซอร์) ที่ในซีซันนี้ต้องกายภาพบำบัดและพยายามทำให้ร่างกายพร้อมที่จะไปให้ปากคำในศาล แต่ในขณะเดียวกัน แซคก็ยังคงดูไม่เป็นตัวของตัวเองและเลือกที่จะคบหากับไบรซ์ ซึ่งก็เข้าใจได้ เพราะหลายคนในช่วงวัยเรียนก็มักอยากอยู่กับกลุ่มที่ป๊อปปูลาร์ เพราะอยากได้รับการยกย่องจากเด็กคนอื่น

ข้อเสีย

เอาล่ะ ชมมาก็พอควรทีนี้ข้อเสียสำคัญของซีรีส์ที่ขัดใจแอดไม่น้อยคงหนีไม่พ้นซับพลอต ความรักครั้งใหม่ของ เคลย์ กับ สกาย สาวพังก์โดยที่เขายังไม่ลืมแฮนนา เพราะความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดูขาดความน่าเชื่อถือไปหน่อยค่ะ ส่วนอีกจุดที่ขัดใจน่าจะเป็นตอนท้ายเรื่องที่ซีรีส์ดูจงใจลากยาวให้มีซีซัน 3 และทำท่าว่าเรื่องราวจะออกทะเลไปใหญ่โตทีเดียว

สรุป

แต่ถึงอย่างไรก็ต้องยอมรับว่า ซีซัน2 ของ 13 Reasons Why ได้แสดงให้เห็นถึงความชาญฉลาดของทีมเขียนบท และการได้ เกร็ก อารากิ ผู้กำกับหนังดราม่าอินดี้อย่าง Mysterious Skin (2004) มากำกับ 2 ตอนแรกก็ช่วยให้การปูพื้นข้อมูลและกำหนดโทนเรื่องของซีซัน 2 มีความน่าสนใจและเปิดปมให้คนดูได้ตามต่อไว้อย่างแยบคาย และเหนืออันใด ซีรีส์เรื่องนี้ยังมุ่งให้คนดูได้เข้าใจปัญหาของวัยรุ่นทั้ง ความรุนแรงในโรงเรียนและปัญหาสุขภาพจิตได้อย่างเหนือเชื่อถือและปราศจากท่าทียัดเยียดได้ดี

13 Reasons Why - 13 บันทึกลับหัวใจสลาย

หนัง HD

รีวิว 13 Reasons Why - 13 บันทึกลับหัวใจสลาย

นับได้ว่าเป็นซีรีส์ที่เต็มไปด้วยสีสันความแปลกใหม่ก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นพลอตเรื่องและวิธีการนำเสนอ ที่สามารถนำเสนอเรื่องราวแบบหนังชีวิตวัยรุ่นแบบเดิม ๆ ที่เราคุ้นเคย มาเล่าเรื่องในรูปแบบผสมผสานกับเรื่องราวสืบสวนสอบสวน ออกมาได้น่าติดตามและเต็มไปด้วยสิ่งที่คนดูคาดเดาไม่ได้ สิ่งที่ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ดูน่าติดตามและสามารถเร้าอารมณ์ให้คนดูอยากดูไปถึงตอนสุดท้ายคือการเปิดเรื่องในตอนแรก ที่เปิดเรื่องราวมาด้วยความลับ และปมปริศนามากมายที่สร้างความอยากรู้ อยากเห็นให้กับคนดู ซึ่งในแต่ละตอนก็ได้มีการเปิดเผยเรื่องราวทีละเล็กละน้อย รีวิว 13 Reasons Why

เรื่องย่อ

เรื่องราวของ เคลย์ เจนเซน (ดีแลน มินเน็ตต์) หนุ่มไฮสคูลสุดเนิร์ด ที่วันหนึ่งเขาได้รับพัสดุปริศนาส่งมาที่บ้านเขา เมื่อเปิดดูก็พบว่าเป็นเทปคลาสเซทชุดหนึ่ง ที่ภายในเทปแต่ละอันได้บันทึกเสียงของ ฮานนาห์ เบคเกอร์ (แคทรีน แลงก์ฟอร์ด) หญิงสาวเพื่อนร่วมชั้นที่เคลย์ เคยแอบชอบ ที่พึ่งฆ่าตัวตายไปเมื่อสองอาทิตย์ก่อน ซึ่งเทปที่ เคลย์ ได้รับนั้นก็เป็นเสมือนบันทึกก่อนตายของ ฮานนาห์ ถึง 13 สาเหตุที่ทำให้เธอจัดสินใจฆ่าตัวตาย พร้อมกับกฎง่าย ๆ ที่ว่าถ้าฟังเทปทั้งหมดนี้แล้วให้ส่งต่อเทปเหล่านี้ไปยังคนอื่นต่อไป

เดิมที 13 Reasons why เคยเป็นหนังสือมาก่อน ฉบับแปลภาษาไทยใช้ชื่อว่า 13 บันทึกลับหัวใจสลาย โดยฉบับซีรีส์ทางเน็ตฟลิกซ์ได้ไบรอัน ยอร์คีย์มาควบคุมงานสร้างร่วมกับ เซเลนา โกเมซ นักร้องสาวสวยที่ผลักดันให้เกิดซีรีส์เรื่องนี้  โดยคงคอนเซปต์เทปคาสเซต 13 หน้ามาแบ่งเป็น 13 ตอนที่บอกเล่าเรื่องราวของคนที่มีส่วนในการฆ่าตัวตายของ แฮนนาห์ เบเคอร์ 13 คน

ซึ่งแต่ละตอนคนดูจะต้องมานั่งลุ้นกันว่าคนที่ถูกกล่าวถึงในเทปแต่ละม้วน ได้สร้างบาดแผลอะไรให้ตัวแฮนนาห์บ้าง และทีละน้อยที่เรื่องราวได้สะท้อนให้เห็นความรุนแรงในสังคมวัยรุ่นทั้งการนินทา พูดเสียดสี  ถูกประจาน จนถึงปัญหาการข่มขืนที่เหยื่อเลือกความเงียบจนเกิดเรื่องเศร้าขึ้น เหล่านี้ได้สะท้อนให้เห็นประเด็นสาเหตุการฆ่าตัวตายที่นิยายกล่าวถึงและฉบับซีรีส์ก็ได้ผลักดันให้ภาพที่ถูกนำเสนอออกมารุนแรงและกระทบจิตใจจนทำให้ผู้ชมได้ตระหนักถึงภัยเงียบนี้ได้อย่างเข้าถึงและเข้าใจ

จนอยากยกให้เป็นหนัง HDตัวอย่างการทำซีรีส์หรือละครจรรโลงสังคมที่นอกจากพล็อตเรื่องที่กระตุ้นความสนใจผู้ชมได้ทุกตอนแล้วมันยังถูกนำเสนอผ่านเทคนิคทางภาพยนตร์ได้อย่างมีชั้นเชิง โดยเฉพาะการตัดต่อที่แบ่งช่วงเวลาเรื่องเล่าจากเทปและเหตุการณ์ปัจจุบันที่เคลย์ได้พบเพื่อนใจร้ายแต่ละคน จนทำให้คนดูลุ้นแทบไม่ติดเก้าอี้

ด้านเนื้อเรื่อง

โดยนอกจากเรื่องการฆ่าตัวตายของแฮนนาห์ เบเคอร์ แล้ว ซีรีส์ยังพาเราไปสำรวจชีวิตวัยรุ่นได้อย่างรอบด้านทั้งการค้นหาเพศสภาพในกรณีของ คอร์ทนีย์ (มิเชล เซลีน อัง) สาวเอเชียที่คู่รักเกย์อุปการะ การต้องการการยอมรับของอเล็กซ์ (ไมลส์ ไฮเซอร์) จนทำเรื่องเลวร้ายกับคนอื่น รวมถึงภัยจากโซเชียลเน็ตเวิร์คที่ประหนึ่งเป็นเหมือนศาลเตี้ยให้ผู้คนตัดสินเหตุการณ์เพียงเปลือกนอก เหล่านี้คือองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เรื่องราวและปมดราม่าเข้มข้นและกระตุ้นให้ผู้ชมคิดตามซึ่งผลทางอ้อมมันคือการทำให้ทุกคนได้ตระหนักถึงปัญหาสังคมได้อย่างไม่ยัดเยียดอีกด้วย

และเห็นเป็นซีรีส์แนวไฮสคูล อย่านึกว่างานสร้างจะสุกเอาเผากินเพราะทุกอย่างถูกคุมไว้ด้วยธีมของเรื่องอย่างชาญฉลาดตั้งแต่โรงเรียนที่มีความลับภายใต้ฉากหน้าสวยหรูโดยมักเลือกถ่ายทอดให้เห็นองค์ประกอบต่างๆในฉากเพื่อนำเสนอสิ่งเก็บความลับของตัวละครทั้งห้องล็อคเกอร์ที่บรรจุของใช้และความลับของนักเรียน ถุงใส่คำชมในห้องเรียน หรือแม้กระทั่งประตูห้องอาจารย์ที่ปรึกษา ทั้งหมดทั้งมวลแสดงให้เห็นความใส่ใจและเปี่ยมศิลปะในการถ่ายทอดอารมณ์ของเรื่อง

และอีกสถานที่สำคัญในเรื่องคือ คาเฟ่โมเนต์ ร้านกาแฟเบเกอรี่ที่เหล่าตัวละครไปใช้เวลาในการถกเรื่อง แฮนนาห์ เบเกอร์ ก็นับว่าเป็นการนำงานศิลปะของ โมเนต์ มารับใช้เรื่องราวได้อย่างชาญฉลาดเพราะงานศิลปะของศิลปินอิมเพรสชันนิสม์ ท่านนี้ไม่อาจตัดสินด้วยการมองใกล้ๆแต่ให้พิจารณาจากภาพรวม เสมือนเป็นการบอกตัวละครและคนดูให้ฟังเทปแฮนนาห์ให้จบ 13 ม้วนจึงจะสามารถตัดสินได้ว่าอะไรคือสาเหตุที่เธอทำอัตวินิบาตกรรมครั้งนี้

อีกส่วนที่เว็บสตรีมหนังอยากพูดถึงคือทีมงานเบื้องหลังอย่างผู้กำกับ เกร็ก อารากิ ที่มีผลงานหนังอินดี้ดราม่าวัยรุ่นสะเทือนอารมณ์อย่าง Mysterious Skin มากำกับให้สองตอนคือ Tape 4 Side A และ Tape4 Side B ซึ่งเป็นตอนที่มีจุดเปลี่ยนรุนแรงเกิดขึ้นกับตัวละครและพลิกจากซีรีส์ดราม่าไฮสคูลสู่ความเข้มข้นในแบบหนังทริลเลอร์ได้อย่างลงตัว

นักแสดง

ทีมนักแสดงของ 13 Reasons Why คือตัวอย่างที่ดีในการจัดวางบทบาทให้แต่ละตัวละครมีความสำคัญไล่เลี่ยกัน ในบทนำอย่าง แฮนนาห์ เบเคอร์ ที่ได้ แคทเธอรีน แลงฟอร์ด มาถ่ายทอดความเปราะบางของวัยรุ่นได้อย่างน่าเชื่อถือ และบท เคลย์ เจนเซน ที่ ดีแลน มินเนท ต้องแบกรับซีรีส์ในแต่ละตอนนำพาคนดูไปพบเรื่องราวสุดช็อคได้อย่างเปี่ยมอารมณ์ รวมถึง อลิชา โบ ในบท เจสสิกา ที่ต้องบอกว่าเป็นตัวละครที่คนดูต้องติดตามถึงตอนสุดท้ายจริงๆว่าจะรักหรือเกลียดกันแน่ และ อลิชา โบ ก็ถ่ายทอดอารมณ์ตัวละครได้อย่างลงตัว

สรุป

และทั้งหมดทั้งมวลก็ทำให้ 13 Reasons Why ลอยตัวอยู่เหนือซีรีส์ดราม่าวัยรุ่นทั่วไปด้วยเรื่องราวเข้มข้นเต็มไปด้วยประเด็นทางสังคมที่เข้ายุคสมัยและเป็นสากล แถมตัวซีรีส์เองยังมีการตั้งเว็บไซต์ให้คำปรึกษากับผู้ที่คิดฆ่าตัวตายอีกด้วย อันแสดงให้เห็นเจตนารมณ์อันดีของผู้สร้างซีรีส์ชุดนี้ที่อยากให้ผู้ชมมากกว่าแค่ความสนุก

รีวิว 13 Reasons Why

13 เหตุผลทำไมเราจึงควรดูซีรีส์ 13 Reasons Why

1. เพราะซีรีส์เรื่องนี้…จะทำให้เราย้อนนึกถึงยุค cassette tape

จะไม่ให้หวนไปนึกถึงก็คงจะไม่ได้ เนื่องจาก 13 Reasons Why เขาใช้เทปคาสเซ็ตเป็นกิมมิกอันทรงเสน่ห์ประจำซีรีส์ไปแล้ว เพราะนางเอกสาวสวยอย่าง แฮนนาห์ เบเคอร์ ได้ใช้เทปเป็นหลักฐานแสดงตัวตนเดียวที่เหลืออยู่หลังจากที่เธอได้ตายไปตั้งแต่ตอนแรก และเจ้าเทปเจ้าปัญหาที่แหละที่เป็นกุญแจสำคัญที่ร้อยเรื่องราวให้ดำเนินต่อไปจนถึงตอนสุดท้าย

2. เพราะซีรีส์เรื่องนี้..สร้างมาจากหนังสือขายดีที่สุดของ Jay Asher

จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า ก่อนที่จะมาเป็นซีรีส์ดังอย่างที่เห็นนั้น ซีรีส์เรื่องนี้ถูกสร้างมาจากหนังสือนิยายประเภท Young Adult ของ Jay Asher ที่ต่อมาได้ถูกสำนักพิมพ์ Classact Publishing ซื้อลิขสิทธิ์มาแปลเป็นภาษาไทย เป็นที่มาของ 13 บันทึกลับ หัวใจสลาย ที่เราคุ้นตากันนั่นเอง

3. เพราะซีรีส์เรื่องนี้..โชว์คาแรกเตอร์ของวัยรุ่นได้ครบและสมบูรณ์แบบที่สุด!

ใครที่ดูซีรีส์เรื่องนี้จะรู้เลยว่า เขาตีแผ่คาแรกเตอร์ของวัยรุ่นผ่านนักแสดงออกมาได้ครบถ้วน และสมบูรณ์แบบที่สุดเลยก็ว่าได้ ยิ่งเราดูไปเรื่อย ๆ เราจะยิ่งเห็นว่าสังคมในวัยเรียนนั้นเหมือนจะธรรมดา แต่แฝงไปด้วยความอิจฉา ความแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ความเผือกเรื่องของคนอื่น หรือการนินทาว่าร้ายกันที่หลาย ๆ คนมักโดนเป็นประจำ ผ่านตัวละครที่มีลักษณะนิสัยที่แตกต่างกัน เช่น นักกีฬาหรือประธานนักเรียนที่จะมีบทบาทอำนาจในการตัดสินและควบคุมผู้อื่น เด็กกิจกรรมที่ต้องจัดการกับเวลาให้อยู่หมัดเพื่อแบ่งแยกเวลาให้การเรียนและชมรมตลอดเวลา หรือแม้แต่เด็กหลังห้องที่เอาแต่เฟดตัวเองออกมาเพื่อรักษาระยะห่างและไม่ต้องการเป็นที่รู้จัก รวม ๆ แล้ว ตัวละครเหล่านี้ก็คือตัวแทนของกลุ่มคนหลัก ๆ ในสังคมนั่นเอง

4. เพราะซีรีส์เรื่องนี้..มี Mood & Tone ที่คูลมาก

ต่อให้ไม่บอกก็ต้องยอมรับกันเห็น ๆ เลยว่า Mood & Tone ในแต่ละตอนของซีรีส์เรื่องนี้ช่างสวยงามยิ่งนัก! เป็นเสน่ห์อีกอย่างของซีรีส์เรื่องนี้เลยก็ว่าได้ ทั้งภาพและสี ทำให้เราอินไปกับความลึกลับหม่นหมอง ในขณะเดียวกันก็มีความเข้มสมจริง ดูเป็นธรรมชาติไม่หลอกตา เป็นโทนสีเย็น ๆ ออกเขียวฟ้า ที่ให้ความรู้สึกสบายตา แถมยังเนียนสวยชะมัด นอกจากดูเนื้อเรื่องแล้ว Mood & Tone ของเขาก็ช่วยยกระดับอารมณ์คนดูได้ไม่น้อยเลยนะ

5. เพราะซีรีส์เรื่องนี้.. มีนางเอกเป็น Katherine Langford

ไม่ต้องห่วงค่ะสำหรับใครที่เสียใจกับการจากไปตั้งแต่ต้นเรื่องของแฮนนาห์ เบเคอร์ นางเอกสุดสวยของเรา เพราะเธอยังคงปรากฎตัวในทุก ๆ ตอน มาแบบทั้งตัวทั้งเสียง ให้ได้เชยชมกันให้เต็มอิ่มเลยทีเดียว ก็นางเอกของ 13 Reasons Why เป็นถึงสาวสวยสุดฮอตอย่าง แคทเธอรีน แลงฟอร์ด นักแสดงชื่อดังที่ฝากผลงานเอาไว้มากมาย และด้วยบทบาทความดราม่าที่เธอตีบทแตกในซีรีส์เรื่องนี้ ยิ่งทำให้แฟนคลับผุดขึ้นทวีคูณสุด ๆ ไปเลยคะคุณ!

6. เพราะซีรีส์เรื่องนี้.. ตอบโจทย์ Party Lover!

เอ้าใครเป็นสายปาร์ตี้ ชอบจัดงานนู่นนี่นั่นบ้าง? บอกเลยว่าซีรีส์เรื่องนี้เขาชูเรื่องปาร์ตี้มาเยอะสุด ๆ แบบจัดเต็มหลายตอนมาก! และไม่ใช่ปาร์ตี้แบบในละครทั่วไปนะจ๊ะ 13 Reasons Why เขาทำออกมาได้สมจริง เป็รปาร์ตี้วัยรุ่นเมกาที่แท้ทรู ใครที่อยากรู้ว่า เอ๊ะ วัยรุ่นฝรั่งเขาปาร์ตี้กันยังไง แล้วมู้ดออกมาเป็นแบบไหน ขอแนะนำให้เข้ามาดูเลยค่ะ รับรองได้ Reference ไ้ว้จัดเองแน่นอน

7. เพราะซีรีส์เรื่องนี้…ได้รับอิทธิพลความบีบคั้นอารมณ์มาจากผู้กำกับฝีมือดีของหนังออสการ์อย่าง Spotlight

ใครที่สงสัยว่า ทำไมซีรีส์เรื่องนี้มันบีบคั้นอารมณ์ฉันได้ขนาดนี้เนี่ย!? คำตอบคือ เป็นเรื่องปกติค่ะ ก็เราได้ Tom McCarthy ผู้กำกับฝีมือดีจากภาพยนตร์ดังที่ได้รับรางวัลมากมายอย่าง Spotlight มาเป็นส่วนหนึ่งของทีม จึงไม่แปลกที่ 13 Reasons Why จะกลายเป็นซีรีส์ที่ดึงอารมณ์และบีบคั้นหัวใจคนดูได้ขนาดนี้

8. เพราะซีรีส์เรื่องนี้…เข้ากับหนุ่มสาวทุกเจน

13 Reasons Why ไม่ใช่วัยรุ่นเท่านั้นที่ควรดู ทั้งวัยผู้ใหญ่ วัยทำงาน หรือวัยไหน ๆ ก็ควรค่าแก่การดูซีรีส์เรื่องนี้จริง ๆ ค่ะ เพราะนี่ไม่ได้เป็นแค่ซีรีส์ธรรมดา ๆ เอาใจเด็ก แต่มันคือการตีแผ่ความจริงที่เกิดขึ้นในสังคม เราเลยต้องดูเพื่อให้เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ และพร้อมที่จะรับมือกับปัญหาเหล่านั้นให้ได้

9. เพราะซีรีส์เรื่องนี้…พูดถึงโรคซึมเศร้าได้อย่างลึกซึ้ง

โรคซึมเศร้ามีอยู่จริง และสามารถเกิดได้กับคนทุกคน นี่คือความจริงที่ผู้ป่วยต้องการให้คนรอบข้างเข้าใจและเปิดรับพวกเขามากที่สุด บางครั้งการที่เราปลอบใครไปด้วยคำพูดที่ไม่ได้คิดหน้าคิดหลัง หรือคำพูดเชิงเปรียบเทียบปัญหาเขากับคนอื่น นั่นไม่ใช่การช่วยเหลือที่ถูกวิธีนะคะ สิ่งที่ดีคือเราต้องหัดสังเกตคนที่เรารัก และเอาใจใส่เขามาก ๆ ชวนคุยหรือพูดในเชิงบวกให้เขาเห็นข้อดีของตัวเอง แล้วเขาจะรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่ามากขึ้นค่ะ

10. เพราะซีรีส์เรื่องนี้.. จะทำให้คุณจุกกับผลของ Cyberbully

หลายคนคงรู้คร่าว ๆ อยู่แล้วล่ะว่านางเอกในซีรีส์ได้ถูกรังแกค่อนข้างหนัก ถูกรังแกในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าโดนชกต่อยอะไรแบบนั้นนะ แต่หมายถึงการถูกนินทาและกล่าวหาในเรื่องที่ไม่จริง โดยเฉพาะในเรื่องนี้อินเทอร์เน็ตได้กลายมาเป็นเครื่องมือสังหารที่โหดเหี้ยม เมื่อเธอถูกรังแกผ่านสื่อหรือที่เราเรียกกันว่า Cyberbully ซีรีส์เรื่องนี้จะทำให้เราเห็นภาพเลยว่า สิ่งนี้ที่ใครหลายคนมองว่าเล็กน้อยจะฆ่าคนได้ยังไงขณะที่สิ่งที่เราควรโฟกัสคือจะเปลี่ยนมันได้ยังไงบ้างมากกว่า

11. เพราะซีรีส์เรื่องนี้…Produce โดย Selena Gomez

แต่เดิม 13 Reasons Why เกือบจะได้ออกมาเป็นภาพยนตร์โดยได้วางนักแสดงนำเป็นนักร้องสาวชื่อดังอย่าง Selena Gomez แต่ท้ายที่สุดแล้วกลับกลายมาเป็นเล่าเรื่องราวในแบบของซีรีส์แทน เซเลน่า โกเมซจึงใช้ประสบการณ์ทางด้านการแสดงของเธอ ผันมาเป็นโปรดิวเซอร์ให้กับซีรีส์เรื่องนี้แทน เจ๋งไปเลย!

12. เพราะซีรีส์เรื่องนี้…เพลงประกอบเพราะมาก

เชื่อว่าหลายคนคงคิดแบบเดียวกัน ว่าเพลงประกอบของเรื่องนี้มันเพราะมาก ต่อให้ไม่ได้ตั้งใจฟังก็ต้องติดหูแน่นอน รับประกัน! ไม่ว่าจะเป็นเพลง Only You / Kill em with kindness ของ Selena Gomez หรือเพลงสุดซึ้งตราตรึงใจอย่างเพลง A 1000 times – Hamilton + Rostam ที่จะทำให้เพื่อน ๆ อินไปกับฉากทุก ๆ ฉากของเขาจริง ๆ

13. เพราะซีรีส์เรื่องนี้…มีแต่คนหล่อ!

ปิดท้ายกันด้วยเหตุผลเอาใจสาว ๆ กันหน่อย ก็ซีรีส์เรื่องนี้เขามีแต่คนหล่อจริง ๆ นี่นาาา อย่าง เคลย์ เจนเซน ตัวเอกของเราที่รับบทโดย ดีแลน มินเนตต์ ก็ช่างน่ารักถูกอกถูกใจสาว ๆ กันเหลือเกิน นอกจากนี้ยังมีตัวละครอื่น ๆ อีกมากมายที่จะมาทำให้คุณผู้หญิงทั้งหลายใจสั่นแน่นอน

365 DNI - 365 วัน

ดูหนัง HD

รีวิว 365 DNI - 365 วัน

ภาพยนตร์เผ็ดร้อนจากโปแลนด์ที่ต้องบอกว่า แซบพริกหมดสวนไปเลยจ้ะ ถ้าเป็นกับข้าวก็เครื่องแกงแน่นตั้บ เรื่องนี้สร้างมาจากหนังสือของ Blanka Lipinska นักเขียนสาวสุดแซบวัย 35 ชาวโปแลนด์ ซึ่งออกมาถึง 3 เล่มกันเลยเชียว รีวิว 365 DNI

เรื่องย่อ

เล่าเรื่องราวของ มัสซิโม (michele morrone) มาเฟียกล้ามแน่น เข้ม ดุ กับ เลาร่า (Anna Maria Sieklucka) นักธุรกิจสาวสุดเซ็กซี่ เลาร่านี่เป็นสาวน้อยในฝันของมัสซิโม่ เขาแอบฝันถึง แอบเห็น ปิ๊งหนักหน่วงจนจำฝังใจและอยากได้มาครอบครอง ในที่สุดก็ใช้วิธีแบบมาเฟียคือการลักพาตัวมาอยู่ด้วยซะเลย พร้อมมอบประโยคเด็ดที่ว่า “ผมจะให้โอกาสคุณตกหลุมรักผมภายใน 365 วัน ผมจะไม่แตะต้องคุณถ้าคุณไม่ยินยอม แต่อย่ามายั่วผมก็แล้วกันเพราะผมอ่อนโยนไม่เป็นหรอกนะ” เข้มมากจ้ะ เข้มทั้งหน้า เข้มทั้งหุ่นและการกระทำ แต่สุดท้ายก็ยั่วกันไปยั่วกันมา จนในที่สุดก็ลงเอย ก็หนังเปิดมาแบบนี้ไม่เสร็จโจรก็ไม่รู้จะว่ายังไง ที่สำคัญไปกว่านั้นคือสองคนตกหลุมรักกันอย่างเมามัน จนถึงขั้นตกลงแต่งงานและจบเรื่องราวความรักแซบ ๆ ฉบับนี้ไปแบบมาเฟีย

ด้านเนื้อเรื่อง...ที่สั้น
มีแค่นี้เลย เจอกัน จับตัวมา รักกันอย่างดูดดื่มในทุกช่วงเวลาและจบไปแบบปลายเปิดเหมือนจะมีภาค 2 เพราะชีวิตบนเส้นทางมาเฟียไม่มีทางราบรื่น หนังใส่ความดราม่ามาน้อยนิดติ๊ดเดียวจริง ๆ เหมือนฮัดเช่ยแล้วก็หายไป ใส่ความโรแมนติกมาในบทพูดและการกระทำของพระเอกที่มีต่อนางเอก “ผมอยากให้คุณสอนให้ผมเป็นคนอ่อนโยน” หวานน้ำตาล 3 ก้อน แต่แฝงไว้ด้วยมาด ดุ ๆ ดิบเถื่อนและเทขายความแซบอย่างอลังการ ชนิดที่สาวโสดหนุ่มโสดน่าจะหายใจกันไม่ทั่วท้อง

ตัวบทหลัก ๆ เลยคือมาเฟียเอาแต่ใจที่รักผู้หญิงคนหนึ่งเหลือเกิน เขาไม่อยากเป็นมาเฟียแต่จำใจต้องเป็นเพราะต้องรับช่วงต่อจากพ่อ อยากมีรักกับผู้หญิงในฝันแล้วก็ทำทุกวิถีทาง ทั้งเปย์หนัก ๆ และปรนเปรอให้ผู้หญิงคนนั้นรักเขาอย่างหัวปักหัวปำ มีแค่นี้จริง ๆ หาได้มีอารมณ์อื่นมาสั่นคลอน เนื้อเรื่องส่วนอื่นที่เป็นปมดราม่า ปมอาชีพในเส้นทางสีเทามันบางเบายิ่งกว่าขนนกซะอีก ฟิ้วววว…

ขายความแซบแบบเต็มร้อย

เนื้อหาเน้นหนักและตั้งหน้าตั้งตาขายไปที่ความแซบซ่าน วาบหวิว ดุเดือดเผ็ดร้อนของการบรรเลงเพลงรักระหว่างพระเอก นางเอก ถ้าเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วก็ 90% ของเรื่องเทไปทางนั้น ขายจริงจังโดยมีเป้าสายตาไปที่ทรวดทรงองเอวของพระเอกมากกว่านางเอกซะอีก เป็นอีโรติกติดเรตที่มุมกล้องปลอดภัยแต่ไม่ต้องเปลืองจินตนาการกันเลยเชียว (ก็มันเห็นอยู่โต้ง ๆ ) บวกกับเพลงประกอบในช่วงนั้นยิ่งฮาร์ดเซลเข้าไปอีก

อยากได้เนื้อหาอะไรมากกว่านี้ไม่ต้องหา ดูหนัง HDถามหาเหตุผลไม่ต้องถาม เพราะจะไม่มีวันหาเจอ เขามาขายอาหารจานร้อนล้วน ๆ หนังไม่ได้เล่าเนื้อหาส่วนอื่นให้เราดูมากมายนัก (แต่ก็แอบเล่าอยู่บาง ๆ ) พอตอนจบทำเอางงอีกว่าตกลงมันยังไง? แปลว่าอย่างนี้ใช่ไหม? เป็นตอนจบที่เดาได้แบบห้วน ๆ ซะด้วยสิ คิดว่าอาจจะมีภาค 2 ภาค 3 ตามแบบในหนังสือรึเปล่า อันนี้เดาเอาเองจริง ๆ

คิดว่าจะมีหนังภาคต่อหรือไม่

ถึงแม้ว่าผู้ชมจะฮือฮาถึงตัวหนังในเรื่องฉากเซ็กส์อันดุเดือดร้อนแรง ไม่มีใครพูดถึงเรื่องราวของหนัง ซึ่งจะว่าไปเนื้อหาของหนังมันก็เบาบางเอามาก ๆ ฝ่ายศัตรูของมาสซิโมนี่ก็แทบไม่ได้พูดถึงเลย แต่ตอนจบก็โผล่มามีบทบาทซะงั้นเมื่อพวกเขาออกมาลอบสังหารเลาร่าขณะนั่งรถลอดอุโมงค์ หนังก็จบไปแบบค้างคา เห็นแต่รถตำรวจจอดอยู่ปลายอุโมงค์แต่ไม่เห็นรถของเลาร่าลอดผ่านอุโมงค์มาได้สำเร็จ เป็นการจบแบบค้างคาให้คนดูคอยลุ้นกันต่อไปว่าชะตากรรมของเลาร่าจะเป็นอย่างไร ยิ่งทำให้คนดูคาดหวังว่าเมื่อไหร่ภาคต่อจะตามออกมา

ข่าวร้าย : NETFLIX ยังไม่ประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะสร้างภาคต่อหรือไม่ ยังมีข่าวคราวความคืบหน้าใด ๆ ว่าจะเปิดกล้องเมื่อไหร่ มีกำหนดฉายเมื่อไหร่ แต่ถ้าวิเคราะห์จากความร้อนแรงของหนังที่ประสบความสำเร็จเพียงนี้ ขึ้นอันดับ 1 ในหลาย ๆ ประเทศตั้งแต่ปล่อยสตรีมมิงจนถึงวันนี้ก็เป็นไปได้กว่า 90% ที่เราจะได้ดูภาคต่อกัน

ข่าวดี : ถ้า NETFLIX ประกาศอนุมัติสร้างภาคต่อ เราก็ไม่ต้องรอกันนาน เพราะหนังดัดแปลงจากนิยาย 3 เล่มจบของ บลังกา ลิพินสกา ซึ่งเธอเขียนจบไปแล้วทั้ง 3 เล่ม 365 DNI และ Ten dzień ออกวางแผงเมื่อปี 2018 และ Kolejne 365 dni (แปลว่า Another 365 Days)

ซึ่งเป็นเล่มจบวางแผงไปเมื่อปี 2019 นั่นแปลว่าทางทีมผู้สร้างไม่ต้องรอให้นักเขียนเขียนนิยายให้เสร็จเพื่อจะสร้าง แล้วตัวบลังกาเองก็ยังร่วมเขียนบทภาพยนตร์ด้วย นั่นแปลว่าต้นฉบับพร้อม ทีมงานพร้อม บวกกับนักแสดงนำทั้ง มิเชลล์ มอร์โรน และ แอนนา มาเรีย ซีคลัคกา ก็ไม่ใช่ดาราดังที่มีงานชุก ไม่ต้องรอคิวให้ถ่ายทำหนังเรื่องไหนเสร็จก่อน แต่ก็ไม่แน่นะ เพราะตอนนี้ทั้งคู่กลายเป็นดาราดังแล้ว ถ้าหนังภาคต่อไม่รีบเปิดกล้อง ทั้งคู่นี้อาจจะรับงานเรื่องอื่นก่อนก็ได้

เลาร่าจะรอดจากเงื้อมมือศัตรูหรือไม่

อ้างอิงจากเนื้อหาของนิยายเล่มต่อ Ten dzień แปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า This Day จริง ๆ ทุกคนก็เดาได้หรอกนะ ถ้านางเอกตายแล้วจะเล่าเรื่องต่อได้ยังไงถึง 3 เล่ม ผู้เขียนขอถอดความหนังออนไลน์จาก ใจความสำคัญแบบเป็นทางการของนิยาย Ten dzień มาเล่าต่อตรงนี้แล้วกัน

“ชีวิตของ เลาร่า บีล ในชิลี ช่างเหมือนกับเทพนิยายเสียจริง หลังจากงานแต่งงานสุดอึกทึกแล้ว สามีที่รักก็ทำทุกอย่างตามที่เธอต้องการ ได้ของขวัญมากมาย ได้มีชีวิตที่หรูหรา มีรถราคาแพง มีบ้านหรูริมทะเล แล้วเธอก็ตั้งท้อง ทุกอย่างดูเหมือนจะสมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง แต่ต้องไม่ลืมว่าเธอมีชีวิตอยู่ท่ามกลางสังคมแก๊งสตอร์ที่แวดล้อมตัวเธอตลอดเวลา มีศัตรูของมาสซิโมที่พยายามจะลักพาตัวเธอแล้วสังหารเธอมาระยะหนึ่งแล้ว แต่เลาร่าไม่รู้ตัว เช่นเดียวกับโอลก้าที่ก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวแต่ติดสอยห้อยตามเธอไปด้วย เลาร่าจะได้เรียนรู้ว่าการเป็นภรรยาของชายที่อันตรายที่สุดในชิลีนั้นนั้นไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด แต่มันจะมีผลตามมาซึ่งเต็มไปด้วยความเจ็บปวด”

รีวิว 365 DNI

จะได้เห็นอะไรในภาค 2

เมื่อ 365 DNI ประสบความสำเร็จถึงเพียงนี้ก็เพราะฉากเลิฟซีนที่เป็นจุดขาย ซึ่งภาค 2 ก็ต้องมีให้ดูอย่างจุใจอีกแน่นอน ยกตัวอย่างฉากหฤหรรษ์ที่ บลังกา บรรยายไว้ในนิยาย Ten dzień เราอาจจะได้เห็น มาสซิโมและเลาร่า ผลัดกันทำรักด้วยปาก ในขณะที่เลาร่าใส่ผ้าปิดตาและสวมหูฟังที่กำลังเล่นเพลงคลาสสิก Silence ของวง Delerium

ส่วนเส้นทางความรักของทั้งคู่อาจจะไม่ราบรื่นเหมือนอย่างที่่คิดแล้ว แม้ว่าช่วงท้ายของภาคแรก ทั้งคู่ตกหลุมรักซึ่งกันและกันไปแล้ว แต่หลังจากเลาร่าถูกศัตรูของมาสซิโมลักพาตัวเธอไป เธอก็ไปตกหลุมรักกับหัวหน้าแก๊งที่เป็นศัตรูของมาสิซิโม (ตรงนี้อนุญาตให้ด่าเลาร่าได้) ในภาคนี้ยังแนะนำตัวละครสำคัญรายใหม่ เขาคือคู่แฝดของมาสซิโม เอาล่ะสิ แฟนหนังสาว ๆ ที่เคยฟินกับมาสซิโมมาแล้ว ภาคสองนี่จะได้ฟินแบบดับเบิลไปเลย แบบนี้ มิเชลล์ มอร์โรน จะได้ค่าแรงสองเท่าไหมนะ

เสียงตอบรับจาก Ten dzień นิยายภาค 2 เป็นอย่างไรบ้าง

ถ้าบทภาพยนตร์ของภาคต่อจะยึดเนื้อหาตามนิยายเป๊ะ ๆ แล้วล่ะก็ เนื้อเรื่องของภาคต่อนั้นจะดำเนินเหตุการณ์ต่อจากตอนจบของภาคแรกเลย ซึ่งถ้ามองระยะเวลารวมถึงตอนอวสานในเล่ม 3 เลยด้วยล่ะก็ เรื่องราวทั้ง 3 ภาคนี้เกิดขึ้นภายในระยะเวลาแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น ตอนจบภาค 3 เลาร่ายังก็ยังไม่คลอดลูกเลยนะครับ นั่นหมายความว่าฉากหฤหรรษ์ในภาค 2 ภาค 3 นี้ เกิดขึ้นในขณะที่เลาร่ากำลังท้องอยู่ (ไอ้พ่อแม่ใจร้าย)

สรุป

สำหรับใครที่ดูภาคแรกแล้วไม่ชอบ รู้สึกผิดหวังกับบทภาพยนตร์ที่กลวงโบ๋ มีแต่เขียนให้เรื่องดำเนินไปเพื่อหาทางสอดแทรกฉากเลิฟซีนไปเรื่อย ๆ เท่านั้น บอกได้เลยว่าเนื้อหาของภาค 2 ก็ไม่ได้มีอะไรดีไปกว่าภาคแรกนี้หรอก