วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2563

Mystic Pop-up Bar

หนังใหม่เต็มเรื่อง

รีวิว Mystic Pop-up Bar - มนต์มายา ณ ร้านลับแล

ซีรีส์เกาหลี Original Netflix เรื่องราวของบาร์ลับแลที่ช่วยเหลือผู้คนที่มีปัญหาในใจโดยการเข้าไปในความฝัน สร้างจากการ์ตูนในเว็บตูนเกาหลีที่ชื่อ Ssanggap Pocha (ชื่อเกาหลี “쌍갑포차”) ดูผ่าน Netflix รีวิว Mystic Pop up Bar

เรื่องย่อ

เรื่องราวของ วอลจู ลูกสาวร่างทรง เธอเป็นเด็กสาวที่มีพลังพิเศษ สามารถเข้าไปในความฝันของคนแล้วช่วยแก้ปัญหาคนที่ฝันร้ายได้ จนเธอเ้มีโอกาสได้เข้าไปช่วยให้องค์ชายในวังหายจากอาการฝันร้าย แต่ชาวบ้านต่างเอาวอลจูไปพูดในทางที่ไม่ดี ทำให้เธอต้องหนีออกจากหมู่บ้าน แต่หลังจากที่หนีไปบ้านของเธอถูกวางเพลิง และแม่ตายในกองไฟ วอลจูโกรธมากเลยตัดสินใจไปผูกคอใต้ที่ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ เทวดาบนสวรรค์โกรธมาก เลยสาปแช่งให้วอลจูต้องเป็นวิญญาณมาเปิดร้านเหล้า คอยช่วยเหลือคนทางความฝันให้ครบ 100,000 คน ในช่วงเวลาร่วม 500 ปี มาจนถึงปัจจุบัน เธอได้ช่วยคนไปแล้ว 999,90 คน ขาดอีก 10 คน แต่เธอเหลือเวลาอีกแค่ 1 เดือนเท่านั้น ที่จะต้องช่วยคนให้ครบ 100,000 คน ถ้าเธอช่วยไม่ทันวิญญาณจะต้องตกนรก ซึ่งพระเอก ฮันกังแบ เป็นลูกจ้างชั่วคราวในซุปเปอร์ที่ร่างกายมีพลังพิเศษ ใครมาสัมผัสตัวจะบอกความในใจททั้งหมด วอลจูเองก็หาคนที่จะระบายความในใจตรงไปตรงมาไม่ได้ นางทำไรไม่ค่อยได้นอกจากเมาเป็นอีบ้าอยู่ทุกวัน พอพระเอกสามารถหาคนที่ระบายความในใจออกมาได้ วอลจูเลยตกลงกับพระเอกให้มาช่วยงานที่บาร์


ซีรีส์เกาหลี เรื่องสุดท้ายก่อนเข้ากรม ยุกซองแจ เรื่องนี้เป็น Original Netflix  สร้างจากการ์ตูนในเว็บตูนเกาหลี เรื่อง Ssanggap Pocha (쌍갑포차) ที่เปิดมา Ep แรกบอกเลยว่ายังไม่ติดใจสักเท่าไหร่ เพราะปูมหลังดูบางเบาและรวบรัดไปนิด แต่เดี๋ยวก่อน ซีรีส์เรื่องนี้เข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่ท้าย ๆ Ep1 เป็นต้นไปนี่แหละ

ซีรีส์เกาหลี Original Netflix เรื่องราวของบาร์ลับแลที่ช่วยเหลือผู้คนที่มีปัญหาในใจโดยการเข้าไปในความฝัน สร้างจากการ์ตูนในเว็บตูนเกาหลีที่ชื่อ Ssanggap Pocha (ชื่อเกาหลี “쌍갑포차”) ดูผ่าน Netflix หลังสามทุ่มทุกวัน พุทธ-พฤหัส ความยาวของซีรีส์ตอนละชั่วโมง 12 ตอนจบ (จบ 25 มิถุนายน 2020)

เนื้อเรื่อง

เปิดเรื่องมา Ep แรก เรื่องเล่าไปถึงที่มาของนางเอกตั้งแต่สมัยโชซอน วอลจู (พักซีอึน)มีแม่เป็นร่างทรงทำให้เธอได้รับพลังพิเศษมาอย่างหนึ่งคือ สามารถเข้าไปในฝันของผู้อื่นได้เพียงจับมือ ซึ่งความสามารถพิเศษนี้ทำให้เธอได้มีโอกาสช่วยเหลือผู้อื่นมาตลอด จนชื่อเสียงเลื่องลือเข้าไปถึงในวัง เมื่อความทราบถึงพระมเหสี วอลจู ก็ถูกเรียกเข้าวังในทันทีเพราะในขณะนั้น องค์รัชทายาทเป็นโรคหลับไม่ตื่น

วอลจูก็เข้าไปรักษาองค์รัชทายาท ด้วยวิธีที่เธอใช้กับทุกคนคือ สัมผัสมือและเข้าไปในฝัน ปลอบประโลมวิญญาณที่บาดเจ็บจนรัชทายาทหายประชวร แต่ก็มีเหตุอันไม่คาดฝันเกิดขึ้นจนได้เมื่อชาวบ้านเกิดอิจฉาริษยาที่วอลจูได้ดิบได้ดี ก็เกิดเสียงลือเสียงเล่าอ้างต่าง ๆ นานา ว่า “รัชทายาทแอบมาหาวอลจูทุกคืน เธอถึงมีหน้ามีตาแบบนี้ไงเล่า” เมื่อปากคนยาวกว่าปากกาภัยก็มาถึงตัว ความทราบไปถึงพระมเหสี แม่บอกให้เธอหนีไปและมอบปิ่นปักผมให้เธอ ไอ้ปิ่นปักผมนี่ก็เหมือนจะเป็นสื่ออะไรสักอย่าง

หลังจากนั้นแม่เธอถูกฆ่า บ้านถูกเผา วอดเลยจ้ะไม่เหลืออะไรสักอย่าง เด็กสาววอลจูคับแค้นใจในโชคชะตาและเกลียดมนุษย์ด้วยกันทันที ครอบครัวต้องพังพินาศเพราะลมปากคน เธอก็เลยไปผูกคอตายใต้ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นที่เคารพกราบไหว้ของคนในเมือง ประมาณว่าเป็นต้นไม้คู่บ้านคู่เมืองก็เลยตั้งใจมาตายมันตรงนี้นี่แหละ เย้ยมันซะเลย พอตายไปแล้วที่ปรโลกวอลจูก็ถูกตัดสินโทษจาก เทพเจ้ายอม ให้มาอยู่ในโลกมนุษย์แบบไม่ตาย มีอายุยืนยาวแบบสวยสะพรั่ง เพื่อชดใช้ความผิดที่ไปผูกคอตายที่นั่นด้วยการให้ช่วยผู้คนที่ทุกข์ใจ 1 แสนคน ภายในเวลา 500 ปีให้ได้

ตัดภาพมาที่ยุคปัจจุบัน วอลจู (ฮวังจองอึม) เปลี่ยนจากเด็กวัยรุ่นแบ๊ว ๆ เป็นสาวมั่นสุดเฉี่ยว เดาว่าวอลจูเติบโตขึ้นมาตั้งแต่ใช้ชีวิตอยู่ในโลกหลังความตาย (มีความน่าจะเป็นที่ Ep2) เธอเปิดธุรกิจบาร์เหล้าข้างทางชื่อ บาร์ลับแล โดยมี หัวหน้ากวี่ (ชเววอนยอง) อดีตตำรวจมือปราบล่าวิญญาณในโลกหลังความตาย เป็นผู้ช่วย บาร์นี้ไม่ได้จะเปิดให้คนเห็นอยู่ตลอด เป็นบาร์นินจาแบบเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ มาถึงปัจจุบันนี้เธอทำภารกิจสำเร็จไป 9 หมื่นกว่าคนแล้ว เหลืออีกเพียง 10 คนเท่านั้นก็จะครบแสนคน แต่มันก็ยากมาก ๆ เพราะคนสมัยนี้มักจะเก็บความทุกข์ไว้ในใจ

เทพเจ้ายอม ให้เวลาเธออีกแค่เดือนเดียวเท่านั้นถ้าไม่ครบแสนคนภายใน 1 เดือน เธอจะต้องลงนรกทันที แต่ก็เหมือนว่าแต้มบุญเธอจะสะสมมาดีอยู่เหมือนกัน เธอได้พบกับ ฮันกังแบ (ยุกซองแจ) ชายหนุ่มที่มีความสามารถพิเศษ สามารถเปิดใจผู้คนให้ยอมเล่าเรื่องราวทุกข์ใจได้ด้วยการสัมผัสตัว ทั้ง ๆ ที่เจ้าตัวก็ไม่อยากจะฟังและเป็นทุกข์กับความสามารถพิเศษนี้ของตัวเองมาก เพราะมันเหมือนคำสาปที่ทำให้เขาถูกตัวใครไม่ได้เลย โดนปุ๊บเล่าปั๊บ แล้วก็เป็นเรื่องราวลับ ๆ ในใจที่ส่วนใหญ่ไม่ใช่เรื่องดีซะด้วยสิ สองคนทำสัญญากัน “เธอช่วยฉัน ฉันจะช่วยให้เธอหายจากสิ่งที่เธอเป็น” ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการได้ช่วยเหลือผู้อื่นอย่างไม่รู้ตัว

การดำเนินเรื่อง

ซีรีส์ขายความเป็น คอมเมดี้-แฟนตาซี แต่เริ่มต้นมาแบบบางเบาไปสักหน่อย อารมณ์เหมือนชงเหล้าแก้วแรก ที่เริ่มจากบาง ๆ ไปก่อน ชิมลางพอชุ่มคอแล้วค่อยจัดหนัก เติมหนังใหม่เต็มเรื่องให้เข้มขึ้นเรื่อย ๆ เรื่องนี้ตัวละครจะเข้าไปอยู่ในความฝันของผู้คน จัดการสะสางสิ่งที่อยู่ในใจและจิตสำนึก ความโอเวอร์แอ็กติ้งบอกเลยว่ามาเต็มมาเยอะ จนดูล้น ๆ แต่ก็เข้าใจได้กับเส้นเรื่องที่ปูไว้ เป็นตลกร้ายแบบคอมเมดี้ที่มีเส้นเรื่องยืนอยู่เส้นเดียวคือ บาร์ลับแลที่เปิดมาเพื่อล่อแมงเม่าให้บินเข้ากองไฟ เพื่อภารกิจหนีนรกของวอลจู และแมงเม่าเหล่านั้นก็คือลูกค้าที่มีความทุกข์ใจ ไม่ได้รับความชอบธรรม มีเรื่องคับแค้น จนตรอกและสิ้นหวัง

เมื่อฮันกังแบแตะตัว ลูกค้าจะเปิดใจเล่าเรื่องลับ ๆ ให้ฟัง วอลจูก็เอาเหล้าให้กินแล้วเข้าไปช่วยให้คลายทุกข์ แต่เส้นเรื่องรองของตอนต่าง ๆ แตกต่างกันไป ซึ่งในแต่ละเคสก็เคลียร์จบในตอนไม่มีค้างคา เริ่มตอนใหม่เป็นเรื่องของคนใหม่ที่บรรยากาศแตกต่างกันสิ้นเชิง มีดราม่าเรียกสะอื้นได้ในตอนที่ 2 มีเรื่องซับซ้อนข้ามภพในตอนที่ 3 มุกจิกกัดเรื่องระบบราชการในตอนที่ 4 เท่าที่ดูมา 4 ตอนยังหาความน่าเบื่อไม่เจอ อารมณ์ที่ได้ในตอนนี้ก็คือ ฮาไม่จำกัดจำนวน

จุดขายของเรื่อง

มองว่าความฮาน่าจะเป็นจุดขายของเรื่องนี้เพราะทั้งบทและคาแร็กเตอร์ตัวละคร เอื้อไปในทางนั้นซะส่วนมาก มีความโอเวอร์แอ็กติ้งเกินเบอร์ โดยเฉพาะตัววอลจูที่ใส่อินเนอร์ความฮาออกมาได้อย่างลงตัว โดยเฉพาะเนื้อเรื่องมีความจิกกัดสังคมโลก แทบจะทุกอณูของเนื้อเรื่องแล้วเป็นมุกที่เข้าใจง่ายไม่ยากเย็นอะไรซะด้วยสิ คือมาแบบเนียน ๆ ไม่เฝือแถมยังกลมกลืน ไม่ใช่มุกฮาน้ำตาเล็ดแต่สามารถขำได้ตลอดเรื่อง

สลับกับความดราม่าในเนื้อเรื่องของตอนนั้น ๆ ที่ไหลออกมาได้แบบไม่ขัดขา ในขณะที่วอลจูทำภารกิจคลายปมให้แต่ละคน นางจะออกแบบความฝันและเข้าไปในนั้น จัดการนู่นนี่นั่นจนประสบผลสำเร็จ ในส่วนนี้ความแฟนตาซีมาค่ะ มีชีวิตในโลกจริง โลกในความฝัน โลกหลังความตาย ที่ผสมความคอมเมดี้พร่างพราวตลอดทั้งเรื่อง เป็นมุกกระจัดกระจายสไตล์เกาหลีที่ไม่เลอะเทอะ เวลาขำก็ขำจริง ถึงบทดราม่าก็ซึ้งจริงแบบพอดิบพอดี ไม่ถึงขนาดหัวเราะท้องแข็งหรือดราม่าน้ำตาเล็ด

รีวิว Mystic Pop-up Bar


ดราม่าและการเสียดสี

ถึงเนื้อเรื่องจะครอบคลุมความเป็นคอมเมดี้ แต่มีความดราม่าและเสียดสีสอดไส้อยู่ กำลังขำ ๆ อยู่ดี ๆ อารมณ์ดราม่าก็มาซะงั้นและมาแบบเนียน ๆ ไม่ฉึบฉับ ดูกลมกลืนไปกับเนื้อเรื่องหน้าตาเฉย แถมหนังออนไลน์ยังเป็นความจริงในสังคมโลกที่ไม่ว่าจะอยู่ซีกไหนของมุมโลกก็ล้วนแล้วแต่จะต้องพบเจอกับเรื่องราวเหล่านี้ ความอยุติธรรมที่แบ่งแยกชนชั้นที่ฉาบอยู่ในทุกยุคสมัย การถูกกดขี่ข่มเหงจากคนในสังคม ซึ่งถ่ายทอดออกมาได้ดีและเข้าถึง จนไม่ไปกระทบกับความคอมเมดี้ที่กำลังขายอยู่

อีกอารมณ์ที่ซีรีส์ใส่เข้ามาคือ บู๊แอ็กชัน ที่แน่นอนว่ามันก็ไม่กระดากอีกนั้นแหละ เพราะตัวเรื่องและบทที่ดำเนินในฉากนั้น เกิดจะเข้ากันดีซะอีกด้วยซึ่งแอ็กชันกับคอมเมดี้ก็เข้ากันดีมานานแล้วในซีรีส์ที่เราเห็นจนชินตา พอมาอยู่ในเรื่องนี้แล้วได้ ฮวังจองอึม กับ ชเววอนยอง มาเข้าคู่กัน ก็บอกว่าสองคนนี้เอาอยู่กับบทบาทนี้จริง ๆ

ซีรีส์มี 12 ตอน แต่จะมาให้ดูอาทิตย์ละ 2 ตอนเพราะเขาออนพร้อมเกาหลี ดูมาถึง Ep4 แล้วก็เข้มขึ้นเรื่อย ๆ ใครที่เพิ่งดูแค่ตอนแรกแล้วอาจจะคิดว่า ก็ธรรมดาไม่หวือหวาเท่าไหร่ แต่ดูต่อไปก่อนค่ะเพราะถือเป็นซีรีส์น้ำดีที่น่าสนใจมากทีเดียว

ในส่วนปมของนางเอก

ซีรีส์มีการ Flash back เข้าไปคลี่คลายปมก่อนตายของนางเอก ซึ่งเป็นจุดที่เราจะงงอยู่แล้วตั้งแต่ตอนแรก ว่าเอ้ยทำไมชาวบ้านซุบซิบนินทา นางเอกทำผิดอะไรถึงต้องโดนเผาบ้าน การเข้าไปพัวพันกับการรักษาอาการป่วยขององค์รัชทายาทมันเสี่ยงชีวิตถึงขนาดนี้เชียว แล้วผลตอบแทนที่ได้คือความตายเนี่ยนะ ก็เดี๋ยวเขามีโผล่ ๆ ให้เห็น ถึงจะยังไม่เฉลยแต่แววคลายปมก็มาแล้วและเราน่าจะต้องเสียน้ำตาให้กับชีวิตอาภัพของนางเอกแหง ๆ เห็นหน้าองค์ชายแล้วอารมณ์รักโรแมนติกน่าจะมาค่ะ

จุดด้อย

ต้องบอกเลยว่าซีรีส์เรื่องนี้ในตอน 1 ค่อนข้างแย่ในหลายจุด ทั้ง CG ทุนต่ำ การเข้าไปโลกในฝันแบบดูทุนต่ำ ไม่ลงทุนสร้างฉากแฟนตาซีอะไรให้น่าสนใจเลยสักอย่าง ตัวเรื่องการแสดงออกของตัวละครดูล้นๆ แบบการ์ตูนมากเกินไป เข้าใจว่าทำจากการ์ตูน แต่มันล้นเกินบวก CG ที่ใส่มาให้ดูการ์ตูนเว่อร์ๆ อย่างการยกคนเขวี้ยงลอยไปไกลลิบๆ จนมองไม่เห็นอะไรแบบนี้ ประกอบกับเรื่องเน้นไปในทางโอเวอร์แอ็กติ้งตลอดเวลา ทุกอย่างจึงถูกทำให้เป็นเรื่องตลกไปหมด จนเหมือนเรื่องจะเน้นฮาอย่างเดียว ซึ่งก็ไม่ได้ถึงกับขำมากด้วย ประสบการณ์ที่ใครได้ดูตอนแรกอาจจะไม่ประทับใจอะไร เผลอๆ อาจจะเลิกดูต่อเลยก็ได้

สรุป

เป็นซีรีส์น้ำดีแห่งปีที่มีความแตกต่างจากเกาหลีสูตรเดิมๆ แทบทั้งหมด ตัวเรื่องครบรสมีทุกอย่าง เน้นตลกนำฮาท้องคัดท้องแข็งได้จริงๆ กับแทบทุกมุกที่ปล่อยออกมา ตามมาด้วยดราม่าซึ้งๆ มีแง่คิดดีๆ ทุกตอน ตัวละครโอเวอร์แอ็กติ้งน่ารัก มีเรื่องโรแมนติกข้ามภพกับความรักใสๆ ในโลกปัจจุบัน เรื่องราวแฟนตาซีหลายโลก

บทผูกปมลึกลับซับซ้อนน่าติดตามตั้งแต่แรก และความสนุกทวีคูณขึ้นมาเรื่อยๆ ทุกตอน จนไปถึงตอนจบของเรื่องที่ซึ้งอินไปกับมิตรภาพของตัวเอก 3 คนที่ผูกพันกันแน่นแฟ้น และจบได้อย่างน่าประทับใจลงตัว แนะนำเลยว่าห้ามพลาด

A World Of Married Couple

ดูหนังฟรี

รีวิว A World Of Married Couple

หรือ Doctor Foster ต้นฉบับจากช่อง BBC ซึ่งการรีเมกในครั้งนี้ได้กลายเป็นซีรีส์เกาหลีที่โด่งดังที่สุดเป็นอันดับที่ 3 ในประวัติศาสตร์ของวงการโทรทัศน์ในประเทศเกาหลี รีวิว A World Of Married Couple

เรื่องย่อ

ซีรีส์เล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ของคู่แต่งงานที่เริ่มต้นจากการถูกทรยศจนนำไปสู่การเอาคืนที่กลายเป็นวงวนไม่จบไม่สิ้น ของ จีซอนอู (คิมฮีแอแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว รองผู้อำนวยการโรงพยาบาล ที่แต่งงาน กับ อีแทโอ (พัคแฮจุน) ผู้กำกับภาพยนตร์ ทั้งคู่มีลูกชาย 1 คน คือ อีจุนยอง แพทย์สาววัย 40 ที่ดูเหมือนจะมีพร้อมทุกสิ่งทั้งการงานที่ประสบความสำเร็จและครอบครัวที่มีความสุข แต่เธอกลับถูกสามีและคนรอบข้างเธอทรยศหักหลัง อีแจโอฝันอยากเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียง เขามีธุรกิจนี้ขึ้นมาได้ด้วยเงินสนับสนุนจากภรรยา แม้ว่าเขาจะรักภรรยาของเขามาก แต่อีแทโอก็ตกไปในเหวของความสัมพันธ์ผิด ๆ จนยากจะถอนตัวได้


หลังจากออนแอร์ที่แรกบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่น Viu (วิว) ได้ทำสถิติผู้ชมยอดเยี่ยมสูงสุดในหลายสัปดาห์ติดต่อกัน TTM VARIETY ขอพาไปอ่านเหตุผลที่คุณต้องดูซีรีส์เรื่องนี้

เวอร์ชั่นนี้ถูกยกย่องว่ายอดเยี่ยมทั้งโครงเรื่อง บทบาทการแสดง จังหวะและลำดับในการดำเนินเรื่อง และความร้อนแรงของเนื้อหา โดยได้ดำเนินเรื่องผ่านตัวละครที่เป็นแพทย์ผู้ประสบความสำเร็จในชีวิต รับบทโดย คิมฮีแอ (Kim Hee-ae) ซึ่งดูเหมือนจะมีชีวิตที่เพียบพร้อมแบบในอุดมคติ จนกระทั่งสามีของเธอรับบทโดย พัคแฮจุน (Park Hae-joon) เริ่มมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป จนทำให้ชีวิตที่ดูสมบูรณ์แบบของพวกเขาทั้งคู่ต้องสั่นคลอน

เนื้อเรื่อง

ซีรีส์ที่เรตติ้งแรงสุดและสูงที่สุดในตอนนี้ เมื่อเกาหลีซื้อ Doctor Foster ซีรีส์จากช่อง BBC One ของอังกฤษมารีเมค แปลงบริบททางสังคมต่างๆ ให้เข้ากับเกาหลี มีความเป็นเอเชียมากขึ้น ซึ่งตัวเรื่องเล่าสั้นๆ ก็คือ ชีวิตครอบครัวสมบูรณ์แบบของหมอหญิง “จีซอนอู” (รับบทโดย Kim Hee-Ae) กับผู้กำกับหนุ่ม “อีแทโอ” (รับบทโดย Park Hae-Joon) ต้องพังทลายลงเมื่อเธอได้รับรู้ว่าสามีแสนดีของเธอมีผู้หญิงคนอื่น

“ดาคยอง” (รับบทโดย Han So-Hee) หญิงสาวสวยลูกคนเดียวของเจ้าของกิจการใหญ่ในเมืองเล็กๆ แห่งนี้ เธอก็เลยต้องพยายามตัดเขาออกจากชีวิตและต้องรักษาลูกไว้ให้ได้ แต่เรื่องมันไม่ง่ายเมื่อสามีของเธอก็ร้ายกาจกว่าที่คิด และพร้อมเปิดศึกแย่งลูกชายคนเดียว  “อีจุนยอง” (รับบทโดย Jeon Jin-Seo) ซึ่งก็มีปมในใจเรื่องพ่อแม่มีปัญหา จนกลายปมทางจิตที่รอวันระบิดอยู่เช่นกัน

ซีรีส์เริ่มต้นด้วยภาพของชีวิตที่สมบูรณ์แบบของครอบครัว ที่มีพร้อมทั้งความรักความอบอุ่น ฐานะทางสังคม หน้าที่การงานและลูกชายที่น่ารัก แต่แล้ว จีซอนอู ผู้เป็นภรรยาก็สังเกตเห็นสิ่งแปลกปลอมที่เล็ดลอดเข้ามาในบ้านจนได้ เส้นผมยาว ๆ สีแดงเส้นเดียว คาใจและกระตุกเซนส์ของผู้หญิงจนเธอเริ่มค้นหาความจริงและได้พบกับความจริงที่ว่า เธอกำลังถูกสวมเขาจากสามีของเธอเองและคนที่เธอไว้ใจรอบตัวเธอก็เป็นผู้สมรู้ร่วมคิด

พูดกันตรงๆ พล็อตของเรื่องนี้ไม่ได้ต่างอะไรจากละครไทยเลยแม้แต่น้อย แต่สิ่งที่เรื่องนี้ทำได้ดีกว่าคือการใส่เหตุของการกระทำและผลลัพธ์ของการกระทำที่มีความน่าเชื่อถือมากกว่า ตรงนี้อาจจะต้องทำความเข้าใจลอจิควิธีคิดของขนบธรรมเนียมละครไทยมาก่อนด้วยว่า ละครไทยเน้นโอเว่อร์ทั้งแอ็กติ้งและบทหลายอย่างที่ดูเกินจริง อย่าง แรงเงาที่ฝาแฝดสวมรอยแก้แค้นแทนกัน

หรือการทรมานทรกรรมนางเอก ก่อนจบด้วยยังไงก็รักกัน ซึ่งก็ไม่ผิดเพราะเป็นสูตรสำเร็จของไทยที่คนดูส่วนใหญ่ทางทีวีก็ชื่นชอบแบบนี้อยู่แล้ว (วัดจากเรตติ้งก็จะเห็นชัด) แต่สำหรับกลุ่มดู Gen ใหม่ๆ ก็อาจจะยี้เมื่อต้องมาดูละครไทยอะไรแบบนี้ แต่แท้ที่จริงแล้วเรื่องแบบครอบครัวผัวเมียเป็นอะไรที่ใกล้ตัวคนดูแทบทุกเพศทุกวัยได้ทั้งนั้น เพราะมันเป็นเรื่องจริงที่มีอยู่แล้ว แค่ละครหรือซีรีส์นำมาแต่งใหม่ให้แซ่บขึ้นไปอีก

ซึ่งในกรณีของ A World of Married Couple นี้ก็คือเกาหลีหยิบยกเรื่องแนวเดียวกับที่ละครไทยชอบทำ แต่มาเป็นในแบบที่ลอจิควิธีคิดละเอียดขึ้น แล้วก็ใส่ความร้ายลึกลงไปในทุกมิติของตัวละครทุกตัว (ย้ำว่าทุกตัว) พร้อมทั้งขยายโลกของชีวิตแต่งงานในด้านที่ไม่สวยหรูออกมาให้คนดูได้เห็นกันแบบเป็นเหตุผลมากกว่าที่ละครไทยติดโอเว่อร์นิยมทำกัน

จุดเด่น

จุดเด่นของเรื่องนี้ที่สุดก็คงเป็นวิธีคิดและการกระทำของตัวเอกทั้ง 2 คน จีซอนอูกับอีแทโอ ที่ต้องเรียกว่า “หญิงก็ร้าย ชายก็เลว” แม้คนดูอาจจะเอาใจช่วยจีซอนอูในฐานะนางเอกที่ถูกกระทำก่อน แต่การโต้กลับและแผนการหลายๆ อย่างของเธอก็เกินคนปกติทำเหมือนกัน ขนาดที่เชื่อว่าผู้ชายที่มีครอบครัวดูเองก็อาจจะเสียวๆ ว่าถ้านอกใจแฟนก็อาจจะเจอแบบนี้ได้

ซึ่งในกรณีของเธอตัวเรื่องมีปูเหตุผลไว้ลึกๆ เกี่ยวกับปมทางจิตใจที่เธอเองก็เคยประสบเหตุการณ์บางอย่างเกี่ยวกับปัญหาครอบครัวของพ่อแม่มาเหมือนกัน นั่นทำให้เธอกลายเป็นเหมือนคนสติหลุดอยู่บ่อยๆ ที่แม้แต่ลูกก็ยังกลัวที่แม่กลายมาเป็นแบบนี้ไปได้ รวมถึงการถูกหักหลังจากคนรอบข้างก็มีส่วนทำให้ตัวละครนี้ลึกๆ กลายเป็นคนจิตใจไม่ปกติไปในที่สุด

ในเมื่อนางเอกกลายเป็นกึ่งๆ ตัวร้ายไปในตัว อีแทโอผู้เป็นสามีก็เลยร้ายไม่แพ้กัน จากความเลวเรื่องนอกใจภรรยาแสนดี ก่อนจะกลายมาเป็นความอาฆาตพยาบาทเมื่อชีวิตที่เขาต้องพึ่งภรรยามาตลอดต้องพังทลายลง เว้ากันซื่อๆ คือเขาเป็นพวก “เกาะผู้หญิงกิน” และก็ย้ายไปเกาะคนใหม่ที่ทั้งสาว สวย รวย ครอบครัวมีอิทธิอย่างสูงกับเมืองเล็กๆ แห่งนี้ แต่แค่นั้นไม่พอบทสร้างให้แทโอเลวร้ายลึกแบบจอมวางแผน แม้เขาอาจจะไปได้ดีกับคนใหม่

แต่กับคนเก่าที่เคยทำอะไรเขาไว้ รวมถึงคนที่เกี่ยวข้องช่วยเมียเก่าเขาไว้ก็ต้องเจอการล้างแค้นทั้งหมดเช่นกัน ทำให้ปัญหาของครอบครัวนี้ใหญ่โตลุกลามขึ้นเรื่อยในเมืองเล็กๆ ที่ใครๆ ก็รู้จักเจอหน้ากันทุกวัน ซึ่งจุดนี้แหละที่ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ดุเด็ดเผ็ดมันส์ด้วยการแก้แค้นไปมาไม่จบสิ้นของสองตัวละคร ที่กลายเป็นทิ้งบอมบ์ความปั่นป่วนให้กับทั้งเมืองได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ก็ยังอยู้ในกรอบของความเป็นไปได้ มีเหตุผลรองรับเป็นปมลึกๆ ทางจิตใจตัวละครที่มีปัญหาหย่าร้างกัน

ปมปัญหาในจิตใจของคู่รัก

ปมทางจิตของเรื่องนี้เองที่เป็นส่วนเสริมที่เรียกว่าดีงามกว่าละครไทยตรงที่ ตัวเรื่องเผยให้เห็นมุมจากด้านมืดที่ส่งผลทำให้ตัดสินใจแก้ปัญหาผิดซ้ำๆ ของตัวละครทุกตัว อย่างนางเอกถ้าไม่หลุดร้ายกลับไปแรงเกินกว่าแค่หย่าร้างในตอนแรก เรื่องก็คงไม่เลยเถิดมาขนาดนี้ แต่ด้วยความรู้สึกในแบบมนุษย์ผู้หญิงที่ดีเพียบพร้อมทุกอย่าง แต่กลับถูกนอกใจมันก็เจ็บแค้นยากเกินกว่าจะทนได้ ทำให้เราเข้าใจได้ว่าถ้าเกิดกับตัวเองก็คงยากที่จะคุมไว้เหมือนกัน

หรืออย่างมุมของอีแทโอที่มองแบบเป็นความรัก อยากครอบครองไว้ทั้งสองคน กับประโยคเด็ด “การรักใครสักคนไม่ใช่เรื่องผิด” ซึ่งการสร้างโลกสองใบโดยให้ตัวเองมีความสุขคนละแบบ ผู้หญิงอาจจะรู้สึกว่าทนไม่ได้ แต่ในมุมของคนนอกใจกลับรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องผิดจริงๆ ในความรู้สึกของเขา แต่แค่มันผิดต่อสังคมที่กรอบคู่รักไว้ด้วยการแต่งงาน ซึ่งซีรีส์ไม่ได้มีมุมแค่ของสองตัวละครหลักนี้ แต่ยังใส่ตัวละครเสริมในเรื่องที่เป็นคนรอบข้างในสังคมที่เกี่ยวข้องกับทั้งคู่ไว้ด้วย

ในประเด็นปัญหาคู่รักครอบครัว แต่มีส่วนปลีกย่อยแตกต่างกัน รวมถึงผลลัพธ์คนละแบบแตกต่างจากคู่หลักของเรื่อง ในกรณีของคู่อื่นก็เป็นแบบเมียรู้แต่ยอมให้ผัวมีบ้านน้อย ก็เพื่อรักษาสถานะครอบครัวไว้ หรือไม่ก็ทำเป็นไม่สนใจคิดซะว่าผู้ชายก็แค่ขับถ่ายของเสียอออกมาตามสัญชาตญาณสืบพันธ์เท่านั้น หรือแม้แต่คู่ของวัยรุ่นที่ฝ่ายหญิงถูกทุบตีทารุณ แต่ก็ยังรักและไม่เอาผิดฝ่ายชายเพราะเชื่อว่าจะเปลี่ยนสันดานได้

ซึ่งตัวเรื่องนี้ทำออกมาได้ค่อนข้างครบมากกับปัญหาชีวิตคู่ในด้านที่ไม่สวยงามเลยสักคน และก็สะท้อนปมที่มาปัญหากับแสดงผลลัพธ์เมื่อเวลาผ่านไป ที่แรกๆ อาจจะดูเหมือนแค่พยายามประคับประคองให้ดีก็ผ่านไปได้ แต่อะไรที่มันผิดพลาดไม่ใช่สักวันมันก็หวนกลับมาทำร้ายชีวิตคู่ได้ทั้งนั้น และไม่ใช่แค่ให้เห็นเรื่องราวแค่ฝั่งผู้หญิง แต่ฝั่งผู้ชายก็ได้เห็นเช่นเดียวกันทุกอย่าง เป็นซีรีส์ที่เปิดโลกให้เห็นปมปัญหาและผลลัพธ์ของการสร้างโลกสองใบขึ้นมาค่อนข้างครบทุกฝ่าย แม้จะเกิดจากผู้ชายก่อน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้หญิงอย่าง “ดาคยอง” ที่ทั้งสาวสวยแต่กลับเห็นผิดเป็นชอบแบบนี้มีจริงๆ ใครมีครอบครัวดูแล้วคงได้ฉุกคิดกันทั้งชายและหญิงแน่นอน

ด้านบทเมียน้อย...?

“ดาคยอง” เป็นตัวละครในบทมือที่สามที่ค่อนข้างแตกต่างไปจากนางร้ายละครไทยมาก แม้ว่าเธอจะมีความร้ายลึกๆ จากการเห็นผิดเป็นชอบในเรื่องนี้ แต่ถ้ามองกันจริงๆ การกระทำต่างๆ ของตัวเธอเองกลับไม่ได้ร้ายเทียบเท่ากับตัวนางเอกจีซอนอูเลย เธอเป็นคนที่แสดงออกตรงๆ มีความรักในตัวแทโออย่างมาก การต่อสู้ของเธอเพื่อให้ได้มาซึ่งความรักกับจีซอนอูก็ค่อนข้างตรงไปตรงมา

อีกทั้งยังหวั่นไหวอยู่ตลอดเวลาว่าเขาอาจจะหลอกใช้เธอ แต่ก็ยังเชื่อว่าเขารักเธอมากเช่นกัน ซึ่งด้วยวัย 20 นิดๆ กับฐานะทางบ้านที่มีอิทธิพลและพร้อมช่วยลูกตลอดเวลา ทำให้ตัวละครนี้ดูมีปมจากการโดนสปอยล์เอาใจมาแต่เด็ก จนไปสู่การเห็นผิดเป็นชอบในที่สุด ซึ่งเรื่องก็นำเสนอให้เห็นผลลัพธ์ที่ค่อนข้างเรียลสมจริง ที่แม้จะเหมือนทำชั่วได้ดี แต่ก็ไม่ได้มีความสุขอย่างที่คาดหวังไว้ และบทสรุปสุดท้ายของชีวิตครอบครัวที่แย่งคนอื่นมาก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่เธอตั้งใจไว้เลย

ปัญหาหลังการหย่า

ช่วงครึ่งหลังของซีรีส์นำเสนอปัญหาของการตัดไม่ขาด แม้จะหย่าร้างไปแล้ว แต่อะไรๆ หลายอย่างก็ยังคงหลงเหลืออยู่ในจิตใจของทั้งสองฝ่าย ซึ่งในคู่ตัวเอกอาจจะมาในรูปของการแก้แค้นกัน แต่ในคู่รองจะมาในรูปแบบของการพยายามกลับมาเริ่มต้นใหม่ ขอโอกาสใหม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่มักเกิดขึ้นของคนที่เมื่อเสียไปจริงๆ ถึงเริ่มคิดได้ แต่แก้วที่ร้าวแล้วก็ไม่สามารถกลับมาต่อติดเหมือนเดิมได้ ตัวเรื่องใส่รายละเอียดชีวิตหลังการหย่าร้างไว้ แล้วกลับยังตัดไม่ขาดได้อย่างละเมียดละไม ซึ่งเมื่อรับชมไปเชื่อว่ามุมมองคนดูเองก็คงรู้สึกกลับมาเห็นใจตัวละครที่กระทำความผิดแล้วสำนึกได้เมื่อสายไปแล้วไม่น้อยเช่นกัน

รีวิว A World Of Married Couple

ช่วงก่อนโค้งสุดท้ายของซีรีส์จะพาคนดูไปหาเรื่องราวของถ่านไฟเก่าที่กลับมาคุกรุ่นอีกครั้ง ทั้งในแง่ของการทำดีหมดใจเพื่อขอโอกาสอีกครั้งของคู่รอง เยริม กับ เจฮยอก สามีที่นอกใจและได้รับบทเรียนจากการตัดสินใจหย่าขาด จนกลายเป็นคนละคนหลังจากนั้นเมื่อรู้ว่าตัวเองไม่มีที่ไปอีกแล้วเมื่อแก่ตัวขึ้น เรื่องใช้คู่นี้มาเปรียบเทียบกับคู่เอกของเรื่องจีซอนอูกับแทโอที่กลับด้านไปในทางร้าย เมื่อถ่านไฟเก่าคุจนกลายเป็นย้อนศรกลับไปทำร้ายลูกอย่างไม่ตั้งใจ และก็ลามไปถึงชีวิตคู่ใหม่ของแทโอกับดาคยอง ที่ดูเหมือนวงจรการมีชู้นอกใจหวนกลับคืนสนองเธออีกครั้ง แม้จะแย่งแทโอมาได้แล้วในตอนแรก

ตัวละครกับแผนซ่อนในใจ

แม้ว่าเรื่องราวจะมีเหตุผลรองรับการกระทำที่ดูแล้วสมเหตุผลมากพอให้เชื่อ แต่ว่าตัวซีรีส์ก็เหมือนจงใจเขียนบทให้เกินจริงไปเหมือนกัน จากการที่ทุกคนในเรื่องมีปมเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายกับตัวนางเอกไปซะทุกคน จนบางทีดูเหมือนนางเอกโดนรุมกินโต๊ะจากคนทั้งเมือง แต่มาอีกสักพักตัวละครเดิมกลับเปลี่ยนใหม่มาดีด้วย ซึ่งถ้ามองว่าเป็นการเขียนบทแบบเทาๆ ให้กับทุกตัวละครก็ฟังขึ้นได้ แต่ก็ยังรู้สึกว่าคนอะไรมันจะพลิกไปพลิกมากันได้ขนาดนี้

แต่ก็เป็นจุดเด่นของเรื่องไปด้วยที่ทำให้แม้พล็อตจะง่ายๆ แต่กลับคาดเดาเหตุการณ์ในเรื่องได้ยากว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะแต่ละคนเหมือนมีแผนในใจกันทั้งหมด แถมยังส่งผลกระทบต่อตัวนางเอกของเรื่องทุกคนด้วย ไม่ใช่แค่เป็นบทเสริมเรื่องรองอะไรแบบนั้น และจุดนี้เองก็เป็นจุดที่แตกต่างจากต้นฉบับ Doctor Foster ด้วยที่เน้นแค่คู่ตัวเอกหลัก แต่เรื่องนี้เน้นผลกระทบจากตัวละครอื่นๆ มาสู่เส้นเรื่องหลักอีกด้วย (จุดที่เริ่มแตกต่างกันมากหลังตอน 8 เป็นต้นไป)

ประเด็นของการเป็นโสด?

ไม่ใช่แค่เรื่องราวของคนมีคู่แต่งงานแล้วเท่านั้น ในเรื่องยังมีประเด็นของการเป็นโสดมาเกี่ยวข้องกับหลายๆ อย่างด้วย ซึ่งถ้าผู้ชายโสดสังคมกลับยอมรับได้เป็นปกติ มีโอกาสก้าวหน้าทางการงานได้ แต่กลับกันพอเป็นเพศหญิงทั้งโสด กลายเป็นถูกประเมิณจากสังคมการทำงานว่าไม่มีความพร้อม ขาดประสบการณ์ครอบครัว ถูกปิดโอกาสก้าวหน้าทางการทำงานไปโดยปริยาย ตรงนี้อาจจะเป็นที่สังคมเกาหลีมีความเชื่อว่าผู้หญิงต้องมีครอบครัวถึงจะสมบูรณ์แบบ ถูกนับหน้าถือตาได้มากกว่าการเป็นโสด แม้จะทำงานเก่งแค่ไหนก็ไม่อาจจะถูกยอมรับได้เท่ากับผู้หญิงที่แต่งงานมีลูกมีสามีจะได้รับการยอมรับมากกว่า

สรุป

สำหรับคนที่ดูละครไทยแนวนี้มาบ่อยๆ มาดูเรื่องนี้ช่วงแรกตอน 1-4 อาจจะไม่ค่อยรู้สึกว่าแตกต่างสักเท่าไหร่ เพราะตัวเรื่องว่ากันจริงๆ มันก็ไม่หนีละครไทยแรงๆ มาก แถมอาจจะดูเบากว่าด้วยเพราะไม่มีฉากตบตีจิกหัวทำร้ายกัน หรือแม้แต่การด่าด้วยคำหยาบออกมาก็ไม่มี แต่สิ่งที่เรื่องนี้ทำได้ดีกว่าคือ ความมีเหตุผลที่มาปมในจิตใจของการกระทำครบถ้วนกว่า ทั้งยังแสดงผลของการกระทำในแบบเรียลๆ สองด้านทั้งชายและหญิงที่ลามไปถึงทุกคนที่เกี่ยวข้อง

ตัวเรื่องช่วงหลังไต่ระดับความพีคกับปมจิตๆ ของทั้งสองตัวเอกมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นเรื่องราวปัญหาทางจิต มากกว่าเรื่องนอกใจมีชู้ในแบบตอนแรก และเรื่องราวยังแผ่ขยายครอบคลุมไปถึงทุกปมปัญหาของการใช้ชีวิตคู่ และชีวิตหลังหย่าร้างได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์แบบทุกมิติมาก

และสำหรับคนที่หวังเรื่องนี้ว่าจะมีฟินหรือแฮปปี้ต้องบอกว่าไม่มีแบบนั้นทั้งสิ้น ต้องเตือนกันไว้ก่อนเลยว่าอารมณ์ของเรื่องเครียดกดดันแทบตลอดเวลาทุกตอน

 

I Am Not Okay with This

หนังใหม่เต็มเรื่อง

รีวิว I Am Not Okay with This - ไอ แอม น็อท โอเค วิท ดิส

ไอ แอม น็อท โอเค วิท ดิส ซีรีส์ Original จาก Netflix ที่ดัดแปลงมาจากคอมมิคในชื่อเดียวกัน แถมยังเป็นของคนเขียนเรื่องเดียวกับ The End of The F***ing World จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ทั้งผู้กำกับจะมาจากซีรีส์เดียวกัน แถมพ่วงผู้สร้างจากซีรีส์สุดฮิตอย่าง Stranger Things มาช่วยกำกับอีกด้วย ในเรื่องนี้จึงมีกลิ่นอายของ TEOFW ค่อนข้างมาก ทั้งโทนภาพ การดำเนินเรื่อง เรื่องราวของวัยรุ่น รวมถึงเพลงประกอบที่เป็นเพลงแนวโฟลคซอง คันทรี่ เสียงกีต้าแต๋วแหน่วเป็นเอกลักษณ์ประกอบฉาก รีวิว I Am Not Okay with This

เรื่องย่อ

ซีรีส์จะเล่าถึง ซิดนีย์ โนแวค (โซเฟีย ลิลลิส) สาวไฮสคูลใช้ชีวิตอยู่กับแม่เพียงลำพังหลังผ่านเหตุการณ์เลวร้ายที่พ่อของเธอฆ่าตัวตาย และในขณะที่ชีวิตเดินมาสู่จุดเปราะบางที่สุด ดีนา (โซเฟีย ไบรแอนต์) เพื่อนสาวสุดฮอตของเธอก็ดันไปหลงผู้จนลืมเธอซะงั้น เมื่อเพื่อนสนิทแยกตัวเธอก็ได้ผูกสัมพันธ์กับ สแตนลีย์ (ไวแอต โอเลฟฟ์) หนุ่มข้างบ้านเพี้ยน ๆ ที่คลั่งไคล้กัญชากับสื่อบันเทิงวินเทจอย่างม้วนเทป VHS และยิ่งใกล้เข้าสู่งานเต้นรำของโรงเรียน ซิดนีย์ ก็ค้นพบพลังจิตที่มีอำนาจทำลายล้างทุกครั้งที่เธอรู้สึกโกรธ จนเธอและแสตนลีย์ต้องหาทางควบคุมมันก่อนจะมีคนต้องตายเพราะอารมณ์เกรี้ยวกราดสุดรุนแรงของเธอ


เรียกได้ว่า Netflix กลายเป็นสตรีมมิงที่ยิ่งใหญ่ได้ก็ด้วยซีรีส์วัยรุ่นหลากแนวโดยเฉพาะแนวทริลเลอร์เหนือธรรมชาติอย่าง Stranger Things หรือจะเป็นซีรีส์วัยรุ่นจิตป่วยอย่าง The End of The Fxxxing World ที่ครองใจคอซีรีส์ทั่วโลก และในโอกาสอันดีที่จะได้เริ่มแฟรนไชส์ซีรีส์ใหม่ Netflix ก็หัวใสด้วยการเอา 2 โหัวโจกได้แก่ โจนาธาน เอนต์วิสเซิล ผู้กำกับจาก The End of The F***ing World มาสุมหัวกับ ชอว์น เลวี ผู้อำนวยการสร้าง Stranger Things มาเขย่าไอเดียวัยรุ่นประสาทแตกกับเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติจนออกมาเป็น I’M NOT OKAY WITH THIS เรื่องนี้นี่เอง..

เดิมที I’M NOT OKAY WITH THIS เป็นคอมิกมาก่อนเขียนโดย ชาร์ลส์ เอส ฟอร์แมน ซึ่งแม้ไม่เคยอ่านคอมิกมาก็ยอมรับเลยว่าตัวเรื่องมีความน่าสนใจอยู่แล้ว เหมือนเอา แครี สาวสยอง (1976) หนังสยองขวัญสุดดังของไบรอัน เดอ พาลมา มาต่อยอดผสมกับดรามาในโรงเรียน แต่ทีนี้พอมันถูกนำมาเล่าโดย โจนาธาน เอนต์วิสเซิล ที่พยายามจะยัดไอ้ความเป็น The End of The F***ing World หนังใหม่เต็มเรื่องตั้งแต่โทนภาพสีซีด ๆ หรือฟอนต์ชื่อเรื่องพร้อมแอกติงตาย ๆ และเสียงบรรยายเรื่องของซิดนีย์ ก็ยอมรับเลยว่ามันทำให้ซีรีส์ดูผลักออกห่างจากคนดูมากกว่าจะทำให้อินเหมือนซีรีส์ฮิตของเขาก่อนหน้านี้

เนื้อเรื่อง

ตัวเรื่องราวจะค่อยๆ เล่าถึงซิดนีย์ (แสดงโดย Sophia Lillis นักแสดงจากเรื่อง IT) ว่าเธอเป็นอะไร ยังไงบ้างที่โรงเรียน ซึ่งเธอเองก็เป็นคนที่เงียบๆ มีเพื่อนไม่มาก ไม่ได้เป็นจุดเด่นอะไรที่โรงเรียน แต่เธอมีเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่ชื่อว่า ดีน่า ซึ่งเข้ากับเธอได้ทุกเรื่อง รวมถึงยังคอยอยู่ข้างๆ ซิดนีย์ในตอนที่เธอศูนย์เสียคุณพ่อไปด้วย ทำให้ดีน่ากลายเป็นคนสำคัญมากของเธอ

ตัดภาพมาที่ด้านครอบครัว เธอค่อนข้างที่จะเข้ากันไม่ได้กับแม่หลังจากที่พ่อของเธอฆ่าตัวตาย แต่เธอก็สนิทกับน้องชายของเธอดี แต่เมื่อปัญหา ทั้งที่บ้านที่เธอทะเลาะกับแม่ และเพื่อนสนิทของเธอที่กำลังไปมีแฟนใหม่ เป็นไอ้หนุ่มสุดฮอตในโรงเรียน (ตามสไตล์อเมริกันไฮสคูลที่จะเป็นคนที่น่าหมั่นไส้มากๆ) นั่นจึงทำให้โทสะในตัวของเธอมันเดือดปุดๆ เสียจนอยากจะระเบิดมันออกมา

ซึ่งมันก็ระเบิดออกมาจริงๆ ในเมื่อข้าวของต่างๆ รอบตัวของเธอเริ่มพังครืนลงมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ทำให้เธอต้องหาเหตุผลว่า เธอเป็นอะไรกันแน่ ทำไมถึงมีพลังนี้ และต้องคอยจัดการกับอารมณ์ตัวเองไม่ให้โกรธกับสิ่งต่างๆ รอบตัว เพราะไม่เช่นนั้นพลังของเธออาจจะระเบิดออกมาจนทำให้เกิดความเสียหายอย่างมาก


รีวิว I Am Not Okay with This

ซีรีส์เรื่องนี้เอาตรงๆ มันคือแนว Coming Of Age ที่เล่าถึงช่วงเวลาแย่ๆ ในชีวิตวัยรุ่น มากกว่าที่จะเป็นแนวพลังวิเศษ หรือซุปเปอฮีโร่ ซึ่งพอมันนำพล็อตเรื่องของทั้งสองอย่างมารวมกัน กลายเป็นว่ามันน่าสนใจมาก ทำให้เราได้ลุ้นและรอเฉลยเกี่ยวกับพลังของเธอ และสนุกไปกับชีวิตในรั้วโรงเรียนไฮสคูลที่มีทั้งดีและแย่ไปได้

แต่ด้วยความที่มันผสมผสานกัน จนทำให้มันไม่สุดไปทางใดทางหนึ่ง อย่างเช่นประเด็นเรื่องเพื่อน  ความชอบหรือเรื่อง Sex ในเรื่อง ก็คงเทียบกับแนวเดียวกันอย่างเรื่อง Sex Education คงไม่ได้ หรือในพาร์ทพลังพิเศษ มันก็ไม่ได้แสดงออกมาเยอะหรือปล่อยพลังตูมตามขนาดนั้น แต่ทุกครั้งๆ ที่มีฉากปล่อยพลัง เอฟเฟคขอบอกเลยว่าทำดีมากเลยล่ะ (การันตีจากผู้สร้าง Stranger Things)

เนื่องจากมันเป็นการผสมเรื่องนั้นนี้เข้าด้วยกัน มันเลยทำให้มีความ Weird ความแปลก ในแบบฉบับของ TEOFW ติดมาด้วย เช่นตัวละครที่เป็นเพื่อนข้างบ้านของนางเอก สแตน เด็กหนุ่มแปลกๆ ที่ขับรถห่วยๆ แถมชอบปรากฏตัวด้วยการเลื่อนกระจกรถยนต์ที่โคตรช้า มันเลยเป็นมุกชวนขำที่เว็บหนัง HDใส่มาแล้วรู้ได้เลยว่า เออ มันเป็นแนวนี้ว่ะ อะไรแบบนั้น แต่มิติของตัวละครก็ใน I Am Not Okay with This ก็ยังไม่ค่อยลึกเท่าไหร่ ทำให้หลายๆ พาร์ท ยังรู้สึก “ไม่อิน” ไปกับตัวเรื่อง

จุดที่ชอบ

ในเรื่องที่ชวนให้ลุ้น ให้ตื่นเต้นตลอดก็คือ เรื่องราวของพลังของซิดนีย์ ที่จะระเบิดออกมาเมื่อเธอโกรธ และเธอก็หาทางระงับความโกรธและพลังไม่ให้มันก่อความเสียหาย และในส่วนของการตามหาความจริงเกี่ยวกับพลังของเธอที่จะเชื่อมไปยังเรื่องราวของพ่อเธอในอดีต และยังแอบใส่บุคลปริศนาที่ยิ่งทำให้เรื่องราวมันน่าลุ้น และอยากรู้มากขึ้นไปอีก แต่สุดท้าย คือ จบ

จุดที่ต้องติติง

ประการแรกเลยคือ การพูดถึงพลังของซิดนีย์ ที่เหมือนจะสร้างความสยอง ความสะพรึงให้คนดู ก็กลับถูกนำเสนอแบบผ่าน ๆ เป็นซีน ๆ เพื่อให้เรื่องราวชวนง่วงเหงาหาวนอนดูมีอะไรขึ้นมาบ้าง แต่กว่าซีรีส์จะโยงไปสู่อดีตของตัวละครและมา “ป๊ะเท่งทึง”  ก็มาซะตอนเกือบจบ แถมในซีซันนี้พลังจิตของซิดนีย์ก็ยังไม่ค่อยส่งผลกับความสัมพันธ์ของเธอกับคนรอบข้างเท่าไหร่ ซึ่งหากเทียบกับซีรีส์ฮิตของโจนาธาน เอนต์วิสเซิลอย่าง The End of The Fxxxing World เราจะพบเลยว่าความสัมพันธ์ของตัวละครเอกที่คาดเดาไม่ได้ช่วยให้เราสนุกกับการดูได้ตลอดโดยไม่ต้องมีฉากทำลายล้างทุกตอนหรือตลอดเวลาเลยด้วยซ้ำ

ประการต่อมาอันนี้อาจจะต่อเนื่องจากเรื่องการแคสต์นักแสดงอย่างที่กล่าวไปแล้วคือการที่ซีรีส์พยายามโยงเข้าสู่เรื่องของการค้นหาเพศสภาพในช่วงวัยรุ่น ที่พอเอาโซเฟีย ลิลลิส มาตัดผมสั้นในวัยที่เธอเริ่มมีอายุเกินวัยรุ่นเฮ้ว ๆ แบบตอน IT ภาคแรกแล้วก็ยิ่งทำให้เราไม่ค่อยอยากจะค้นหาหรือเติบโตไปพร้อมนางเอกนักเพราะในเรื่องตัวละครอย่าง ซิดนีย์ จะไม่ได้ถูกตีตราว่าเป็นเลสเบียนหรือไบเซ็กชวลเลย

เพราะเธอเองก็ค้นหาอารมณ์โรแมนติกทั้งระหว่างผู้หญิง และผู้ชายไปพร้อม ๆ กัน การที่ตัวละครมาพร้อมภาพลักษณ์แบบทอมบอยก็เลยพลอยทำให้คนดูหนุ่ม ๆ อยากเบือนหน้าหนี ยิ่งทั้งเรื่องเธอต้องทำหน้าบูด ๆ บึ้ง ๆ ด้วยแล้วนะ โอ้โหต่อให้มี 8 ตอนก็แทบอยากหยุดดูไปเสียตั้งแต่จบ 3 ตอนแรกซะงั้นน่ะ

โดยรวม

โดยรวมแล้วก็ถือว่าเป็นซีรีส์ที่โอเค ในการนำพล็อตเรื่องของวัยรุ่น (ที่เห็นได้ทั่วไปในซีรีส์สมัยนี้) มาบวกกับพลังพิเศษที่ทำให้เรื่องมันดูน่าสนใจ (เรื่องนี้เรตผู้ชมคือ 18+ ซึ่งมีฉากเลือดสาด เฉพาะตอนท้ายเรื่องเท่านั้น ไม่ได้มีเยอะ) โดยรวมแล้วก็ดูเพลินและน่าติดตาม ติดอยู่อย่างเดียวตรงที่ตอนมันสั้นเกินไป และการจบแบบค้างเติ่งให้รอลุ้นในซีซั่นต่อไป ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ ไปได้ไม่ค่อยสุดทางไหนสักทาง

สรุป

ซีรีส์แนวชีวิตวัยรุ่นผสมผสานกับความแฟนตาซีที่มีความโหดเล็กๆ ทำให้พล็อตเรื่องดูน่าสนใจ แต่ไม่สามารถไปได้สุดทั้งพาร์ทของชีวิตวัยรุ่นและพลังวิเศษ แต่ก็สามารถดูเพลินๆ สนุก น่าติดตาม แถมยังมีกลิ่นอายของซีรีส์อย่าง The End of F***ing World ไว้บวกกับความแฟนตาซีนิดๆ

Teenage Bounty Hunters

ดูหนังฟรี

รีวิว Teenage Bounty Hunters - สาวซ่าล่าค่าหัว

สาวซ่าล่าค่าหัว ซีรีส์วัยรุ่นเรื่องใหม่ของ Netflix เรื่องราวของสองแฝดสาววัยรุ่นวุ่นๆ ที่จับผลัดจับผลูมาเป็นนักล่าค่าหัว จนชีวิตเริ่มปั่นป่วนสุดอลเวงเพราะงานพาร์ทไทม์ลับๆ นี้  รีวิว Teenage Bounty Hunters

เรื่องย่อ

เรื่องราวชีวิตช่วงวัยรุ่นแตกเนื้อสาวเข้ากับการค้นพบตัวเองใหม่ๆ หลายสิ่งหลายอย่าง ไปพร้อมกับการผจญภัยมีชีวิตลับๆ ในโลกอีกแบบหนึ่งที่ซึ่งไม่ค่อยมีคนรู้จักมากนักกับการตามล่าพวกหนีประกันศาล ซึ่งมีอาชีพที่ว่านี้อยู่จริงในชื่อ เจ้าหน้าที่ติดตามการประกันตัว (Bail Recovery Agent) หรือนักล่าค่าหัว ซึ่งถูกต้องตามกฏหมายอเมริกา โดยค่าจ้างมาจากนายประกันที่จ่ายให้เมื่อมีคนหนีคดีไม่ไปขึ้นศาลหรืออยู่นอกเขตควบคุม ซึ่งนายประกันก็จะโดนศาลยึดทรัพย์ เพื่อไม่ให้สูญหลักทรัพย์นายจ้างจึงแบ่งเงินประกันตัวมาเป็นค่าจ้างตามล่าพวกนี้กลับมา โดยที่มีเอกสารจากทางราชการมอบให้นักล่าค่าหัวรับไปทำงานเพียงคนเดียว (หรือบริษัทเดียวกัน ทีมเดียวกัน) ป้องกันการแย่งค่าหัวกันเองของกลุ่มนักล่า นี่จึงเป็นอาชีพที่เสี่ยงชีวิตแบบถูกกฎหมาย และก็ไม่ต้องเป็นตำรวจ แต่ต้องสอบใบอนุญาตให้ผ่านเสียก่อนเท่านั้น


ยังคงมีซีรีส์ใหม่ๆ ออกมาให้เราได้ชมกันอย่างไม่ขาดสายสำหรับทาง Netflix และล่าสุดพวกเขาก็ได้มีการปล่อยตัวอย่างซีรีส์เรื่องใหม่ออกมาแล้วในชื่อเรื่องว่า Teenage Bounty Hunters นั่นเอง โดย Teenage Bounty Hunters นั้นมันจะเล่าเรื่องราวของสองพี่น้อง Sterling และ Blair Wesly ที่จะต้องมาจับมือนักล่าค่าหัวจอมเก๋าอย่าง Bowser Jenkins ในการล่าฆ่าหัวเพื่อปราบปรามอาชญากรรมไปพร้อมๆ กับการเผชิญหน้ากับดราม่าชีวิตในโรงเรียน

โดยตัวซีรีส์นั้นจะได้ทาง Maddie Phillips, Anjelica Bette Fellini และ Kadeem Hardison มานำแสดง โดยจะได้ทาง Kathleen Jordan จาก Amarican Princess มาทำหน้าที่ในการสร้าง ทีมงานสร้างจากซีรีส์ Orange is the New Black มาช่วยเหลือในการอำนวยการสร้างอีกด้วย และตัวซีรีส์ก็เตรียมออกฉายให้เราได้ชมกันแล้วในวันที่ 14 สิงหาคมนี้

เนื้อเรื่อง

ซีรีส์ Netflix ที่จับกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่นแบบชัดเจนมาก ด้วยการเล่นเรื่องราวชีวิตช่วงวัยรุ่นแตกเนื้อสาวเข้ากับการค้นพบตัวเองใหม่ๆ หลายสิ่งหลายอย่าง ไปพร้อมกับการผจญภัยมีชีวิตลับๆ ในโลกอีกแบบหนึ่งที่ซึ่งไม่ค่อยมีคนรู้จักมากนักกับการตามล่าพวกหนีประกันศาล ซึ่งมีอาชีพที่ว่านี้อยู่จริงในชื่อ เจ้าหน้าที่ติดตามการประกันตัว (Bail Recovery Agent) หรือนักล่าค่าหัว ซึ่งถูกต้องตามกฏหมายอเมริกา

โดยค่าจ้างมาจากนายประกันที่จ่ายให้เมื่อมีคนหนีคดีไม่ไปขึ้นศาลหรืออยู่นอกเขตควบคุม ซึ่งนายประกันก็จะโดนศาลยึดทรัพย์ เพื่อไม่ให้สูญหลักทรัพย์นายจ้างจึงแบ่งเงินประกันตัวมาเป็นค่าจ้างตามล่าพวกนี้กลับมา โดยที่มีเอกสารจากทางราชการมอบให้นักล่าค่าหัวรับไปทำงานเพียงคนเดียว (หรือบริษัทเดียวกัน ทีมเดียวกัน) ป้องกันการแย่งค่าหัวกันเองของกลุ่มนักล่า นี่จึงเป็นอาชีพที่เสี่ยงชีวิตแบบถูกกฎหมาย และก็ไม่ต้องเป็นตำรวจ แต่ต้องสอบใบอนุญาตให้ผ่านเสียก่อนเท่านั้น

ซึ่งการเอาโลกของนักล่าค่าหัวในปัจจุบันมาใช้ก็ถือว่าน่าสนใจมาก แม้ตอนแรกอาจจะงงๆ สักเล็กน้อยว่าอาชีพนี้มีจริงหรือไม่ แต่เรื่องจะนำเสนอระบบการดูหนังฟรีทำงานให้เห็นค่อนข้างชัดเจนว่ามีขอบเขตแค่ไหน ยังไง อะไรที่ทำได้ อะไรที่ทำไม่ได้ อย่างไม่มีการขอหมายศาลเข้าบุกบ้านใครได้แบบตำรวจ ไม่มีอำนาจเรียกใครสอบสวนหรือแม้แต่ไปซักไซร้โดยใช้ตำแหน่งนี้บังคับได้ การทำงานในอาชีพนี้ก็เลยต้องอาศัยทริกเล่ห์เหลี่ยมหลายอย่างเข้ามาช่วยให้เข้าถึงเป้าหมาย กึ่งๆ นักสืบ สายลับผสมกัน

ตัวเรื่องก็ได้หยิบจับเอาสองวัยรุ่นแฝดสาว “แบลร์ (คนพี่) กับสเตอร์ลิง (คนน้อง)” ที่บังเอิญขับรถชนผู้ร้ายหนีคดี ที่ถูกตามล่าโดย “บาวเซอร์” นักล่าค่าหัวผิวดำมือเก๋าของวงการ จนเป็นเหตุให้ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นนักล่าค่าหัวที่มาแย่งงาน ก่อนที่บาวเซอร์จะรับทั้งคู่มาเป็นทีมเดียวกันเหมือนครูสอนน้องใหม่เข้าวงการ และเป็นพนักงานบริษัทนี้ไปในตัว

การดำเนินเรื่องราว

ตัวเรื่องมีทั้งหมด 10 ตอน และก็แบ่งคดีเป็นตอนๆ โดยคดีที่พวกนี้ทำไม่ได้เป็นคดีอุกฉกรรจ์อะไรมาก (เข้าใจว่ามี แต่เรื่องใน SS1 ยังไปไม่ถึงจุดที่รับคดีพวกนั้นได้) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคดีเล็กๆ และก็มีความแปลกพิสดารอยู่ในแต่ละคดีพอสมควร อย่าง คดีสาวผิวสีหนีประกันตัวมาไล่ตัดหัวรูปปั้นนายพลในสงครามเหนือใต้ของอเมริกา หรือคดีนักต้มตุ๋นที่ปลอมแปลงตัวเองหนีคดีไปเรื่อยๆ

ซึ่งจุดนี้ทำให้เรื่องพอดูเป็นไปได้ว่า “บาวเซอร์” ที่เป็นนักล่าค่าหัวอายุ 50 กว่าปีต้องการเด็กสาวสองคนนี้มาช่วยงานที่บางทีเขาเองก็จนปัญหาหาทางเข้าถึงเป้าหมายเหมือนกัน ตัวเรื่องให้บาวเซอร์เปิดร้านไอสครีมบังหน้า แต่หลังร้านเป็นออฟฟิซทำงานร่วมกับสองสาวตัวเอกของเรื่อง และก็เดินเรื่องไปแบบที่ต่างคนต่างเรียนรู้ชีวิตของคนต่าง Gen ไปพร้อมกัน ซึ่งแน่นอนว่าปวดหัวแน่นอนเมื่อสองสาวตัวเอกนี่ไม่ธรรมดาเช่นกัน

ตัวแฝดสาวในเรื่องเป็นแฝดคนละฝา (ไข่คนละใบ แต่ท้องเดียวกัน) แล้วก็มีนิสัยที่แตกต่างกันทุกอย่าง แบลร์เป็นสาวจอมดราม่ากับชีวิตทุกอย่าง สเตอร์ลิงเป็นสาวผมทองสุดป๊อบของโรงเรียน ชอบการเข้าสังคมได้รับการยอมรับจากคนในโรงเรียน แต่ทั้งคู่ก็เข้ากันได้ดี แถมมีความสามารถพิเศษคุยสื่อสารกันได้โดยที่คนอื่นไม่ได้ยิน ซึ่งตอนแรกเรื่องจะไม่ได้อธิบายเลยว่าสิ่งนี่คืออะไร

เป็นฉากที่ทั้งคู่หันหน้ามาคุยกันแบบหลอนๆ เหมือนเมายาติดตลกนิดๆ ซึ่งตอนแรกอาจจะคิดว่าเรื่องต้องการนำเสนอภาพการเล่าเรื่องเฉพาะตัว แต่ตอนหลังจะมีบอกชัดแจ้งว่าเป็นความสามารถพิเศษของฝาแฝดที่เราคงเคยได้ยินกันมาบ่อยๆ ว่าแฝดสื่อสารกันได้ และตัวเรื่องเอาจุดนี้แหละมาใช้ส่วนสำคัญของเรื่องไปจนถึงตอนจบของซีซั่นที่สำคัญมาก

ช่วงแรกเรื่องจะดูน่ารำคาญเอามากๆ หนังใหม่ชนโรงกับบทที่จงใจให้ตัวเอกแฝดสาวทั้งคู่เหมือนเด็กที่พึ่งแตกเนื้อสาว มีดราม่าไปกับทุกเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เต็มไปหมด อย่าง เรื่องพยายามหาแฟนป๊อบไว้ควงให้ได้ การมี SEX ครั้งแรกโดยขัดกับที่บ้านเคร่งศาสนา โรงเรียนก็เป็นโรงเรียนศาสนา ตัวเอกทั้งคู่ก็ช่างพูดไม่หยุดตลอดเวลา จนคนดูเองยังพาลปวดหัวแบบที่บาวเซอร์เองก็ปวดหัว เพราะต้องทนฟังเรื่องบ้าบอคอแตกเต็มไปหมดที่เรื่องยัดใส่เข้ามาตลอดเวลาที่ดำเนินไป

แต่เมื่อเรื่องเดินไปเกินครึ่งเรื่อง (หลังตอน 6 ไป) ดราม่าที่ปูมาน่ารำคาญก่อนหน้านี้จะเริ่มสมเหตุผลน่าติดตามขึ้นมาเลย เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้เป็นไปที่คิด และก็เริ่มจริงจังเรียนรู้กับชีวิต เรียนรู้กับความผิดพลาด ผิดหวังกับความรักที่ไม่ได้เป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น เรื่องพาให้ทั้งสองคนได้ค้นพบตัวตนจริงๆ นอกเหนือจากงานนักล่าค่าหัวที่ทั้งคู่ตั้งเป้าเอาจริงในเส้นทางนี้หลังรู้ว่าตัวเองมีพรสวรรค์ในสายงานนี้

รีวิว Teenage Bounty Hunters

ซึ่งดราม่าส่วนตัวของทั้งคู่ช่วงหลัง กลายเป็นจุดที่ทำให้เรื่องนี้น่าติดตาม เมื่อมีการผูกปมให้ชีวิตทั้งสองด้านของทั้งคู่ต้องมาชนกันจนอลเวงทำให้ความรักของทั้งคู่พังพินาศไปหมด โดยเฉพาะความรักของสเตอร์ลิงที่ต้องบอกว่าน่าติดตามมากๆ ว่าเรื่องจะเดินไปอย่างไรในเมื่อความสัมพันธ์ของเธอไม่ธรรมดาแบบปกติกับเพศสภาพที่สวนทางกับความเชื่อทางศาสนาของครอบครัวคนรัก

ปมความลับของครอบครัวตัวเอก

นอกจากเส้นเรื่องดราม่าชีวิตส่วนตัวกับงานล่าค่าหัวแล้ว ในเรื่องยังมีปมความลับของครอบครัวนางเอกเติมเข้ามาอีก ซึ่งเรื่องก็เปิดให้เห็นจุดสังเกตุตั้งแต่จบตอนแรกแบบชัดเจนว่าครอบครัวนี้ไม่ธรรมดา และก็ค่อยๆ ใส่มาหลอกล่อให้ดูปะติดต่อไม่ถูกว่าจริงๆ แล้วความลับนี้คืออะไร ก่อนจะไปเฉลยเอาตอนจบ แล้วก็เล่นกับเรื่องฝาแฝดเพิ่มเติมขึ้นมาได้อีกอย่างน่าสนใจ แต่เรื่องก็ไม่ได้เคลียร์ปมจบหมด ต้องไปต่อซีซั่น 2 กันอีกที

ด้านนักแสดง

ตัวนักแสดงนำในเรื่อง สเตอร์ลิงคนน้องนี่น่ารักโดดเด่นมาก รวมถึงบทที่มีอะไรน่าสนใจหลายอย่าง ทั้งเรื่องที่เป็นพวกเชื่อหลักคำสอนทางศาสนามากๆ แต่ก็มักหาข้ออ้างบิดความเชื่อนั้นให้ตัวเองได้ประโยชน์ แม้จะรู้สึกผิดลึกๆ แต่ก็ยังเชื่อว่าพระเจ้าเข้าใจ ซึ่งตัวเรื่องก็เดินโดยให้แบลร์เหมือนเป็นนางเอกจริงๆ มากกว่าพี่สาวด้วย ส่วนตัวพี่สาวแบลร์ด้วยรูปร่างหน้าตาที่แตกไปจากคนอื่นในครอบครัวมาก

ทำให้ดูขัดตาตั้งแต่เริ่มแรกยาวไปจนตอนหลังก็ยังรู้สึกว่าไม่ค่อยดูแล้วเหมือนเป็นครอบครัวสายเลือดเดียวกันสักเท่าไหร่ แต่ถ้าไม่ติดใจตรงจุดนี้มากก็ไม่มีผลอะไรกับเรื่องครับ บทของเธอก็เต็มไปด้วยดราม่าประหลาดๆ อาจจะด้อยกว่าน้องสาวที่มีประเด็นน่าสนใจกว่าทั้งเรื่องความรักกับเพศสภาพ และความเชื่อทางศาสนา แต่แบลร์กลับไม่ได้มีอะไรแบบนั้นเลย เป็นเรื่องงมงายแบบเห็นผี หรือพยายามรักษาสถานะกับแฟนผิวดำที่ทั้งรวยทั้งป๊อบให้ได้เท่านั้น

บาวเซอร์เองก็เป็นตัวละครหลักอีกคนที่สำคัญ บทของเขาจะออกแนวตาแก่ขี้เบื่อที่ไม่ค่อยทันกับวัยรุ่น Gen X สักเท่าไหร่ เรื่องนำเสนอชีวิตส่วนตัวเขาว่ามาเป็นนักล่าค่าหัวได้อย่างไร รวมถึงการเข้ามาของสองสาวที่ทำให้ชีวิตที่ดูเหมือนไม่มีอะไรดีของเขากลับมาดีขึ้นเรื่อยๆ และก็เป็นคนช่วยผลักดันให้บาวเซอร์ได้กลับมาสานต่อความรักที่ค้างคาไว้ในอดีตอีกครั้ง ซึ่งก็จะมีเรื่องรักสามเส้ากับนายจ้างสาว ที่ต้องเจอกับคู่แข่งเป็นนักล่าค่าหัวตัวท็อปของวงการ ที่มีดีกว่าทุกทาง

โดยรวม

ซีรีส์วัยรุ่นเรื่องนี้อาจจะไม่ได้ถือว่าทำได้ดีอะไรมากในภาพรวม แต่ตัวเรื่องก็มีอะไรลึกๆ หลายอย่างที่ทำออกมาได้ดีพอตัวเลย ถือว่าไม่เสียเวลาในการดู แต่ต้องทนช่วงเวิ่นเว้อครึ่งแรกของนางเอกทั้งสองคนไปให้ได้ก่อนเท่านั้น

สรุป

ซีรีส์ชีวิตวัยรุ่นไฮสคูลผสมแนวแอ็กชั่นสืบสวนเบาๆ กับการติดตามล่าพวกหนีประกันศาลให้ได้มาซึ่งค่าหัวเงินรางวัล ช่วงครึ่งแรกเต็มไปด้วยดราม่าจิปาถะของสองนางเอกเยอะจนดูน่ารำคาญมาก แต่พอครึ่งหลังดราม่าที่ปูมาตอนต้นกลับขมวดได้จริงจังน่าติดตาม มีพัฒนาการทางความคิดของตัวละครที่ดี ไปพร้อมกับการค้นหาเป้าหมายของชีวิตแบบลองผิดลองถูกเพื่อเป็นบทเรียนชีวิต

แม้ภาพรวมของซีรีส์อาจจะไม่ได้ดีมาก แต่ตัวเรื่องก็มีอะไรลึกๆ หลายอย่างที่ทำออกมาได้ดีพอตัวเลย ถือว่าไม่เสียเวลาในการดู แต่ต้องทนช่วงเวิ่นเว้อครึ่งแรกของนางเอกทั้งสองคนไปให้ได้ก่อนเท่านั้น

Breaking Bad

ดูหนังออนไลน์

รีวิว Breaking Bad - ดับเครื่องชน คนดีแตก

ดับเครื่องชน คนดีแตก เป็นซีรีส์ที่ลงทางช่อง​ AMC ตั้งเเต่​ปี ​2008​ เเละ​เป็นอีกหนึ่งซีรีส์ที่เป็นทั้งตำนาน และขึ้นหิ้ง​ตลอดกาล เเล้ว​ก็​ติดอันดับ​ต้นๆ​ของ​ซีรีส์ที่ดีที่สุดตลอดกาลของ IMDB เลยก็ว่าได้ รีวิว Breaking Bad

เรื่องย่อ

เรื่องราวของวอลเตอร์ ไวท์ ครูสอนเคมีผู้แสนดีคนหนึ่ง เคยได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมี เขามีครอบครัวที่อบอุ่น มีลูกชาย และกำลังจะมีลูกสาวเกิดขึ้นมาอีกคน แต่ปัญหาเลวร้ายเกิดขึ้นเมื่อวอลเตอร์รู้ว่าตัวเองกลายเป็นมะเร็งร้ายแรง อาจมีชีวิตอยู่ได้ไม่กี่เดือน ดังนั้นเขาจึงต้องหาเงินเพื่อที่จะเลี้ยงดูลูกเมียหลังจากที่ตัวเองตายไปแล้ว และวิธีนั้นก็คือ การผลิตยาไอซ์ จนกระทั่งจับพลัดจับพลูได้เจอกับศิษย์เก่าผู้ไม่เอาไหน จึงทำให้เขาต้องผันตัวเป็นคนผลิตยาเสพติดและต้องข้องเกี่ยวกับแก๊งผู้มีอำนาจ


ในบรรดาซีรีส์ชื่อดังมากมายที่สร้างกันมา “Breaking Bad” (ซึ่งในชื่อฉบับแปลภาษาไทยใช้ชื่อเรื่องว่า ดับเครื่องชนคนดีแตก) มักได้รับการยกย่องจากแทบทุกสำนักในอเมริกา ยกให้เป็นซีรีส์อันดับหนึ่ง ซึ่งก็คู่ควรเช่นนั้นจริง ๆ แล้วยังได้คะแนนเฉลี่ยในเว็บ IMDB ในระดับสูงสุดถึง 9.5 ซึ่งหากประเมินจากจำนวนผู้ร่วมโหวต ถือว่าเรื่องนี้อยู่ในอันดับหนึ่งในบรรดาซีรีส์ทั้งหมด และได้คะแนนเฉลี่ยเหนือยิ่งกว่า Game of Throne เสียอีก

แถมหากดูคะแนนเฉลี่ยของตอนดูหนังออนไลน์ หรือ Episode ที่ดีที่สุด ตอน 14 ใน Season 5 ในชื่อตอน Ozymandias ได้คะแนนเฉลี่ยสูงถึง 10.0 จากจำนวนคนโหวตหลักแสนคน เรียกได้ว่าเป็นสุดยอดของการแสดงเลยก็ว่าได้ (แม้แต่ท่านเซอร์แอนโธนี ฮอปกินส์ หลังจากได้ดูตอนนี้แล้วถึงกับออกมาบอกว่า Bryan Cranston ที่เล่นเป็นวอลเตอร์ไวท์ ตัวเอกของเรื่อง แสดงได้เก่งกว่าตัวเขาเเสียเอง)

มาถึงตรงนี้เชื่อว่าหลายคนอาจสงสัยว่า ทำไม Breaking Bad ได้รับการยกย่องมากขนาดนั้น ถึงขั้นที่มีบางคนพูดกันว่า ถ้าเรื่องนี้ยังฉายไม่จบไปซะก่อน บางที Game of Throne อาจจะไม่ได้รางวัล Emmy Awards ในปี 2015

บางคนอาจจะรู้สึกว่า โห มันเจ๋งขนาดนี้เลยเหรอ แต่ด้วยเนื้อหาที่ดูแล้วค่อนข้างหนักหน่วง จริงจัง แถมเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ โลกอาชญากรรม การค้ายา Gangster เรื่องราวก็ค่อนข้างดาร์ก มีหลายฉากที่ใช้ความรุนแรงระดับเรต 18+ ตัวละครในเรื่องหลายคนพร้อมจะฆ่ากันง่ายมาก ๆ ซึ่งบางคนอาจจะไม่ชอบเรื่องราวที่มันโหดดิบแนวนี้ แถมยังมีถึง 5 Season แล้วจากที่พบว่า บางคนลองเปิดดูตอนแรก จะรู้สึกว่าการเดินเรื่องค่อนข้างเนือย ๆ แล้วแบบนี้แล้วจะสนุกจริงหรือ

เอาเป็นว่าในเมื่อหนังภาคต่อของเรื่องนี้อย่าง El Camino กำลังจะเข้าใน ซีรี่ย์ Netflix แล้ว ก็เลยขอรีวิวเรื่องราวเบื้องต้น รวมถึงแนะนำตัวละครหลักในเรื่อง ซึ่งจะมีบทบาทและคอยขับเคลื่อนเรื่องราว เผื่อว่าหลายคนอาจจะรู้สึกว่าน่าลองเปิดดูกันมากขึ้นครับ

เนื้อเรื่อง

เรื่องราวเกิดขึ้นในเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในรัฐนิวเม็กซิโก ชื่อ อัลบูเคอร์คี ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ใกล้พื้นที่ทะเลทราย เมื่อครูสอนวิชาเคมีในโรงเรียนไฮสคูลคนหนึ่ง คือ วอลเตอร์ ไวท์ ได้ตรวจพบว่าตนเองกำลังเป็นมะเร็ง ด้วยความที่กลัวว่าตัวเองตายไป ครอบครัว ภรรยา และลูกชายที่มีความพิการจะใช้ชีวิตลำบาก จึงคิดหารายได้เป็นกอบเป็นกำทิ้งไว้ให้ครอบครัว จนวันหนึ่งโชคชะตาเหมือนเล่นตลก เขาได้บังเอิญดูโทรทัศน์ที่ถ่ายภาพการจับกุมขบวนการผลิต “ยาไอซ์” ที่กำลังแพร่ระบาดในเมือง

ซึ่งน้องเขยของเขาที่เป็นเจ้าหน้าที่ ปราบยาเสพติดรับผิดชอบคดีเหล่านี้อยู่ แล้วเขาก็ได้รู้ข้อมูลว่า สิ่งที่ตำรวจจับมาได้ไม่ใช่มีแค่ยา แต่ยังมีเงินจำนวนมหาศาลที่มาจากการค้ายา เขาจึงเปิดปิ๊งไอเดีย ด้วยการไปหาอดีตนักเรียนคนหนึ่งที่กลายเป็นขี้ยาและเป็นคนขายยา คือ เจสซี พิงค์แมน แล้วชวนให้มาร่วมกันปรุงยาไอซ์ขายเพื่อทำเงิน

ซึ่งปรากฏว่า ครูวอลเตอร์ไวท์คนนี้ก็มีทีเด็ดและความสามารถในด้านวิชาเคมีระดับอิจฉริยะ โดยเรื่องราวจะเปิดเผยออกมาทีละน้อย กระทั่งวอลเตอร์ได้ปรุงผลิตยาไอซ์ที่มีความบริสุทธิ์ถึงขีดสุดชนิดที่แม้แต่โรงงานผลิตยาขั้นเทพยังทำไม่ได้ ทำให้ทั้งสองวางแผนจะนำไปปล่อยขายเพื่อทำเงินก้อนใหญ่

แต่แล้วนั่นก็ทำให้เกิดเรื่องราววายป่วงที่เริ่มต้นจากเรื่องราวเล็ก ๆ แล้วขยายกลายเป็นเรื่องลุกลามใหญ่โตอีกมากมายตามมา

ตัวละครหลัก

วอลเตอร์ ไวท์

ครูสอนวิชาเคมีในโรงเรียนไฮสคูล ที่เกิดตรวจพบว่าตนเองกำลังเป็นมะเร็ง จึงคิดวางแผนปรุงยาไอซ์ขาย เพื่อเก็บเงินก้อนใหญ่ไว้ให้ครอบครัวคือ ภรรยา และลูกชายที่มีความพิการ

ที่จริงแล้ว วอลเตอร์ ไม่ใช่คนธรรมดา ๆ แบบที่ซีรีส์นำเสนอในตอนแรก ๆ เมื่อดูไปเรื่อย ๆ เราจะเริ่มพบอดีตและเรื่องราวของเขามากขึ้นว่าที่จริงแล้วเขาเป็นนักเคมีอัจฉริยะ ที่เคยถึงขั้นร่วมเปิดบริษัทระดับโลกกับเพื่อนสนิทสองคน แต่ด้วยปัญหาบางอย่างทำให้เขาขายหุ้นบริษัทแล้วออกมาทำงานของตนเอง แต่สุดท้ายด้วยจังหวะชีวิตต่าง ๆ กลับทำให้เขากลายเป็นเพียงครูสอนเคมีบ้าน ๆ คนหนึ่งเมื่ออายุกำลังเข้าเลข 50 กว่า ๆ

หลังจากเข้าสู่วงการโลกใต้ดิน วอลเตอร์ ตั้งฉายาตนเองว่า “ไฮเซนเบิร์ก”

เจสซี พิงค์แมน

หนุ่มขี้ยา ที่ชีวิตวัน ๆ ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการพี้ยาและขายยาตามถนน เขาเคยเรียนหนังสือกับ วอลเตอร์ ไวท์ มาก่อน จึงได้รับการชักชวนให้มาปรุงยาขายด้วยกันในฐานะหุ้นส่วน โดยในเรื่อง เจสซี จะเรียกวอลเตอร์ว่า มิเตอร์ไวท์ (ครูไวท์) ทั้งเรื่อง

ที่จริงแล้วเจสซีเป็นพวกที่อ่อนไหวมากๆ โดยเฉพาะกับเด็กและผู้หญิง (ถือว่าเป็นจอมดราม่าคนหนึ่งในเรื่อง) เขาเป็นคนที่วอลเตอร์ ให้ความรักและไว้วางใจมากที่สุดคนหนึ่งในเรื่อง อาจเป็นเพราะในขณะที่คนรอบตัววอลเตอร์ไม่ค่อยมีใครให้ความนับถือหรือยอมรับความสามารถของเขามากนัก แต่แล้ว เจสซี หนุ่มติดยากลับเป็นคนแรก ๆ ที่ให้ความเคารพต่อวอลเตอร์ในฐานะหุ้นส่วน หลังจากทั้งสองร่วมมือกัน แม้จะมีทะเลาะและขัดแย้งกันบ้าง แต่เจสซีก็มีส่วนมากในการสร้างอาณาจักรยาไอซ์ของไฮเซนเบิร์ก

สกายเลอร์ ไวท์

ภรรยาของวอลเตอร์ อายุห่างจากวอลเตอร์พอสมควร ทั้งสองมีลูกด้วยกันสองคนคือ คนโตคือ วอลเตอร์ ไวท์ จูเนียร์ ซึ่งก็ป่วยเป็นโรคที่เกี่ยวกับความพิการทางสมองและเส้นประสาท และลูกสาวคนเล็กที่จะเพิ่งเกิดในระหว่างซีรีส์อีกหนึ่งคน สกายเลอร์เป็นแม่บ้านทั่วไปที่มีความกังวลในพฤติกรรมของวอลเตอร์ที่ผิดปกติหลายเรื่อง ภายหลังเธอจึงพบความจริงที่น่าตกตะลึง

วอลเตอร์ ไวท์ จูเนียร์

ลูกชายของวอลเตอร์และสกายเลอร์ มีความพิการทางสมองมาตั้งแต่เกิด แม้ว่าจะสามารถพูดคุย สื่อสาร เหมือนคนปกติ แต่ก็ต้องใช้ไม้เท้าช่วย ถึงอย่างนั้นเขามีระดับทางสติปัญญาเหมือนคนทั่วไป ตอนที่รู้ว่าพ่อตัวเองเป็นมะเร็ง ก็คิดหาหนทางระดมเงินทุนเพื่อช่วยค่าผ่าตัดทางอินเทอร์เน็ตได้ด้วย จูเนียร์ ยังเป็นคนรักความยุติธรรมสูงมากด้วย

แฮงค์ ชเรเดอร์

น้องเขยของวอลเตอร์ เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ปราบยาเสพติด บุคลิกโผงผาง จริงใจ เป็นห่วงครอบครัวของวอลเตอร์ที่ต้องเผชิญมรสุมชีวิตมาก ภายหลังเขาเริ่มสืบสวนคดีที่มียาไอซ์สีฟ้าบริสุทธิ์ออกสู่ตลาด และมีหลายครั้งที่การสืบสวนของเขาสุ่มเสี่ยงจะสาวถึงตัววอลเตอร์และเครือข่ายของเขา

มารี ชเรเดอร์

น้องสะใภ้ของวอลเตอร์ ภรรยาของแฮงค์ เป็นห่วงสถานการณ์ครอบครัวของพี่สาวมาก แต่ตัวเธอก็มีปัญหาทางจิตบางอย่างอยู่ นิสัยเป็นคนชอบเม้าท์เรื่องต่าง ๆ

ซอล กู้ดแมน

ทนายชื่อดังซึ่งเน้นการรับว่าความให้คนที่กำลังมีปัญหาและทำความผิด ซอลเป็นทนายมากเล่ห์ รอบจัด ภายหลังเขาได้ร่วมงานกับวอลเตอร์และเจสซีในฐานะหุ้นส่วนที่ช่วยดูแลเรื่องทางกฎหมาย

รับหน้าที่ดูแลวอลเตอร์และเจสซีในหลายด้าน รวมถึงด้านการเงิน เรื่องที่น่าทึ่งคือ แม้จะเป็นทนายมากเล่ห์ แต่โดยเนื้อแท้ซอลไม่ใช่คนเลวร้าย มีหลายครั้งที่วอลเตอร์กับเจสซีสามารถไว้ใจเรื่องเงินกับเขาได้เต็มที่ ชื่อจริงของเขาคือ จิมมี แม็คกิลล์ ซึ่งเรื่องราวเบื้องหลังของเขาจะได้เป็นตัวเอกในซีรีส์ที่ Spin-Off ออกมาในชื่อ Better Call Saul โดยจะเล่าว่า ก่อนที่จิมมี ทนายดวงซวยคนหนึ่งจะกลายมาเป็น ซอล มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง

กัสตาโว่ ฟริงก์

มักถูกเรียกสั้น ๆ ว่า “กัส” เขาเป้นเจ้าพ่อค้ายารายใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังในเมือง อัลบูเคอร์คี ฉากหน้าเป็นเจ้าของธุรกิจร้านขายไก่ชื่อดังในเมือง กัสเป็นคนเย็นชา สีหน้ามักไร้อารมณ์เสมอ ทำให้อ่านยากว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ วอลเตอร์ตามหาเขาเพื่อหวังจะใช้เครือข่ายการจำหน่ายยาไอซ์ เพื่อเพิ่มรายได้ให้มากขึ้น และยกระดับการผลิตจากขนาดเล็ก ๆ ไปสู่ระดับโรงงาน ในเรื่องเคยมีการเปิดเผยว่ากัสเคยมีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มกบฏในประเทศชิลี เขาจึงมีเครือข่ายที่มาธรรมดา ต่อมาเขามีเรื่องราวความแค้นกับกลุ่มพ่อค้ายาในเม็กซิโกที่สังหารเพื่อนของเขา จึงวางแผนที่จะแก้แค้นมาตลอด และดึงวอลเตอร์กับเจสซีมาเป็นเครื่องมือด้วย

ไมค์ เออร์แมนเทราต์

อดีตตำรวจตกอับ ที่กลายมาเป็นมือปืนแถวหน้าในวงการใต้ดินของเมือง เขารับทำงานให้กัส ในการจัดการเก็บกวาดดูแลเรื่องต่าง ๆ เขามีความเอ็นดูและห่วงเจสซีเป็นพิเศษ ไมค์เป็นคนแรก ๆ ที่มองออกว่า วอลเตอร์ คือตัวอันตรายยิ่งกว่าที่ใครคาดไว้

รีวิว Breaking Bad

โดยรวม

สำหรับบรรดาตัวละครในเรื่อง จะมีความเทา ๆ ไม่มีใครขาวหรือดำสนิท ทุกคนมีแง่มุมและเหตุผลในการขับเคลื่อนเรื่องราวของตนเอง แต่มันสะท้อนชีวิตคนในสังคมอเมริกันชนิดลากไส้ออกมา และไม่ใช่แค่คนอเมริกันเท่านั้น แต่มันจะสะท้อนถึงทุกสังคมในโลกเลยก็ว่าได้ ว่าในเมื่อชีวิตมันไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ถ้าอย่างนั้นก็ขอทำอะไรตามใจตนเองให้เต็มศักยภาพที่ตัวเองมีสักครั้งมันจะเป็นอะไรไป แต่เมื่อความบ้ามันหยุดไม่อยู่ ไอ้สิ่งที่ตามมาก็คือความวายป่วงที่เป็นทั้งเรื่องซีเรียสและตลกร้ายชนิดที่คนดูแทบจะเดาแต่ละเหตุการณ์ไม่ถูกเลยว่า จะเกิดอะไรตามมาในแต่ละตอน ซึ่งนี่คือเสน่ห์ร้ายอย่างเหลือเชื่อของเรื่องนี้

สรุป

สำหรับคนที่สนใจเรื่อง Breaking Bad ก็แนะนำให้ลองเริ่มดูเลย เนื่องจากหนัง El Camino ที่กำลังจะเข้าฉายนั้น ทางผกก. วินซ์ กิลลิกัน เปิดเผยแล้วว่าจะต่อมาจากตอนจบของซีรีส์ และตัวหนังก็จะไม่ปราณีกับคนทที่ไม่ได้ดูมาก่อนเลย เนื่องจากนี่จะเป็นหนังที่ทำขึ้นมาเพื่อสนองแฟน ๆ ซีรีส์เรื่องนี้ที่มีอยู่ทั่วโลกโดยแท้ ซึ่งหากพลาดไปจะน่าเสียหายมาก สำหรับซีรีส์อันดับ 1 ของอเมริกาเรื่องนี้

El Camino

ดูหนังออนไลน์

รีวิว El Camino - ดับเครื่องชน คนดีแตก

หนังภาคต่อของซีรีส์ Breaking Bad กับ บทสรุปชีวิตของ เจสซี พิงค์แมน ว่าเจออุปสรรคอะไรอีกบ้างหลังจากตอนจบของซีรีส์ แล้วเขาจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ยังไง รีวิว El Camino

เรื่องย่อ

หลังปิดตำนานเจ้าพ่อยาเสพติดอย่าง วอลเทอร์ ไวต์ ชะตากรรมของ เจสซี พิงค์แมน (อารอน พอล) ยังคงดำเนินต่อหลังหนีการคุมขังของ ทอดด์ (เจสส์ เพลมอนส์) อาชญากรจอมซาดิสม์และพรรคพวกมาได้ เจสซี ต้องหาทางหนีการจับกุมทั้งตำรวจและแก๊งค้ายา รวมถึงหาเงินที่ซ่อนไว้เพื่อหวังไปเริ่มชีวิตใหม่ แต่แล้วอดีตอันเลวร้ายก็ตามหลอกหลอนเขาไม่เลิก


หลังปิดฉาก Breaking Bad  ซีซันที่ 6 (บางแหล่งนับเป็นครึ่งหลังของซีซัน 5) ไปในปี 2013 พร้อมเกียรติยศได้ติดอันดับซีรีส์ที่มีบทโทรทัศน์ยอดเยี่ยมที่สุดของอเมริกาในลำดับที่ 13 จนเป็นที่เลื่องลือทั้งในหมู่คอซีรีส์และนักเรียนหนังว่าเป็นซีรีส์ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตต้องดู! จนเรื่องราวของวอลเทอร์ ไวต์ อดีตครูสอนเคมีที่หันหลังให้ศีลธรรมแล้วร่วมมือกับ เจสซี พิงค์แมน ลูกศิษย์ตัวเองลักลอบผลิตยาไอซ์ขาย

เพื่อหวังหาเงินก้อนสุดท้ายให้ลูกเมียก่อนตัวเองจะถูกมะเร็งพรากชีวิตไป ได้รับการสานต่อทั้งฉบับรีเมกของ โคลัมเบีย หรือกระทั่งการมาผลิตซีรีส์ไซด์สตอรีร่วมกับเน็ตฟลิกซ์ จนเกิด Better Call Saul ซีรีส์สุดฮิตที่ว่าด้วยเรื่องราวของ ซอล ทนายความลิ้นสาลิกาที่ช่วยอาชญากรให้รอดจากเงื้อมมือกฎหมาย แต่กระนั้นเรื่องราวที่ถือเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่หายไปจริง ๆ กลับเป็นเรื่องของ เจสซี พิงค์แมน อดีตลูกศิษย์ของวอลเทอร์ ไวต์ นั่นเอง

เนื้อเรื่อง

จากตอนจบของ ซีรีส์ Breaking Bad หลังจาก เจสซี พิงค์แมน ต้องเผชิญช่วงเวลาบัดซบของชีวิต ที่ถูกขังให้ต้องปรุงยาไอซ์ ซึ่งสภาพที่เขาถูกพวกแก๊งค์จับไปขังนั้นแทบจะถูกปฏิบัติไม่ต่างจากสัตว์เลี้ยง แต่ด้วยความช่วยเหลือครั้งสุดท้ายจาก วอลเตอร์ ไวท์ ผู้ที่เขาทั้งรักทั้งแค้น ซึ่งหลังจากฉากสุดท้ายในซีรีส์จบลง เจสซี ก็ได้หลุดออกมาเป็นอิสระ แต่ปรากฏว่าเมื่อเราได้ดูในหนังภาคต่อ เราจะพบว่ามันก็ไม่ได้ง่ายอย่างนั้น

ในภาพยนตร์จะบอกเล่าเรื่องของเจสซี นับตั้งแต่วินาทีที่เขาขับรถยนต์พังกรงขังออกมาเลย ว่าเขาต้องทำอะไรต่อ เพื่อจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ ซึ่งก็ทำให้คนดูต้องมาลุ้นไปกับเขาว่าจะทำสำเร็จหรือไม่ เมื่อตำรวจทั้งเมืองและ FBI ต่างก็พุ่งเป้าจับตัวเขาอยู่ ในฐานะศิษย์เอกของเจ้าพ่อเครือข่ายยาไอซ์อย่าง ไฮเซนเบิร์ก นอกจากนี้ยังมีกลุ่มอื่นที่อาจจะมาเป็นอุปสรรคของเขาด้วย

การดำเนินเรื่องราว

EL CAMINO เริ่มเรื่องราวในเส้นเรื่องหลักต่อจากเหตุการณ์ดูหนังออนไลน์ในตอนจบของ Breaking Bad ทันทีหลัง วอลเทอร์ ไวต์ (ไบรอัน แครนสตัน) ได้บุกไปช่วยเหลือ เจสซีจนเขาหนีออกมาจากแก๊งค้ายาซาดิสม์ที่จับเขาไปทรมานได้ และด้วยเจสซี ได้ตกเป็นเป้าหมายทั้งของทางการและผู้มีอิทธิพลก็ทำให้ปลายทางเดียวในชีวิตเจสซี

คือการหนีออกจากประเทศให้ได้เร็วที่สุด และในขณะเดียวกันภาพเหตุการณ์ตอนเขาถูกกักตัวก็คอยมาตามหลอกหลอนและอาจเป็นคำตอบว่าทำไมชีวิตได้พาเขามาสู่จุดนี้ได้ ซึ่งจากกลวิธีการเล่าดังกล่าวก็ไม่น่าแปลกใจนักเพราะมันถูกบอกเล่าโดย เจ้าของเรื่องตัวจริงของ Breaking Bad อย่าง วินซ์ กิลลิแกน ที่กลับมาเขียนบทและกำกับนั่นเอง

ซึ่งหากจะให้ประเมินหนังความยาว 2 ชั่วโมงเรื่องนี้ก็อาจเปรียบเทียบได้กับ Breaking Bad  สักตอนที่พยายามบอกเล่าตัวละคร อาจไม่ได้มีฉากตื่นเต้นมากมาย โดยส่วนใหญ่จะตัดสลับระหว่างภาพปัจจุบันของเจสซีที่พยายามหาทางหนีกับภาพย้อนอดีตหรือแฟลชแบ็กที่ทำให้เห็นว่าเจสซีเจอเล่นงานหนักแค่ไหนหลังเข้ามาสู่วงการยาเสพติด แต่พอถึงจุดไคลแมกซ์ก็ต้องยอมรับอยู่ดีว่า วินซ์ สามารถขมวดปมที่เหมือนไม่มีอะไรมากมาย ไปสู่การเซอร์วิสแฟนซีรีส์ Breaking Bad แบบอดกรี๊ดไม่ได้เลยทีเดียว

จุดที่ชอบ

ความยอดเยี่ยมก็คือ ในหนังจะมีการดึงตัวละครเก่า ๆ กลับมาให้เราหายคิดถึงแบบแนบเนียน รวมถึงตัวละครที่เราอาจจะคาดไม่ถึงจากในซีรีส์หลัก ได้กลับมามีบทอีก ซึ่งก็ถือว่าไว้ลายบทเว็บดูหนังที่เต็มเปี่ยมด้วยชั้นเชิงจากในซีรีส์หลักโดยแท้ โดยเฉพาะเทคนิคการเอาเรื่องเล็ก ๆ มาขยายให้เป็นเรื่องใหญ่ จนถึงวายป่วง แบบที่ทำสำเร็จมาแล้วในซีรีส์หลัก แล้ววิธีการนี้ก็เคยทำให้ Breaking Bad กลายเป็นซีรีส์ที่คนดูแทบจะคาดเดาในซีนถัด ๆ ไปแทบจะไม่ได้เลย

รีวิว El Camino

นอกจากนี้ ตัวละครเจสซี ในหนังมีการพัฒนาด้านคาแรคเตอร์ขึ้นมาจากในซีรีส์มาก แม้ว่าตัวละครยังคงบุคลิกสำคัญบางอย่างไว้ แต่ที่เพิ่มเติมขึ้นมาก็คือ ความเก๋าเกม การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า การแสดงไหวพริบ และการอ่านคน ซึ่งทั้งหมดนี้เราไม่ค่อยได้เห็นจากตัวเจสซีในซีรีส์หลักมากนัก

คือกว่าที่เราจะได้เห็นพัฒนาการด้านนี้ของเจสซีในซีรีส์ก็ต้องเป็นช่วงซีซันท้าย ๆ เข้าไปแล้ว แต่หลังจากเผชิญกับความโหดร้ายที่เข้ามาในชีวิต และการที่ได้เคยร่วมงานกับ วอลเตอร์ ไวท์ มานาน ทั้งหมดก็หล่อหลอมให้ตัวเจสซีพร้อมที่จะเอาตัวรอดตามลำพังในโลกอันโหดร้าย ซึ่งคนดูก็ต้องมาลุ้นกันว่า เขาจะเริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างที่ตั้งใจไว้ได้ไหม

สิ่งที่ถือเป็นไฮไลต์ของ EL CAMINO คงหนีไม่พ้นการแสดงของ อารอน พอล ในบทเจสซี ตัวเด่นของเรื่อง เขาให้ภาพที่ดูโตขึ้นและทำให้เห็นว่า เจสซี พิงค์แมน เด็กฮิปฮอปลูกน้องของวอลเทอร์ ไวต์ ได้เปลี่ยนไปแล้ว เขาถูกวงการยาเสพติดกลืนกินและกัดกร่อนตัวตนจนไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป ทำให้ เจสซี ใน  EL CAMINO  แทบเป็นภาพมุมกลับของ วอลเทอร์ ไวต์ สำหรับคนที่ยังมีลมหายใจอยู่แต่ก็ใช้ชีวิตเหมือนตายทั้งเป็นจริง ๆ

และแน่นอนตามที่ได้ประกาศก่อนหน้านี้คือการกลับมาสู่โลก Breaking Bad อีกครั้งของ ไบรอัน แครนสตัน ในบท วอลเทอร์ ไวต์ ที่ซีนของเขาเหมือนเป็นช่องว่างที่หายไปในฉบับซีรีส์ว่า ชีวิตพ่อค้ายาสมัครเล่น/ครู/คนใกล้ตายอย่างเขา ได้สอนอะไรเจสซี ไว้บ้าง แต่คนที่อาจไม่เด่นเท่าแต่ทำให้เรื่องราวเติมเต็มได้สมบูรณ์จริง ๆ กลับขอยกให้การปรากฎตัวของ คริสเตน ริตเตอร์ ในบท เจน ความรักครั้งเดียวของเจสซีในซีซัน 2 ที่เหมือนภาพความสุขที่ไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว ซึ่งถือเป็นการตอบแทนในคุณงามความดีของ Breaking Bad ที่ทำให้คริสเตน ริตเตอร์ ได้รับบท เจสสิกา โจนส์ ซีรีส์ซูเปอร์ฮีโรของมาร์เวลที่ร่วมทำกับเน็ตฟลิกซ์อีกด้วย

โดยรวม

เต็มอิ่มกับบทสรุปชีวิตของ เจสซี พิงค์แมน ตั้งแต่วินาทีถัดมาหลังจากตอนจบของซีรีส์ Breaking Bad ตัวหนังเต็มไปด้วยชั้นเชิงการเล่าเรื่องที่ชวนให้ลุ้นเอาใจช่วยตัวละคร เหมาะสำหรับแฟนซีรีส์เรื่องนี้ แต่อาจจะงงพอสมควรสำหรับคนที่ไม่เคยดูซีรีส์จนจบ

สรุป

หากคุณเป็นแฟน Breaking Bad   ก็เหมือนหนังภาคบังคับที่จะได้ปิดตำนานได้อย่างสมบูรณ์ ส่วนคนที่ไม่เคยดู Breaking Bad มาก่อนคิดว่าดูแล้วอาจจะรู้สึกเบื่อและน่าจะงงกับความสัมพันธ์ของตัวละครแน่ ๆ เพราะหนังไม่มีการเล่าย้อนว่าใครเป็นใครมาก่อน ดังนั้น EL CAMINO จึงเหมาะกับแฟนของซีรีส์ Breaking Bad ที่ดูครบ 6 ซีซันแล้วเท่านั้นครับ

วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2563

Time to hunt

ดูหนังสด

รีวิว Time to hunt - ถึงเวลาล่า

หนังเกาหลี Original Netflix เมื่อเศรษฐกิจประเทศเกาหลีในอนาคตตกต่ำ กลุ่มวัยรุ่น 4 คน จึงคิดแผนปล้นหาเงินก้อนใหญ่เพื่อหนีจากชีวิตที่เป็นดั่งขุมนรก แต่กลับเป็นจุดเริ่มต้นของการถูกไล่ล่า จากนักฆ่าที่สนุกกับเกมล่าพวกเขา รีวิว Time to hunt

เรื่องย่อ

ในโลกอนาคตอันใกล้ประเทศเกาหลีใต้อยู่ในสภาวะเสื่อมโทรม เศรษฐกิจพังพินาศ และเมื่อมองไม่เห็นชีวิตที่ดีกว่ามันเลยผลักให้ 4 อาชญากรมือใหม่อย่าง คีฮุน (ชเวอูชิค จาก Parasite) จางโฮ (อันแจฮง) จุนซอก (อีแจฮุน) และ ซางซู (พัคจองมิน) คิดปล้นคาสิโนเพื่อเป้าหมายคือการหนีจากชีวิตเส็งเคร็งแล้วย้ายไปยังเกาะสวรรค์ แต่ที่พวกเขาไม่รู้คือเงินก้อนนี้กำลังจะพาหายนะมาสู่ชีวิตของพวกเขาเมื่อมีนักล่าสุดโหดมาทวงฮาร์ดดิสก์บันทึกการทุจริตของตำรวจกับพวกเขาแบบถึงชีวิต งานนี้มีเพียงพระเจ้าที่จะได้รู้ว่าพวกเขาจะรอดหรือไม่


หนังเกาหลีที่ติดปัญหาโควิด 19 จนไม่ได้ฉายในโรงภาพยนตร์ ตัวแทนจัดจำหน่ายจึงหาทางออกด้วยการมาขายสิทธิ์ให้ Netflix ทั่วโลกแทน จนกลายเป็นกรณีพิพาทช่วงก่อนฉายว่าผู้สร้างไม่ยินยอมให้หนังเรื่องนี้ลง Netflix ก่อน เพราะเท่ากับตัวแทนที่ซื้อสิทธิ์ไปฉายในโรงหนังทั่วโลกจะมีปัญหา กรณีพิพาทหนักถึงขั้นขู่ฟ้องร้องกันกะให้เป็นคดีตัวอย่าง จน Netflix เองต้องยอมถอดออกจากโปรแกรมฉาย

แต่แล้วไม่กี่วันก่อนฉายก็ได้กลับมาลงในระบบ คาดว่าคงเจรจาจ่ายกันจนลงตัวแล้วนั่นแหละครับ นั่นเท่ากับว่านี่เป็นหนังโรงฟอร์มใหญ่ที่ติดปัญหาโควิด 19 จนต้องกลายมาเป็นหนังลงสตีมมิ่งของ Netflix แทน ซึ่งคาดว่าหลังจากนี้น่าจะมีตามมาอีกเรื่อยๆ เพราะปัญหาโควิดกระทบกับธุรกิจโรงหนังตรงๆ ยาวนานกว่าธุรกิจแบบอื่น

Time to hunt เริ่มจากการเป็นโพรเจกต์เจ้าปัญหากรณีพิพาทระหว่าง 2 บริษัทร่วมทุนสร้างและเมื่อในที่สุด Netflix ได้สิทธิในการสตรีมมิงอย่างเป็นทางการหลังต้องเลื่อนจากกำหนดเดิมวันที่ 10 เมษายน 2563 มาเป็นวันนี้ (23 เมษายน 2563) ก็ถึงเวลาที่เราจะได้พิสูจน์ความยอดเยี่ยมของตัวหนังกันแล้ว โดยผู้กำกับอย่าง ยูนซังฮยอน ที่ถนัดทำหนังวิพากษ์สังคมมาลองเสี่ยงจับทางหนังไซไฟแอ็กชันดูบ้าง ซึ่งแค่การมาจับหนังฟอร์มยักษ์เรื่องแรกก็พาเขาไปสู่เทศกาลหนังเบอร์ลินได้อย่างสมศักดิ์ศรี

หากจะถามว่าตัวดูหนังสดไปในแนวทางไหนก็ต้องบอกว่ามันมีส่วนผสมระหว่างการบรรยายความสิ้นหวังเหมือนอย่างหนังแบบ Children of Men แต่ความเป็นไซไฟหรือการกล่าวถึงสภาพสังคมเลวร้ายจะเบาบางกว่าเยอะมากเหมือนเป็นแค่แบ็คกราวด์ของเรื่องเฉย ๆ ซึ่งก็ถือเป็นการเอาจุดเด่นที่เป็นตัวขายกลายเป็นจุดด้อยอย่างน่าเสียดาย

แต่หากพ้นจากภาพลักษณ์ไซไฟแล้ว มันกลับไปใกล้เคียงหนังอาชญากรรมปล้นสไตล์หนังฮอลลีวูดพวก Ocean’s 11  แต่เป็นแบบเกรดบีดูดิบ ๆ มาผสมกับหนังนักฆ่าไล่ล่าสไตล์ No country for old men ซึ่งในส่วนฉากแอ็กชันไล่ล่าก็ต้องยอมรับว่าการที่หนังตั้งใจทำมาฉายโรงมันเลยออกมาดูดีมีราคามากอย่างที่หวังเลยล่ะ

ด้านเนื้อเรื่อง

หนังเต็มไปด้วยบรรยากาศกดดันหนักหน่วงอยู่แทบตลอดเวลา ฉากฆ่ากันทำได้สมจริงมีความรุนแรงสูง แบบยิงหัวทะลุให้เห็นกันจะๆ แถมด้วยจัดแสงไฟสีแดงย้อมทั้งฉาก ยิ่งเพิ่มความกดดันเวลาตัวละครอยู่ในสถานการณ์คับขันยิ่งช่วยให้อารมณ์ของหนังเข้ากับชื่อเรื่องมากๆ ตัวเรื่องเซ็ทโลกอนาคตไม่ไกลที่เกาหลีล่มสลายทางเศรษฐกิจมาเป็นตัวขับเคลื่อนแรงจูงใจให้เหล่าตัวละครในเรื่องนี้อยู่ในวังวนของอาชญากรรมได้อย่างสมเหตุผล

ซึ่งถ้าเป็นโลกในปัจจุบันตัวเรื่องนี้จะไม่สมจริงขึ้นมาทันที เพราะฉากการไล่ล่าหรือก่ออาชญากรรมในเรื่องอยู่ในที่โจ่งแจ้งตามที่สาธารณะแทบทั้งหมด อย่างการบุกยิงในโรงพยาบาลที่แทบไร้ผู้คน การยิงถล่มกันกลางเมืองร้างอย่างบ้าระห่ำเหมือนทั้งเมืองตกอยู่ในสงครามมาก่อน ซึ่งก็นับว่าเป็นการเขียนฉากของเรื่องออกมารองรับเนื้อเรื่องได้อย่างสมเหตุผล ทำให้ตัวหนังมีช่วงแอ็กชั่นยิงถล่มด้วยอาวุธสงครามกันหลายช่วงในเรื่องอย่างหนักหน่วง และให้อารมณ์กดดันกับคนดูเสมือนติดอยู่ในเกมล่าเดียวกับกลุ่มตัวเอกของเรื่องไปด้วย

แต่หนังก็ไม่ได้เป็นแนวสาดกระสุนตลอดเวลา หนังมีช่วงพักหายใจเป็นช่วงๆ กับเรื่องราวมิตรภาพของสมาชิกในแก๊งทั้ง 4 คน ทำให้คนดูได้เข้าใจว่าทั้ง 4 คนนี่เป็นมากกว่าเพื่อนร่วมงานปล้น แต่เป็นเหมือนเพื่อนรักกันทั้ง 4 คน ซึ่งดูหนังผ่านเน็ตแต่ละคนก็จะมีปูมหลังของตัวเองเสริมเรื่องนิดหน่อย แต่จะเน้นหนักไปที่ “กีฮุน” ที่รับบทโดย Woo-sik Choi จาก Parasite ซึ่งเป็นคนที่มีพ่อแม่เป็นครอบครัวเพียงคนเดียวในแก๊ง

และก็เป็นตัวเชื่อมเรื่องราวดราม่าเกี่ยวกับความฝันในการออกไปจากเกาหลีของพระเอกสู่เกาะเล็กๆ ในไต้หวันที่รอทุกคนให้ไปอยู่ด้วยกัน ซึ่งหนังปูความสัมพันธ์พวกนี้แทรกมาตามช่วงพักของเหตุการณ์ ทำให้เรื่องดูดีมีอะไรมากขึ้นกว่าการตามล่าไล่ยิงกันอย่างเดียว แต่บางทีก็รู้สึกว่าเรื่องค่อนข้างแช่อยู่กับส่วนนี้หลายครั้งนานเกินไปนิดๆ เหมือนกัน

กลายเป็นทำให้รู้สึกว่าเหล่าสมาชิกในแก๊งหลังจากปล้นเสร็จเหมือนไร้แผนหนีไปเก็บตัวตามที่ควรจะเป็น และดูชิลๆ จนเกินไป ทั้งๆ ที่ก่อนปล้นค่อนข้างเต็มไปด้วยอารมณ์กดดัน มีการวางแผนรัดกุมรอบคอบ แต่พอหลังปล้นอารมณ์ตรงนี้กลับหายไปเปิดเป็นช่องโหว่ให้ฝ่ายมาเฟียกลับมาตามล่าได้ง่ายเกินไป จนแอบน่าหงุดหงิดกับความชิลๆ ไม่ค่อยทุกข์ร้อนของพวกนี้สักเท่าไหร่ จนภัยมาถึงตัวเรื่องค่อยกลับมากดดันอีกครั้ง

นี่ไม่ใช่หนังที่แบบไล่ยิงกันกะเอาให้ตายแบบเรียลสมจริงนัก แต่เป็นแบบเกมของตัวร้ายที่เปิดช่องไล่ล่าพวกตัวเอกเพื่อความสนุกของตัวเอง มีการเปิดช่องให้รอด มีการยืนท้าทายให้โอกาสพวกพระเอกได้สวนกลับ ก็อาจจะมีแอบขัดใจกับการปล่อยโอกาสที่ฆ่าได้กลับไม่ฆ่าในบางช่วง และหนังไม่ได้วางไว้แค่ตัวละคร 2 ฝั่ง แต่ยังมีฝั่งที่ 3 ที่ตามเข้ามาภายหลังในเกมล่าครั้งนี้อีกด้วย

ซึ่งก็เป็นตัวช่วยปิดเรื่องราวให้สมเหตุผลได้มากกว่าแค่การไล่ยิงกันแล้วมีใครรอดตายเป็นผู้ชนะตามปกติ พร้อมทั้งยังมีเรื่องราวทิ้งไว้ในตอนท้ายที่ไม่ได้ตัดจบลงทันที แต่กลับมาที่เรื่องราวดราม่ามิตรภาพในแก๊งอีกครั้ง พร้อมกับฉากจบแบบปลายเปิดไว้ทำภาคต่อไปอีกด้วย (แต่ก็จบได้ลงตัวไม่ค้าง)

ด้านตัวบท

ส่วนตัวบทภาพยนตร์ต้องยอมรับว่าหนังมาในสายบันเทิงมากกว่าจะวิพากษ์อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แม้ว่าจะมีการกล่าวถึงครอบครัวของ คีฮูน ว่ามีพ่อแม่ที่ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากอยู่บ้างแต่หนังก็ไปเน้นที่การหนีตายของตัวละครมากกว่า ซึ่งเรื่องราวในส่วนนี้ถือว่ามีน้อยมากในหนังและดราม่าส่วนใหญ่ก็เกี่ยวข้องกับความเป็นเพื่อนและมิตรภาพระหว่างเพื่อนมากกว่าเลยทำให้พาร์ตดราม่าไม่เด่นเท่าที่ควร ผิดกับฉากแอ็กชันและเรื่องราวการทุจริตของตำรวจที่หนังเล่าได้น่าสนใจดี จะมีจุดที่น่าพูดถึงคือบทสรุปที่ขอบอกแบบไม่สปอยล์แต่กล่าวได้ว่าไม่น่าจะถูกใจคนดูทุกคน

รีวิว Time to hunt

ด้านจุดเด่น

จุดเด่นของเรื่องคือได้  Woo-sik Choi นักแสดงที่พึ่งโด่งดังจากหนัง Parasite  (รับบทลูกชายที่เป็นติวเตอร์ตัวเอกของเรื่อง) มารับบท “กีฮุน” (Ki-hoon) เพื่อนสนิทของตัวเอก “จุนซอก” (รับบทโดย Lee Jehoon จากซีรีส์ Signal) ซึ่งเป็นบทสมทบ แต่ก็กลายช่วยทำให้หนังเรื่องนี้ถูกจับตาว่าน่าสนใจมากขึ้นทันที ซึ่งตัวโครงเรื่องเองไม่ได้แปลกใหม่นัก หนังเริ่มเรื่องในช่วงอนาคตไม่ไกลจากปัจจุบันนัก

ที่ประเทศเกาหลีเศรษฐกิจตกต่ำ ผู้คนตกงาน รัฐบาลไม่มีจ่ายหนี้ IMF มหาศาล จนกลายเป็นประเทศที่ไร้อนาคต ย่านเศรษฐกิจของเมืองปิดตัวลงเหมือนเมืองร้าง แต่กลับเต็มไปด้วยแก๊งอาชญากรรมผุดขึ้นครองเมืองมากมาย กีฮุนตัวเอกของเรื่องพึ่งออกมาจากคุกพบกับเพื่อนร่วมแก๊งปล้นร้านเพชรเมื่อ 3 ปีก่อนที่หนีรอดไปได้ ก็พึ่งพบว่าเงินเกาหลีที่ได้มาจากการปล้นครั้งก่อนแทบไม่มีค่าอะไรอีกแล้ว

เพราะค่าเงินตกต่ำลงมากจนคนขวนขวายหาแต่เงินดอลล่าห์สหรัฐใช้ จึงทำให้พวกเขาวางแผนปล้นบ่อนคาสิโนของแก๊งมาเฟียในเมือง ด้วยความช่วยเหลือของเพื่อนอีกคนที่ทำงานบ่อนแห่งนี้ แต่นั่นกลายเป็นว่าเขาได้ก้าวขาเข้าไปสู่โลกอีกด้านที่ไร้กฎหมาย ถูกตามล่าจากนักฆ่าที่ต้องการความสนุกจากการล่า มากกว่างานที่ได้รับมาซะอีก

ด้านนักแสดง

ด้านนักแสดงแต่ละคนก็แสดงได้สมบทบาทดีอย่าง ชเวอูชิค ที่เพิ่งโด่งดังจาก Parasite ก็รับบทดราม่าได้ดีแต่อาจได้เวลาบนจอน้อยไปหน่อยแม้จะเป็นชื่อที่ใช้ขายหนังในระดับนานาชาติก็ตาม แต่ที่รับบทนำและทำหน้าที่ได้น่าชื่นชมเห็นจะเป็น อีแจฮุน ในบทจุนซอกหัวหอกของทีมปล้นที่ทั้งต้องแบกรับความผิดบาปที่พาเพื่อนมาสู่การไล่ล่าที่ดูไม่มีที่สิ้นสุดเหมือนตกนรกได้อย่างยอดเยี่ยม และทำให้ทุกฉากที่มีตัวละครนี้ช่วยให้หนังดูเข้มข้นและมีอะไรน่าค้นหามากขึ้น.

ตัวละครหลักทั้ง 4 คนในเรื่องถือว่าเล่นได้ดีเหมาะสมกับบททุกคน และบางคนแม้ไม่ได้เป็นตัวเอกอย่าง “จางโฮ” ที่รับบทโดย Jae-hong Ahn ที่แสดงเป็นหนุ่มร่างท้วมเป็นโรคหอบหืด และไม่ได้เข้ากรมทหารของเกาหลีมาก่อนจึงใช้ปืนไม่เป็นคนเดียว เป็นตัวละครที่ดูเหมือนอ่อนแอที่สุดของเรื่อง แต่กลับได้รับบทที่มีพัฒนาการกับหลายฉากน่าจดจำไม่แพ้ตัวเอกของเรื่องเลย ส่วนตัวนักแสดงที่เป็นนักฆ่าฉายา “ฮัน” รับบทโดย พัคแฮซู (รับบทนำในซีรีส์เกาหลี Prison Playbook) ก็เล่นได้สมบทบาทนักฆ่าที่แอบโรคจิตสนุกไปทุกครั้งกับการฆ่าคนแบบชิลๆ

สรุป

หนังโรงฟอร์มใหญ่ของเกาหลีที่หนีภัยโควิดมาลง Netflix ซึ่งตัวบทกับโปรดักชั่นและดาราที่แสดงมีคุณภาพสูงมาก หนังมีแอ็กชั่นยิงถล่มกันหลายฉากกลางเมืองจากการเซ็ทโลกในอนาคตอันใกล้ที่เมืองในเกาหลีล่มสลายไปแล้วทำให้หลุดข้อจำกัดเหตุผลความสมจริงไปได้ง่ายๆ แต่ก็มีแทรกด้วยดราม่ามิตรภาพของฝั่งตัวเอกที่ทำได้ดี แม้จะมีติดยืดๆ อยู่บ้างกับความยาวถึง 2 ชั่วโมงกว่าของหนัง บางครั้งเรื่องออกดูชิลๆ เกินไปบ้าง แต่ช่วงเกมล่ากดดันอารมณ์คนดูให้หวาดเสียวหายใจไม่ทั่วท้องไปกับเรื่องได้ดีมาก

Ozark Season 3

ดูหนังสด

รีวิว Ozark Season 3 - โอซาร์ก

กลับมาสานต่อความหายนะ ในสิ่งที่ครอบครัวเบิร์ด ได้ถลำลึกลงไปในวงการมืดที่พวกเขาต้องคอยฟอกเงินให้กับแก๊งค์ค้ายาสุดโฉด มาดูว่า ซีซั่นที่ 3 นี้ จะยังคงระดับความมันส์และความเข้มข้นไว้ได้ในแบบซีซั่นก่อนหน้านี้หรือไม่ รีวิว Ozark Season 3

เรื่องย่อ

หลังจากที่ครอบครัวเบิร์ดต้องหาทางดิ้นรนเอาตัวรอดจากแก๊งค์ค้ายาด้วยการฟอกเงิน และสร้างธุรกิจคาสิโนขึ้นมา กลายเป็นว่าคนที่ถลำลึกลงไปไม่ใช่มาร์ตี้ แต่เป็นเวนดี้ ภรรยาของเขา ซึ่งในซีซั่นที่แล้ว มีพัฒนาการตัวละครที่ชวนให้ทุกคนตะลึงหลายๆ อย่าง ทั้งๆ ที่มาร์ตี้เป็นฝ่ายที่อยากจะหนีออกจากตรงนี้ทุกอย่าง มาในซีซั่นนี้ จะเป็นเหตุการณ์หลังจากเปิดคาสิโนได้ 6 เดือน การดำเนินธุรกิจการฟอกเงินก็ดำเนินไปเรื่อยๆ จนมาถึงเหตุการณ์ความวุ่นวายครั้งใหม่ เมื่อหัวหน้าของพวกเขา แก๊งค์นาร์วาโร กำลังทำสงครามกับแก๊งค์คู่แข่งอื่นอยู่ ทำให้ครอบครัวเบิร์ดต้องถูกบีบคั้นให้ฟอกเงินก้อนโตอีกครั้ง แต่ก็ทำได้ไม่สะดวกนักเมื่อ FBI ก็ได้เข้ามาตรวจสอบกิจการ หายใจรดต้นคอเพื่อหาทางเอาผิดให้ได้


ในซีซั่นที่ 3 นี้ ได้ขยายสเกลเนื้อเรื่องขึ้นอีกในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการขยับขยายกิจการคาสิโน ที่ต้องหาทางสายเทาๆ เข้าไปพัวพันกับแก๊งค์ผู้มีอิทธิพล เพื่อบรรลุเป้าหมายในการฟอกเงิน เพราะว่าครอบครัวเบิร์ดเองเป็นผู้มีส่วนร่วมรู้เห็นในการฟอกเงินครั้งนี้ทุกคน ไม่เว้นแม้แต่พวกลูกๆ ซึ่งในซีซั่นที่แล้ว เวนดี้มีบทเด่นมากในเรื่องการเมือง ในครั้งนี้เธอจะเข้ามามีบทบาทในการเจรจาธุรกิจมากขึ้นเมื่อเธอได้สนิทกับเฮเลน ทนายคนโปรดของนาร์วาโร และทางแก๊งค์ที่อยู่ระหว่างสงคราม ต้องการหาแหล่งรายได้ใหม่ที่ถูกกฏหมาย ก็เป็นหน้าที่ของเวนดี้ที่จะต้องจัดการเรื่องพวกนี้ เพื่อที่พวกเขาจะได้ฟอกเงินและรอดจากการถูกฆ่า สามารถอ่านรีวิวของ Season 1 และ 2

เนื้อเรื่อง

หลังจากที่ครอบครัวเบิร์ดต้องหาทางดิ้นรนเอาตัวรอดจากแก๊งค์ค้ายาด้วยการฟอกเงิน และสร้างธุรกิจคาสิโนขึ้นมา กลายเป็นว่าคนที่ถลำลึกลงไปไม่ใช่มาร์ตี้ แต่เป็นเวนดี้ ภรรยาของเขา ซึ่งในซีซั่นที่แล้ว มีพัฒนาการตัวละครที่ชวนให้ทุกคนตะลึงหลายๆ อย่าง ทั้งๆ ที่มาร์ตี้เป็นฝ่ายที่อยากจะหนีออกจากตรงนี้ทุกอย่าง มาในซีซั่นนี้ จะเป็นเหตุการณ์หลังจากเปิดคาสิโนได้ 6 เดือน การดำเนินธุรกิจการฟอกเงินก็ดำเนินไปเรื่อยๆ จนมาถึงเหตุการณ์ความวุ่นวายครั้งใหม่ เมื่อหัวหน้าของพวกเขา แก๊งค์นาร์วาโร กำลังทำสงครามกับแก๊งค์คู่แข่งอื่นอยู่ ทำให้ครอบครัวเบิร์ดต้องถูกบีบคั้นให้ฟอกเงินก้อนโตอีกครั้ง แต่ก็ทำได้ไม่สะดวกนักเมื่อ FBI ก็ได้เข้ามาตรวจสอบกิจการ หายใจรดต้นคอเพื่อหาทางเอาผิดให้ได้

แต่ความเห็นของเวนดี้ และมาร์ตี้ ไม่ลงรอยกันเสียเท่าไหร่ เราจะเห็นได้ตั้งแต่ซีซั่นที่แล้วว่า มาร์ตี้ พยายามจะหาทางหนีและเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่เวนดี้เป็นคนที่กลับมาทำให้ทุกๆ อย่าง มันถลำลึกลงไป ซึ่งในซีซั่นนี้ มันยิ่งถลำลึกลงไปยิ่งกว่าเก่าเป็นอีกเท่าตัว เราจะได้เห็นฉากดราม่า เชือดเฉือนทั้งความรู้สึกระหว่างบทสนทนาของคู่สามีภรรยาเบิร์ดบ่อยมาก จนมันไปกระทบกับความสัมพันธ์ของทั้งสอง

มีตัวละครใหม่เข้ามาดูหนังสดสร้างสีสันให้เรื่องราว จากที่เดาทิศทางยากอยู่แล้ว ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ เมื่อน้องชายแท้ๆ ของเวนดี้ เบนจามิน ได้ลี้ภัยหลบหนีคดีมาพักกับครอบครัวเบิร์ด ซึ่งตัวละครนี้มีปมพิเศษบางอย่างนั่นก็คือ เขาเป็นโรคจิตเภท ไบโพลาร์ที่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ทำให้เขากลายเป็นระเบิดเวลาที่อาจจะระเบิดและสร้างความปั่นป่วนให้กับเนื้อเรื่องได้แบบชนิดที่ว่า ในเรื่องที่เดาได้ มันเดาไม่ได้ยิ่งขึ้นไปอีก และซีซั่นนี้เป็นครั้งแรกที่ครอบครัวเบิร์ด จะเผชิญหน้ากับตัวบอสใหญ่ที่คอยบงการเขาอย่าง โอมาร์ นาร์วาโร

แม้ว่าเนื้อเรื่องหลายๆ อย่างจะเป็นการเล่าต่อจากภาคที่แล้ว แต่มีบางส่วนที่ตัวซีรีส์ กลับข้ามมันไปแล้วบอกผ่านบทพูดแทน ทั้งๆที่ตอนจบของซีซั่นที่ 2 อย่างการระเบิดออฟฟิศของเบิร์ด เพราะไปขัดแข้งขัดขากับแก๊งค์มาเฟียแคนซัส ก็ถูกข้ามไปกลายเป็นว่าดีกันซะงั้น แต่ซีซั่นนี้ก็มีจุดแตกหักระหว่างตระกูลเบิร์ดกับมาเฟียนี้เหมือนกัน

การดำเนินเรื่องในซีซั่นนี้

การดำเนินเรื่องในซีซั่นนี้ จะให้ความคล้ายคลึงกับซีซั่น 1 อย่างมาก ซึ่งยังคงเน้นบทพูดต่างๆ และค่อยๆ เพิ่มความกดดันเกี่ยวกับสถานการณ์ที่ตัวเอกต้องเจอภายในเรื่อง แต่หลายๆส่วนรู้สึกว่าจะดรอปลงไปกว่าซีซั่นที่ 2 อยู่พอสมควร แทนที่ด้วยดราม่าที่เข้มข้นแทน เพราะว่าซีซั่นที่ 2 มีฉากที่เกี่ยวกับความเป็นความตายแทบจะทุกตอน แต่มาในซีซั่นนี้รู้สึกว่ามันน้อยลงกว่าเดิม

ดูเหมือนว่าซีซั่นนี้ จะ Back to Basic ไปในรูปแบบของเว็บสตรีมหนังซีซั่น 1 ที่เล่าเรื่องขยายต่อจากเดิม มีฉากกดดันประปราย แต่ทำให้เราเข้าใจตัวละครต่างๆ ได้มากขึ้น ทั้งสถานการณ์ อารมณ์ การตัดสินใจ และในซีซั่นนี้จะมีพัฒนาการตัวละครของมาร์ตี้ เบิร์ด ที่ในซีซั่นที่แล้วโดนบทของภรรยาแย่งเด่นไปหมด แต่ครั้งนี้เราจะไปเห็นถึงภูมิหลังบางอย่างของเขาด้วย ทำให้เราเข้าใจตัวละครนี้มากยิ่งขึ้นไปอีก แต่บทของเวนดี้ก็ยังมีพัฒนาการและเป็นตัวหลักอีกตัวที่ยังทำให้เราคอยลุ้น เอาใจช่วย หรือสาปส่งแล้วแต่คนดูอีกตัวละครนึง

ความดีงามอีกอย่างในซีซั่นนี้ก็คือ รูธ แลงมัวร์ ที่ยังคงพัฒนาการตัวละครได้ดี หลังจากที่เธอสูญเสียพ่อไป ดราม่าระหว่างเธอกับลูกพี่ลูกน้องของเธอก็ช่วยดำเนินเรื่องให้ไปในทางที่คาดไม่ถึงเหมือนกัน ทั้งเรื่องความรักต่างวัยแบบสุดๆ ที่ไม่คิดว่าเขาจะกล้าเล่าและนำเสนอออกมาในมุมนี้ และการกลับมามีบทบาทของ ดาร์ลีน แม่ม่ายเจ้าของไร่ฝิ่นที่ยังคงความบ้าเอาไว้

รีวิว Ozark Season 3

การสร้างสรรค์ตัวละคร

Ozark เป็นซีรีส์ที่มีตัวละครเยอะมาก แล้วที่ชื่นชอบมากคือแต่ละตัวละครที่โผล่หน้ามาในหนังนั้น ไม่มีตัวละครระดับเบี้ยไบ้รายทางเลย ทุกรายล้วนมีความสำคัญกับเนื้อหาของหนังทั้งสิ้น ทุกตัวมีบุคลิกที่โดดเด่น พอหนังวางความสัมพันธ์ของแต่ละตัวละครที่โยงใยกันอย่างครบถ้วนแล้ว การกระทำของตัวละครหนึ่งก็ล้วนกระทบต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ต่อเนื่องไปทั่วถึงอีกหลาย ๆ ตัวละคร

ความดีความชอบนี้ก็ต้องยกให้กับ บิล ดูบิวค์ ผู้สร้างสรรค์ซีรีส์และเป็นผู้เขียนบทหลักที่สร้างสรรค์ตัวละครแต่ละตัวออกมาได้อย่างมีสีสัน น่าสนใจ และมีพัฒนาการอย่างเห็นได้ชัด และหลาย ๆ ตัวละครน่าจะเป็นตัวละครที่คนดูรักได้ง่าย ๆ ที่โดดเด่นสุดก็ต้องเป็น “บัดดี้” ตาลุงแก่เจ้าของบ้าน ที่ครอบครัวเบิร์ดมาอาศัยอยู่ บัดดี้บอกว่าเขาเป็นมะเร็งจะตายแล้ว เขาขอใช้ชีวิตบั้้นปลายลงไปอยู่ในห้องใต้ดินแล้วจะไม่รบกวนครอบครัวเบิร์ด ให้ทุกคนอยู่ในบ้านเขาได้อย่างสบายใจ

บัดดี้ ใส่อ๊อกซิเจนช่วยหายใจตลอดเวลา เดินกระย่องกระแย่ง แต่เมื่อผ่านไปแต่ละตอนแล้ว ตาลุงบัดดี้นี่ล่ะ ขาเก๋าตัวจริง อดีตของลุงค่อย ๆ เปิดเผยมาทีละน้อย แล้วก็มีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อครอบครัวเบิร์ด ช่วยพาครอบครัวนี้ผ่านนาทีเป็นนาทีตายมาหลายครั้ง แล้วยังเป็นเพื่อนรักของโจนาห์ ลูกชายคนเล็กของครอบครัว เป็นตัวละครที่โคตรน่ารัก นี่คือตัวอย่างที่ดีงามของการใส่พัฒนาการตัวละคร ทั้งการเผยตัวตน และการสร้างความสัมพันธ์ของตัวละคร

โจนาห์ เป็นอีกตัวละครที่น่าสนใจอย่างมาก เป็นเด็กผู้ชายที่เงียบ ผิดจากที่พี่สาวที่โผงผางเจ้าอารมณ์ โจนาห์ ชอบฟังและเรียนรู้ทุกอย่างเงียบ ๆ แต่เมื่อผ่านไปถึงซีซัน 2 เราก็ได้เห็นล่ะว่า ไอ้หนูนี่ไม่ธรรมดาเลย รับเอาความเจ้าเล่ห์ของแม่ ความฉลาดของพ่อมาอย่างเต็ม ๆ เรียนรู้กระบวนการฟอกเงินของพ่อและแม่ได้อย่างรวดเร็ว แล้วเอามาประยุกต์ใช้ได้อย่างน่าทึ่ง จนพ่อกับแม่ยังตกใจว่านี่เราสร้างตัวอะไรขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

ดาร์ลีน สเนลล์ เปิดตัวมาแบบโคตรบ้าน ๆ ธรรมดา ดาร์ลีน เป็นเมียของ เจค็อบ สเนลล์ เจ้าพ่อค้ายาประจำโอซาร์ก ฉากหน้าของดาร์ลีนคือยายแก่ปากจัด อารมณ์ร้าย และนี่คือตัวละครที่มีบทบาทระดับต้น ๆ ของซีรีส์เลย เธอคือตัวละครที่สร้างความฉิบหายระดับรุนแรงให้กับครอบครัวสเนลล์ แล้วยังเป็นตัวที่พาเรื่องราวของซีรีส์ไปถึงจุดวิกฤติหลายต่อหลายครั้ง เป็นตัวละครที่จะมีบทบาทอย่างมากในซีซัน 3 น่าติดตามว่าเธอจะสร้างความโกลาหลอะไรให้กับเรื่องราวได้อีกมาก

จุดเด่น

เสน่ห์หลักของ Ozark เลยล่ะ หนังสร้างตัวละครที่น่าสนใจขึ้นมามากมายอย่างที่กล่าวไปข้างต้น ซึ่งเป็นตัวละครระดับขับเคลื่อนเรื่องราวเลย แต่แล้วก็ฆ่าตัวละครเหล่านี้ทิ้งซะเฉย ๆ ถึงกับต้องร้อง เฮ้ย!! เอางี้เลยเหรอ แล้วทำแบบนี้กับหลาย ๆ ตัว เราคิดว่าไอ้ตัวนี้จะต้องอยู่สร้างความวุ่นวายไปอีกนาน ๆ ก็ถูกกำจัดทิ้งซะ ซึ่งทำให้เราคิดว่าการที่ตัวร้ายพวกนี้ตายไปแล้ว เนื้อหาจะผ่อนเบาลง แต่ก็เปล่า ความเก่งความเชี่ยวของทีมเขียนบทก็สร้างตัวละครใหม่ออกมาที่มีพิษสงรุนแรงกว่าเดิม เพิ่มดีกรีความเข้มข้นมากขึ้นไปอีก

โดยรวม

ยังคงรักษามาตรฐานเอาไว้ได้ดีเหมือนเดิม แม้จะมีดรอปลงไปในบางส่วน เนิบนาบในบางช่วง แต่ก็ไม่ทำให้ความสนุกลดลง และด้วยเซอร์ไพรส์ในตอนจบที่ทำให้หวนนึกถึงตอนจบแบบซีซั่น 1 เป๊ะๆ ขอบอกเลยว่า ซีซั่น 4 คงจะเป็นอะไรที่คาดเดาไม่ได้ไปอีกยิ่งกว่าเดิม

สรุป

แม้จะดรอปลงไปบ้างจากซีซั่นที่แล้วในด้านความกดดัน แต่ถูกแทนที่ด้วยดราม่าเข้มๆ รวมถึงพัฒนาการตัวละครหลักได้อย่างน่าสนใจ และถึงเพิ่มระเบิดเวลาลูกใหม่ที่จะทำให้เรื่องราวมันดิ่งลงเหวขึ้นไปอีก ถือว่าเป็นซีรีส์อีกเรื่องที่ใครชอบแนว Bad Joke แบบ Breaking Bad ก็ไม่ควรพลาด

Ozark Season 2

ดูหนังฟรี

รีวิว Ozark Season 2 - โอซาร์ก

โอซาร์ก ในซีซั่นที่ 2 นี้ หลังจากที่ซีซั่นแรกตอนจบได้จบแบบทำเอาผู้ชมเหวอซะจนคิดในใจว่า เอาแบบนี้จริงๆ ดิ? มันทำให้ในซีซั่น 2 นี้มีเรื่องที่คาดไม่ถึง เพิ่มเติมความเข้มข้นของบทและความกดดัน รวมไปถึงการพัฒนาตัวละครแต่ละตัวในเรื่องที่เรียกได้ว่า ในความเดาได้ มีความเดาไม่ได้ซ่อนอยู่ ซึ่งซีซั่นนี้ ดีกว่าซีซั่นแรกอย่างมาก รีวิว Ozark Season 2

เรื่องย่อ

เรื่องราวของโอซาร์กในซีซั่น 2 มันได้ขยายสเกลให้ใหญ่ขึ้น จากการที่ต้องฟอกเงินให้พ่อค้ายาเพื่อไม่ให้ตัวเองตาย กลับกลายเป็นว่าธุรกิจของมาร์ตี้ขยับขยายมากยิ่งขึ้น ทำให้ต้องไปมีเอี่ยวกับผู้มีอิทธิพล รวมไปถึงนักการเมืองอีกด้วย ซึ่งในจุดนี้ เวนดี้ เบิร์ด ภรรยาของมาร์ตี้ (ที่แอบคบชู้ในซีซั่นแรก) กลับกลายเป็นว่ามีบทบาทมาก ถึงมากที่สุดของซีซั่นนี้เลยทีเดียว และการขยับขายธุรกิจฟอกเงินนี้มันก็ไปเตะตาเจ้าหน้าที่ FBI ที่กำลังเล็งเด็ดหัวพวกพ่อค้ายาตัวเป้งๆ อีกด้วย แถมยังมีดราม่าระหว่างตัวของครอบครัวมาร์ตี้ และผู้ช่วยสาวแสบที่อยู่มาตั้งแต่ซีซั่นแรกอย่าง รูธ แลงมัวร์ ที่ได้ทำวีรกรรมไว้ในซีซั่นที่แล้ว มาซีซั่นนี้ พ่อตัวแสบของเธอได้ออกจากคุกมา และเพิ่มสีสันและความกดดันทำให้เนื้อเรื่องคาดเดาไม่ได้ขึ้นไปอีกสเต็ปหนึ่ง


อย่างที่เกริ่นไปในรีวิวของ Ozark Season 1 ว่าไม่อยากให้มันเทียบกับเบรคกิ้งแบด เพราะซีซั่นแรกมันดำเนินเรื่องเฉื่อยๆ ค่อยๆ ปูบทตัวละครจริงๆ พอมาซีซั่นนี้แล้วมันกลับกลายเป็นว่า เอากลิ่นอายของเบรคกิ้งแบดหลายๆ อย่างมาเลยล่ะ ทั้งตัวละครที่มีการพัฒนาไปสู่ด้านมืดขึ้นเรื่อยๆ รวมไปถึงความคาดเดาของพฤติกรรมตัวละครต่างๆ ที่ผีเข้าผีออก ดูเหมือนจะเดาได้ว่า ตัวละครนี้จะทำอะไร

แต่ก็ไม่ทำไปทำอีกอย่างที่เราคาดไม่ถึงแทน ในซีรีส์สับขาหลอกเราได้อยู่หมัด ซึ่งในซีซั่นนี้ มีฉากเผชิญหน้ากับความตาย หลายต่อหลายฉาก และแต่ละฉากนั้น มีทำให้เราลุ้นและกดดันจนแทบลืมหายใจได้เลย ซีซั่นนี้ขอบอกเลยว่า ทั้งบทพูด ทั้งการดำเนินเรื่อง ทุกอย่าง อัพเกรดขึ้นมากจากซีซั่นที่แล้วอย่างเห็นได้ชัด เพราะมันเข้มข้นและไม่น่าเบื่อเลย

เนื้อเรื่อง

เรื่องราวของโอซาร์กในซีซั่น 2 มันได้ขยายสเกลให้ใหญ่ขึ้น จากการที่ต้องฟอกเงินให้พ่อค้ายาเพื่อไม่ให้ตัวเองตาย กลับกลายเป็นว่าธุรกิจของมาร์ตี้ขยับขยายมากยิ่งขึ้น ทำให้ต้องไปมีเอี่ยวกับผู้มีอิทธิพล รวมไปถึงนักการเมืองอีกด้วย ซึ่งในจุดนี้ เวนดี้ เบิร์ด ภรรยาของมาร์ตี้ (ที่แอบคบชู้ในซีซั่นแรก) กลับกลายเป็นว่ามีบทบาทมาก ถึงมากที่สุดของซีซั่นนี้เลยทีเดียว

และการขยับขายธุรกิจฟอกเงินนี้มันก็ไปเตะตาเจ้าหน้าที่ FBI ที่กำลังเล็งเด็ดหัวพวกพ่อค้ายาตัวเป้งๆ อีกด้วย แถมยังมีดราม่าระหว่างตัวของครอบครัวมาร์ตี้ และผู้ช่วยสาวแสบที่อยู่มาตั้งแต่ซีซั่นแรกอย่าง รูธ แลงมัวร์ ที่ได้ทำวีรกรรมไว้ในซีซั่นที่แล้ว มาซีซั่นนี้ พ่อตัวแสบของเธอได้ออกจากคุกมา และเพิ่มสีสันและความกดดันทำให้เนื้อเรื่องคาดเดาไม่ได้ขึ้นไปอีกสเต็ปหนึ่ง

โอซาร์กในซีซั่น 2 มันไม่ได้มีปมแค่เรื่องฟอกเงินดูหนังฟรี แต่มันยังรวมไปถึงปัญหาในครอบครัว ของทั้งมาร์ตี้เอง หรือของรูธ แลงมัวร์ รวมไปถึงดราม่าของเจ้าหน้าที่เพ็ตตี้ ที่แอบตามจับครอบครัวเบิร์ดมาตั้งแต่ซีซั่นแรก ซึ่งซีซั่นแรกมันเหมือนเป็นการปูทางมาสู่ความเข้มข้นที่คาดเดาไม่ได้ของซีซั่นสองที่จะประเคนให้คุณในทุกๆ ตอน แบบจริงๆ แต่ก็มีบ้าง ที่บางตัวละครจะมางี่เง่าในตอนท้ายๆ ของซีซั่น ทำให้เราดูไป รู้สึกหงุดหงิดไป แต่นั่นน่าจะเป็นความตั้งใจของผู้เขียนบท ซึ่งมันทำให้เราดูแล้วหงุดหงิดตามตัวละครในเรื่องได้จริงๆ

สิ่งที่เด่นในซีซั่นนี้

สิ่งที่เด่นจริงๆ ในซีซั่นนี้ คือการพัฒนาตัวละครของ เวนดี้ เบิร์ด ที่เธอจะใช้ความสามารถในการเจรจากับนักการเมือง เพราะในอดีตเธอเคยทำงานให้กับโอบาม่า (ในเรื่อง) ช่วงหาเสียง แต่เธอก็ต้องออกมาเลี้ยงลูกและกลายเป็นแม่บ้านเกือบๆ 20 ปี ซึ่งพอสามีเธอเกือบถูกฆ่าเพราะฟอกเงิน ทำให้เธอต้องกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดและหาวิธีที่จะเอาตัวรอดด้วยการเจรจาทำธุรกิจระหว่างผู้มีอิทธิพลกลุ่มต่างๆ

ไม่ว่าจะเป็น ครอบครัวสเนลล์ ผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ หรือพวกแก๊งค์ค้ายาจากซีซั่นแรกก็ยังเป็นตัวหายนะสำหรับเรื่องนี้อยู่ แต่สิ่งที่เพิ่มมาก็คือ การเจรจาระหว่างนักการเมืองท้องถิ่น รวมไปถึงแก๊งค์มาเฟียเมืองข้างเคียงอีก ทำให้ซีซั่นนี้มีปมปัญหาเทเข้ามาหาเหล่าตัวละครหลักอย่างมาก และทำให้เราลุ้นเอาใจช่วยว่า พวกเขาจะแก้มันได้ยังไง จะมีตัวละครไหนตายหรือเปล่า

ด้านตัวละคร

เป็นอีกจุดเด่นของ Ozark ที่แม้ว่านักแสดงสมทบแต่ละรายจะไม่คุ้นหน้าคุ้นตานัก แต่ก็ต้องยอมรับเลยว่าอีกกลไกหนึ่งที่ขับเคลื่อนให้ซีรีส์นี้น่าติดตามก็คือการคัดเลือกนักแสดงมาได้เหมาะสมกับแต่ละบทบาทอย่างมาก ถ้ามาแจกแจงแต่ละบทบาทตัวละครคงต้องเขียนกันยาวเป็นสิบหน้า เพราะ Ozark เป็นซีรีส์ที่มีตัวละครเยอะมว้ากกก งั้นว่ากันที่ตัวเด่น ๆ

เจสัน เบตแมน ในบท มาร์ติน เบิร์ด แม้โทนหนังจะเป็นการพลิกบทบาทจากตลกอารมณ์ดีที่เจสันถนัด มาเป็นบทที่ตึงเครียด แต่ส่วนที่ มาร์ติน เบิร์ด เหมาะเหม็งกับภาพลักษณ์ของเจสัน เบตแมน ก็คือการเป็นมนุษย์ที่มีความเจ้าเล่ห์เพทุบายในตัว เป็นคนที่ช่างจ้อ ใช้ปากทำงานมากกว่ามือเท้า ซึ่งเจสันมักจะได้บทนี้เป็นประจำอยู่แล้ว พอมาเจอบทมาร์ตินนี่ก็แทบจะสวมร่างได้สบาย ๆ เลย ไม่ต้องทำการบ้านมากมายเพื่อเปลี่ยนภาพลักษณ์

ลอรา ลินนีย์ ในบท เวนดี้ เบิร์ด ด้วยประสบการณ์ของลอรา ลินนีย์ ที่มีผลงานมาแล้วถึง 70 เรื่อง ผ่านมาแทบทุกบทบาท ให้เล่นอะไรก็ได้หมดแล้วล่ะ ดีกรีคุณภาพของเธอคือได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์มาแล้วถึง 3 ครั้ง แล้วลอรา ก็สามารถทำให้ เวนดี้ เป็นตัวละครที่มีสีสันอย่างมาก เป็นบทสำคัญที่ตีคู่กับ มาร์ติน เบิร์ด ตลอดทั้งเรื่อง เธอทำหน้าที่ได้ดีทั้งเป็นแม่ของลูกทั้งสอง

เราได้เห็นการแบ่งรับแบ่งสู้ของคุณแม่อย่างเวนดี้ที่ทำหน้าที่ได้ดี มีทั้งหนังออนไลน์ บทเฮี้ยบที่ชี้นิ้วออกคำสั่งกับลูกอย่างเกรี้ยวกราด และนาทีที่วิ่งเข้าไปโอบกอดและบอกรักลูก ซึ่งการที่ลอราเป็นคุณแม่ลูกหนึ่งในชีวิตจริง ก็เป็นคุณสมบัติที่เหมาะสมที่เธอมารับบทคุณแม่ได้อย่างเข้าถึง ลอรา ถ่ายทอดบทบาทเวนดี้ ให้เราสัมผัสได้ชัดเจนว่านี่คือนางมารร้ายตัวหนึ่งเลยล่ะ

เพียงแต่ว่าเธอหนังเล่าเรื่องราวผ่านทางฝั่งเธอและสามีเท่านั้น ทำให้เราต้องเอาใจช่วยเธอให้ผ่านพ้นแต่ละปัญหาไปได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอเป็นคนดีแต่อย่างใด ลอรา สามารถใช้สายตาแสดงหนังได้อย่างชัดเจน บ่อยครั้งที่เราเห็นเวนดี้ ยิ้มและจับมือกับผู้คนที่เธอเจรจาด้วย แต่นัยน์ตาเธอนั้นก็แสดงท่าที่ครุ่นคิดวางแผนแยบยลอยู่ตลอดเวลา

จูเลีย การ์เนอร์ ในบท รูธ แลงมอร์ เปิดตัวมาแบบสก๊อยบ้าน ๆ ที่ดูไม่น่าจะสลักสำคัญอะไรกับเรื่องราวเลย แต่กลายเป็นว่าจูเลีย สามารถถ่ายทอดบทบาทของ รูธ ให้เราค่อย ๆ รักและเอาใจช่วยตัวละครไปอย่างไม่รู้ตัวเลย เป็นตัวละครที่ทำให้เราต้องคาดเดา ลุ้นระทึกกับความคิดตัดสินใจของเธอแทบทุกตอน

จูเลีย มีภาพลักษณ์ที่โดดเด่นกับผมทองหยิกหยอยของเธอที่ดูเข้ากับหน้าตาจิ้มลิ้มมีเสน่ห์แบบที่ต้องพิศ ไม่ใช่สวยสตันท์เมื่อแรกเห็น บทรูธนั้นเป็นสาวที่เติบโตมาในครอบครัวอาชญากร กร้านโลก ปากจัด แต่มีความใฝ่ดี อยากพาตัวเองและน้อง ๆ ให้พ้นตราบาปของตระกูลแลงมัวร์ ซึ่งจูเลียก็ถ่ายทอดโจทย์ทุกอย่างออกมาได้อย่างสมบูรณ์ แล้วเธอเนี่ยแหละที่คว้ารางวัลเอ็มมี่ปี 2019 เอาชนะ 3 ตัวเก็ง เมซี วิลเลียมส์, โซฟี เทอร์เนอร์ และ เลนา เฮดีย์ จาก Game of Thrones มาได้สำเร็จ

รีวิว Ozark Season 2

นักแสดงรายอื่น ๆ ที่โผล่หน้ามาก็ล้วนแต่น่าชืนชม ที่หาตัวแสดงมาแบบที่มีบุคลิกเด่นชัดสุด เจเน็ต แม็กเทียร์ ในบท เฮเลน เพียร์ซ ทนายความของแก๊งค้ายาเม็กซิกัน ก็มาในมาดสาวห้าว โหด ที่ดูทั้งน่ากลัวน่าเกรงขามเสมอ แม้ขณะที่เธอมีรอยยิ้มให้ , อีไซ โมราเลส ในบท เดล มาเฟียเม็กซิกัน เป็นตัวร้ายอีกรายที่ผมชื่นชอบมาก สามารถถ่ายทอดรังสีอำมหิตให้สัมผัสได้ น่ากล้วทุกครั้งที่ปรากฏตัวออกมา สามารถจ่อยิงกบาลคนได้ โดยที่สีหน้าราบเรียบไม่แสดงอาการความรู้สึกใด ๆ คาดเดาอารมณ์ไมได้เลย

โดยรวม

เรียกได้ว่า โอซาร์ก ซีซั่น 2 ได้อุดช่องโหว่ต่างๆ และแก้ข้อเสียของซีซั่น 1 ทิ้งไปจนหมด แล้วกลายเป็นการดำเนินเรื่องสุดเข้มข้น ผสมความดาร์คและความดราม่า ที่สอดแทรกด้วยความตลกร้ายซึ่งมันมีกลิ่นอายของ Breaking Bad ได้อย่างดี การันตีความสนุกและความดีงามด้วยรางวัลกำกับยอดเยี่ยมจาก Emmy Award ปี 2018 ผมขอให้คะแนน โอซาร์ก Season 2 ที่ 9 คะแนน และขอยกให้เป็นอีก 1 ซีรีส์ที่ว่า ถ้าหากคุณชอบแนวอาชญากรรม ที่มันดาร์คๆ เรียลๆ กดดันๆ ล่ะก็ ต้องดูเลย เพราะซีซั่นที่ 3 กำลังจะมาในวันที่ 27 เดือนมีนาคมที่จะถึงนี้

สรุป

อย่าว่าทิศทางของเนื้อหาแต่ละซีซันเลยครับ ว่าจะดำเนินไปในทิศทางใด เอาแค่แต่ละเอพิโซด แต่ละความคิดการกระทำของตัวละคร นี่ก็คาดเดาไม่ได้แล้ว ใครยังไม่เคยดู ไม่เคยได้ยินชื่อซีรีส์เรื่องนี้ เชียร์สุดฤทธิ์เลยครับ ไม่ผิดหวังแน่นอน เริ่มเปิดแล้วจะต้องจบสองซีซันในเวลาไม่นานแน่นอน แล้วก็นั่งรอซีซัน 3 ไปด้วยกัน ผู้สร้างประกาศออกมาแล้วว่า Ozark จะจบบริบูรณ์ในซีซันที่ 5 ครับ

Ozark

ดูหนังฟรี

รีวิว Ozark Season 1 - โอซาร์ก

โอซาร์ก ซีรีส์ออริจินัลจาก Netflix ที่ได้รับรางวัล Emmy Award สาขากำกับยอดเยี่ยม ซึ่งหลายๆ คน อาจจะยังไม่รู้จักเรื่องนี้ โดยเนื้อหาในเรื่องมันจะเกี่ยวกับอาชญากรรมที่คลับคล้ายคลับคลากันกับซีรีส์ขึ้นหิ้งชื่อดังอย่าง Breaking Bad และจุดเด่นของซีรีส์ก็คือความกดดัน ลุ้นระทึกไปกับพฤติกรรมที่คาดเดาไม่ได้ของแต่ละตัวละคร รีวิว Ozark Season 1

เรื่องย่อ

มาร์ติน ‘มาร์ตี้’ เบิร์ด (Jason Bateman จากหนังเรื่อง Central IntelligenceZootopia และ The Gift) ที่ปรึกษาทางด้านการเงินผู้มีปัญญาที่ชาญฉลาดและยังมีวาจาวาทะที่ยอดเยี่ยมที่ชิคาโก แต่เพราะผู้ร่วมธุรกิจของเขาดันไปโกงพ่อค้ายาเสพติดตัวเอ้เข้า เมื่อเข้าถึงตาจน มาร์ตี้จำเป็นต้องรักษาทั้งชีวิตตัวเองและครอบครัวไว้ เขาจึงมีข้อเสนอ เขาจะใช้ความสามารถในวิชาการฟอกเงินที่เขามี นำเงินที่พ่อค้ายาเสพติดคนนั้นถูกโกงไปคืนมาให้ และวิธีการของเขาก็คือการถอนเงินทุกดอลล่าร์ออกไปจากธนาคาร และย้ายถิ่นฐานไปอยู่ยังมิสซูรี ที่นั่งมีทะเลสาบที่เกิดขึ้นจากการสร้างเขื่อน ที่นั่นยังห่างไกลสายตาของฝ่ายตรวจสอบ ทว่า เหตุฆาตกรรมของผู้ร่วมธุรกิจกับพฤติกรรมการย้ายรกรากแบบกะทันหันก็ทำให้เอฟบีไอสนใจ การย้ายไปทำธุรกิจฟอกเงินถึงโอซาร์กเพื่อส่งเงินคืนให้พ่อค้ายาตัวเอ้จึงไม่ใช่สิ่งง่ายอย่างที่คิด


จบไปแล้ว 2 ซีซัน ซีซันละ 10 ตอน ชนิดที่เข้มข้นน่าติดตามทุก ๆ ตอนเลยก็ว่าได้ ดูไปก็ยังแปลกใจว่าซีรีส์สนุกขนาดนี้ แต่ทำมั้ยทำไมไม่มีใครพูดถึงซีรีส์เรื่องนี้เลย งั้นขอทำหน้าที่แนะนำซีรีส์น้ำดีเรื่องนี้เองแล้วกัน Ozark เป็นผลผลิตของ NETFLIX เริ่มแพร่ภาพเมื่อ กรกฎาคม 2017 แล้วจบซีซัน 2 ไปเมื่อ สิงหาคม 2018 จากนั้นก็ทิ้งช่วงมาปีกว่าแล้ว ทิ้งให้แฟน ๆ รอคอยกันข้ามปี เพราะมีข่าวแว่ว ๆ ว่า ซีซัน 3 จะมาต้นปี 2020

Ozark เป็นซีรีส์ที่สร้างสรรค์โดย บิล ดูบิวค์ และ มาร์ก วิลเลียมส์ ทั้งคู่เคยร่วมงานกันมาแล้วใน The Accountant หนัง เบน แอฟเฟล็ก และ A Family Man หนังที่เจอร์ราร์ด บัตเลอร์ รับบทนำ โดยที่ บิล ดูบิวค์ รับหน้าที่เขียนบทภาพยนตร์ และ มาร์ก วิลเลียมส์ ทำหน้าที่อำนวยการสร้าง

เนื้อเรื่อง

เห็นได้ชัดว่าหนังของ บิล ดูบิวค์ จะพัวกันเกี่ยวกับเรื่อง นักบัญชีฟอกเงิน, มาเฟีย อย่างใน The Accountant และการแบ่งน้ำหนักระหว่างงานและครอบครัวอย่างใน A Family Man ซึ่งบิลก็เอาใจความหลักจากทั้งสองเรื่องนี้ล่ะ ผสมรวมออกมาเป็น Ozark เรื่องราวของ มาร์ติน เบิร์ด รับบทโดย เจสัน เบตแมน เขาเป็นนักบัญชีมือฉกาจเปิดบริษัทรับทำบัญชี แต่กล้วก็หวังรวยทางลัดเลยไปรับงานฟอกเงินให้กับ “เดล” มาเฟียจอมโหด ชีวิตก็ดูราบรื่นดีผ่านไปจน 5 ปี ความซวยก็มาเยือน

เมื่อเดลจับได้ว่าบริษัทนี้ยักยอกเงินเขาไปหลายล้านเหรียญ ซึ่งเป็นฝีมือของบรู๊ซ หุ้นส่วนของมาร์ตินนั่นเอง แต่มาร์ตินก็เอาชีวิตรอดมาได้อย่างหวุดหวิด ด้วยวาทศิลป์ที่เป็นพรสวรรค์ติดตัวมาแต่กำเนิด และไหวพริบระดับอัจฉริยะ มาร์ตินเสนอไอเดียหรูเลิศให้กับเดล ถ้าไว้ชีวิตเขาแล้วจะมีประโยชน์กว่า เขาสามารถฟอกเงินให้กับเดลได้อีกเป็นร้อยล้าน เพราะมีช่องทางลงทุนในเมืองตากอากาศอันสงบสุขที่ชื่อ โอซาร์ก มาร์ตินเห็นจากโบรชัวร์ท่องเที่ยวเพียงแวบเดียว วาจาหว่านล้อมเป็นผลสำเร็จ

มาร์ตินและครอบครัวเบิร์ดที่ประกอบไปด้วย เวนดี้ ภรรยา ชาร์ลอตต์ ลูกสาวคนโต และโจนาห์ ลูกชายคนเล็ก ต้องย้ายถิ่นฐานไปอยู่ใน Ozark เมืองริมอ่าวอันเงียบสงบในรัฐมิสซูรี เป็นแหล่งท่องเที่ยวขนาดเล็กที่ผู้คนนิยมมาล่องเรือ และเล่นเจ็ตสกีกัน

และนี่คือจุดเริ่มต้นดูหนังฟรีของเรื่องราวที่ครอบครัวเบิร์ดจะต้องเผชิญกับวิบากกรรมครั้งใหญ่ในชีวิต ที่เดล คอยตามเฝ้าติดตามผลงานฟอกเงินของเขาอย่างใกล้ชิด แล้วยังต้องเผชิญกับผู้คนมากหน้าหลายตาในเมืองโอซาร์ก ซึ่งมีทั้งผู้เป็นมิตรและศัตรู ซึ่งแต่ละตัวล้วนมีบทบาทสำคัญกับเนื้อเรื่องอย่างเข้มข้น 3 พี่น้องแลงมัวร์ นักเลงกระจอกประจำท้องถิ่นที่ผลัดกันเข้าออกคุกเป็นว่าเล่น

พวกนี้มองเห็นมาร์ติน เบิร์ด ที่มาพร้อมกับเงินสดหลายล้านเป็นขุมสมบัติของพวกมัน, ผัวเมียตระกูลสเนลล์ มาเฟียค้ายารายใหญ่เจ้าของพื้นที่เมืองโอซาร์ก และรอย เพ็ตตี้ FBI ตัวร้าย ที่ตามกัดตามจิกมาร์ติน เบิร์ด มาตั้งแต่ตอนที่อยู่ชิคาโก แล้วตามร่องรอยมาถึงโอซาร์ก แล้วก็ยังมี ชาร์ล วิลก์ นักการเมืองใหญ่ประจำโอซาร์ก ที่ครอบครัวเบิร์ดจำต้องผูกมิตรไว้เพื่อหนทางที่ราบรื่นในอนาคต

Ozark Season 1 ปฐมบทแห่งความหายนะ

ในโอซาร์ก ซีซั่นแรก จะเป็นเรื่องราวของนักจัดการวางแผนทางการเงิน (Finalcial Planner) ที่ชื่อว่า มาร์ตี้ เบิร์ด (แสดงโดย Jason Bateman) ชายวัยกลางคนที่พยายามหาเงินเพื่อมาเลี้ยงดูจุนเจือครอบครัวตามประสา จนจับพลัดจับผลูได้เข้าไปหาเงินก้อนโตจากการฟอกเงินให้พ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ แต่แล้วหุ้นส่วนของเขาดันไปโกงพ่อค้ายาคนนี้โดยที่เขาไม่ได้รู้เห็นอะไรเลย และพ่อค้ายาเสพติดต้องการที่จะจัดการผู้ที่เกี่ยวข้องและมีส่วนรู้เห็นทั้งหมดทิ้ง

แต่ก่อนที่มาร์ตี้จะถูกฆ่า เขาคิดแผนเอาตัวรอดขึ้นมาแบบฉิวเฉียดด้วยการเสนอ สถานที่ฟอกเงินที่ใหม่ให้กับพ่อค้ายาคนนี้ เพื่อแสดงว่าเขาบริสุทธิ์ และยังมีประโยชน์ ไม่จำเป็นต้องฆ่าเขา สถานที่นั้นคือชายฝั่งบ้านนอกที่ยาวยิ่งกว่าฟลอริด้า แถมมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวทุกปี และด้วยความบ้านนอก สรรพากรก็ไม่อยากจะเข้ามายุ่ง ที่แห่งนั้นก็คือ Ozark

ในตอนแรก เรื่องราวจะค่อยๆ เล่าถึงมาร์ตี้ เบิร์ด ว่าเขา มีปัญหาชีวิตอย่างไรบ้าง ในคราบที่ครอบครัวก็จะดูปกติสุขดี มีลูกชายคนเล็กและลูกสาวคนโต แต่ภรรยาของเขาแอบคบชู้กับชายอื่นอยู่ จนจู่ๆ ปัญหาในครอบครัวก็กลายเป็นเรื่องเล็กเมื่อพ่อค้ายาเสพติดสุดโฉดกำลังเอาปืนจ่อหัวพร้อมที่จะยิงเขา ทำให้มาร์ตี้ต้องพาครอบครัวของเขาทุกคน ย้ายจากเมืองกรุง ชิคาโก สู่บ้านนอกไกลปืนเที่ยง สาเหตุที่มาร์ตี้เลือกที่ โอซาร์ก ก็คือ แผ่นพับที่บังเอิญติดอยู่ในกระเป๋าของเขา ซึ่งเขาเองก็ไม่คิดหรอกว่า จะต้องมาฟอกเงินในกลางป่ากลางเขาแบบนี้ แต่นี่เป็นโอกาสรอดเพียงหนึ่งของเขาและครอบครัว เพราะฉะนั้นเขาต้องทำมันให้ได้

ดูจากพล็อตเรื่องคร่าวๆ แล้ว หลายๆ คน คงจะคิดถึงเรื่อง เบรคกิ้งแบด ที่อาจารย์สอนวิชาเคมีใกล้ตาย ต้องการหาเงินจนกลายมาเป็นคนทำยาเสพติดส่งออกรายใหญ่ ในโอซาร์กก็คล้ายๆ กัน แต่ด้วยการดำเนินเรื่องในซีซั่นแรก หลายๆ อย่าง ต่างกันมาก เลยไม่อยากจะให้นำมาเทียบกันสักเท่าไหร่ เพราะในเบรคกิ้งแบด เราจะเห็นตัวละครหลัก ค่อยๆ เติบโตไปเป็นอาชญากร

แต่ในโอซาร์กคือ คนที่มีเอี่ยวกับอาชญากรหรืออาชญากรรมอยู่แล้ว แล้วหาทางเอาตัวรอดเพื่อไม่ให้ตัวเองตายทั้งครอบครัว โดยนายมาร์ตี้เนี่ยเป็นคนที่ค่อนข้างจะใจเย็น และเป็นผู้ชายประเภทที่บ้างานจนเมียตัวเองไปมีชู้ ความสนุกมันเลยอยู่ที่ว่านายมาร์ตี้คนนี้ จะจัดการกับปัญหาต่างๆ ได้อย่างไร ในเมื่อเขาต้องมาฟอกเงินก้อนโตในบ้านนอกแบบนี้

ความสนุกต่อมาก็คือ ในการจะฟอกเงินเนี่ย มันจะต้องหาทางทำธุรกิจถูกกฏหมาย เพื่อนำเงินผิดกฏหมายไปเข้าระบบแล้วเปลี่ยนเป็นเงินถูกกฏหมายได้ นั่นคือนิยามง่ายๆ ของการฟอกเงิน แต่ในใจกลางบ้านนอก ที่จะมีนักท่องเที่ยวมาเฉพาะฤดูท่องเที่ยว แถมยังเป็นบ้านนอกกลางป่ากลางเขา มันจะหาธุรกิจที่ทำเงินเยอะๆ อย่างไร? มันทำให้เราคิดตามและลุ้นไปกับมาร์ตี้ว่า จะต้องทำอะไรยังไงบ้างในการฟอกเงิน ซึ่งเอาจริงๆ แล้ว มันก็ไม่ได้โชว์ หรือแสดงให้เห็นถึงวิธีการจริงๆ มากขนาดนั้น เพราะเรื่องราวจริงๆ มันเล่าลงลึกไปยังปมดราม่า ของแต่ละตัวละครในเรื่องต่างหาก

โดยในซีซั่นแรก หนังถ่ายทอดสดขอบอกเลยว่า ช่วงแรกค่อนข้างที่จะดำเนินเรื่องได้อืดอาดและยืดเยื้อมาก มันจะค่อยๆ เล่าแบบค่อยๆ เป็นค่อยไป ไม่ได้น่าติดตามอะไรขนาดนั้น แต่นั่นมันก็ทำให้เราเข้าใจตัวละครแต่ละตัวในเรื่องได้ดี ว่าเป็นใคร มาจากไหน ต้องการอะไร แล้วจะเข้ามามีบทบาทอย่างไรในการฟอกเงินก้อนโตครั้งนี้

แม้ตัวละครจะไม่เยอะมากเท่าไหร่ แต่ขอบอกเลยว่า น่าสนใจ และเป็นแรงขับเคลื่อนความน่าดูของเรื่องได้แทบทุกตัวละครเลยทีเดียว เช่น เจ้าของบ้านที่มาร์ตี้ย้ายเข้ามาอยู่ เป็นชายแก่ที่ชื่อว่าบัดดี้ ป่วยและใกล้ตายเลยเปิดบ้านให้เช่าราคาถูกมาก แต่ข้อแม้ก็คือบัดดี้จะอยู่ในชั้นใต้ดินของบ้าน เป็นอีก 1 ตัวป่วนที่กลับมามีบทบาทสำคัญในซีซั่น 2 อย่างไม่น่าเชื่อ หรืออย่างตัวภรรยาของมาร์ตี้เอง ที่ทำผิดกับสามีไว้ด้วยการแอบคบชู้กับชายอื่น

รีวิว Ozark Season 1

ทำให้เธอกลายเป็นอีก 1 ปัญหาคาใจของมาร์ตี้ ที่จะต้องแก้ทั้งปัญหาครอบครัว และปัญหาในการหาทางฟอกเงินก้อนโต ในเมื่อการที่จะหาธุรกิจที่ทำเงินเยอะๆ ได้ในบ้านนอก เพื่อฟอกเงิน มันก็ต้องไปมีกระทบกระทั่งกับผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ที่อยู่มาก่อน ซึ่งมาร์ตี้เองก็ดันไปขัดแข้งขัดขากับผู้มีอิทธิพลในนี้ มันจึงยิ่งเป็นความกดดันและทำให้เราคิดว่า มันจะเป็นอย่างไรต่อไปกันแน่

แต่ในซีซั่นที่ 1 อะไรหลายๆ อย่าง ดูเนิบนาบเกินไป และบทของบางตัวละคร หรือหัวข้อบทพูดมันดูน่าเบื่อ ทำให้กราฟความสนุกของเรื่องในช่วงตอนที่ 1-8 มันขึ้นๆ ลงๆ อย่างมาก เดี๋ยวก็ลุ้น น่าติดตาม เดี๋ยวก็น่าเบื่อ อะไรก็ไม่รู้ มันเป็นแบบนี้ตลอด แต่ความพีคจริงๆ จะไปอยู่ที่ตอนท้ายๆ ซึ่งทำเอาเราคาดไม่ถึงและถึงกับอ้าปากเหวอไปเลยทีเดียว

จุดเด่นในซีซั่นนี้

จุดเด่นที่เห็นได้ชัดอีกอย่าง นอกจากตัวละครและพล็อตเรื่องที่น่าสนใจ คงจะเป็นทางด้านงานภาพที่นำเสนอได้ดี และค่อนข้างที่จะเล่นอารมณ์กับคนดูได้ในหลายๆ ฉาก มันเป็นความ Cinematography ที่นำเสนอออกมาให้เราเข้าใจเรื่องราวต่างๆ ของซีรีส์ได้ดีมากยิ่งขึ้น และทั้งเรื่องของซีรีส์ เขาจะเกรดสีภาพให้ออกโทนสีฟ้าๆ หม่นๆ ดูขมุกขะมัว เพื่อสื่อให้เรารู้สึกว่าในความที่ดูสบายตา แต่มันก็มีความไม่น่าไว้ใจแฝงอยู่

สรุป

Season 1 ทำออกมาได้ดีและถือเป็นการเปิดเรื่องความดาร์ค Drama ที่สนุก แต่ก็ยังไม่สุดเท่าไหร่ ด้วยความน่าสนใจของตัวเรื่อง และเซ็ตอัพของเรื่องทำได้ดี แต่บทพูด หรือดราม่าบางอย่างที่ดูยัดเยียดและน่าเบื่อเกินจำเป็น เลยจะขอให้คะแนนซีซั่นนี้เพียง 7.5 คะแนน ถ้าหากนำไปเทียบกับ Breaking Bad แล้วล่ะก็ ขอบอกว่ามันเทียบไม่ได้และเป็นคนละแบบกันเสียมากกว่า แต่ถ้าหากใครชอบแนวนี้ และทนดูได้ ขอบอกว่าควรทนดู เพราะอย่างที่เกริ่นไป นี่คือปฐมบทแห่งความหายนะ ความยุ่งเหยิง และความเข้มข้นระดับสูงสุดในซีซั่นที่ 2 ต่างหากล่ะ

The Boys

ดูหนังออนไลน์

รีวิว The Boys - เดอะบอย

ซีรีส์ Super Hero บนช่อง Amazon Prime video  ที่มาแรงที่สุดในตอนนี้ ด้วยความฉีกของพล็อตเรื่องที่แตกต่างไปจากที่ผ่านมาๆ ว่าด้วยเรื่องของประเทศอเมริกาในช่วงยุคปัจจุบันมี Super Hero เกิดมามากมาย โดยมีบริษัทวอท (Vought) เป็นผู้ดูแลจัดการธุรกิจเหมือนปั้นไอดอลให้มีภาพลักษณ์ดีๆ เพื่อนำไปใข้หากำไร รีวิว The Boys

เรื่องย่อ

เรื่องของประเทศอเมริกาในช่วงยุคปัจจุบันมี Super Hero เกิดมามากมาย โดยมีบริษัทวอท (Vought) เป็นผู้ดูแลจัดการธุรกิจเหมือนปั้นไอดอลให้มีภาพลักษณ์ดีๆ เพื่อนำไปใข้หากำไร โดยพยายามปกปิดความผิดพลาดของเหล่า Super Hero ในสังกัดไว้ ซึ่งกลุ่มตัวเอกก็คือคนธรรมดาที่ตกเป็นเหยื่อจากการกระทำชั่วแล้วแสร้งเป็นคนดีของพวกนี้


นี่คือซีรีส์ซูเปอร์ฮีโรพล็อตแรงที่กระแสกระหึ่มโลกในห้วงเวลานี้ หลายสำนักยกคะแนนเต็มให้ อย่างเว็บ imdb ที่คะแนนสูงยากมาก ๆ ยังซัดไป 9.1/10 คิดดู ซีรีส์นี้ดัดแปลงจากคอมิกชื่อเดียวกันของ การ์ธ เอนนิส จากสำนักพิมพ์ไดนาไมต์เอนเตอร์เทนเมนต์ ซึ่งเอนนิสเองคือผู้สร้างสรรค์คอมิกชุด Preacher ของค่ายเวอร์ติโก และทำงานให้กับคอมิกเรื่อง The Punisher ของมาร์เวลมากว่า 9 ปี ไม่แปลกที่งานของเขาจะเต็มไปด้วยความรุนแรงชนิดถึงลูกถึงคน รวมถึงการวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นหนัก ๆ อย่างถึงพริกถึงขิง

เนื้อเรื่อง

นี่คือเรื่องราวของ มนุษย์เดินดิน vs พระเจ้าจอมปลอม ฉีกรูปแบบซูเปอร์ฮีโร่จากมาร์เวลและดีซีไปอย่างสิ้นเชิง ที่ดูใกล้เคียงที่สุดก็คงเป็น Watchmen ผสม Kick-ass ปนมาด้วยหน่อยๆ แต่ The Boys ก็มีแนวทางของตัวเองชัดเจน ว่าด้วยการสร้างโลกซูเปอร์ฮีโร่ที่ส่วนใหญ่เลวระยำเพราะเมื่อใดก็ตามที่คนมีพลังอำนาจขนาดนั้น ก็ย่อมจะมีโอกาสหลงระเริงไปกับอำนาจที่มี คิดว่าตัวเองคือความยุติธรรม ใช้ศาลเตี้ยตัดสินความผิด

แทนที่จะนำตัวเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย ซ้ำร้ายผู้คนทั่วไปกลับชื่นชอบการมีอยู่ของพวกนี้ด้วย ยิ่งทำให้เกิดความเชื่อผิดๆ จนไม่คิดว่าพวกนี้ก็สิทธิผิดพลาดหรือเป็นคนเลวได้เช่นกัน นี่จึงเป็นหนังที่อยู่ขั้วตรงข้ามกับซูเปอร์ฮีโร่ปกติอย่างสิ้นเชิง หนังเสียดสีทั้งมาร์เวลและดีซีไปพร้อมกัน แถมเนื้อหายังติดเรตความรุนแรงแบบจัดเต็ม ซึ่งก็ช่วยตอกย้ำให้โลกของ The Boys ดูดิบเถื่อนสมกับที่เป็นที่รวมของเหล่าซูเปอร์ฮีโร่สุดระยำได้เป็นอย่างดี

หนังมีตัวละครหลักฝั่งร้ายคือ Homelander ที่ถอดแบบพลังของซูเปอร์แมนออกมาแทบทั้งหมด เป็นซูเปอร์ฮีโร่เบอร์ 1 ของโลก เป็นหัวหน้าทีม The Seven ที่รวมพวกมีพลัง 7 คนมาทำงานกันเป็นทีม ผ่านบริษัทวอทที่ดูแลจัดการทุกอย่างให้ The Seven กลายเป็นสินค้าหลักทำเงินทุกช่องทาง ซึ่งพวกที่เหลือในทีมก็ถอดแบบมาจากค่าย DC เป็นหลัก อย่าง  Queen Maeve ที่ถอดแบบมาจากวันเดอร์วูแมน A-Train กับความเร็วน้องๆ เดอะแฟลช  The Deep เจ้าสมุทรทั้ง 7 เหมือนอควาแมน Translucent มนุษย์ล่องหน  Black Noir มนุษย์ลึกลับที่ทั้งชุดและอาวุธเหมือน G.I. Joe และสมาชิกใหม่แอนนี่หรือในชื่อ Starlight สาวบ้านนอกผู้รักความยุติธรรมและมีพลังปล่อยแสงได้

ซึ่งทั้งหมดนี้คือกลุ่มคนมีพลังที่หนังใช้คำเรียกรวมๆ ว่าพวก “ซูปส์” ซึ่งตัวละครหลักของ The Seven ก็มีปมร้ายปนโรคจิตแตกต่างกันไป ซึ่งดูหนังออนไลน์เป็นความสนุกที่เราจะเห็นฉากหลังด้านมืดของซูเปอร์ฮีโร่ทำเรื่องเลวระยำสารพัด โดยที่ฉากหน้าถูกสร้างภาพการตลาดไว้อย่างสวยงามให้เป็นไอดอลคนดีของสังคม

จุดแข็งของหนัง

The Boys มีจุดแข็งในการเล่าเรื่องที่แตกต่าง ในห้วงยุคสมัยที่ฮีโรมาร์เวล และดีซีครองวงการบันเทิง หากจะพูดไปมันคือ อัลเตอร์แอนตี้ฮีโร ในแบบที่ Watchmen ของ อลัน มัวร์ เคยวิพากษ์วงการฮีโรไว้ว่าซูเปอร์ฮีโรคอยสอดส่องคนไม่ดี แล้วใครกันจะสอดส่องเหล่าฮีโรไม่ให้แตกแถว ขณะที่อลัน มัวร์ เลือกให้ฮีโรสีเทา ๆ จัดการปัญหากันเอง แต่คอมิกของเอนนิสกลับยกให้แก๊งก้อนของคนธรรมดาที่อ่อนแอไร้พลัง

และเต็มไปด้วยไฟแค้นสุมในใจ คือผู้มาจัดการกลุ่มซูเปอร์ฮีโรที่หลงระเริงในพลังแทน จึงทำให้มันมีความน่าติดตามยิ่งกว่าเพราะเราคงสงสัยและอยากรู้ว่ามนุษย์ธรรมดา (ที่ไม่ได้เก่งเทพแบบแบทแมนด้วย) จะสังหารเหล่าเทพเจ้านั้นได้อย่างไร เมื่อประกอบกับลีลาการเล่าที่โหดสัสสะบัดช่อ เลือดเป็นเลือด เนื้อเป็นเนื้อ ใครเกลียดหนังแหวะ ๆ จะได้ดูแบบเต็ม ๆ ก็งานนี้ล่ะ

ซีรีส์นี่เลยโดนเรตไปถึง 18+ ทั้งความรุนแรง ภาษาหยาบคาย ภาพเปลือย รวมถึงเนื้อหาที่เกินเด็กไปหลายขุม แต่ก็ด้วยความจริงจังในการประเคนความรุนแรงนี้ด้วยล่ะ ยิ่งทำให้โปรแกรมหนังเราลุ้นกับตัวละครไปใหญ่ว่ามันจะรอดพลังระดับเหนือจินตนาการได้อย่างไร และทุกครั้งที่ฮีโรในเรื่องปรากฏตัวเราก็เสียวสันหลังทุกครั้งว่าจะมีตัวละครไหนตายแบบเราไม่ทันตั้งตัวหรือเปล่า ซึ่งมันทำงานได้ดีตั้งแต่ ตอนที่ 1 ที่เราเห็นการตายของตัวละครครั้งแรก ไปยันตอนที่ 8 อันเป็นตอนจบของซีซันแรกเลยทีเดียว

ด้านกลุ่มตัวเอก

สำหรับกลุ่ม The Boys จะเรียกว่าฝ่ายดีหรือฝ่ายพระเอกก็ไม่ได้เต็มปากนัก เพราะหนังเดินเรื่องด้วยตัวละครสีเทาๆ ไม่ได้มีการตัดสินความดีความชั่วสักเท่าไหร่ กลุ่มนี้ใช้ความแค้นสุดขั้วเป็นตัวผลักดันทำอะไรก็ได้ ขอแค่ล้างแค้นได้เป็นพอ ซึ่งก็มีหัวหน้ากลุ่ม Billy Butcher เป็นคนที่สุมไฟแค้นให้กับลูกทีม Mother’s Milk นักสืบนักวิเคราะห์ข้อมูลประจำทีม Frenchie พ่อค้าอาวุธและเป็นผู้คิดค้นเครื่องมือสังหารพวกซูป และพ่วงด้วย Hughie Campbell พนักงานขายเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เคยเป็นแฟนตัวยงของพวกซูปส์ ก่อนจะเสียแฟนสาวไปจากการถูก A-Train วิ่งชนตาย แล้วก็ได้ Butcher ชักจูงนำมาร่วมทีมล้างแค้นเหล่าซูปส์ให้สิ้นซาก ซึ่งความสนุกของเรื่องก็คือจุดนี้ ที่เราจะได้เห็นคนธรรมดาฆ่าซูเปอร์ฮีโร่อย่างสะใจ ด้วยวิธีพิสดารแบบถึงลูกถึงคน

หนังได้ดาราที่น่าสนใจหลายคนมาแจม ทั้งตัวหลักและที่มาเสริมได้อย่างน่าประหลาดใจ ตัวหลัก ๆ ที่เราคุ้นหน้าก็มี คาร์ล เออร์แบน ที่มารับบท บิลลี บุตช์เชอร์ หัวหน้าทีม เดอะบอยส์ ผู้ฝังแค้นต่อซูเปอร์ฮีโรผู้ภาพลักษณ์ดั่งนักบุญ ทั้งยังเป็นซูเปอร์ฮีโรเบอร์ 1 ของโลก นาม โฮมแลนเดอร์ ที่จงใจผสมภาพระหว่างพลังของ ซูเปอร์แมน จากค่ายดีซี กับวิชวลแบบ กัปตันอเมริกา ของค่ายมาร์เวลไว้ในตัวเดียวกัน

ความเป็นตัวละครที่มีแต่ความแค้นของบิลลีทำให้เขาเป็นภาพลักษณ์ของ ไฟแค้น ที่พร้อมเผาผลาญทุกอย่างไม่เว้นแม้แต่เพื่อนร่วมทีมให้วอดวายไปพร้อมกับอริ ยิ่งทำให้ซีรีส์นี่ไม่ได้มีเพียงตัวร้ายที่เราต้องหวาดหวั่น หากแต่การกระทำที่ไฟแค้นบังตาของฝั่งตัวเอกเองก็เป็นปัจจัยที่พร้อมจะพลิกสถานการณ์ให้เกิดอะไรขึ้นก็ได้ และการคาดเดาอะไรไม่ได้ก็คือสูตรปรุงรสสำคัญที่ซีรีส์ดัง ๆ ยุคปัจจุบันต่างมีด้วยนั่นเอง

แม้บิลลีจะเป็นตัวสำคัญในการผลักเรื่องไปข้างหน้า ทว่าผู้ชมจะถูกพาไปยังซอกซอยต่าง ๆ ของโลกในซีรีส์ด้วยสายตาของ ฮิวอี้ แคมป์เบล เด็กหนุ่มร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าผู้สูญเสียคนสำคัญไป ซึ่งรับบทโดย แจ๊ก เควด  ฮิวอี้คือตัวอย่างของคำว่าผีซ้ำด้ำพลอยได้ดีที่สุด เขาธรรมดาและอ่อนแอที่สุดในทีม ไม่ใช่อดีตทหาร ไม่ได้มีร่างกายล่ำบึ้ก ไม่ได้ฉลาดเป็นกรด เป็นแค่คนที่ถูกบิลลีจูงจมูกและหลอกใช้ประโยชน์จากความแค้นต่อฮีโรที่ไม่มีหนทางระบายออกอย่างเปิดเผยในสังคม

จนเมื่อภารกิจล้างบางฮีโรนี้ได้นำพาเขามารู้จักกับ แอนนี (รับบทโดย อีริน มอริอาร์ตี้) หญิงสาวผู้มีพลังยิงแสงสว่างออกจากร่าง เธอถูกสอนฝังหัวแต่เด็กจากแม่บังเกิดเกล้าให้โตมาเป็นฮีโรในนาม สตาร์ไลต์ ซึ่งเมื่อเธอได้เข้ามาสัมผัสกลุ่มฮีโรที่เธอใฝ่ฝันอย่าง เดอะเซเว่น จริง ๆ แล้ว มันก็เหมือนเด็กที่ได้รู้ว่าซานตาคลอสไม่มีจริง เพราะทุกอย่างคือธุรกิจที่มีนักการตลาดคอยเขียนบทเท่ ๆ ให้ฮีโรพูดตามทำตามอยู่เสมอ

รีวิว The Boys

แต่เธอก็อยากเชื่อว่านี่คือโอกาสให้เธอได้ช่วยเพื่อนมนุษย์อย่างที่ฮีโรควรเป็น ความสัมพันธ์ที่ค่อย ๆ ลึกซึ้งขึ้นเรื่อย ๆ ระหว่างแอนนี่กับฮิวอี้ ก็ทำให้ฮิวอี้ที่ต้องหลอกใช้แอนนี่เพื่อเข้าถึงกลุ่มฮีโรต้องอยู่ในสถานการณ์ลำบากใจไม่น้อย และนี่ก็เป็นอีกปัจจัยที่จะทำให้อะไร ๆ ยุ่งเหยิงเข้าไปอีก

ด้านตัวร้าย

พูดถึงฝั่งตัวเอกไปมากแล้ว ต้องพูดถึงตัวร้ายบ้าง จริง ๆ หนังแนวนี้จะตรึงเราติดได้ก็เพราะด้วยความเก่งและน่ากลัวของตัวร้ายเป็นสำคัญ ยิ่งไม่เห็นวี่แววจะชนะเรายิ่งอยากลุ้นอยากเอาใจช่วยพระเอก และซีรีส์นี้ก็มีตัวร้ายที่ดีอยู่ในมือมากพอด้วย  กลุ่ม เดอะเซเวน ประกอบด้วยฮีโรที่ได้รับการคัดสรรจากผู้มีพลังพิเศษทั่วโลกมาเหลือเพียง 7 คน นำโดย โฮมแลนด์เดอร์ ที่เหมือนซูเปอร์แมนแบบ พระเจ้าจอมปลอม

อย่างที่บอกไปแล้ว มี ควีนเมฟ ที่ถอดมาจากวันเดอร์วูแมน ผู้มีสำนึกดีแต่อยู่เห็นโลกสีเทามานานจนไฟในใจมอดดับ มี เดอะดีป ที่คืออะควาแมน ในภาคที่หื่นกามและชะตาชีวิตตลกร้าย มี เอ-เทรน ที่คือเดอะแฟรชผสมฟอลคอน เป็นฮีโรที่มีมิติความเว้าแหว่งแบบมนุษย์สูงมากทั้งความผิดของเขายังเป็นตัวทำให้เกิดเรื่องราวทั้งหมดขึ้น มี ทรานลูเซนต์ มนุษย์ล่องหนจอมโรคจิต และสุดท้าย แบล็กนัวร์ ฮีโรในชุดดำสุดปริศนา

ฮีโรเหล่านี้ถูกบริหารงานด้วยบุคลากรหลายร้อยคนของบริษัทชื่อ วอท ซึ่งทำให้ฮีโรกลายเป็นธุรกิจมูลค่าหลายหมื่นล้านเหรียญทีเดียว แม้เรื่องนี้จะไม่บอกโต้ง ๆ ว่าเหล่าฮีโรได้เคยทำสิ่งเลวร้ายใดไว้ แต่เรารู้ว่าหนักหนาผ่านความโกรธแค้นของบิลลี แต่มันก็ถูกกดเป็นความลับจากคนดูไปแทบตลอดจนค่อย ๆ ผลิบานขึ้นทีละน้อยในแต่ละตอน

ข้อดีคือเราค่อย ๆ เข้าใจตัวละครต่าง ๆ มากขึ้น และไม่มุ่งตัดสินแบบดำขาวกับตัวละครใด ๆ ในช่วงต้นเรื่องเรายังกังขาด้วยซ้ำว่าฮีโรภาพดีเหล่านี้หรือที่เป็นตัวร้ายของเรื่อง และเอาจริง ซีรีส์ก็บอกเราว่าไม่มีฮีโรตัวไหนที่เลวบริสุทธิ์ มันต่างมีที่มามีเหตุผลในจุดที่ด่างดำของตนเอง หนักบ้างเบาบ้าง บางตัวละครก็น่าสงสารเสียด้วยซ้ำ หลายตัวมีแนวโน้มจะย้ายข้างได้

หลายตัวยิ่งพยายามเป็นคนดียิ่งต้องถลำลึกในการปิดความชั่วดั่งน้ำผึ้งหยดเดียว บางตัวคือหน้ากระดาษสีดำที่ทุกคนบนโลกเห็นเป็นผืนกำแพงใหญ่สีขาวสะอาด มันจึงยิ่งท้าทายฝั่งต่อต้านเข้าไปซ้อนหลายชั้น นอกจากพลังระดับเทพเจ้าที่ไม่รู้จะเอาชนะอย่างไรแล้ว ด้านคนในสังคมยังเข้าข้างอย่างเต็มกำลังอีก แล้วมันจะเหลืออะไรไปชนะอีกล่ะ (ซึ่งนั่นล่ะถึงต้องตามดูจนติดหนึบ)

ความน่าประหลาดใจที่พูดทิ้งไว้อีกอย่าง คือตัวละครสมทบที่ทำให้ว้าวเหวอว่ามาด้วยเหรอ ก็มีทั้ง ไซมอน เพ็กก์ ทั้ง บิลลี เซน ทั้งเจ้าหนู ฮาลีย์ โจเอล ออสเมนต์  (เจ้าหนู ผมเห็นคนตาย ในหนัง The Sixth Sense) ที่อันนี้พีคจริงจำแทบไม่ได้ และยังอีกหลายตัวละครเลย ก็เป็นความประทับใจเล็ก ๆ ที่ทำให้ซีรีส์ดูมีอะไรให้เก็บเล็กเก็บน้อยด้วย

จุดเสีย

สิ่งที่ทำให้ซีรีส์นี้ไม่ได้ดีถึงที่สุด ก็เป็นด้วยการดัดแปลงคอมิกที่จบไปแล้วนั้นมีโจทย์ในใจที่อยากขยายเลยเถิดไปมากกว่าคอมิก ทั้งคอมิกยังมีฉากหลังว่าด้วยช่วงเวลา 9/11 เป็นสำคัญ พอต้องมาเป็นซีรีส์ก็เผชิญปัญหาอยากขายต่ออยู่ไม่น้อย ทำให้ช่วงปลายซีซันของเรื่องเราสัมผัสได้ถึงความพยายามยืดดึงเชิง ปรับเปลี่ยนการเล่าเพื่อให้มีซีซันต่อไป ซึ่งข้อดีคือในซีซันต่อไปที่จะไม่มีคอมิกเป็นแกนเดิมแล้ว ซีรีส์ย่อมเล่าอะไรให้เราประหลาดใจได้ทุกทาง ยิ่งปมใหญ่ที่ทิ้งบอมบ์ใส่คนดูไว้นี่ยิ่งอยากให้มีซีซันต่อไว ๆ ทีเดียว แต่ข้อเสียก็ตามที่บอกคือความประดักประเดิดของเรื่องราวในช่วงหลังที่ใคร ๆ ก็คงรู้สึกล่ะว่าไม่สนุกเท่าครึ่งแรกเลย

สรุป

สำหรับคนที่ชอบหนังสไตล์แบดกายดาร์คๆ ก็คงถูกใจหนังเรื่องนี้นัก แต่หนังก็ไม่ได้ทำได้ดีทั้งหมด ปัญหาของหนังคือการปรับเปลี่ยนเรื่องจากหนังสือการ์ตูนต้นฉบับ เพื่อเปิดปมไปยังซีซั่น 2 ในเรื่องราวที่ใหญ่โตกว่าประเด็น มนุษย์เดินดิน vs พระเจ้าจอมปลอม ทำให้ช่วงครึ่งหลังของหนังดูยืดเยื้อ ออกนอกประเด็น อารมณ์ลุ้นน่าติดตามในช่วงแรกหายไปเกือบหมด (มีทั้งหมด 8 ตอน) เหลือแค่ดูว่าจะจบลงยังไงเท่านั้น ซึ่งแม้หนังจะปิดปมของตัวละครหลักได้ดี แต่การเปิดเรื่องเพื่อไปต่อซีซั่น 2 ก็คงไม่รู้สึกเป็นแนวทางที่สดใหม่ได้เหมือนที่ต้นฉบับการ์ตูนทำไว้ได้อีกแล้วครับ