รีวิว Black Mirror Season 1 - เมื่อเทคโนโลยี...ก็มีด้านมืด
ซีรีส์ที่มาแรงเป็นกระแสอยู่ในทุกช่องทางตอนนี้จะไม่พูดถึงได้ยังไง ซีรีส์ออกแนวเปิดเผยถึงด้านมืดของเทคโนโลยีและมนุษย์ ถ้าวันหนึ่งเทคโนโลยีพัฒนาไปถึงจุดหนึ่งแล้ว จะส่งผลกระทบอะไรต่อคนเราบ้าง แถมแต่ละตอนของซีรีส์ยังเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกันดูตอนเดียวจบ ทำให้ซีรีส์ Black Mirror ให้อารมณ์ที่แตกต่างกันไป รีวิว Black Mirror Season 1เรื่องย่อ
เทคโนโลยี…สิ่งอำนวยความสะดวกแก่มนุษย์อย่างเรา มันช่วยสร้างและเติมเต็มสิ่งที่เราต้องการได้มากมาย บางทีเราพบแต่ด้านสว่างจนมองข้ามความมืดไป ความมืดที่ปกคลุมไปกับเทคโนโลยีเหล่านี้ จากความว้าวสู่ความเคยชิน เราไม่ได้รับรู้ถึงความมืดนี้อย่างเพียงพอ…นี่คือซีรีย์ที่จะพาเราดำดิ่งไปสู่ความมืดของเทคโนโลยี Black Mirror ซีรีย์แห่งจินตนาการ โดย Netflix Series ว่าด้วยถึงผลเสียของเทคโนโลยีมันเป็นอย่างไรบ้าง นอกเหนือจากประโยชน์ที่เรามักจะมองข้ามสิ่งอื่นไปEpisode 1 : The National Anthem
เริ่มต้นด้วยตอนแรกของซ๊รีย์ชุดนี้ การว่าด้วยสถานการณ์ที่ดูสมจริงที่สุดภายในเรื่องก็ว่าได้ใน Season 1 นี้ กับการว่าด้วยการใช้สื่อออนไลน์ในการบอกกล่าวเกี่ยวกับการจับตัวประกัน ให้นายกรัฐมนตรีต้องทำตามคำขอร้องจากผู้จับกุมไป เหยื่อไม่ใช่ใครอื่น…แต่เป็นเชื้อพระวงศ์คนหนึ่ง นี่เป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญในการหาหนทางช่วยเหลือเจ้าหญิงจากเหตุการณ์ครั้งนี้การเล่าเรื่องภายในตอนนี้ทำออกมาได้น่าสนใจและเสียดสีเรื่องราวความเป็นจริงของสังคม ด้วยพลังของสื่อต่าง ๆ ที่มีการถ่ายทอดเรื่องราวของข่าวออกมารวดเร็วราวกับเชื้อไวรัส มันมีการขยายข้อมูลไปยังผู้คนไม่ใช่แค่เพียงในประเทศ แต่มีการเผยแพร่ไปยังทั่วทั้งโลก จากที่เราคิดว่าจะควบคุมมันได้
แต่กลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง เมื่อโซเชียลมีเดียกลายเป็นสนามข่าวอันทรงพลัง การแสดงความเห็นให้เราได้เห็นมุมมองของผู้คนมากมาย ข้อมูลความรู้สึกมหาศาลได้กลายเป็นแรงกดดันให้คนเราต้องรับความรู้สึกเอาไว้ หากมันมากพอ…มันสามารถกำหนดชีวิตของคนได้เลยทีเดียว นี่เป็นการเสียดสีเรื่องราว Cyber Bullying ไปโดยไม่รู้ตัว นี่จึงเป็นการชำแหละโลกเทคโนโลยีที่มีความใกล้เคียงปัจจุบันมากที่สุดสิ่งหนึ่ง
สรุป
แม้ซ๊รีย์ตอนนี้จะมีเนื้อหาที่ค่อนข้างสั้นมาก ทำให้มันดูเป็นเหตุการณ์ประจวบเหมาะในหลายฉาก ในบางฉากตัดออกไปก็ไม่มีผลต่อเรื่องราว รวมถึงความสมจริงที่ได้เล่าออกมายังไม่ให้เรารู้สึกอินเรื่องราวได้อย่างเต็มที่ จนทำให้ imapact ของซีรีย์ที่ควรจะเป็น มันกลับดูดร็อปลงและไม่สร้างความจดจำแก่ผู้ชมนัก แม้จะมีเรื่องราวที่น่าสนใจและดี แต่อารมณ์การเล่าเรื่องนั้นเหมือนโฆษณาชวนเชื่อ จนคุณค่าได้หายไปจนจืดจาง คาดว่าหลายคนคงรู้สึกเสียดายไม่แพ้กัน หากได้การดำเนินเรื่องราวที่ดีกว่านี้มาช่วย คงทำให้เรื่องราวออกมาน่าสนใจกว่านี้Episode 2 : Fifteen Million Merits
หลังจากได้รับเรื่องราวที่น่าสนใจในตอนแรกไป ทำให้ตอนสองเป็นสิ่งที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก และคิดว่ามันต้องมีอะไรที่พีคยิ่งขึ้นกว่าตอนแรก เมื่อได้เปิดรับชมความรู้สึกเป็นเช่นนั้นจริง ในเรื่องราวดูหนังเกี่ยวกับโลกดิสโทเปีย มนุษย์เราอยู่ได้ด้วยค่าความดี(สกุลเงินในโลกซีรีย์) เราจะต้องปั่นจักรยานเพื่อหาเงินในการดำรงชีวิตตอนนี้เราจะพาเราไปกับ บิง ชายหนุ่มผิวสีผู้ใช้ชีวิตอย่างเหนื่อยหน่าย แต่ชีวิตเขาเปลี่ยนแปลงไปเมื่อได้พบกับ อาบี หญิงสาวอันมีเสียงไพเราะ จนผู้หญิงคนนี้กำลังจะทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงไปโดยไม่มีทางหวนกลับได้
เรื่องราวตอนนี้มาในโลกอนาคตที่เทคโนโลยีแตกต่างไปจากตอนแรกแบบก้าวกระโดด การดำเนินเรื่องทำให้เรารู้สึกว้าวกับเรื่องราวเป็นอย่างมาก เนื้อหาที่มีการถ่ายทอดมีมุมมองให้ความรู้สึกสดใหม่กับเรื่องราวภายในตอน มีการพูดถึงประเด็นการเหยียดเพศ การเหยียดคนอ้วน ชนชั้นทางสังคม และการพูดถึงอุมการณ์ต่างๆ ภายในเรื่องราว มันเป็นการถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้ดีมาก เนื่องจากเห็นภาพได้อย่างเข้าใจง่าย จากสิ่งที่เราพบเห็นในสังคมปกติจนมองข้ามมันไปจากหลักความเป็นจริง
อีกหนึ่งสิ่งที่น่าชื่นชมของตอนนี้คงหนีไม่พ้นการแสดงของ Daniel Kaluuya ซึ่งรับบทเป็น บิง เขาสามารถสร้างความน่าจดจำและเอกลักษณ์ของเรื่องราวได้เป็นอย่างดี จนเรารู้สึกไปถึงภายในจิตใจของตัวละคร ว่าตัวละครต้องรับมือกับสภาวะจิตใจที่พังทลายขนาดไหน การเปลี่ยนแปลงจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง การแบกเรื่องราวให้เรายังอยู่ในจุดโฟกัสเขาได้ตลอดทั้งเรื่อง ข้อนี้บ่งชี้อย่างชัดเจนว่าตัวของนักแสดงคนนี้ มีความสามารถครบเครื่องขนาดไหน
สรุป
แม้จะมีส่วนดีมากมาย แต่ใน Fifteen Million Merits มีข้อเสียในเรื่องสภาพสังคมที่แตกต่างกันเกินไป มันเป็นข้อดีกับการที่ให้ บิง เป็นตัวแทนของผู้ชม แต่การรับชมโลกที่เต็มไปด้วยความแตกต่าง มันทำให้เรารู้สึกไม่สามารถอินกับเรื่องราวได้อย่างเต็มที่ เพราะในการดำเนินเรื่องไป ตัวละครอื่นภายในเรื่องล้วนแตกต่างจาก บิง โดยสิ้นเชิง เหมือนกับ บิง ข้ามมายังอีกโลกหนึ่งอย่างไรไม่รู้ มันควรจะมีเรื่องราวที่ make sense มากยิ่งขึ้นกว่านี้เพราะการที่ตัวละครแปลกจนเกินไป มันทำให้เรื่องราวออกมาไม่สมดุลเท่าที่ควรนัก นั่นจึงเป็นหนึ่งในบาดแผลสำคัญของเรื่องราว อีกหนึ่งจุดคือการใช้ตัวละครไม่คุ้มค่า ในเรื่องราวเราจะได้เห็นตัวละครบางคน เหมือนจะมีส่วนสำคัญกับเรื่องราว…แต่สุดท้ายก็ตัดบทจนกลายเป็นตัวละครประกอบไป บาดแผลนี้เมื่อตอกย้ำไปที่จุดเดิม ทำให้ข้อเสียของเรื่องราวใหญ่มากยิ่งขึ้นไปอีก
Episode 3 : The Entire History of You
แล้วก็มาถึงตอนสุดท้ายของซีรีย์ Black Mirror Season 1 จากการเกริ่นเรื่องราวอย่างน่าสนใจไปทั้งสองตอน ส่งผลให้ตอนจบของ Season 1 เป็นหนึ่งในเรื่องที่น่าจับตามองมาก การทะยานความตื่นเต้นมากยิ่งขึ้นเรื่อยมา และนี่คือจุดพีคที่น่าจดจำจนทำให้ซีรีย์เรื่อง Black Mirror กลายเป็นหนึง่ในเว็บดูหนังซีรีย์ที่น่าจับตามองที่สุดใน Netflixในตอนจบนี้เองมีการบอกเล่าเรื่องราวในยุคที่เทคโนโลยีก้าวล้ำจนทุกคนมีความจำส่วนตัวของตัวเอง สามารถแชร์ภาพที่เราพบเห็นเป็นรูปแบบวีดีโอได้ การย้อนกลับเหตุการณ์ไปดูเป็นเรื่องง่าย ด้วยเทคโนโลยีนี้เองทำให้เราสามารถมีช่วงเวลาที่มีความสุขได้อย่างต่อเนื่อง ความทรงจำจะกลายเป็นสิ่งถาวร…แต่หากเกิดเรื่องราวบางอย่างขึ้นจนเทคโนโลยีนี้ก่อให้เกิดปัญหาละ
เรื่องราวตอนนี้เกี่ยวกับ Liam ได้ไปงานเลี้ยงเพื่อพบปะเพื่อนฝูง ทุกอย่างดูจะราบรื่นเหมือนการ Reunion ทั่วไป แต่เรื่องราวได้เกิดจุดหักเหขึ้นเมื่อได้พบกับแฟนเก่าของภรรยาเขาอย่าง Jonas ด้วยความสัมพันธ์ที่แสดงออกมาอย่างผิดสังเกต ทำให้ Liam มีความสงสัยถึงความมั่นคงของตนเองกับภรรยา นั่นทำให้บรรยากาศภายในบ้านเปลี่ยนแปลงไป
ต้องบอกเลยว่านี่เป็นตอนที่ดีที่สุดของ Season 1 เพราะแม้จะมีเรื่องราวค่อนข้างธรรมดา สามีจับผิดภรรยาเรื่องนอกใจ แต่ก็ทำออกมาได้อย่างมีชั้นเชิงและมีความน่าติดตามตลอดทั้งเรื่อง ยิ่ง Scene สุดท้ายที่ตัดสลับภาพความทรงจำ บอกเลยว่าจะเป็นซีนในตำนานของ Black Mirror ไปอีกนานแสนนาน
แม้ในส่วนของตัวละคร Liam อาจจะดูเวอร์และความเป็นมนุษย์น้อยไปบ้างช่วงก่อนถึงองค์สาม แต่โดยภาพรวมและองค์สามถือเป็นหนึ่งในตัวละครน่าจดจำในซีรีย์เรื่องนี้เลย ผมคิดว่าหากมีการสานต่อในรูปแบบภาพยนตร์ความยาว 2 ชั่วโมง มันคงจะเป็นภาพยนตร์เรื่องเยี่ยมแน่นอน เพราะขนาดช่วงเวลากว่า 50 นาทียังสะกดใจคนดูได้ขนาดนี้
หากได้เล่าเรื่องอย่างเต็มอิ่มมันจะสุดยอดขนาดไหน เรียกว่าหากต้องเลือกรับชมได้ตอนเดียว คุณต้องดูตอนสุดท้ายของ Season 1 ไม่งั้นคุณจะพลาดหนึ่งในตอนที่ดีที่สุดของ Netflix ไป ตอนที่ให้เราเข้าใจถึงความสัมพันธ์สามีภรรยา, ย้ำเตือนให้เรามั่นคงกับความรักของเรา และการก้าวข้ามความเจ็บช้ำของความสัมพันธ์ไป เรียกว่า The Entire History of You ทำออกมาได้ถึงกระดูกเลยละครับ
สรุป
หากจะบอกข้อเสียของตอนนี้ คงต้องบอกว่าในส่วนของเนื้อหานั้นค่อนข้างจะเหมาะเจาะเกินไปในหลายจุด การให้ความเป็นมนุษย์ของตัวละครแสดงออกมาน้อยจนเกินไป จนบางทีตัวเอกของเรื่องได้ขาดความเป็นมนุษย์ไป เหมือนเราดูสิ่งที่ตัวเอกกำลังจัดฉากเอาไว้อยู่ เมื่อทุกอย่างประจวบเหมาะมันก็พร้อมที่จะทำงานในส่วนของมันเอง แม้มันจะมีข้อดีในการกระตุ้นอารมณ์เราได้เป็นอย่างดี จนบางครั้งเรามองข้ามในข้อผิดพลาดนั้น แต่ยังไงก็ยังขาดความสมจริงในส่วนนี้อยู่ดี นั่นทำให้เป็นสิ่งที่น่าเสียดายมาก หากมีการวางแผนที่เฉียบคมกว่านี้ ตอนจบของ Season 1 จะเป็นหนึ่งในตอนที่ดีที่สุดในซีรีย์นี้ไปโดยปริยาย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น