วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2563

Spenser Confidential

ดูหนัง

รีวิว Spenser Confidential - เสปนเซอร์ ลุย ล่า ปราบ ทรชน

หนังฟอร์มกลางของ Netflix ที่เอาดารานำมีชื่อมาชูโรงให้ดูเป็นหนังฟอร์มใหญ่ขึ้นมาหน่อย ซึ่งก็ได้ผลเพราะถ้าไม่ใช่ มาร์ค วาห์ลเบิร์ก ก็คงไม่มีแรงดึงดูดหรือความเชื่อใจให้ดูสักเท่าไหร่ ซึ่งก็ไม่ใช่แค่เอาดารานำมาปะหน้าแล้วจะขายได้ ตัวหนังเองก็ต้องมีดีพอตัวด้วยเหมือนกันดารานำใหญ่แบบนี้ถึงมาเล่นได้ ซึ่งหลังดูจบบอกเลยว่าเหมือน Netflix กำลังพยายามสร้างหนังแฟรนไชนส์โดยใช้ดารานำเรื่องละคน อย่าง ไรอัน เรย์โนลส์ กับ 6 Underground ที่เปิดเรื่องมาก็บอกเลยว่ากะทำต่อยาวๆ Spenser Confidential กับ มาร์ค วาห์ลเบิร์ก ก็เช่นกัน หนังสร้างคาแรกเตอร์อดีตตำรวจตงฉินที่มีเอกลักษณ์ของการเป็นจอมเสือก ได้ข่าวอะไรที่ดูแปลกๆ พี่แกก็พร้อมจะเข้าไปเสือกกับบวกให้เป็นเรื่องทุกทีไปตั้งแต่เคสแรกของตัวเอง ที่สุดท้ายก็เลยต้องโทษจำคุกกันตั้งแต่เปิดเรื่อง รีวิว Spenser Confidential

เรื่องย่อ

สเปนเซอร์ (มาร์ค วาห์ลเบิร์ก) อดีตตำรวจถูกดึงเข้าสู่โลกอาชญากรรมใต้ดินของบอสตันเมื่อค้นพบความจริงเบื้องหลังฆาตกรรมซ่อนเงื่อนและการพยายามสมคบคิดเพื่อปกปิดคดี แม้จะถูกคุกคามและข่มขู่ แต่สเปนเซอร์ก็มุ่งมั่นที่จะแสวงหาความยุติธรรมด้วยตนเองเพื่อพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย

หนังแอ็กชั่นสายตลกฟอร์มกลางๆ ของ มาร์ค วาห์ลเบิร์ก ที่มารับบท “สเปนเซอร์” ตำรวจหนุ่มใจรักความยุติธรรมที่ติดคุกมา 5 ปี โทษฐานทำร้ายร่างกายตำรวจด้วยกันเอง เมื่อออกจากคุกเขากลับต้องมาเจอคดีตำรวจถูกฆ่าตาย 2 นาย และกลายเป็นเหมือนการจัดฉากฆ่ากันเอง นั่นทำให้เขาทนไม่ได้ต้องกลับมาสืบสวนแบบตำรวจอีกครั้ง โดยคราวนี้มี “ฮอว์ค” คู่หูหนุ่มผิวดำร่างยักษ์ที่กำลังคิดฝันเป็นนักสู้ในกรง MMA มาช่วยด้วยอีกแรง

นี่เป็นหนังฟอร์มกลางของ Netflix ที่เอาดารานำมีชื่อมาชูโรงให้ดูเป็นหนังฟอร์มใหญ่ขึ้นมาหน่อย ซึ่งก็ได้ผลเพราะถ้าไม่ใช่ มาร์ค วาห์ลเบิร์ก ก็คงไม่มีแรงดึงดูดหรือความเชื่อใจให้ดูสักเท่าไหร่ ซึ่งก็ไม่ใช่แค่เอาดารานำมาปะหน้าแล้วจะขายได้ ตัวหนังเองก็ต้องมีดีพอตัวด้วยเหมือนกันดารานำใหญ่แบบนี้ถึงมาเล่นได้

ซึ่งหลังดูจบบอกเลยว่าเหมือน Netflix กำลังพยายามสร้างหนังแฟรนไชนส์โดยใช้ดารานำเรื่องละคน อย่าง ไรอัน เรย์โนลส์ กับ 6 Underground ที่เปิดเรื่องมาก็บอกเลยว่ากะทำต่อยาวๆ Spenser Confidential กับ มาร์ค วาห์ลเบิร์ก ก็เช่นกัน หนังสร้างคาแรกเตอร์อดีตตำรวจตงฉินที่มีเอกลักษณ์ของการเป็นจอมเสือก ได้ข่าวอะไรที่ดูแปลกๆ พี่แกก็พร้อมจะเข้าไปเสือกกับบวกให้เป็นเรื่องทุกทีไปตั้งแต่เคสแรกของตัวเอง ที่สุดท้ายก็เลยต้องโทษจำคุกกันตั้งแต่เปิดเรื่อง

เวลามีผู้กำกับหนังคนดังมาร่วมงานกับเน็ตฟลิกซ์เราก็เดา ๆ ได้ว่าน่าจะด้วยเหตุผลประมาณ 3 ข้อนั่นล่ะ คือ อย่างแรกมันเป็นโพรเจกต์ที่ค่ายหนังใหญ่ไม่สนใจทำ หรือไม่ก็ สองคือเป็นโพรเจกต์ที่ผู้กำกับคนนั้นอยากลองอะไรใหม่ ๆ เปลี่ยนบรรยากาศ และสามก็คือไม่เลือกงานไม่ยากจน (ฮา) สำหรับ ปีเตอร์ เบิร์ก ผู้กำกับเจ้าของงานแอ็กชันธริลเลอร์ใหญ่ ๆ ที่มักอิงจากเรื่องจริงอย่าง Lone Survivor (2013) และ Patriots Day (2016) ที่งานยุคหลังนอกจากจะเน้นความซีเรียสจริงจังจากเหตุการณ์จริงแล้ว

การมาร่วมงานกับ มาร์ค วาห์ลเบิร์กก็กลายเป็นคู่ขวัญคู่ใหม่ไปเลย เหตุผลที่ทั้งคุ่มาร่วมงานกับเน็ตฟลิกซ์ดูจากงานนี้ก็เชื่อว่าน่าจะเป็นเรื่องของการเปลี่ยนบรรยากาศการทำงาน เพราะนอกจากสภาพแวดล้อมการทำงานที่ได้ลองทำกับเน็ตฟลิกซ์แทนค่ายหนังแล้ว เนื้อหาของหนังก็ยังได้ดัดแปลงนิยายชุดสืบสวนการคอร์รัปชันในแวดวงตำรวจที่มีตัวละครนำชื่อ สเปนเซอร์ ของนักเขียนดังนาม โรเบิร์ต บี. พาร์กเกอร์ ซึ่งเคยเป็นซีรีส์ทางโทรทัศน์ช่วงปี 1985 เรื่อง Spenser: For Hire มาเปลี่ยนให้กลายเป็นแนวบู๊ปนฮาร้าย ๆ ด้วย ซึ่งงานหนังตลกเรื่องสุดท้ายของเบิร์กนี่ต้องย้อนไปตอนทำ Hancock (2008) นู่นเลยทีเดียว เรื่องนี้แกน่าจะได้ปลดปล่อยพอสมควร

เนื้อเรื่อง

ด้วยความที่ดัดแปลงเอามันจากนิยายที่ซีเรียส ๆ หน่อยทำให้ตัวหนังมีความทั้งจริงจังและไม่จริงจังไปพร้อมกัน ในขณะที่ปริศนาในคดีและเหล่าตัวร้ายจะค่อนข้างดูสมจริงและซีเรียส แต่ผู้ชมก็จะไม่เบื่อเพราะบุคลิกของสเปนเซอร์ อดีตตำรวจที่เข้าคุกเพราะไม่ชอบความอยุติธรรมนั้นเป็นตัวละครที่มีสีสัน ปากหมา หน้ายับ รักหมากว่าแฟน และชอบแกว่งเท้าเข้าไปหาเสี้ยนทุกครั้งที่เห็นคนบริสุทธิ์เดือดร้อน ยิ่งการเข้าคู่กับพวกตัวละครอื่นฝั่งพระเอกที่คาแรกเตอร์จัดเกินปกติ

ทั้ง ฮอว์ก (ได้ วินสตัน ดู๊ก ที่เล่นเป็น เอ็มบากู ในหนัง Black Panther มาเล่น) ตัวละครผิวสีคู่หูสุดหน้าตายและรักสัตว์ของสเปนเซอร์ที่ถูกปรับจากตำรวจในนิยายมาเป็นเด็กฝึกของค่ายมวย ตาลุงเฮนรี่ ชายแก่ที่ให้ความช่วยเหลือด้านที่พักหลังพระเอกออกจากคุกมาก็เป็นตาแก่ไม่ทันเทคโนโลยีแต่มีความเก๋าแบบโอลด์สคูล รวมถึง ซิสซี่ แฟนสาวของสเปนเซอร์ที่ผีเข้าผีออกอารมณ์รุนแรงเดาใจยาก ทั้งหมดเมื่อรวมตัวกันก็เลยกลายเป็นแก๊งที่ไม่ลงรอยกันเองแต่ก็เข้าขากันเยี่ยมเวลาคับขัน ช่วยให้หนังดูสนุกพอสมควร

หนังใช้ความเสือกของพระเอกในแบบที่กวนทีนเหลือร้าย ด้วยความที่เขาเป็นตำรวจเก่ามาก่อน มาคราวนี้เป็นพลเมืองธรรมดาไม่มีอภิสิทธิ์ในการเข้าไปสืบแบบแต่ก่อน ดูหนังก็เลยต้องใช้มุกหลอกล่อแบบกึ่งโหดกึ่งฮากับเป้าหมายเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูล พร้อมกับต้องโดนรุมซ้อมมันทุกครั้งที่เข้าไปสืบอะไรแบบนี้ ไม่เว้นกระทั่งฉากฟัดกับหมาที่ฮามาก หนังเรื่องนี้จึงเป็นแอ็กชั่นแบบอัดกันตุ้บตั๊บ+ตลกกับความซวยของพระเอกที่อยู่คู่กันทุกครั้ง ซึ่งแต่ละมุกก็เป็นธรรมชาติเนียนไปกับเรื่องดีมาก แบบทำเอาฮาเล็กฮาใหญ่ไปได้เรื่อยๆ ออกจะคล้ายๆ วิ่งสู้ฟัดของเฉินหลงแบบนั้นเหมือนกันครับ

แต่ก็ไม่ใช่บทจะอยู่ที่พระเอกคนเดียว “ฮอว์ค” คู่หูหนุ่มผิวดำร่างยักษ์ก็แทคทีมเสริมแอ็กชั่นกับความฮาได้อย่างร้ายกาจ เผลอๆ อาจจะขำกว่าของมาร์คเองก็ได้ เพราะด้วยหุ่นหมีควายพอมาเล่นมุกตลกมุ้งมิ้งๆ แล้วมันอดขำไม่ได้จริงๆ หนึ่งในมุกเด็ดเลยก็คือ “กรีดรถคนร้ายเป็นรูปแมวคิทตี้ให้มันเจ็บใจเล่น” แถมฮอว์คเองก็มีความหลังฝังใจเกี่ยวกับความยุติธรรมนี้ด้วยเช่นกัน

ยิ่งทำให้การจับคู่นี้ดูเนียนเชื่อได้เลยว่าสองคนนี้กำลังทำตัวเป็น “แบทแมนแอนด์โรบิน” ในเมืองบอสตันที่เต็มไปด้วยอาชญากรรมทั้งจากผู้ร้ายและกับตำรวจเทาๆ เหมือนก็อธแธมไม่มีผิด แถมยังมีคุณปู่จอมซ่าที่เป็นเจ้าของค่ายมวยที่ฮอว์คอยู่มาเสริมทีมทำตัวเป็นเหมือน “อัลเฟรด” พ่อบ้านที่ให้ท้ายแบทแมนออกไปสร้างวีรกรรมอยู่ตลอด ยิ่งทำให้เรื่องนี้เหมือนแบทแมนจริงๆ เข้าไปอีก ตามแบบที่แฟนสาวของสเปนเซอร์จิกกัดทั้ง 3 คนไว้ไม่มีผิด และตัวเธอที่เป็นนางเอกในเรื่องนี้ก็จัดว่าเด็ดร้ายไม่แพ้กัน หนังจึงไม่ได้มีตัวละครไหนถูกทิ้ง และก็ยังดูเป็นสูตรที่ลงตัวเข้าขากันดีพิลึก

ตัวละครหลัก

Spenser พระเอกหนุ่ม ผู้รับบทอดีตตำรวจที่พึ่งออกจากคุก และมีนิสัยที่ดุเดือดเลือดพล่าน ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น

Hawk ชายร่างยักษ์หมัดหนัก ผู้เป็นรูมเมทของ Spenser ที่ถูกลากเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยโดยไม่ตั้งใจ
Henry ชายแก่อารมณ์ดี ขี้บ่น ผู้เป็นเพื่อนของ Spenser และเป็นเจ้าของบ้านที่ Spenser อาศัยอยู่
Cissy นางเอกสาวสุดสวย แฟนสาวของ Spenser ที่สวยเซ็กซี่และดุดัน

ข้อดี

แม้เรื่องจะฮาแต่ก็ยังแฝงดราม่าแก่นเรื่อง “ความยุติธรรม” ไว้ตลอด ทั้งสเปนเซอร์กับฮอว์ค ที่มีปูมหลังรันทดๆ กับการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมจนลงเลยในคุกมาก่อน เหยื่อที่สเปนเซอร์เข้าไปช่วยก็มีนิสัยต่อสู้เพื่ิอความยุติธรรมเช่นกัน หนังให้ความรู้สึกว่าโลกนี้มันช่างหาความยุติธรรมยากเหลือเกินแม้จะมีคนที่พยายามทำแบบพระเอกแล้วก็ตาม อะไรๆ มันก็ไม่ง่าย

และต้องแลกมากับการเสี่ยงสูญเสียอะไรไปด้วยเช่นกัน เว็บดูหนังทำให้ตัวเอกทั้งสองคนดูเป็นฮีโร่จริงๆ ที่พยายามอย่างหนักให้ได้มาเพื่อดับความอยุติธรรมที่ร้อนรุ่มในใจ แม้ตัวเองจะแทบไม่ได้เกี่ยวข้องเลยด้วยก็ตาม มีขำนิดๆ ตรงพระเอกจะพยายามบอกว่าคนที่เขาเข้าไปช่วยเคยรู้จักทางใดทางหนึ่งมาก่อน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า หรือเป็นมุกเอาฮาของเรื่องก็ไม่รู้เหมือนกันครับ

รีวิว Spenser Confidential

ข้อเสีย

หนังสนุกเพลินๆ แต่ว่าก็มีข้อเสียที่คนคิดมากอาจจะไม่ชอบเลยก็ได้ เพราะด้วยความที่หนังออกแนวแอ็กชั่นตลก อะไรหลายๆ อย่างที่พระเอกไปเจอแล้วสืบได้มามันก็เลยดูง่ายๆ ไปซะหมด หนังไม่ได้มีความรู้สึกกดดันแบบลุ้นว่าพระเอกจะเอาตัวรอดยังไง เพราะถึงจะโดนรุมเป็นสิบ สุดท้ายก็ต้องมีมุกตลกแทรกมาให้ผ่านจุดนั้นไปได้แบบไม่สมเหตุผลสักเท่าไหร่ แถมด้วยตัวร้ายที่เดากันได้ตั้งแต่แรกๆ ทำให้เรื่องนี้ออกจะเรียกว่าพล็อตกลวงๆ เป็นเส้นตรงให้พระเอกทำภารกิจปราบอธรรมกันชิลๆ ไม่มีความซีเรียสเครียดเลยสักนิด แต่ถ้ามองกันดีๆ หนังก็ตั้งโจทย์ทำมาให้ดูแบบเปิดหัวโล่งๆ อย่าไปคิดอะไรกันตั้งแต่แรกๆ อยู่แล้วครับ

สรุป

หนังสนุกเพลินๆ แอ็กชั่นเน้นต่อยตีมีอีดาบไล่ฟันแบบหนังฮ่องกง ผสมกับมุกฮาแบบเนียนๆ ขำนิดขำหน่อยไปจนถึงขำมากตลอดเรื่องยันจบ พร้อมกับฉากแง้มเปิดไว้ชัดเจนว่าความเสือกบ้าความยุติธรรมของพระเอกนี่แหละทำให้ถ้าหนังเรื่องนี้ดังยอดดี Netflix คงได้เข็นสเปนเซอร์ภาคต่อออกมาเรื่อยๆ แน่ครับ โดยรวมแล้วก็เป็นหนังที่ฆ่าเวลาพอได้ ไม่ได้ถึงกับแนะนำอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่ถึงกับว่าจงหนีไป เป็นงานที่เอาความผ่อนคลายเป็นที่ตั้งทั้งตัวผู้สร้างและผู้ชม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น