วันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2563

Bird Box - มองอย่าให้เห็น

หนัง HD

รีวิว Bird Box - มองอย่าให้เห็น

Bird Box ถือเป็นงานที่ Netflix ภูมิใจนำเสนอเป็นอย่างยิ่ง โดยผมได้รับเชิญไปชมภาพยนตร์รอบปฐมทัศน์เมื่อวันที่ 11 ธันวาคมที่ผ่านมาก่อนจะลงสตรีมมิงวันที่ 21 ธันวาคมนี้ ซึ่งต้องยอมรับว่าการได้ชมหนังบนจอของโรงภาพยนตร์ทำให้เราได้รับประสบการณ์ร่วมจากหนังได้อย่างเต็มที่จริงๆแต่หากเราพิจารณาจากตัวเนื้อหาก็คงต้องบอกว่า หนังเองดูจะเหมาะกับคนที่ชื่นชอบหนังดราม่ามากกว่าคอหนังทริลเลอร์ที่หวังความตื่นเต้นในการเอาชีวิตรอดของมาโลรี่ เพราะด้วยวิสัยทัศน์ของ ซูซาน เบีย ที่เคยกำกับ In a better world หนังออสการ์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยมจากเดนมาร์คก็ย่อมคุ้นเคยกับการมองโลกและสังคมอย่างลึกซึ้ง ที่สำคัญคือการนำเสนอตัวละครผู้หญิงที่ต้องเผชิญความโหดร้ายเพื่อก้าวผ่านไปสู่การเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ที่อาจทำให้เราดูหนังด้วยความอึดอัดไม่สบายใจเท่าใดนัก รีวิว Bird Box

เรื่องย่อ

ในระหว่างเดินทางกลับจากโรงพยาบาล มาโลรี่ (แซนดรา บูลล็อค) สาวท้องแก่ต้องเผชิญความน่าสะพรึงกลัวของการระบาดจากไวรัสพันธุ์ใหม่ที่ทำให้คนฆ่าตัวตาย โชคยังดีที่เธอได้รับการช่วยเหลือจากคนกลุ่มหนึ่งนำโดย เกร็ก (บีดี หว่อง) ชายใจกว้างผู้พร้อมเปิดรับผู้ประสบภัยทุกคน และ ดักลาส (จอห์น มัลโควิช)สถาปนิกเห็นแก่ตัวผู้สูญเสียภรรยาที่ออกไปช่วย มาโลรี่ พวกเขาต้องอยู่อย่างหวาดกลัวและต้องรักษาพื้นที่มั่นไว้โดยต้องปิดแสงจากหน้าต่างทุกบาน เพราะการมองเห็นอาจหมายถึงการต้องจบชีวิต แล้วมาโลรี่และลูกในท้องจะเอาชีวิตรอดได้อย่างไรต้องติดตาม

Bird Box ถือเป็นงานที่ Netflix ภูมิใจนำเสนอเป็นอย่างยิ่ง โดยผมได้รับเชิญไปชมภาพยนตร์รอบปฐมทัศน์เมื่อวันที่ 11 ธันวาคมที่ผ่านมาก่อนจะลงสตรีมมิงวันที่ 21 ธันวาคมนี้ ซึ่งต้องยอมรับว่าการได้ชมหนังบนจอของโรงภาพยนตร์ทำให้เราได้รับประสบการณ์ร่วมจากหนังได้อย่างเต็มที่จริงๆแต่หากเราพิจารณาจากตัวเนื้อหาก็คงต้องบอกว่า หนังเองดูจะเหมาะกับคนที่ชื่นชอบหนังดราม่ามากกว่าคอหนังทริลเลอร์ที่หวังความตื่นเต้นในการเอาชีวิตรอดของมาโลรี่

เพราะด้วยวิสัยทัศน์ของ ซูซาน เบีย ที่เคยกำกับ In a better world หนังออสการ์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยมจากเดนมาร์คก็ย่อมคุ้นเคยกับการมองโลกและสังคมอย่างลึกซึ้ง ที่สำคัญคือการนำเสนอตัวละครผู้หญิงที่ต้องเผชิญความโหดร้ายเพื่อก้าวผ่านไปสู่การเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ที่อาจทำให้เราดูหนังด้วยความอึดอัดไม่สบายใจเท่าใดนัก

ซึ่ง Bird Box ก็ออกมาในแนวทางที่เธอถนัด เพราะการให้ มาโลรี่ เป็นคนท้องก็ยิ่งแสดงให้เห็นภาวะที่ผู้หญิงต้องเผชิญกับสารพันมรสุมชีวิตเพื่อให้กำเนิดชีวิตใหม่ยิ่งมาโลรี่ ต้องเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวก็ยิ่งทำให้เห็นความแข็งแกร่งของผู้หญิงในการเผชิญโลกอันโหดร้ายได้อย่างเห็นภาพ

ซึ่งหนังก็โหดร้ายมากพอที่จะโยนอุปสรรคในการเอาชีวิตรอดให้ตัวละครทั้งการต้องไปซูเปอร์มาร์เก็ตแบบมองอะไรไม่เห็นแถมยังมีคนติดเชื้อไวรัสซ่อนอยู่อีก หรือกระทั่งการที่ต้องใช้ชีวิตหลบภัยในบ้านแบบไว้ใจใครก็ตามที่มาเคาะประตูบ้านไม่ได้เลยก็ยิ่งทดสอบระดับมนุษยธรรมของตัวละครได้อย่างหนักหน่วงขึ้นไปอีก

ซึ่งการมีตัวละครนำเป็นผู้หญิงก็ย่อมได้คะแนนความเห็นใจจากคนดูไม่ยากนัก แต่ที่ต้องชื่นชมจริงๆคือการที่หนังไม่ได้ให้ มาโลรี่ เป็นตัวละครแบนๆ เพราะเธอเองก็มีดีมีชั่วมีด้านมืดที่ต้องเอาชนะเพื่อความอยู่รอดของลูกๆของเธอ โดยจุดที่หนังสร้างความมืดหม่นสิ้นหวังมากๆคือการที่มาโลรี่ ไม่ยอมตั้งชื่อลูกของตัวเองเพียงเพราะไม่ต้องการสร้างความผูกพันหากเธอไม่สามารถเอาตัวรอดจากโลกาวินาศในครั้งนี้ได้ รวมถึงหนังยังมีฉากที่แสดงให้เห็นว่าบางครั้งความเมตตาปราณีก็นำมาซึ่งหายนะอันใหญ่หลวงได้เหมือนกัน ซึ่งทำให้หนังสามารถตั้งคำถามกับความเป็นมนุษย์ได้อย่างลุ่มลึกอีกด้วย

แต่ก็อย่างที่หนัง HDได้เกริ่นไว้ว่าการที่หนังเน้นไปในทางดราม่าส่วนใหญ่ก็ส่งผลให้บางฉากที่หนังสามารถทำให้ตื่นเต้นได้ หนังก็กลับเพิกฉายในการสร้างความตื่นตระหนกไม่ไว้ใจ ทั้งที่มันอาจช่วยให้ตัวหนังเข้าถึงคนดูวงกว้างได้มากขึ้นจนอดเสียดายไม่ได้ว่าการที่หนังมีฉากหลังเป็นโลกล่มสลายและมีไวรัสแพร่ระบาดแต่คนดูกลับไม่ได้สัมผัสมันจากกลวิธีทางภาพยนตร์ของหนังเรื่องนี้แต่อย่างใดจนทำให้กราฟในการดูหนังเรื่องนี้อาจมีตกบ้าง แต่ก็ยังคงคุ้มค่าที่จะดูเพื่อความบันเทิงอยู่นะ แม้ไอเดียโลกล่มสลายของหนังดูจะคล้าย The Happening (2008) ผสมกับ The Quiet Place (2018) ไปหน่อยก็ตาม

Bird Box ดัดแปลงมาจากนวนิยายในชื่อเดียวกันของจอร์จ มาเลอร์แมน บอกเล่าเรื่องราวของอนาคตอันใกล้ เมื่อโลกของเราจู่ๆก็เกิดเหตุการณ์ฆ่าตัวตายอย่างไร้สาเหตุ ผู้คนที่รอดชีวิตรับรู้แค่เพียงว่า ถ้าหากใครก็ตามที่เผลอเหลือบมอง “มัน” เพียงแค่เสี้ยววินาทีเดียว นั่นหมายถึงจุดจบอันโหดร้ายที่คาดไม่ถึง ไม่มีใครรู้ว่า “มัน” คืออะไร มาจากไหน และมีจุดประสงค์เพื่ออะไรกันแน่

เนื้อเรื่อง

5 ปีให้หลัง มนุษย์ที่เหลือรอดมีแค่เพียงหยิบมือ หนึ่งในนั้นคือ มาร์ลอรี่ (แซนดร้า บลูล็อค) ที่พยายามเอาชีวิตรอดพร้อมกับใช้ชีวิตอยู่กับลูกอีกสองคนของเธอที่บ้านริมน้ำ รอวันที่โอกาสเหมาะสมเพื่อที่เธอจะได้หนีออกไปยังสถานที่ที่ปลอดภัย หลังจากที่ได้รับสัญญาณวิทยุว่ามีสถานที่ลี้ภัยซึ่งปลอดภัย แต่ด้วยระยะทางกว่า 20 ไมล์ ที่มาร์ลอรี่และลูกๆจะต้องปิดตาและล่องเรือไปในแม่น้ำที่เชี่ยวกราก ทำให้เธอต้องใช้สัญชาตญาณ ตัวเธอเองและเสียงรอบข้างในการพิจารณาอันตรายที่คืบคลาน แต่ถ้าหากการตัดสินใจที่ผิดพลาดเพียงครั้งเดียว นั่นอาจจะหมายถึงจุดจบ!

การดำเนินเรื่อง

ช่วงแรกก็ดูน่าติดตามใช้ได้นะ มีความสยองปนลึกลับ เปิดตัวมาให้เห็นนางเอกอยู่บนเรือกับเด็กสองคน กำลังเดินทางไปไหนซักแห่ง และเธอก็กำชับลูกว่าห้ามเปิดผ้าปิดตาเด็ดขาด เข้าใจมั้ย! ไม่ว่ายังไง และหนังก็ตัดกลับมา ห้าปีที่แล้วก่อนเกิดเรื่อง นางเอกท้องแก่กำลังมาอุลตร้าซาวด์ในโรงบาล ก็มีข่าวทีวีคนที่มีอาการคลุ้มคลั่ง บลาๆๆ และสักพักก็เกิดเหตุแถวๆ นางเอกเนี่ยแหละ ประมาณมีพลังงานอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นเข้าสิงคนให้บ้าคลั่งฆ่าตัวตาย แล้วเธอก็ต้องหนีตายขับรถไปจนไปขอหลบในบ้านหลังนึง ให้เราทำความรู้จักกับคนอื่นที่อยู่ในบ้าน นิสัยคนคร่าวๆ ซึ่งจุดนี้ถือว่าทำได้ดีนะ ดูน่าติดตามและลุ้นดี และพวกฉากวุ่นวายบนถนนทุ่มทุนสร้างสูงกว่าหนังเกรด B ทั่วไป

แต่พอชมไม่ทันขาดคำ หนังก็แสดงอิทธิฤทธิ์เสกพระอินทร์เข้าร่างคนดูทันที เพราะมันโคตรเอื่อยยย โคตรง่วงสัสๆ หลังจากช่วงนั้นคือหนังสลับไปมาสองไทม์ไลน์ 5 ปีที่แล้ว กับปัจจุบันในแม่น้ำ และยังไม่พอแต่ละจุดยังมีสลับช่วงเวลาแยกย่อยลงไปอีก แบบก่อนหน้าห้าปีที่แล้วสามชั่วโมง กลับไป 24 ชั่วโมงในแม่น้ำ ตัดไปห้าปีที่แล้วแบบไม่ย้อน ตัดอีกรอบก่อนลงเรือแม่น้ำ คือเมิงต้องการอะไรจากกู 555

และแต่ละจุดที่คัตซีน อารมณ์แม่งโคตรกระโดดจากที่กำลังลุ้น ตัดชึบ นิ่งสงบกลางแม่น้ำได้ห้านาที เอ๊าา เมิงกลับมาห้าปีก่อนอีกละ คุยกันในบ้านไม่กี่ประโยค วาร์ปไปแม่น้ำ คือมันวนไปมาซ้ำซาก คิชเช่เดาง่ายแต่แกล้งสับขาให้ดูงงๆไปอย่างงั้น และไม่มีประโยชน์เลยสักนิดที่จะย้อนไปมา ไม่ได้ทำให้เราได้ข้อมูลเพิ่ม หรืออยากติดตามเลย

การเล่าเรื่อง การตัดต่อซีนมีปัญหาค่อนข้างหนัก และจุดที่น่าผิดหวังที่สุดก็เห็นจะเป็นเนื้อเรื่องที่ห่างไกลเทรลเลอร์เอามากๆ ที่เหมือนวางคอนเซปต์หลอกให้เราดู ทั้งๆที่เว็บสตรีมหนังแม่งแทบจะไปคนละทางเลย เทรลเลอร์มาเป็นแนวระทึกขวัญเว้ย มีเอาตัวรอด ดราม่าด้วย เฮ้ยยย โคตรลุ้นเลยว่ะ น่าดูๆๆ คงจะอารมณ์ประมาณ walking dead แน่ๆ แต่พอดูจนจบนี่อยากจะให้ผีมันเข้าสิงกู แล้วเอาหัวโขกกำแพงตายจริงๆ ถ้าหนังมันชั่วโมงครึ่งอาจจะไม่ค่อยเบื่อมาก แต่นี่เป็นหนังสองชั่วโมงที่ราบเรียบจนแผ่นกระดาษเรียกพี่จริงๆ
รีวิว Bird Box

จุดเด่น

จุดเด่นของหนัง (และนิยาย) มาจากการสร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ชมด้วยการทำให้คนดู “ไม่รู้” ว่าอันตรายที่คืบคลานเข้ามาคืออะไร มีจุดประสงค์อะไร แต่หนังได้วางเงื่อนไขบางประการเอาไว้ เพื่อให้ผู้ชมเข้าใจว่า ถ้าหากตัวละครในเรื่องไม่ทำตาม “ข้อห้าม” จะเกิดอะไรขึ้นกับตัวพวกเขาบ้าง

ยิ่งไปกว่านั้นความน่าสนใจคือ Bird Box ไม่ได้เล่าเรื่องเรียงตามลำดับเวลา หนังเปิดเรื่องมาที่เหตุการณ์ที่มาร์ลอรี่ต้องปิดตาและออกล่องเรือไปในแม่น้ำ พลางกับตัดสลับเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นประมาณ 5 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เหตุการณ์ประหลาดได้ก่อตัวขึ้น และได้พรากชีวิตมนุษย์ไปเป็นจำนวนมาก

เหตุการณ์ในช่วง 5 ปีย้อนอดีต ได้บอกเล่าที่มา ความเป็นไปของตัวละครมาร์ลอรี่ได้อย่างน่าสนใจ ทำให้เห็นพัฒนาการของตัวละครว่าทำไมเธอจึงกลายเป็นหญิงแกร่งและเกือบจะกลายเป็นคนที่ไร้หัวจิตหัวใจกับลูกๆ (เธอไม่เคยตั้งชื่อลูก เรียกพวกเขาแค่เพียงเด็กชายและเด็กหญิงเท่านั้น) หรือกระทั่งฝึกฝนลูกน้องทั้งสองราวกับฝึกทหาร ประกอบกับช่วงแรกที่เกิดเหตุการณ์วิปโยค หนังก็ได้ออกแบบสถานการณ์ระทึกขวัญที่ทำให้เราลุ้นระทึกไปกับภารกิจต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการทดลองแอบมองโลกภายนอกผ่านกล้องวงจรปิด การเดินทางไปออกไปหาเสบียงเพิ่มเติม ตัวละครที่ทรยศเพื่อนที่เหลือ หรือกระทั่งการเชื้อเชิญคนแปลกหน้าเข้ามาในสถานที่หลบภัย เป็นต้น

สรุป

Bird  Box จัดได้ว่าเป็นหนังระทึกขวัญที่ทำออกมาได้ดูสนุก ลุ้นระทึก และนำไปสู่บทสรุปที่ผู้ชมอยากเอาใจช่วยตัวเองของเรื่องให้รอดพ้นจากอันตรายไปจนสุดทางของเรื่อง  นอกจากนี้ หนังยังทำให้ผู้ชมอยากจะรู้ “เหตุการณ์ต่อไป” หลังจากหนังจบลงว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวละครต่อไปอีกด้วย

แต่ก็อย่างที่ได้เกริ่นไว้ว่าการที่หนังเน้นไปในทางดราม่าส่วนใหญ่ก็ส่งผลให้บางฉากที่หนังสามารถทำให้ตื่นเต้นได้ หนังก็กลับเพิกฉายในการสร้างความตื่นตระหนกไม่ไว้ใจ ทั้งที่มันอาจช่วยให้ตัวหนังเข้าถึงคนดูวงกว้างได้มากขึ้นจนอดเสียดายไม่ได้ว่าการที่หนังมีฉากหลังเป็นโลกล่มสลายและมีไวรัสแพร่ระบาดแต่คนดูกลับไม่ได้สัมผัสมันจากกลวิธีทางภาพยนตร์ของหนังเรื่องนี้แต่อย่างใดจนทำให้กราฟในการดูหนังเรื่องนี้อาจมีตกบ้าง แต่ก็ยังคงคุ้มค่าที่จะดูเพื่อความบันเทิงอยู่นะ แม้ไอเดียโลกล่มสลายของหนังดูจะคล้าย The Happening (2008) ผสมกับ The Quiet Place (2018) ไปหน่อยก็ตาม

กระนั้นก็ต้องยอมรับว่าการแสดงของ ซานดร้า บูลล็อค สามารถชดเชยทุกข้อด้อยของหนังได้จริงๆ โดยแม่แสงดาว บุญล้อม นอกจากจะยังสวยสะพรั่งในวัย 50 แล้วเธอยังสามารถทำให้คนดูสัมผัสได้ถึงความกลัวของผู้หญิงคนนึงที่ต้องหาทางเอาชีวิตรอดและเรียนรู้ความเป็นแม่ในภาวะวิกฤติของโลก เธอทำให้เราเข้าใจในน้ำหนักปัญหาของมาโลรี่ได้อย่างแจ่มชัดทั้งการแบกความรู้สึกผิดจากการเอาตัวรอดแต่ต้องแลกด้วยชีวิตของน้องสาวตัวเองหรือภรรยาของดักลาส ก่อนที่จะตัดสินใจสู้กับวิกฤติเพื่ออีก 2 ชีวิตได้อย่างน่าเอาใจช่วยจริงๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น